วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ต่างคนต่างมอง by Dhammakapolokikku

537586_208401675948840_1733574205_n

ถ้าจิตหมองแล้วไซร้ มันก็ย่อมเป็นกิเลสซี ข้าพเจ้าก็ไปนึกทบทวน อ๊ะ...ความโลภ คงไม่ใช่แน่ ความโกรธ ก็คงไม่ใช่อีก แน่นอนเลยมันเหลืออยู่ตัวเดียว โมหะ-ความหลงแน่ ๆ

ทีนี้มันหลงกันอย่างไรล่ะ ความหลง คือ เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม แต่ลึกลงไปแล้ว คือ เห็นค้านกับไตรลักษณ์ ละเอียดลงไปอีก ก็เห็นผิดไปจากอริยสัจ ๔

ข้าพเจ้าคงจะไม่ลงไปถึงอริยสัจ มันจะเว่อร์เกินไป แค่ตอบเม้นท์ ไม่ตอบเม้นท์ แค่เนี้ยะ ไล่ไปถึงอริยสัจ เชียว (แต่ความจริงก็ไล่ไปให้ถึงได้นะ)

พิเคราะห์ดูเหตุแห่งทุกข์นั้น น่าจะมาจาก พรหมวิหาร ๔ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คงพอทราบกันดีอยู่ ทีนี้มาดูลักษณะของคุณไอ้แป้น คุณไอ้แป้นเป็นคนที่เจริญเมตตาพรหมวิหารธรรม หรือ ความรักในเพื่อนมนุษย์ อยากให้เขามีความสุข เป็นปกติ

ดูจากการ์ตูนที่คุณไอ้แป้นวาด โดยเอาตัวเอง เป็นตัวเดินเรื่อง เอานิสัยเสีย ๆ ของตัวเองมาแฉ เขียนเป็นการ์ตูนตลกโปกฮา นั่นเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า คุณไอ้แป้นลงทุนเอาตัวเอง เป็นตัวตลก เพื่อต้องการเห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผ่านทางคอมเม้นท์ ของเพื่อน ๆ ชาว exteen และผู้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียน จากที่อื่น ๆ

ในเมตตาพรหมวิหารนั้น มีสิ่งหนึ่งแฝงมาอย่างแนบเนียน และเบาบาง จนแทบไม่รู้สึก และมองไม่ออก สิ่งนั้นคือ สักกายทิฏฐิ-ความรู้สึกว่าเป็นเรา เป็นของเรา อ่านแล้วอาจจะงงว่า อะไรคือความรู้สึกว่าเป็นเรา เป็นของเรา ถ้าเปลี่ยนคำแปลเป็น ความรู้สึกว่ามีตัวตน จะเข้าใจง่ายกว่าไหม สักกายทิฏฐินั้น แนบแน่นกับเรา เหมือนเงาตามตัว ไม่ว่า เราจะทำตัวเช่นไร มันก็ติดตามเราไปได้เสมอ

สักกายทิฏฐิของคุณไอ้แป้น จะแปลกกว่าชาวบ้านสักหน่อย ชาวบ้านเขาพยายามทำตัวเองให้ดูดี มีคุณค่า น่านับถือ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่ของคุณไอ้แป้นกลับตรงกันข้าม คือ ใครจะมองข้ายังไง ข้าไม่สนหรอก ขอให้เขาได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ก็พอใจ ตรงนั้นละ ที่สร้างตัวตนของคุณไอ้แป้นขึ้นมา กลายเป็นว่า ทุกคนรับรู้ตัวตนของคุณไอ้แป้นว่า เป็นคนวาดการ์ตูน เป็นตัวตลก เป็นคนมีอารมณ์ขัน ทุกคนสามารถนึกภาพของคุณไอ้แป้นขึ้นมาได้ว่า หน้าตาคงเป็นอย่างนั้น ๆ ผิวคล้ำเป็นนิโกร ขนจมูกยาว พอ ๆ กับ ขนจักกะแร้ กินเก่ง กระเพาะคราก และหัวเราะร่าได้ตลอดเวลา ทั้งที่ความจริงคุณไอ้แป้นเอง อาจนิยามตัวเองไปอีกอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่ตัวตลก ดาราตลก นักแสดงคาเฟ่ ชีวิตจริงไม่ได้เฮฮาเหมือนตอนอยู่บนเวที บนจอโทรทัศน์ หรือหน้า exteen บนจอคอมฯ

การที่คนอื่นมีภาพของคุณไอ้แป้น และคุณไอ้แป้นเอง ก็นิยามความเป็น"ไอ้แป้น" นั่นแหละ คือ สักกายทิฏฐิ อัตตา หรือ ตัวตน หรือ

การมีตัวตนบนโลกไซเบอร์ หรือที่ไหนก็ตามแต่ในโลกนี้ จักรวาลนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเรื่องธรรมด๊า...ธรรมดา ไม่ใช่เรื่องน่าทุกข์แต่อย่างใด สิ่งที่เป็นทุกข์ คือ ตัวอุปาทาน ต่างหาก แล้วอุปาทานคืออะไร?

523597_423090264383627_1297055798_n อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่น อย่างกรณีคุณไอ้แป้น ก็ยึดมั่นถือมั่น ในตัวตน บนโลกไซเบอร์ ยึดมั่นในเมตตาพรหมวิหารธรรมที่ตัวเองมี ทุกคนต้องมีความสุข เมื่อเข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อกของฉัน ทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างดี ตอบทุกคอมเม้นท์ เพราะฉันต้องการให้เขามีความสุข เอาละสิ นี่ข้าพเจ้ากำลังจะบอกว่า คนเราไม่ควรมีเมตตาพรหมวิหารธรรม หรืออย่างไร?

ความจริงแล้ว ถ้าไปศีกษาให้ดี พรหมวิหารธรรม มี ๔ ตัว ครับ และตัวที่สำคัญที่สุด หาในศาสนาอื่นไม่ค่อยเจอ คือ "อุเบกขาพรหมวิหารธรรม" ครับ ตัวอุเบกขา หรือ ปล่อยวาง วางเฉย นี่ละครับ ที่ทำให้เรามีความสุข และไม่ต้องมาคอยกังวลว่า การตอบเม้นท์ หรือ ไม่ตอบเม้นท์ เป็นการละกิเลสหรือเปล่า

ยกตัวอย่างกรณีคุณไอ้แป้น เธอเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรม อยากให้คนอื่นยิ้ม อยากให้คนอื่นหัวเราะ เธอก็ทำสำเร็จแล้ว ดูจากการมีเม้นท์เข้ามามากมาย จนตอบไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งตรงนี้ถ้ามองด้วยปัญญา ก็จะเห็นว่า ก็เราตอบไม่ไหวจริง ๆ นี่หว่า ไม่ได้แกล้ง เราก็อยากตอบทุกคนนั่นแหละ อยากดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด ตอบแทนที่เขาอุตส่าห์เข้ามาชมบล็อกของเรา แต่ในเมื่อมันเกินความสามารถ ก็ต้อง อุเบกขา หรือ ปล่อยวาง ครับ

ตรงนี้คุณตุ้มเป๊ะ ก็ได้เข้ามาตอบก่อนแล้ว ถึงอุเบกขาพรหมวิหารธรรม แต่ไม่ได้ใช้เทคนิคคอลเทอมอย่างที่ข้าพเจ้าทำ ด้วยการเม้นท์ว่า ของคุณแป้นคนมาเม้นท์เยอะ คนมาเม้นท์เค้าคงเข้าใจว่าเป็นไม่ได้ที่คุณแป้นจะไปตอบกลับทุำกๆคน ตรงนี้ถ้าน้อมใจเชื่อตาม หรือเห็นด้วยปัญญาว่า "เออ...จริงแฮะ" กิเลสโมหะ-ความหลง (หลงยึดนั่นยึดนี่) จะหายไป

ไหน ๆ ก็ว่าธรรมะมาเสียยาวขนาดนี้ ถ้ามีประโยชน์แค่เพียง  เป็นการละกิเลสหรือเปล่า ประโยชน์ก็คงจะน้อยเกินไป เรามาว่ากันต่อไปอีกสักนิด เกิดมันไม่ใช่การเม้นท์ล่ะ เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ สาหัสกว่านี้ เราจะทำอย่างไร จะละอุปาทานอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น กรณีคุณไอ้แป้น วันดีคืนดี ก็มีคนเข้ามาเม้นท์หยาบคาย เม้นท์เสีย ๆ หาย ๆ หรือมีคนอิจฉา ว่าได้ขึ้นฮ็อตโพสต์บ่อยเหลือเกิน มาเม้นท์แดกดัน เสียดสี ความทุกข์มันจะไม่ใช่แค่ความกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้แล้ว แต่เพิ่มระดับขึ้นไปจนเทียบกันไม่ได้

แต่ถ้าว่าถึงกลไกการเกิดทุกข์ มันก็คงเดิมครับ ไม่ว่า เรื่องราวจะหนักหนาสาหัส ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแค่ไหน กลไกการเกิดทุกข์ ก็จะคงเดิม นั่นคือ เกิดจากอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น ในตัวตนของเรา หรือ สักกายทิฏฐิ นั่นเอง ยึดมาก ก็ทุกข์มาก

มีหลากหลายวิธีในการมองครับ ขึ้นอยู่กับว่า มองแบบไหนแล้วถูกจริตเรา ลองแนะให้สักสองสามอย่าง

๑. มองเป็นไตรลักษณ์ ทุกอย่างในโลก ล้วนมีสามัญญลักษณะ ร่วมกันอยู่ ๓ ประการ นั่นคือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกขัง คือ เป็นทุกข์ หรือ ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก อนิจจัง คือ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง ไปตามเหตุ และปัจจัย อนัตตา คือ สุดท้าย ทุกสิ่งก็สลายตัวหมด น้อมเข้ามาหาคุณไอ้แป้น ก็คือ มองว่า ตัวตนบนโลกไซเบอร์ของ "ไอ้แป้น" มันทนอยู่สภาพเดิมได้ยาก มันเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน (บางวัน มุกอาจจะแป่่ก ภาพการ์ตูนอาจจะสวยขึ้น หรือแย่ลง) และสุดท้ายตัวตนของ "ไอ้แป้น" ก็อาจจะหายไป คือ เซิร์ฟเวอร์ล่ม น้ำท่วมกรุงเทพฯ คุณไอ้แป้นหมดไฟเขียนต่อ หรือ อะไรก็แล้วแต่ วันหนึ่งมันต้องเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดในโลกคงอยู่ถาวร ฉะนั้น ถ้ายอมรับในกฎของไตรลักษณ์ การที่มีคนเข้ามาเม้นท์ด่า ทั้งที่ไม่มีมูลความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องน่าทุกข์ร้อนอะไร เพราะความเห็นของคนไม่เที่ยง วันหนึ่งเขาอาจจะชอบการ์ตูนของเรา อีกวันเขาอาจจะเกลียด ก็ในเมื่อมันไม่เที่ยงสักอย่าง จะไปเอาอะไรกับมัน ความคิดที่เห็นว่ามันเที่ยงนั่นแหละ ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์ว่ามันจะต้องเรียกเสียงฮาได้ตลอดไป การมองเป็นไตรลักษณ์ ภาษาเป็นทางการ เรียกว่า ไตรลักษณญาณ

533389_325955294149782_898396795_n ๒. มองเป็นเรื่องธรรมดา พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธพจน์ว่า นินทา ปสังสา การนินทา เป็นเรื่องธรรมดาของโลก นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่เคยถูกนินทา ไม่มีในโลก คนเรามีปาก ก็พูดกันไป มีมือก็พิมพ์กันไป มีเน็ตก็เม้นท์กันไป ตามใจตัว เราต้องเห็นด้วยปัญญาว่า แม้เขาว่าเราเลว แต่เรารู้ว่า เราดี เราก็ไม่ได้เลวไปตามปากเขา และต่อให้เขาว่าเราดี แต่เรารู้ว่า เราเลว เราก็ไม่ได้ดีไปตามปากเขาเช่นกัน

๓. มองเทียบกับคนอื่นที่เป็นคนดีกว่าเรา แต่ถูกด่าว่า ได้รับผลเลวร้ายกว่าเรา อาจจะมองคนใกล้ตัว ใกล้บ้าน เพื่อนฝูง พี่น้อง ญาติ พ่อแม่ ใครก็ได้ ที่เขาทำความดีมากกว่าเรา แต่ผลที่ได้กลับเป็นตรงกันข้าม ในที่นี้ลองยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้า ก็แล้วกัน มีใครปฏิเสธบ้างว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ ดีอย่างชนิดหาใครเสมอเหมือนได้ยาก พระสมัยนี้ อยากให้ไปเทศน์ ต้องมีกัณฑ์เทศน์ ต้องมีซอง ต้องมีราชรถมาเกย ต้องมีโน่นมีนี่ พระพุทธเจ้ามีอะไรครับ เวลาจะไปเทศน์โปรดใคร ท่านต้องเดินไปเองนะครับ ทรัพย์สินกัณฑ์เทศน์อะไรก็ไม่เคยมี และไม่เคยเลือกว่า จะไปโปรดคนจน หรือ คนรวย บางทีถ้าต้องเลือกระหว่างเข้าไปฉันในวัง กับไปโปรดคนยากจน ที่มีโอกาสได้มรรคผล ท่านยังไม่เสด็จเข้าวัง แต่ไปโปรดคนยากจนแทนเลย พระองค์ดีขนาดนี้ กระนั้น ก็ยังมีคนนินทา ให้ร้าย พระพุทธเจ้า มีคนอิจฉา จ้างคนมาด่าจนพระอานนท์ทนไม่ไหว ชวนพระศาสดาหนีไปเมืองอื่น มีคนคิดจะปลงพระชนม์ มีคนทำร้ายจนห้อพระโลหิต เอ๊ะ...แล้วเราดีเท่าพระพุทธเจ้าหรือยัง พุทโธ่... ถ้ายังไม่ดีเท่าพระพุทธเจ้า ทำไมเสียงนินทาแค่นี้ทนไม่ได้

๔. มองว่ามันเป็นแค่ โลกธรรม โลกธรรม ๘ คือ ธรรมของโลก มีอยู่เฉพาะบนโลก เราจากโลกนี้ไปแล้ว เราก็ทิ้งมันไว้ในโลก เอาไปด้วยไม่ได้ นั่นคือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ๘ อย่างนี้ ท่านแนะว่า มันเข้ามา ก็อย่าไปยินดียินร้าย คนเรามักจะดี๊ด๊าเวลาได้รับสิ่งดี ๆ เช่น ได้ลาภ น้ำตก หรือ ส้มตำ, ได้ยศ, ได้รับการสรรเสริญ (ได้เม้นท์ตูมเลย), หรือ ได้สุข แต่พอสิ่งไม่ดี เช่น เสื่อมลาภ, เสื่อมยศ, นินทา, ทุกข์ เข้ามาก็ทำหน้าเหี่ยว คอตก หมดอาลัยตายอยาก ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าว่า ทั้ง ๘ อย่างนี้เสมอกันครับ ถ้าเรายังดี๊ด๊ากับความสุข ถึงเวลาความทุกข์เข้ามา เราก็จะเหี่ยวสิ้นราศี ครับ ท่านจึงแนะให้ว่า แม้เวลาสุขเข้ามา ก็เฉยเสีย คราวนี้พอทุกข์เข้ามา มันจะเฉยเองครับ ไม่ต้องไปพยายามเฉย เพราะเราเฉยกับสุขเสียแล้ว ทุกข์มันก็เฉยตามไปเอง

๕. มองเป็นมรณานุสสติ คิดว่า อีกไม่เกินร้อยปีข้างหน้า มีวิธีมองเป็นหมื่นเป็นแสนครับ อย่างลึกลงไป มองว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เขาด่า เขาด่าร่างกายของเรา แต่ความจริงเราเป็นจิต เขาด่าจิตเราไม่ได้ ก็มองได้ สุดแท้แต่ว่า เราจะชอบแบบไหน แบบไหนทำให้เราละความยึดมั่นถือมั่นได้

การมองไม่ใช่ว่า จู่ ๆ พอความทุกข์บุกเข้ามา ค่อยมาเริ่มหัดมองนะครับ ถึงตอนนั้นมันเกือบจะสายไปแล้วละครับ ความทุกข์มันทะลุทะลวงเข้าไปในใจ จนยากจะห้ามได้ คนเราพอความทุกข์เข้าครอบงำจิตใจแล้ว บางทีสติหลุด ปัญญาหายครับ มัวแต่ทุกข์โศกเศร้า ข้อปฏิบัติ ข้อแนะนำอะไรที่เคยรู้ ลืมหมดสิ้น นึกไม่ออก

ข้อแนะนำคือ ให้เจริญอยู่เนือง ๆ ครับ ถ้าจะมองเป็นไตรลักษณ์ ก็มองทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ให้หมด ไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง พ่อด่า ก็ไม่เที่ยง แม่ด่า ก็ไม่เที่ยง เจ้านายด่า ก็ไม่เที่ยง คอมฯเสีย ก็เพราะมันไม่เที่ยง ขนจักกะแร้ร่วง ก็เพราะมันไม่เที่ยง ผิวขาวขึ้น ไม่ดำเหมือนก่อน ก็เพราะมันไม่เที่ยง ขนจมูกพันกัน หรือขนจักกะแร้แตกปลาย ก็เพราะมันไม่เที่ยง ตดไม่ออก มันก็ไม่เที่ยง ไม่นานเดี๋ยวก็ตดออก แล้วทุกอย่างสุดท้าย ก็สลายตัวหมด อะไร ๆ ก็มองเป็นไตรลักษณ์เสียให้หมด ให้เกิดอารมณ์ชิน ทีนี้พอทุกข์ตัวจริงโผล่เข้ามา เราก็หัวเราะ เฮ้อะ...เฮ้อะ...เฮอ มาแล้วเรอะ เจ้าตัวทุกข์ ข้ารอเอ็งมานานแล้ว กว่าเอ็งจะโผล่ ข้าจัดการ "ปลดทุกข์" ล่วงหน้ากดชักโครกไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเช้านี้ เฮอ..เฮอ..เฮอ

ถ้าเรายังละอุปาทาน-การยึดมั่น ถือมั่นไม่ได้ พระพุทธองค์สอนให้เรายึดสิ่งที่เที่ยง ที่เป็นกุศลครับ จะสุขกว่าไปยึดสิ่งไม่เที่ยง หรือเป็นอกุศล แล้วอะไรเที่ยงบ้างหนอ ข้าวเที่ยงหรือเปล่า อุ๊ย...พูดถึง หิวขึ้นมาเลย ท่านว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยงครับ ให้เรายึดไว้เสมอว่า เราตายแน่ ๆ เขาตายแน่ ๆ แต่ยึด มันหนักแน่นเกินไป ท่านเลยให้ยึดเบา ๆ แล้วเรียกใหม่ว่า ระลึกถึงความตาย เนือง ๆ ซึ่งก็คือ มรณานุสสติ นั่นเอง อะไรหนอเที่ยงอีก ท่านว่า นิพพานเที่ยงครับ ถึงแล้ว ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เป็นอมตะครับ ยึดนิพพานไว้ เป็นหลักชัย อุ๊ย...ยึดมันกำแน่นเกินไป ท่านเลยให้กำหลวม ๆ แล้วเรียกใหม่ว่า ระลึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์แทน ซึ่งก็คือ อุปสมานุสสติ นั่นเอง

แล้วยึดอะไรอีกดี ถ้าสองรายการแรก ยึดไม่ไหว ท่านว่า ให้ยึด พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ให้มั่นครับ ท่านทั้งหลายนี่ทั้งเที่ยง ทั้งเป็นกุศล เลยครับ เรียกยึดมันไ่ม่เท่ เลยเรียกใหม่ว่า เป็นสรณะ หรือ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ อย่างไรล่ะครับ ข้อควรระวัง พระสมมุติสงฆ์ทั่วไป ที่ไม่ใช่ พระอริยสงฆ์ ยังไม่เที่ยงนะครับ (รวมถึงข้าพเจ้าด้วย) ยึดไปอาจจะเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเดิม ดู ๆ เลือก ๆ เสียหน่อยนะครับ

ว้า... ยึดไป ๕ อย่างแล้ว ไม่ประทับใจจอร์จเลย มีอะไรยึดได้อีกไหมล่ะ มีครับ ยึดศีลครับ ศีล ๕, ๘, ๑๐ หรือ ๒๒๗ ยึดไว้ได้เลย เป็นสุขแน่ ระลึกถึงศีลของตัวเองเป็นอารมณ์ เรียกว่า สีลานุสสติ ครับ

601205_418515564853406_850412286_n ยัง... ยังไม่กิ๊บเก๋พอ ชอบห้อยพระอะ ประเภทจตุกาม รามคำแหง จะพอยึดได้ไหมล่ะ ได้ครับ ยึดคุณของเทพ หรือ เทวดา เป็นอารมณ์ หรือที่เขาเรียกว่า เทวธรรม มี หิริ-ความละอายบาป โอตตัปปะ-ความเกรงกลัวต่อผลของบาป คุณธรรม ๒ ประการนี้ ทำให้คนเดินดินอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ เป็นเทวดาครับ ระลึกถึงท่านบ่้อย ๆ เรียก เทวตานุสสติ ครับ

หูยย์... งมงาย ไม่ชอบอะ เทวดง เทวดา เทพเทือก อะไร ไม่เอา มีอะไรให้ยึดอีกมะ มีครับ ยึดการให้ทาน เป็นอารมณ์ คิดว่า จะให้ทาน ๆ อยู่เนือง ๆ เรียกว่า จาคานุสสติ ครับ

โอ้ย...ไม่เอา จนจะตายอยู่แล้ว จะให้มาทำทานอีก มีอะไรให้ยึดง่าย ๆ แบบไม่เสียตังค์ไหมล่ะ มีครับ ยึดลมหายใจครับ หายใจเข้ารู้อยู่ว่า หายใจเข้า หายใจออก รู้อยู่ว่า หายใจออก เรียก อานาปานุสสติ ครับ

เอื๊อก...ยากจัง ไม่มีอะไรที่มันยึดง่าย ๆ กว่านี้แล้วหรือ มีอีกตัวหนึ่งครับ ยึดการพิจารณาร่างกาย เป็นอารมณ์ ดูอิริยาบถก็ได้ มี ๔ อย่าง นั่งอยู่ ก็รู้ว่า นั่งอยู่ ยืนอยู่ ก็รู้ว่า ยืนอยู่ เดินอยู่ ก็รู้ว่าเดินอยู่ นอนอยู่ ก็รู้ว่านอนอยู่  เรียกว่า กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน หรือดูว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น หรือดูเป็นสิ่งโสโครก สกปรก ปฏิกูล ไม่สวยไม่งาม ก็คือ อสุภะ หรือ แยกมันเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็คือ จตุธาตววัตถาน ทั้งหมดนี้เรียกว่า กายคตานุสสติ ครับ

เฮือก...เป็นลม (เพราะเจอถล่มด้วย อนุสสติ ๑๐)

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

Anger Management เพชฌฆาตฟาร์มโกด by Dhammasarokikku

529186_229788900454178_2130631323_n

สลบไปจากหน้าเอ็กซ์ทีนหลายวันเทียว... ฟื้นละ

โอ๊ะโอ่ ๆ ๆ หลังจากเล่าเรื่อง พัฒนาการในการเจริญสติ ของตัวข้าพเจ้าเอง โดยอาศัยการสังเกตอารมณ์โทสะ ขี้โมโห ช่างเจ้ากี้เจ้าการ ให้เป็นประโยชน์ไป ปรากฏว่า มีเสียงตอบรับกลับมาอย่างล้นหลาม ลามไปทุกอณูของเอ็นทรี่ ถึงอารมณ์โทสะที่ท่านทั้งหลายเป็นอยู่ เพราะใครก็รู้ว่า "โกรธ คือ โง่ โมโห คือ บ้า" แต่รู้สึกตัวอีกที ก็เผลอโง่ เผลอบ้าไปเรียบร้อยแล้ว

เอาละ... วันนี้มีเคล็ดขัดยอกทาถู ๆ มาแบ่งปันกัน ครับ

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ "เจ้าโลก" ตัวจริง เสียงจริง กันก่อน "เจ้าโลก" ในที่นี้ มิใช่เมียประธานาธิปดีสหรัฐฯ เจ้าโลกตัวจริงเสียงจริงยิ่งกว่าก็อดฟาเธอร์ หรือเจ้าพ่อไหน ๆ คือ "พระเดชพระคุณกิเลส" เครื่องเศร้าหมองของจิต นี่เอง พระคุณท่านช่างไร้เทียมทาน หาสิ่งใดต้านได้ยาก เมื่อไหร่ที่คิดจะเอาชนะพระคุณเจ้า จะถูกเฮียแกน็อค TKO กลับมาทุกครั้ง ครับ ฉะนั้นวิธีจะหลุดออกจากอำนาจ ของท่านเจ้าโลก จึงมิใช่เรื่องง่าย และต้องใช้วรยุทธ์ หมง จิน เป่า เรียกพี่ ที่ล้ำเลิศเท่านั้น

ท่านเจ้าสำนักพรรคกิเลสมารนี้ มีลูกสมุน หรือรากเหง้าอยู่ ๓ หน่อ ครับ ได้แก่ หวังเฉาเคล้าราคะ หรือ โลภะ (ความโลภ) หม่าฮั่นปั้นโทสะ (ความโกรธ) และพี่ใหญ่ท่านเปาเมาโมหะ (ความหลง) วันนี้จักเก็บหวังเฉา และท่านเปา ขึ้นหิ้งไว้ก่อน มาว่ากันถึงลูกสมุนของเจ้าโลกเพียงท่านเดียว ซึ่งก็คือ ท่านหม่าฮั่นปั้นโทสะ (ความโกรธ) ให้สมกับที่จั่วหัวมาเป็นชื่อหนัง

ท่านหม่าฮั่นนี่ ตำราว่าไว้ ละได้ยากที่สุด แต่เห็นได้ง่ายที่สุด

มีวิธีจัดการกับคุณหม่าฮั่นปั้นปึ่งนี่หลายประการเชียวแล จักสาธยายให้ได้หมดครบถ้วนกระบวนความ คงยาก และวิธีจัดการโดยทั่วไป ก็มีให้หาอ่านกันได้ง่ายอยู่แล้ว (ไม่เชื่อไปหาหนังเรื่องนี้มาดูจิ) ที่ต่างประเทศมีสถาบันสำหรับจัดการกับความโกรธโดยเฉพาะทีเดียว เอาง่าย ๆ วิธีจัดการกับความโกรธ แบ่งออกเป็น ๒ ขั้น ครับ ขั้นเบสิค ๑, ขั้นแอ๊ดว๊านซ์

ขั้นเบสิคนั้น มีวิธีจัดการหลากหลายมาก ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนมุมมอง มองโลกในแง่บวก หรือพอสสิทีฟธิงกิ้ง (Positive thinking) การใช้หลักคำสอนทางศาสนา การทำใจ การปลอบใจ การให้ข้อคิดตัวเอง การทำบุญ การสงเคราะห์ผู้อื่น การคิดถึงผู้ที่ด้อยกว่า อ่านหนังสือประเภทชีวิตจริง ชีวิตรันทดอะไรเทือกนั้น การระลึกถึงความไม่แน่นอนของชีวิต หรือที่ต้องอาศัยการฝึกฝนเพิ่มเติม เช่น การใช้สมาธิช่วย นั่งสมาธิ เดินจงกรม รวมทั้งหลายแหล่นี้ เรียกว่า "สมถกรรมฐาน" หรือ อุบายให้ใจสงบ ท่านปรมาจารย์พระพุทธโฆษาจารย์ จารแบ่งกรรมฐานไว้เป็น ๔๐ กอง ในคัมภีร์สะท้านบู๊ลิ้ม ชื่อว่า "วิสุทธิมรรค" 

บางคนคิดว่า การนั่งสมาธิ เดินจงกรม คือ การปฏิบัติธรรม ที่มีเฉพาะในศาสนาพุทธ และเป็นทางปฏิบัติที่ทำให้หลุดพ้น เป็นสิ่งที่ทำให้ศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่น เปล่าเลย ครับ ศาสนาพุทธมิได้กระจอกงอกง่อยแค่นั้น เรื่องการใช้สมาธิเข้าข่มกิเลส มีมาแต่สมัยไหนต่อไหนแล้ว ศาสนาพราหมณ์เกิดก่อนศาสนาพุทธเป็นพัน ๆ ปี เขาทำกันมาก่อนแล้ว ครับ ศาสนาอื่น ๆ ก็มีการสวดมนต์สรรเสริญ หรืออ้อนวอนพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ซึ่งก็คือการฝึกให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เท่ากับเป็นการฝึกสมาธิ หรือสมถกรรมฐาน เช่นกัน

สิ่งที่ทำให้ศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่น คือ "วิปัสสนา" ครับ เป็นการจัดการกับความโกรธขั้นแอ๊ดคาราบาว หรือที่เขาเรียกว่า "มาเหนือเมฆ" กำจัดกันชนิดไม่เหลือเชื้อ หมดเยื่อหมดใย ไสหัวไปไกล ๆ กันเลยทีเดียว คนเราสู้กับกิเลสขั้นเบสิค ก็เหมือนตำรวจแก่ไล่ตามจับผู้ร้ายหนุ่ม แม้ตำรวจแก่ จักมีกลยุทธ์ล่อหลอก ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ด้วยความที่ผ่านชั่วโมงบินในชีวิตมามากมายเพียงไรก็ตาม ด้วยความหนุ่มเฉลียวฉลาดของผู้ร้าย เขาจะเรียนรู้กลยุทธ์ทั้งหลายนั้นจากตำรวจแก่อย่างรวดเร็ว และพัฒนาให้เก่งกว่าตำรวจก้าวหนึ่งเสมอ และถ้าปะทะด้วยกำลัง ก็แน่นอน ครับ คนแก่จักไปสู้คนหนุ่มได้อย่างไร

306899_321629114588792_1335142151_n การทำสมถะ ให้เก่งกาจสามารถ เรียนครบจบกระบวนท่าทั้ง ๔๐ สุดยอดไม้ตาย ฝึกปรือจนสามารถเข้าอัปปนาสมาธิขั้นสุดยอด เนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือสมาบัติ ๘ ก็เป็นแค่การฟิตร่างกายคนแก่ ให้เทียบเท่าคนหนุ่ม ครั้นมาประมือกัน ก็ทำได้สูงสุดแค่เสมอกัน ครับ เผลอ หรืออ่อนกำลังลงเมื่อไหร่ เฮียโกด ก็เอาเฮียแก่ ไปกินเหมียนเดิม

การทำวิปัสสนา คือ การแอบซุ่มสังเกตดูผู้ร้าย ครับ ผู้ร้ายจะหนีไปไหน ออกแรงดิ้นรนเท่าไหร่ เก่งสักปานใด ถ้าตำรวจแก่เฝ้าสังเกต เฝ้าดู เฉย ๆ มิได้ไปออกแรงต่อสู้ สุดท้ายผู้ร้ายต่อให้หนุ่มฟิตเปรี๊ยะแค่ไหน จะหมดแรงหนีหมดแรงดิ้นไปเอง และผู้ที่ค้นพบวิธีง่ายอย่างมหัศจรรย์นี้ ก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ มีหลักฐานปรากฏแม้ในตำราเรียนสมัยเด็ก ๆ เสียด้วย ถ้าใครเคยอ่าน หรือเรียนพระพุทธประวัติ ในคืนสุดท้ายก่อนบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณนั้น มิได้ทรงบำเพ็ญกระไรเป็นพิเศษ นอกจาก "ตั้งกายตรงดำรงพระสติเฉพาะหน้าอยู่"

เป็นหลักฐานว่า พระองค์มิได้ไปทรงออกแรงชักกะเย่อกับกิเลสมาร พันห้าร้อยอย่าง การปฏิบัติธรรมทั้งหมดล้านแปดแสนโกฏิ รวมลงมาที่การเจริญสติ หรือ รู้อารมณ์ปัจจุบัน เพียงอย่างเดียว

ใครจะไปทราบ ครับว่า วิธีหลุดพ้นจากบ่วงมาร จักง่ายดายถึงเพียงนี้ แต่อดีตจนปัจจุบัน และต่อไปถึงในอนาคต คนเราที่แสวงหาโมกขธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น โดยธรรมชาติก็มักสรรสร้างกระไรให้ดูยาก ดูวิเศษ ดูเหนือมนุษย์ ดูแปลกประหลาดจากคนทั่วไป แล้วตู่ว่า นี่คือทางหลุดพ้น วิธีการที่คิดเอาเองเหล่านี้ ไม่พ้นอาการหย่อนเกิน หรือการเพลินไปในกาม หรือภาษาทางการเรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค ก็อาการตึงเกิน หรือทรมานตน เพ่งไว้ หรือภาษาทางการเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

การหลงไปทำสิ่งเหล่านี้ เป็นผลของ อวิชชา ครับ ก็มันไม่รู้หน่ะเซ้ เลยหลงไปทำ พระพุทธองค์ทรงสอนวิธีปฏิบัติไว้หมดแล้ว ครับ แต่คนที่บอกว่าตัวเองนับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่ กลับมิได้มีโอกาสศึกษาให้ชัดถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสอนไว้ ไปคิดเอาเองว่า น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็นำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนบางส่วน ซึ่งเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ ไปผสมปนเปกับสิ่งที่คิดเอาเอง แล้วก็ลงมือปฏิบัติแบบมั่ว ๆ ไป ปฏิบัติแบบนี้ อีกกี่ชาติ ก็ไม่เห็นผล

ด้วยความเหนือเมฆ ง่ายเหนือความคาดหมายของ "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง นี้เอง ทำให้เป็นเรื่องยาก ที่ใครคนหนึ่ง จักเข้าถึงหลักแก่นธรรมขั้นแอ๊ดว๊านซ์อะโกร เพราะมัวไปคิดเอาเองว่า "มันต้องยาก"  ดังนั้นเรื่องง่าย ๆ จึงกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาติดหมัดทีเดียว เพราะบอกว่า มันง่าย ก็ไม่เชื่อ ครับ หรือแม้เชื่อแล้ว แต่จิตมันก็ยังไม่เชื่อ เพราะจิตสั่งสมความเห็นผิดมาหลายแสนล้านศตวรรษ

แต่เอาละ แม้เราไม่สามารถจัดการ กับเฮียโกดได้อย่างเหนือชั้น ลำพังแค่ขั้นเบสิค ก็ช่วยให้ชีวิตมีสุขได้เหลือหลายแล้ว เพียงแต่ถ้าผู้ร้ายหนุ่มเปลี่ยนวิธีโจรกรรมไป ตาตำรวจแก่ต้องมาค้นคิดวิธีจัดการกับผู้ร้ายใหม่ โดยทั่วไป ผู้มีอาวุโสจึงมักจัดการกับความโกรธได้ดีกว่าคนหนุ่ม เพราะอะไรหน่ะหรือ? ก็เพราะคุณตำรวจแก่เจอวิธีโจรกรรมมาสารพัดแบบหน่ะซี เช่น คุณผู้ร้ายหนุ่มมาแกล้งทำให้เราอกหักรักคุด หากอกหักครั้งแรก ก็จะฟูมฟาย ร่ำไรรำพัน จะตายเสียให้ได้ คุณตำรวจแก่ ก็จะมีวิธีทำให้หายเศร้าหมอง ให้ทำใจได้ โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น อาจจะไปเจอเพื่อนที่อกหักรักคุดแล้วแถมชีวิตบัดซบอีกต่างหาก เห็นแล้วรู้สึกว่า ตัวเองยังโชคดีกว่าเขา คิดอย่างนี้แล้ว ทำใจได้ พออกหักครั้งต่อไป คิดถึงเพื่อนคนนี้ปั๊บ ความทุกข์ดับทันที เช่นนี้แล้ว จึงว่า ผู้สูงวัย จักมีแนวโน้มจัดการกับเฮียโกด ได้ดีกว่า ผู้อ่อนวัย เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะกว่านั่นเอง ถ้าใครแก่ลงแล้ว ขี้โกรธมากขึ้น แสดงว่า มีกระไรผิดปกติในชีวิตแล้วแล อาจเป็นนัยของการไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่รู้จักการวางอารมณ์ ไม่รู้จักการใช้ชีวิตอย่างฉลาด ให้มีความสุข

มาว่ากันขั้นเบสิคตามตำราก่อน ครับ

ตามตำราว่าไว้ โดยใช้วิทยายุทธ์กรรมฐานทั้ง ๔๐ กระบวนท่า เข้าถล่มเฮียโกดโดยตรงนั้น มีอยู่ ๒ กระบวนท่า ครับ

389220_313440588741073_883132329_n ๑. กระบวนท่าพรหมวิหาร ๔ ซึ่งก็คือ การเจริญเมตตา (ความรักในเพื่อนมนุษย์อยากให้เขามีความสุข) กรุณา (ควาสงสารอยากให้เขาพ้นจากทุกข์) มุทิตา (การพลอยยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นสุข) และอุเบกขา (การปล่อยวาง เมื่อเห็นผู้อื่นประสบทุกข์จากกฏแห่งกรรม) กระบวนท่านี้เบสิคสุด ๆ ครับ ก็คือ การคิดในแง่กุศลทั้งหลายแหล่แสนล้านแบบนั่นแล จัดเข้ากระบวนท่านี้ทั้งสิ้น เช่น เขาทำกระไรให้เราไม่พอใจ ก็คิดเสียว่า เราก็อาจเคยทำนิสัยแย่ ๆ อย่างนี้กับคนอื่นมาเหมือนกัน แม้มิได้ทำในชาตินี้ ก็อาจเคยทำในอดีตชาติ เป็นต้น มีวิธีคิดอีกมหาศาล ครับ ที่จะทำให้เราสามารถต่อกรกับความโกรธได้ เคยแซมเปิ้ลไว้ใน  สังเกตนะครับ กระบวนท่านี้ หากสิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจ เปลี่ยนไป เราก็ต้องไปหาวิธีคิดใหม่ เพื่อมา "ทำใจ" ใหม่ และวิธีคิดทั้งหลายนี้ ต่อให้แยบคายเพียงไร ก็ยังไม่พ้นไปจากสมถกรรมฐาน ครับ เพราะิวิปัสสนา เริ่มเมื่อหยุดคิด จำไว้ให้ดีนะครับ สมถะ ทำได้แค่เพียงระงับความโกรธไว้ชั่วคราวเท่านั้น เผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จเขาอีก

๒. กระบวนท่าวรรณกสิณ ซึ่งก็คือ การเพ่งกสิณสี มี ๔ สี เขียว แดง เหลือง ขาว ตำราท่านมิได้อธิบายไว้ว่า ทำไมการเจริญกสิณสี จึงสามารถเบรคเฮียหม่าฮั่นปั้นโกดได้ แต่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกเรื่องลูกนายช่างทอง เป็นคนขี้โมโห พระพุทธเจ้าเนรมิตดอกบัวสีแดงให้เอาไปเพ่ง เพ่งไปเพ่งมาก็บรรลุธรรมได้ ส่วนบรรลุธรรมอย่างไรนั้่น เกินวิสัยที่ข้าพเ้จ้าจักอธิบายได้ ขอผ่านไป เป็นว่า ใครเอาไปทดลองทำแล้วได้ผลอย่างไร เอามาแบ่งปันบ้างก็แล้วกัน

ส่วนอีก ๓๕ กระบวนท่าที่เหลือ ถ้าเจริญไว้ ก็ระงับความโกรธได้เช่นกัน แต่มิใช่คู่ปรับโดยตรง เช่น โกรธคนข้างบ้าน แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสสติ พอคิดถึงแล้ว อารมณ์ก็เย็นลง อย่างนี้ท่านว่า ท่องสูตรคูณ ก็ให้ผลเหมือนกัน ครับ คือเหมือนกับว่า เอาอย่างอื่นมาข่มความโกรธไว้ หรือ หันเหความสนใจไปไว้กับอย่างอื่น สักพักก็หายโกรธไปเอง หรือเรียกว่า หมดเหตุความโกรธก็ดับไปเอง

หมายเหตุ : สมถกรรมฐานนี้ ท่านว่า ไม่ควรประมาท ครับ ทิ้งไม่ได้เหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้จิตมีกำลัง ฟังข้าพเจ้าพรรณาถึงความเยี่ยมยอดของวิปัสสนาแล้ว อย่าไปเผลอคิดว่า งั้นจะเจริญวิปัสสนาถ่ายเดียว สมถะไม่ต้องทำ อย่างนี้ก็พังกันไปหลายรายแล้วเหมือนกัน สมถกรรมฐาน กับวิปัสสนากรรมฐาน สำคัญทั้งคู่ ครับ ต้องเจริญไปด้วยกัน ที่เอามาเขียนนี้ เพื่อชี้แจงให้ทราบถึงปลายทางของการปฏิบัติธรรม เป้าหมายมิใช่เอาแค่ความสงบ และอย่าไปติดกับความสงบ

การเจริญสมถกรรมฐานไว้ ก็เหมือนอย่างที่ยกตัวอย่างไปแล้ว คือ ฟิตร่างกายตำรวจแก่ไว้ สมมุติว่า สะสมกำลังไว้มาก ตำรวจแก่พอจะยันผู้ร้ายหนุ่มไว้ได้ สู้กันจนผู้ร้ายหนุ่มอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเต็มที ตำรวจแก่ก็งัดไม้ตาย คือ วิปัสสนาขึ้นมาใช้ สะกิดนิดเดียว ผู้ร้ายหนุ่มก็ซี้แหง๋แก๋

หรือนักเจริญสติทั้งหลาย ศึกษามาจนรู้ว่า การเจริญวิปัสสนากรรมฐานเพียงถ่ายเดียว ก็บรรลุธรรมได้ แต่พอเจอกิเลสเข้าจริง จิตไม่มีกำลังพอจะตามดูได้ ก็เหมือนรู้วิธีจับโจร แต่ไม่มีกำลังพอจะจับโจร ก็ไหลเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปกับโลกตามเดิม การที่ข้าพเจ้ายกการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าขึ้นอ้าง อย่าลืมว่า พระองค์ทรงเจริญสมถกรรมฐานมาจนถึงที่สุดแล้ว ได้สมาบัติ ๘ มาก่อนแล้ว ครั้นมาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงสามารถตรัสรู้ภายในเวลาแค่คืนเดียว หลังเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา

ส่วนกระบวนท่าสุดท้าย ง่าย ๆ แต่ล้ำลึก คือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน อันจักพาไปสู่การพ้นจากอำนาจของเฮียโกดตลอดกาล ซึ่งขั้นตอน ค่อนข้างยาว ขั้นแรกให้เจริญสติก่อน ครับ วิธีเจริญสติ ก็พล่ามไปนิโหน่ยแล้ว

ง่ายที่สุดสำหรับข้าพเจ้า และอาจจะของอีกหลาย ๆ ท่าน ก็คือ หาอารมณ์อะไรที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในแต่ละวัน แล้วดูมันแค่คู่เดียว เช่น โกรธ กับไม่โกรธ โลภ กับไม่โลภ เผลอ กับไม่เผลอ แล้วอย่าลืมเคล็ดลับสำคัญ ให้รู้เล่น ๆ อย่าไปดูจริงจัง จึงจักได้ผลรวดเร็ว ครับ พอสติเกิดเร็วขึ้น เฮียโกดก็จะบางตามไปด้วย ครับ เพราะยังไม่ทันพัฒนาไปถึงโกด ๆ ๆ โคดโกด แค่ขัดใจเล็ก ๆ ก็รู้ทันเสียแล้ว ทำหนักเข้าจนสติว่องไวถึงขีดสุด พิจารณาจนเห็นไตรลักษณ์ของเฮียโกด สุดท้ายเฮียโกดก็ไม่มีโอกาสได้เกรี้ยวกราดเท่านั้นเอง

เท่านี้ ท่านหม่าฮั่นปั้นโทสะ ก็ตกงาน อดปั้นกิเลสให้เราชมไปชั่วกาลนาน

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

ดู ๆ กันไปก่อนby Dhammasarokikku

phoca_thumb_m_IMG_9291           532685_191416077653658_1406276123_n

บทสรุปจากชีวิตที่ผ่านมา สอนให้ "ดู ๆ ไปก่อน" ครับ เรื่องใดก็ตามที่เรายังไม่รู้จริง ครูบาอาจารย์แนะให้ "ดู ๆ ไปก่อน" หรือ "ฟังหูไว้หู" อย่าเพิ่งเชื่อ และอย่าเพิ่งไม่เชื่อ (ต้องเน้นครับ เพราะบางทีคนเอาแต่ไม่เชื่ออย่างไร้เหตุผล แล้วก็มาอ้างกาลามสูตร) อย่าเพิ่งรีบตัดสิน พิสูจน์ด้วยตัวท่านเองก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่า จักเชื่อ หรือไม่

สมัยเป็นฆราวาส ก็รู้สึกไม่ชอบวัตถุมงคลทั้งหลาย ไม่แม้จักเฉียดกรายเข้าไปใกล้ ไม่สนใจเอาเสียเลย รู้แต่เพียงวงนอกว่า เขาเอา "รูปแทนพระพุทธเจ้า" มาซื้อขายกัน

ต่อได้บวชแล้ว เผอิญคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากมิจฉาทิฏฐิ เป็นของท่านที่มีวัตถุมงคลให้บูชาในวัดเสียด้วย ความที่เชื่อว่า ท่า่นคงต้องมีเหตุผลของท่าน และเหตุผลนั้นคงไม่ไร้สาระแน่ ก็ตามเข้าไปศึกษาครับว่า ท่านสร้างวัตถุมงคลทำไม? ให้พระธรรมอันเป็นแก่นของศาสนามิดีกว่าหรือ? ทำให้คนไปหลงติดในวัตถุทำไม?

ศึกษาเข้าไปก็พบความน่าอัศจรรย์ ความอัจฉริยะ และความเมตตาของครูบาอาจารย์ครับ

ท่านซ่อนความอัจฉริยะไว้ในวัตถุมงคลอย่างแนบเนียน จนผู้ที่ไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ ก็อาจเข้าใจเป็นอื่น

เรามาดูข้อมูลทางสถิติกันก่อน ถ้าผู้อ่านได้ศึกษาคำสอนของพระบรมศาสดามาบ้าง จักพบว่า สุดเลิศในปฐพีไม่มีใดเกิน "สติปัฏฐาน ๔" เป็น"ทางเดียว"ที่จะทำให้เหล่าสัตว์บริสุทธิ์ได้ ล่วงพ้นความโศกและความรำพันคร่ำครวญได้ ดับทุกข์และโทมนัสได้ แต่ในชาวพุทธกว่า ๕๐ ล้านคน มีคนเข้าถึงพระสูตรนี้สักกี่คน คำสอนในนิกายซึ่งถือกันว่าเลิศที่สุดนิกายหนึ่งในประเทศไทย เน้นไปที่พระสูตรนี้เป็นหลักปฏิบัติ ข้อปฏิบัติอื่นใดที่ขัดแย้งให้อย่าไปใส่ใจ หนักเข้าก็ว่าข้อปฏิบัติอื่นไม่ใช่ศาสนาพุทธ หนักสุดก็ว่า ศาสนาพุทธมีแต่ "แก่น" คือพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น (บางท่านปฏิเสธคำสอนของพระอริยสงฆ์ ให้ศึกษาเฉพาะพระพุทธพจน์ หรือพระวจนะจากพระโอษฐ์เท่านั้น ซึ่งความจริงพระไตรรัตน์ประกอบด้วย ๓ ครับมิใช่เพียง ๑ บางท่านสอนให้ศึกษาจากครูบาอาจารย์ก่อน แล้วย้อนไปศึกษาพระพุทธพจน์ว่า พระองค์ตรัสไว้อย่างไรแน่ ตรงกับที่เราเข้าใจหรือเปล่า อันนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วยครับ)

บางคนว่า ต้นไม้จักเติบใหญ่ได้ ก็ต้องบริบูรณ์ด้วยราก แก่น กระพี้ เปลือก กิ่ง ใบ จักมีแต่เพียงแก่น ต้นไม้ก็โตไม่ได้ พระศาสนาก็เช่นกัน เชื่อหรือไม่ อย่างไร ไปพิจารณาเอาครับ

ประมาณเอาแบบเว่อร์ ๆ เลย ให้มีคนเข้าถึงพระสูตรนี้สักครึ่งหนึ่ง ๒๕ ล้านคนเคยได้อ่าน ใน ๒๕ ล้านคนนั้นมีคนเข้าใจหลักปฏิบัติสักกี่คน ข้าพเจ้าประมาณว่าคงไม่เกิน ๑๐ ล้านคน ใน ๑๐ ล้านคนนั้นเป็นพระภิกษุสามเณรไปเสียกว่า ๓ แสน และในจำนวนทั้งหมดนี้มีผู้ที่เพียรปฏิบัติคงเส้นคงวาจนสำเร็จเป็นพระอริยเจ้าคงไม่เกิน ๑ ล้านคน

แล้วอีก ๔๙ ล้านคนที่เหลือหล่ะ? ปล่อยเขาไปตามยถากรรมหรือ? ๒๕ ล้านคนที่ไม่เคยแม้จักอ่านพระสูตรนี้ เราควรลอยแพเขาไปตามบุญตามกรรมงั้นหรือ?

เรามาลองขยายโลกทัศน์ คิดเลียนแบบครูบาอาจารย์ดูบ้างเป็นไร?

เอาละ ครูบาอาจารย์ฝั่งหนึ่งเห็นว่า นักปฏิบัติไม่ควรไปติดกับอะไรรก ๆ ในพระศาสนาให้มากความ ควรลุยเข้าไปที่สติปัฏฐานโดยตรง อย่างอื่นให้กองไ้ว้หน้าวัด อย่าเอาเข้ามาในวัด ข้าพเจ้าว่า ก็เหมาะกับคนจริตหนึ่ง ซึ่งปัญญาเข้าขั้นแล้ว สามารถเข้าใจสิ่งที่พระศาสดาสอนได้ไม่ยาก แต่คนเหล่านี้มีปริมาณเพียงน้อยนิดในสังคมครับ

522319_410605478964189_895650601_n เรื่องนี้มีมาแต่สมัยพุทธกาลแล้ว อุปติสสปริพาชกไปเรียนอยู่สำนักของสัญชัยปริพาชก ภายหลังได้พบพระพุทธเจ้า บรรลุธรรม ได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา มีนามว่า "พระสารีบุตร" พอได้ธรรมจักษุก็คิดถึงครูบาอาจารย์เก่า คือ อ.สัญชัย เลยหวนกลับไปเซ้าซี้คะยั้นคะยอให้อาจารย์เก่าไปฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาค สัญชัยปริพาชกเบี่ยงบ่ายอยู่หลายเพลา สุดท้ายถามกลับพระสารีบุตรว่า ในโลกนี้คนโง่ กับคนฉลาด อย่างไหนมีมากกว่ากัน พระสารีบุตรตอบว่า คนโง่มีมากกว่า ตาสัญชัยเลยสรุปว่า คนฉลาดให้ไปหาพระสมณโคดม ส่วนคนโง่ให้มาหาเรา (ลาภสักการะจักได้เกิดแก่เรามาก ๆ 5555+) พระสารีบุตรเลยจุก พูดกระไรไม่ออก กลับสำนักไป

สมัยปัจจุบันปัญญาคนเสื่อมทรามไปกว่าสมัยพุทธกาลตั้งมากมาย ผู้มีปัญญาที่เข้าวัดด้วยหวังปรารถนาทางพ้นทุกข์เลยน้อยยิ่งกว่าน้อย ส่วนใหญ่จักไม่เข้าวัดเลย ธรรมะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจไปด้วย

เช่นนี้แล้ว เราจักปล่อยเลยตามเลยให้เสื่อมไปตามยุคตามสมัยกระนั้นหรือ? ครูบาอาจารย์ฝั่งหนึ่งจึงใช้ลูกล่อลูกชนทุกวิถีเพื่อให้คนมีจิตใฝ่กุศล ละอกุศล อย่างน้อยที่สุด ให้เขาทั้งหลายพ้นอบายภูมิ ๔ ไว้ก่อน อัจฉริยภาพประการหนึ่งก็คือ การเอากิเลสฆ่ากิเลสนั่นเอง

แต่ยุคดึกดำบรรพ์คนเรามีแนวโน้มจักติดกับวัตถุที่เห็นด้วยตาเนื้อ มากกว่าติดกับพระธรรมคำสั่งสอนที่มองไม่เห็นอยู่แล้วครับ สมัยก่อนก็บูชาไฟ บูชาฟ้าฝน แกะสลักหินขึ้นมาเป็นเทพเจ้า แล้วก็กราบไหว้บูชา มีให้ดูเยอะแยะตั้งแต่สมัยอิยิปต์ หรือก่อนนั้น ครูบาอาจารย์ท่านก็เอานิสสัยเดิมของมนุษย์นี่แล มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้เขาบูชาสิ่งที่เป็นประโยชน์ บูชาเทพ บูชาแม่น้ำ บูชาป่าเขา ก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่น้อยกว่าบูชาพระพุทธเจ้ามาก (ที่บูชาพระพุทธเจ้ามีผลมาก ไม่ใช่เพราะพระองค์ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์เหนือธรรมชาติ แต่เป็นเพราะพระองค์เป็นผู้ค้นพบพระสัจจธรรม และนำมาเผยแผ่ให้แก่โลก ช่วยให้สัตวโลกพ้นจากกองทุกข์) ท่านก็เลยคิดสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา

ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าสมัยก่อนโด่งดังมากในหมู่ทหารตำรวจ เพราะวัตถุมงคลของท่านศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน มีเหตุอัศจรรย์ขึ้นมากมายเล่าขานกันไม่หวาดไม่ไหว ทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหามีจิตใฝ่กุศลเท่านั้น ซึ่งก็คือ สร้างวัตถุมงคลให้เข้มขลัง มีพุทธานุภาพด้านแคล้วคลาดจากอาวุธภัยอันตรายทั้งปวง เหล่าทหารหาญออกรบ เหล่าตำรวจออกผดุงกฏหมาย สู้กับมิจฉาชีพ จักได้ไม่มีอันตราย และถึงแม้สุดวิสัย หากท่านทั้งหลายมีจิตรำลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า (พุทธคุณในวัตถุมงคล)  ระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาคมให้ได้ในวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต (เช่น หลวงพ่อ.... ช่วยลูกด้วย) จิตที่ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ นี้ ถือเป็นจิตที่เป็นกุศลครับ ดังพระพุทธพจน์บทพระบาลีว่า จิตเต อสังกิลิฎเฐ สุคติ ปาฏิกังขา จิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้ ดังนี้ขึ้นข้างบนก่อนแน่นอนครับ

พระที่ท่านสร้างท่านไม่ได้ให้เปล่านะ ต้อง "ปลุกพระ" หรืออาราธนาพระเครื่องทุกวันตอนตื่นนอน (ซึ่งคาถาก็คือการกล่าวสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) ก่อนออกจากบ้าน และก่อนนอน ต้องรักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อ คือ ข้ออทินนาทานฯ กับข้อสุราฯ (เพราะคงเห็นว่า ศีล ๕ นั้นหนักเกินไปสำหรับลูกศิษย์ลูกหาของท่าน อย่างนี้ก็ถือเป็นกุศโลบายให้คนรักษาศีลใช่ไหม?) ซึ่งก็คือกุศโลบายให้มี "พระ" ติดตัวนั่นเอง

480796_194339934025521_1272939285_n ข้าพเจ้านั้นพอได้ทราบความเป็นมาของคอนเซ็ปท์การสร้างพระเครื่องเช่นนี้ ก็บ้าทำแจกเป็นการใหญ่ ทั้งไปซื้อหาบูชาที่วัด แล้วเอามาแจกแก่บุคคลสาธารณะทั่วไป ทั้งสร้างเองแจก สนุกสนานมาก แจกไประยะหนึ่ง จักด้วยความที่ทานด้านนี้เต็ม หรือศึกษามากขึ้น รู้มากขึ้นก็ไม่ทราบ ความสนุกสนานที่เคยได้แจกวัตถุมงคลเริ่มลดลง มีกรณีศึกษา คือมีเด็กคนหนึ่งได้รับรัดข้อมือจากข้าพเจ้า แล้วจากนั้นทุกวันเขาก็ไปคะยั้นคะยอแม่ของเขาให้พาเขาไปใส่บาตร พอไม่เจอข้าพเจ้า ก็บอกอยากจักใส่บาตรกับพระรูปนี้เท่านั้น แต่ครั้นพอได้ใส่บาตร แล้วไม่ได้รับของแจก ก็ผิดหวัง กุศลคือรัดข้อมือของข้าพเจ้าไปทำให้เด็กมีกำลังใจตื่นเช้าลุกขึ้นมาใส่บาตร อกุศลคือกลายเป็นเด็กเจาะจงใส่บาตรข้าพเจ้ารูปเดียว และกลายเป็นอยากได้ของแจก มากกว่าต้องการใส่บาตร ประมาณการณ์แล้ว อกุศลจักมากกว่ากุศลกระมัง ข้าพเจ้าเลยท้อถอยกำลังใจในการแจกทานด้านนี้

แต่บางทีก็มาหวนนึก ลำพังรัดข้อมือเส้นหนึ่ง ราคาประมาณ ๓ บาท หากเขาได้รับจากฆราวาสด้วยกัน จากครู หรือจากผู้ที่อาวุโสกว่าเขา เขาก็คงรู้สึกไม่เท่าไหร่ เทียบกับได้รับจากพระภิกษุ รัดข้อมือเส้นละ ๓ บาท ก็ดูมีคุณค่ามากขึ้น ไว้ให้เขาได้ระลึกถึงว่า เขาได้รับมันมาจากพระรูปหนึ่ง เป็นสังฆานุสสติ นี่ประโยชน์มันเกิดอย่างนี้ครับ ประโยชน์แห่งผ้าเหลือง เราสมควรใช้ให้เต็มที่ขณะอยู่ในเพศสมณะเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนหรือเปล่า?

การแจกวัตถุมงคลจึงเป็นดาบสองคม ขึ้นกับกำลังใจผู้ได้รับ หลัง ๆ ก็ไม่ได้ทำกระไรหวือหวามากมาย ทำให้พอมีแจกเป็นกำลังใจญาติโยมเท่านั้น ส่วนใหญ่พอใจให้ธรรมะมากกว่า เพราะทานที่เป็นธรรมะนั้นเป็นโทษยากกว่า

การให้ทานด้วยวัตถุมงคลนั้น มีด้านสว่าง ย่อมมีด้านมืด ด้านมืดของวัตถุมงคลก็คือ เขาเอาอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ที่ครูบาอาจารย์มีเจตนาสร้างขึ้นเพื่อให้คนระลึกถึงพระรัตนตรัย ไปซื้อไปขาย ทำกันเป็นกิจจลักษณะ มีแผงขายกันเป็นล่ำเป็นสัน มีหนังสือเขียนเชียร์พระรุ่นนั้นรุ่นนี้กันสนุกสนาน มีกระทั่งการเก็งกำไรราคาพระรุ่นนั้นรุ่นนี้ มีการตอกโค้ด (ถ้าสร้างเพื่อเป็นพุทธานุสสติ ทำไมต้องมีการตอกโค้ด) รวมถึงพวกไสยศาสตร์ที่ถูกกล่าวถึงในบทความนั้นด้วย บ้างก็ไปหลงใหลได้ปลื้มวัตถุมงคลกันแบบที่เรียกว่า เป็นสรณะที่พึ่งของชีวิตกันทีเดียว แทนที่จักเอาเวลาไปศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน กลับเอาเวลาไปขลุกค้นคว้าหาวิธีดูตำหนิพระรุ่นนั้นรุ่นนี้ เสียเงินเสียทองหามาสะสมงมงายไปกับอำนาจเหนือธรรมชาติก็มี

นี่ละครับ พระพุทธเจ้าถึงไม่ได้ตรัสถึงวิธีทำรูปแทนพระองค์ไว้ในพระไตรปิฎก เพราะเมื่อมีวัตถุใดใดแล้ว มีแสงตกกระทบ ก็ย่อมเกิดด้านสว่าง และด้านมืดเป็นของคู่กัน ส่วนพระสัทธรรมของพระสรรเพชรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่มีรูปร่างที่เป็นวัตถุจับต้องได้ จึงมีด้านสว่างเพียงถ่ายเดียว

มืดยิ่งกว่านั้น มีพระภิกษุจำนวนไม่น้อย ไปเลียนแบบปฏิปทาของครูบาอาจารย์มาแบบเอาแต่เปลือก ไม่ทราบหรอกว่า ท่านเหล่านั้นสร้างวัตถุมงคลด้วยเหตุผลกลใด รู้แต่สร้างแล้วหาเงินเข้าวัดได้เยอะ ก็เลยสร้างกันไม่รู้กี่แสนรุ่น แต่ละรุ่นก็อวดอ้างสรรพคุณอันแสนอัศจรรย์พันลึกกันอย่างโจ่งครึ่ม ทั้งที่บางทีอาจไม่มีกระไรในกอไผ่อย่างที่กล่าวอ้าง กลายพุทธพาณิชย์ที่ทำเงินกันปีละหลายแสนล้าน

ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา ก็มิได้จักโจมตี ให้ร้าย หรือสรรเสริญเยินยอผู้หนึ่งผู้ใด แค่อยากแจงให้เห็นโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น อย่ามองโลกแบบแคบ ๆ แค่มุมเดียว มุมมองของแต่ละท่านที่สร้างวัตถุมงคลทั้งหลาย ที่ดีก็มี ที่ผิดเพี้ยนไปบ้างก็มี ที่ผิดเพี้ยนไปไกลก็มี ที่ผิดตั้งแต่คนสร้างก็มี ที่มาผิดที่คนครอบครองสุดท้ายก็มี นานาจิตตังเหลือหลาย พิจารณาดูให้ถ้วนถี่ก่อนครับ แล้วค่อยตัดสินใจว่า ควรเชื่อ หรือไม่ควร ใช่พุทธ หรือไม่ใช่พุทธ ผิด หรือถูกอย่างไร

"ดู ๆ กันไปก่อน" ครับ

เจริญธรรม ฯ

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ชายผ้าเหลือง มันเกาะได้จริงหรือ?by Dhammasarokikku

DSCN2521

คงเคยได้ยินกันมาบ้างหล่ะซี สำนวน "เกาะชายผ้าเหลือง" เป็นสุดยอดปรารถนาของบรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ ทั้งหลาย (สมัยก่อน) ถ้ามีลูกเป็นผู้ชาย อยากให้ลูกได้บวชสักพรรษาหนึ่ง (ไม่รู้สมัยนี้ ยังมีค่านิยมอย่างนี้อยู่หรือเปล่า) เพราะเชื่อกันว่า จักสามารถช่วยให้พ่อแม่เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ได้

ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า จริงหรือเปล่า เพราะไม่มีทิพยจักษุ แต่ในคัมภีร์ใบลาน พระอุณณหิสสวิชัย มีระบุไว้ว่า ถ้าบวชญาติ ได้บุญ ๑๕ กัลป์ และในหนังสือของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ระบุไว้ว่า ถ้าลูกได้บวช พ่อแม่จักได้อานิสงส์วิเศษ ได้บุญอัตโนมัติโดยมิต้องโมทนา ไปเป็นเทวดานางฟ้า ๖๑ กัปกระมัง ถ้าจำไม่ผิด (บุญปกติทุกชนิดที่อุทิศให้ ไม่ได้ทำเอง ผู้รับต้องโมทนา ครับ ถึงจักได้รับ) แม้ในกรณีที่เด็กเกิดแล้ว จากพ่อแม่ทันที และไม่ได้พบกันชั่วชีวิตเลยก็ตาม

มันชวนให้นึกคิดค้นคว้าเล่น ๆ ตามประสาคนช่างฟุ้ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

๑. เห็นชัด ๆ เลย ไม่ต้องมีทิพยจักษุ ก็คือ หม่อมแม่หม่อมป๊าต้องแวะเวียนมาหาลูกชาย ครับ และเป็นธรรมดามาหาพระลูกชาย ก็คงต้องหนีบของกินมาฝากด้วย ... คุณลูกขา ของบิณฑบาตกินไม่อร่อยเลยใช่ไหมคะ? ... เสร็จเรา ได้บุญถวายภัตตาหารไปเรียบร้อยแล้วหนึ่งเด้ง (ตั้งใจทำสุดฝีมือ หรือหาของอร่อยสุดขีดเท่าที่จักหาได้มา อีกต่างหาก) หม่ำข้่าวเสร็จแล้ว ก็อาจมีสาธกเสวนาสารทุกข์สุกดิบกัน พระลูกชาย ก็ได้โอกาสให้ข้อคิดธรรมะอีก ได้บุญไปอีกหนึ่งเด้ง ทั้งที่เวลาปกติ พ่อแม่มักให้ความเชื่อถือลูก ๆ ต่ำมาก แม้ว่าลูกจักจบปริญญาเอกมาก็ตาม เพราะรู้สึกว่า อั๊วะเลี้่ยงเอ็งมากับมือ ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย อย่าได้ริอ่านมาสอนข้า อะไรเทือกนั้น

(บางทีก็นึกน้อยใจเหมือนกัน แล้วป๊าม๊าจะส่งเราเรียนสูง ๆ ทำไม ครับ จบมาพูดอะไรป๊าม๊าก็ไม่เชื่อสักอย่าง)

แต่สมมุติฐานข้อนี้ ก็ยังตอบโจทย์ไม่ได้ ครับว่า ทำไมพ่อแม่ที่ไม่เคยเจอหน้าลูกเลย ไม่เคยเลี้ยงดูลูกเลย ถึงได้รับอานิสงส์อัตโนมัติ ทานก็ไม่ได้ให้ ธรรมก็ไม่ได้ฟัง แล้วจักไปได้อานิสงส์ได้อย่างไร ตอนไหน ถ้ามีใครส่งข่าวมาว่า ลูกชายบวช แล้วป๊าม๊ายกมือสาธุ อย่างนี้ก็ว่าไปอย่าง เราไปดูสมมุติฐานข้อต่อไป ครับ

๒. คิดอยู่นานมาก ครับ มันต้องไม่ใช่อานิสงส์ในชาติปัจจุบันแน่ ๆ แต่เป็นชาติถัดไป เคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง มียายแก่แกทำบาปเยอะแยะมากมาย พอตายลงแกก็ไปจอดอยู่ที่สำนักพระยายมราช (สำนักนี้เขากันคนตกนรก ครับ) พระยายมราชก็ถามว่า เคยทำความดีกระไรมาบ้าง ไล่ไปตั้งแต่ความดีขั้นเบเบ๋ เคยไหว้พ่อแม่ไหม เคยให้ทานไหม ไล่ไปเรื่อย ๆ แกนึกไม่ออกสักอย่าง (คือถ้าคนเราถ้าทำกรรมชั่วมามาก ๆ กรรมชั่วมันจักปิดหมด ครับ ทำให้นึกถึงความดีไม่ออก) พระยายมราชก็ให้นายนิรยบาลส่งตัวไปนรก

จัังหวะจักลงนรกนั่นเอง แกเห็นเปลวไฟนรก สีเหมือนจีวร ก็เลยนึกขึ้นมาได้ ครับว่า เคยบวชหลาน แล้วแกก็ไปจุติบนสวรรค์ทันที

เรื่องนี้ก็น่าจักมีเค้าเป็นความจริง ครับ เพราะการไปนรก ไปสวรรค์ เขาก็ไปกันแบบนี้จริง ๆ นึกถึงความดีให้ออกแค่อย่างเดียว ก็ไปเสวยผลของความดีก่อน อันนี้กระมังที่เป็นอานิสงส์แห่งการได้บวชลูกชาย

แต่ก็อีกนั่นแหละ สมมุติฐานข้อนี้ ก็ยังตอบโจทย์ไม่ได้อยู่ดีว่า ทำไมพ่อแม่ที่ไม่เคยเจอลูกเลย ถึงได้อานิสงส์โดยไม่ต้องโมทนา คิดต่อไป ครับ

๓. คิดต่อไปจากข้อที่แล้ว ครับ คนเราพอตายแล้ว ถ้าไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า จักมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ครับ คือ "ทิพพเนตร" รู้ความเป็นทิพย์ได้ตามความเป็นจริง สมัยเป็นมนุษย์นี่ พวกทิพยจักษุ ต้องฝึกนะ ครับ  แถมไม่แม่นยำเหมือนของพวกเทวดานางฟ้าด้วย คงเป็นเพราะขันธ์ห้ามันมีอุปาทานมาก (ความยึดมั่นถือมั่น) ไม่ใช่จู่ ๆ จักมีทิพยจักษุขึ้นมาได้เอง แต่ของเทวดานางฟ้านี่ เป็นปุ๊บ มีขึ้นมาเองเลย

ตรง "ทิพพเนตร" นี่ละ ครับ ที่ข้าพเจ้าคิดว่า เป็นคำตอบ คือพอพ่อแม่ตายปุ๊บ เป็นธรรมดาที่ต้องไปหาคนรู้จักก่อน พอกำหนดจิตก็จักรู้เลยว่า เรามีลูก หรือญาติอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วตอนนี้ลูกเรากำลังทำกระไรอยู่ อ๋อ... บวชอยู่เรอะ งั้นเราไปฟังธรรมที่ท่านแสดงกันดีกว่า น่าน... ได้บุญกันตรงนั้น

คิดต่อไปอีก ครับ สมมุติว่า พ่อแม่สมัยเป็นมนุษย์ เป็นอาม่า อาซิ้ม อาแปะ ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธเลย พอเขาได้ "ทิพพเนตร" มา แค่กำหนดจิตดูก็รู้อะไรเป็นอะไร ครับ นี่ลูกเราหลานเราไปทำอะไรอยู่ ศาสนาพุทธมีอะไรดี รู้หมด ครับ แต่ถ้าไม่มีลูกหลานบวชเลย ความสนใจในศาสนาพุทธก็ไม่มี เขาก็ไม่กำหนดจิตดู ครับ ก็เพลิดเพลินเสวยสุขผลของกรรมดีไป หมดผลของกรรมดีแล้ว ก็ร่วงแป้กลงมา โชคดีก็ได้กลับเป็นมนุษย์ แต่ส่วนใหญ่จักร่วงลงอบาย ครับ

ยิ่งไปกว่านั้น ครับ สมมุติว่า พ่อแม่เป็นเดียร์ถีย์ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ตอนมีชีวิตอยู่ แนะกระไรก็ไม่ฟัง ยึดเอาแต่ความเชื่อดั้งเดิม พอตายลงแล้ว ได้ความสามารถของ "ทิพพเนตร" มา กำหนดจิตดู ก็จักรู้อะไรเป็นอะไรทันที ครับ แต่ถ้าเขาไม่มีลูก ไม่มีญาติบวชเลย เขาก็จักมิได้สนใจศาสนาพุทธ ครับ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ก็ไม่ได้สนใจ (บนสวรรค์เขาก็มีการแสดงธรรมกันทุกวันพระ ครับ ที่ธรรมสภา เทวดานางฟ้าที่มีความประมาท ก็จักมิได้ใส่ใจ เที่ยวเพลินไปกับความสุขที่ได้รับในเทวโลก)

ทิพพเนตรนี้ มิใช่ว่า พอได้มาแล้ว จักรู้ไปทุก ๆ เรื่องโดยทันทีนะ ครับ รู้ทุกเรื่องอย่างนั้นเขาเรียก สัพพัญญุตญาณ เป็นของพระพุทธเจ้า ครับ ทิพพเนตรนี้ ต้องกำหนดจิตดู ครับ อย่างในพระไตรปิฎก เรื่องสุปตฏฐิตเทพบุตร อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาช้านาน ตัวเองจักหมดอายุจุติใน ๗ วัน ก็มิได้ทราบ จนเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ชื่ออากาสานัญจายตนะเทพบุตร ผ่านมาสังเกตเห็นอาการของเทวดาจักหมดอายุ (บุพพนิมิต) มีเหงื่อจากรักแร้ วิมานเศร้าหมอง ดอกไม้ทิพย์เหี่ยว เป็นต้น เลยเตือนเทพบุตรองค์นั้นว่า จักจุติ (ตาย) ใน ๗ วันแล้ว อย่าพึงประมาท

สุปตฏฐิตเทพบุตร ได้รับคำเตือนนั้นแล้ว จึงกำหนดจิตดู พบว่า หลังจากตัวเองจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว จักต้องไปเสวยทุกข์ทรมานในนรกถึงแสนหมื่นปี พ้นนรกแล้วยังต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๗ จำพวก อีกพวกละ ๕๐๐ ชาติ เกิดความประหวั่นพรั่นพรึง ขอให้อากาสานัญจายตนะเทพบุตรช่วย

อากาสาฯเทพบุตรไม่รู้จักช่วยอย่างไร ก็พาไปพบพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก พระอินทร์ก็บอกช่วยไม่ได้ ต้องไปทูลขอให้ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงช่วยเท่านั้น

ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระทศพลแล้ว พระองค์จึงตรัส อุณณหิสสวิชัยคาถา นี้จบแล้ว สุปตฏฐิตเทพบุตรบรรลุโสดาปัตติผล เลยไม่ต้องตกอบายภูมิอีก (ความเป็นพระโสดาบันปิดอบาย ไม่ตกนรกอีก) ยังอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จนถึงทุกวันนี้ (อ้อ... คาถาบทนี้เขาเลยเชื่อกันว่า เอาไว้ต่ออายุเทวดา ครับ ชอบเอาไว้สวดกันตอนทำบุญต่ออายุ)

ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็จักชี้ให้เห็นถึงความสามารถของ "ทิพพเนตร" ว่า มิใช่จักรู้เองไปเสียทุกเรื่อง ต้องอาศัยการกำหนดจิต ครับ ถึงจักสามารถรู้ได้

๔. อานิสงส์แห่งการสืบพระศาสนาของพระลูกชาย ข้อนี้เพิ่งคิดได้สด ๆ ร้อน ๆ ขณะพิมพ์เอ็นทรี่นี้อยู่เลย ครับ (ข้ออื่นคิดไว้มานานแล้ว) ก็คือ พระศาสนาจักคงอยู่ได้ ต้องอาศัยพุทธบริษัท ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใช่หรือไม่ ตอนนี้ภิกษุณีมิได้มีแล้ว ก็มีเหลือเพียง ๓ บริษัท พระภิกษุจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทะนุบำรุงพระศาสนา (ปัจจุบันอุบาสก อุบาสิกา ก็มีบทบาทไม่น้อย เพราะสถาบันสงฆ์อ่อนแอไปมาก) การที่พ่อแม่อนุญาตให้ลูกชายไปบวชได้ ต้องใช้กำลังใจสูงมาก ๆ ทีเดียว ครับ และอานิสงส์ของการทะนุบำรุงสืบทอดพระศาสนา ไม่มีประมาณ ครับ (ก็คิดดูละกัน ครับว่า ถ้าพระศาสนามีอายุยืนออกไป ๑ ปี จักมีคนพ้นทุกข์เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ พอจักจินตนาการความยิ่งใหญ่ของบุญที่ได้สืบทอดพระศาสนาออกไหม ครับ) คิดว่า ก็คงได้บุญหนักกันตรงนี้ด้วย

เอาละ ครับ ก็สรุปว่า ชายผ้าเหลือง ก็คงอาจจักสามารถให้ผู้เป็นพ่อเป็นแม่เกาะขึ้นสวรรค์ได้แนว ๆ นี้ละ ครับ  และนี่ก็คงจักเป็นการทดแทนคุณพ่อแม่ที่ประเสริฐที่สุด อย่างที่เขาว่ากันจริง ๆ อย่าเพิ่งเชื่อ ครับ มาจากความฟุ้ง (แบบมีตำราอ้างอิง) ล้วน ๆ

ว่าแต่ ไม่สนใจบวชทดแทนคุณพ่อแม่กันมั่งเหรอ?

ความฟุ้งประจำวัน ก็เอวังด้วยประการฉะนี้ ฯ

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Episode IV - สั่งสมประสบการณ์ (ตอน ๐)Dhammasarokikku

181813_4024516568717_2107841639_n

Abstract (บทคัดย่อ)

อาตมาไม่ใช่พระวิเศษวิโสอะไร ไม่มีคุณงามความดีอะไร ให้น่าสรรเสริญ บางคนคิดว่า เป็นพระแล้วต้อง มีฌาน มีญาณ มีคุณธรรมวิเศษ จึงจะน่านับถือ น่าตื่นตาตื่นใจ อย่างหนังสือธรรมะหลายเล่ม ที่อาตมาได้อ่าน พระบางรูป บวชเพียงพรรษาเดียว หรือ ๓ เดือน กลับได้อะไรมากมาย ฆราวาสบางคน ปฏิบัติธรรมแค่ ๗ เดือน ก็บรรลุธรรม ส่วนอาตมา ตั้งใจปฏิบัติมาปีเศษแล้ว ก็ยังไม่บรรลุคุณธรรมวิเศษใด ๆ ยังคงเป็นพระปุถุชน คนหนาแน่น ไปด้วยกิเลส หรืออาจเป็นผู้ที่ ยังประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ จึงหาความเจริญในธรรม ไม่ใคร่ได้ ต้องอาศัยการปฏิบัติ ขัดเกลาจิตใจให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป บันทึกนี้เป็นบันทึก ของผู้ที่บวชมาอย่างธรรมดา ๆ เป็นคนธรรมดาอย่างที่สุด กรรมฐานก็ ไม่เป็นโล้เป็นพาย อย่างมโนมยิทธินี่ ฆราวาสเขาฝึกกันแป๊บเดียว ครั้งเดียวได้มโนมยิทธิ แบบเต็มกำลัง ส่วนอาตมานั้น แม้ฝึกมาเป็นสิบ ๆ ครั้ง เพียงครึ่งกำลังก็ยังไม่ได้ นั่งสมาธิสัก ๒๐ นาทีก็เหลว เอาแค่ อุปจารสมาธิ ก็ยังบ๊อท่า ปีติ สักตัวเดียวก็ไม่เคยเกิด

(ระดับความสงบของสมาธิ แบ่งเป็น ขณิกสมาธิ ๑=สมาธิขั้นต้น สมาธิประเดี๋ยวประด๋าว สมาธิในการทำงาน เช่น ตั้งใจเลื่อยไม้ให้ตรง เป็นต้น, อุปจารสมาธิ ๑=สมาธิตั้งมั่น ระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้ เป็นสมาธิขั้นกลาง ในขั้นนี้จะมีปีติเกิดขึ้น ๕ ตัว มีอาการขนลุก น้ำตาไหล ตัวพองตัวใหญ่ เป็นต้น นิมิตทั้งหลาย จะเกิดในช่วงนี้, อัปปนาสมาธิ ๑=สมาธิขั้นสงบลึกแบ่งเป็น ๘ ลำดับ เรียกว่า สมาบัติ ๘ มี ปฐมฌาน=ฌานที่ ๑, ทุติยฌาน=ฌานที่ ๒ เป็นต้น)

จะมีก็แต่ความเพียร ในการดูลมหายใจ อย่างกัดไม่ปล่อยเท่านั้น (ทราบมาว่ากรรมฐานกองนี้ ใช้เวลาฝึก ๕-๑๐ ปี กว่าจะเป็นโล้เป็นพาย) ที่บันทึกไว้ก็ เผื่อจะเป็นกำลังใจ ให้ผู้ที่เพียรปฏิบัติอยู่ ว่าทำไมปฏิบัติมานานแล้ว ไม่ได้อะไรสักที ไม่เห็นเหมือนในหนังสือที่อ่านมา ให้เขารู้ว่ายังมีพระธรรมดา ๆ อย่างอาตมา ที่เพียรปฏิบัติเช่นเขา แล้วก็ยังไม่ได้อะไรเหมือนกัน จะได้เพียรกันต่อไป อ่านแล้วอย่านึกรังเกียจ ว่ายังเป็น พระกิเลสหนาเลย ก็พยายามอยู่ ลองศึกษาหลาย ๆ แนว ลองปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ลองทุกอย่างที่เขาว่าดี ผิดบ้าง ถูกบ้าง ก็ขอให้เห็น เป็นเรื่องธรรมดาของพระตาดำๆ

การเดินทางปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ ก็ได้ไปพบเอาแก่น ของพระพุทธศาสนา และนิยามอันน่าสนใจของ บุญ และบาป กล่าวไว้ใน คิริมานนทสูตร และปกิณกะธรรมหลายอย่าง ดังจะได้อ่านในรายละเอียด ซึ่งคัดเลือกมาบางส่วน และแสดงความเห็นส่วนตัว ไว้ตอนท้ายของบันทึกนี้ ผู้สนใจ สามารถศึกษา คิริมานนทสูตร นี้เพิ่มเติมได้จาก พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม ๑๖ ข้อ ๖๐ หน้า ๑๒๘-๑๓๓ มีเนื้อหาน่าสนใจโดยย่อดังนี้

บุญ คือ การละกิเลส ละกิเลสได้มาก เป็นบุญมาก บุญกับความสุข เป็นตัวเดียวกัน การทำทานไม่ใช่บุญ แต่การทำทาน ทำให้เกิดบุญ การทำทานคือการสละ ทำให้ละความโลภ ละความโลภได้มาก เป็นบุญมาก ไม่ใช่ทำทานมาก ได้บุญมาก จำนวนเงินไม่ใช่ตัววัด ตัววัดอยู่ที่ใจ

บาป คือ การพอกกิเลส เพิ่มกิเลสได้มาก เป็นบาปมาก บาปกับความทุกข์ เป็นตัวเดียวกัน แก่นของศาสนาพุทธ ไม่ใช่การทำความดี เข้าวัด ไหว้พระ ทำบุญ รักษาศีล ฟังเทศน์ เจริญพระกรรมฐาน บรรลุญาณหยั่งรู้ต่าง ๆ ใดใดทั้งสิ้น เหล่านี้ เป็นเพียง ใบ กิ่ง ก้าน เปลือก กระพี้ของพระศาสนา ล้วนเป็นเพียงคลอง ไปสู่พระนิพพาน

แก่นของพระพุทธศาสนาแท้จริงคือ การเข้าถึงพระนิพพาน การวางทั้งกุศลและอกุศล สุขและทุกข์ จนถึงความดับ ซึ่งกิเลสอย่างถาวร และเป็นสุขอย่างยิ่ง เหนือสวรรค์พรหมชั้นใดใดทั้งหมด ผู้ที่จะถึงพระนิพพาน ต้องปฏิบัติอริยมรรค ให้เต็มที่ ประกอบด้วยปัญญา ทำจิตตน ให้เป็นประหนึ่งแผ่นดิน คือไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ กระทั่งความตาย ที่สุดละเสียซึ่งบุญและบาป ในชั้นสุดท้าย จึงจะถึงพระนิพพาน ละกิเลส ๕ ประการ คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ และ ทิฏฐิ ๑ ได้เด็ดขาด ก็ถึงซึ่งพระนิพพาน

การละกิเลสใช้อาวุธสำคัญคือ สติสัมปชัญญะ (การระลึกได้, การรู้ตัว) หากไม่มีสติสัมปชัญญะ ก็จะไม่รู้ว่า กิเลสเกิดขึ้นตอนไหน จะดับมันอย่างไร โดยทั่วไป ระยะแรก ของการปฏิบัติ ควรยึดศีลไว้ให้มั่น ต่อเมื่อศีลได้เพิ่มกำลัง สติสัมปชัญญะ ให้มากขึ้นแล้ว ก็ควรถือเอาการใช้กรรมฐานคู่ปรับ เข้าห้ำหั่นกิเลส เช่น ราคจริต (อารมณ์พอใจในสิ่งสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย) ใช้ อสุภกรรมฐาน (การพิจารณา ความไม่สวยไม่งาม ของร่างกาย) กับ กายคตานุสสติกรรมฐาน (การพิจารณาร่างกาย เป็นอาการ ๓๒ มี ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น เป็นอารมณ์) เข้าห้ำหั่น เป็นต้น ต่อเมื่อกิเลสเบาบางลงแล้ว ก็ใช้ มหาสติปัฏฐาน ๔ (การฝึกสติเอา กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอารมณ์) เข้าช่วย โดยการดูเท่านั้น ตามรู้ไปเรื่อย ๆ จนถึงที่สุด ไม่ต้องใช้ปฏิภาคกรรมฐานเข้าสู้ หรืออาจจะดำเนิน ไปพร้อม ๆ กันเลยก็ได้ ซึ่งแนวการ ปฏิบัติเหล่านี้ จะแตกต่างกันไป ตามจริตบ้าง บารมีเดิมบ้าง ตามสภาพแวดล้อมบ้าง จะยึดเอาหลักใด เป็นหลักตายตัวมิได้เลย ต้องพิจารณา อย่างรอบคอบถ้วนถี่ว่า ปฏิบัติอย่างไรเหมาะกับตัว (อย่างอาตมา ก็ลองมาหลายอย่าง สุดท้ายก็พบว่า อานาปานุสสติ กับ เดินจงกรม เป็นกรรมฐาน ที่เหมาะกับจริตตัวเอง)

การเดินทางไปสิ้นสุดที่วัดถ้ำหินผาแดง นิวาสถานเก่าเมื่อสมัยบวชใหม่ ๆ หลวงตาพวง ผู้เป็นเสมือนพ่ออีกคน ผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง ชี้ทางสว่างนฤพาน ให้อาตมาได้พบหลวงพ่อ สังขารเสื่อมโทรมไปมาก แต่ก็ยังเต็มใจ สงเคราะห์พุทธบริษัททั้งหลาย ด้วยการสร้าง ศาลาปฏิบัติธรรม ครอบองค์พระ ขนาดพระเพลา(หน้าตัก) ๘ ศอก ไว้เพื่อจรรโลงพระศาสนา ๑, ให้ญาติโยม ได้ทำบุญวิหารทานไว้เป็นต้นทุน สำหรับสัมปรายภพ ๑, นำปัจจัยสังฆทาน มาทำให้เกิดอานิสงส์ ยิ่งขึ้นต่อผู้ถวาย ๑, เป็นร่มเงาให้พระพุทธรูป ๑, เป็นเขตพุทธาวาส เพื่อป้องกันผืนป่า จากการบุกรุก ๑, เป็นแหล่งน้ำ ให้สัตว์ป่าได้พักพิง ๑, และเป็นสถานที่ พึ่งพิงปฏิบัติธรรม ของพุทธบริษัท ต่อไปในอนาคตกาล ๑ สิ่งปลูกสร้างในวัดนั้น แม้ไฟฟ้าจะยังเข้าไม่ถึง ก็ได้มีการเตรียมการ เดินสายไฟไว้ทั่ววัด สำหรับเมื่อไฟฟ้าเข้าถึง จะสามารถใช้งานได้ทันที

บุญคุณของแผ่นดิน Dhammasarokikku

74726_298457126913065_100002463403635_655359_488315016_n

ปัจฉิมกถา

บุพการีกตัญญูกตเวที ๑ บุคคลผู้ทำคุณให้ก่อน ชื่อ บุพการี, บุคคลผู้รู้คุณที่ท่านทำแล้ว ชื่อ กตัญญู และบุคคลผู้รู้คุณท่านแล้ว ทดแทนคุณท่าน ชื่อ กตเวที ข้าพเจ้าเองเติบโตบนผืนแผ่นดินไทย ตลอด ๓๐ กว่าปีก็เพียงสักแต่ว่ารู้ ทว่าไม่เคยตระหนักถึงคุณของแผ่นดิน จนเมื่อได้มาอุปสมบทศึกษาปฏิบัติธรรม จึงได้ซาบซึ้งว่า คุณของแผ่นดินนั้น ยิ่งใหญ่นัก ทดแทนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด และคุณของพ่อนั้น ก็หนักยิ่งกว่าแผ่นดิน

กว่า ๓๐ ปีทีเดียวกว่าจะเรียนรู้คำว่า กตัญญู มันยากจริงสมกับคำที่ท่านว่าไว้ แลชีวิตที่เหลืออยู่ ก็จะพยายามเรียนรู้คำว่า กตเวที ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร วิธีทดแทนพระคุณพ่ออย่างง่ายๆ ก็คือ ช่วยกันทำความดี ให้ทานเป็นปกติ เจือจานต่อเพื่อนบ้าน หรือผู้ที่มีฐานะด้อยกว่าเรา รักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ รักษากรรมบถ ๑๐ ได้ด้วยก็ยิ่งดี ปฏิบัติธรรม เจริญพระกรรมฐานบ้าง ถ้ามีโอกาส มีสิ่งใดจะช่วยเหลือสังคม เป็นสาธารณะประโยชน์ได้ ก็ช่วยกันทำ แค่นี้ก็แบ่งเบาภาระท่านไปได้มากแล้ว

ทุกวันนี้ศีลธรรมในสังคมเสื่อมทรามไปมาก คนดีก็ท้อถอย เกิดความรู้สึกว่า ทำไมทำดีแล้วไม่เห็นได้ดี ทำชั่วอย่างที่เขาทำๆ กัน จะดีกว่า ง่ายกว่าไหม คิดดูซีว่า ถ้าคนในสังคมถือศีล ๕ กันครบทุกคน แม้ประตูบ้านก็ไม่ต้องล็อค เพราะไม่มีใครเอาของใคร แต่ถ้าในสังคมนั้น มีคนละเมิดศีล ๕ แม้คนเดียว ทุกคนก็ต้องพากันล็อคประตูบ้านกันหมด ฉันใดก็ฉันนั้น อย่าไปคิดว่า เราละเมิดศีลของเราคนเดียว จะไปเดือดร้อนใคร การรักษาศีลมีผลต่อสังคมแน่นอน (เคยได้ยินไหม เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาวหน่ะ) อย่าไปคิดว่านั่นมันสังคมในอุดมคติ เป็นยูโทเปีย เป็นไปไม่ได้หรอก ความจริงคือ ถ้าไม่เริ่มที่เราก่อน มันก็ยังคงเป็นสังคมอุดมคติในฝันอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราช่วยกันคนละไม้คนละมือ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ จากตัวเรา ไปถึงครอบครัว ไปถึงญาติสนิท ไปถึงเพื่อนฝูง ไปถึงเพื่อนร่วมงาน และอื่น ๆ สังคมอุดมคติก็ใกล้เข้ามา กลับกันถ้าเราช่วยกันทำลายศีล มีโศกนาฏกรรมให้ดูตลอด ข่าวความเสื่อมทรามในศีลธรรมมีขึ้นหน้า ๑ ทุกวัน ปล้นจี้ฆ่ากันทั่วเมือง เช่นนี้สังคมอุดมคติก็ห่างไกลออกไป ยิ่งมีคนถือศีล ๕ ได้มากเท่าไหร่ สังคมก็จะวุ่นวาย น้อยลงเท่านั้น ผลก็คือ พ่อของเราก็เหนื่อยน้อยลงไปด้วย ฉะนั้นก่อนจะทุศีลครั้งต่อไป ให้คิดถึงพ่อของเราด้วย

เมื่อ ๓๐ ปีก่อน ใครจะจินตนาการได้ว่า ผู้หญิงจะมีกิ๊กอย่างออกหน้าออกตา ใครมาพูดก็คงคิดว่า บัดสีบัดเถลิง คิดได้ยังไง จะมีบ้างก็เป็นการเล่นชู้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าอับอายมาก ใครรู้เข้าก็โดนประณามไปทั้งเมือง เรื่องเจ้าชู้ เป็นเรื่องของผู้ชายพายเรือ แล้วมาบัดนี้ สิ่งทั้งหลายกลับตาลปัตรหมด การมีกิ๊กกลายเป็นเรื่องธรรมดา ของทั้งผู้ชายผู้หญิงในสังคม ก็แล้วลองย้อนกลับไปสัก ๒,๕๐๐ ปีดูบ้างซี

บางเรื่องที่ปรากฏในพระไตรปิฎกจึงอัศจรรย์เหลือเชื่อ จนนักปรัชญาเอาไปตีความว่า เป็นภาษาสัญลักษณ์ ความจริงอาจเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงก็เป็นได้ พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงความเสื่อมอันนี้ จึงทรงเน้นสอนเรื่องปัญญามาก ปัญญา คือ ความรอบรู้ในกองสังขาร เพราะเรื่องเกี่ยวกับขันธ์ ๕ นี้ กี่ล้านปีก็ไม่มีเสื่อม ตราบใดที่คนยังใช้ตาดู ใช้หูฟัง ใช้จมูกดม ใช้ลิ้นลิ้มรส ใช้กายสัมผัส ใช้ใจรู้ธรรม เทคโนโลยีจะล้ำอนาคตไปเท่าไหร่ สุข ทุกข์ ของมนุษย์ ก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนี้แล้ว สังคมที่ผู้คนรักษาศีล ๕ ครบทุกคน ก็อาจไม่ใช่นิยายปรำปรา หากแต่อาจเป็นเรื่อง ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในอดีตก็เป็นได้

255399_442046202480291_14247590_n ข้าพเจ้าเองก็เป็นหนี้แผ่นดินอยู่ไม่น้อย สมัยก่อนไม่เคยคิดหรอกว่า แผ่นดินมีคุณ พุทโธ่... ที่ดินก็พ่อแม่ ซื้อมาสร้างบ้านให้เราอยู่ หมูไปไก่มา จะไปค้างหนี้บุญคุณอะไร ต่อเมื่อได้มาศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ จึงได้ซาบซึ้ง ในคุณค่าของผืนแผ่นดินทุกตารางนิ้วที่เป็นประเทศไทย ถ้าชาติไม่คงอยู่ ถูกต่างชาติปล้นเอกราชไป ไฉนเลยศาสนา แลกษัตริย์ จะคงอยู่ได้ แม้ศาสนาไม่คงอยู่แล้วไซร้ สถาบันชาติ แลกษัตริย์ก็ต้องล่มสลายไป หรือแม้สถาบันกษัตริย์ ถูกล้มล้างไปเช่นประเทศเพื่อนบ้าน ชาติแลศาสนา ก็จะเสื่อมสิ้นไปเช่นเดียวกับพวกเขา สามสถาบันนี้เนื่องกันอย่างแยกไม่ออก การล่มสลายของสถาบันใด สถาบันหนึ่ง ก็หมายถึงการล่มสลายของทั้งสามสถาบัน นี่เองเป็นเหตุผลให้เหล่ากษัตริย์ไทยในอดีตทั้งหลาย มีพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น ต้องสู้ลำบากกอบกู้เอกราช ถวายแผ่นดินเป็นพุทธบูชา ให้พระศาสนา คงอยู่ครบห้าพันปี บนผืนแผ่นดินไทยนี้

ข้าพเจ้านั้นได้เกิดมาใช้ผืนแผ่นดินไทยอยู่อาศัย แต่มิเคยระลึกได้ถึงบุญคุณของแผ่นดิน กระทั่งมหาวิทยาลัยรัฐ ที่ข้าพเจ้าสอบเข้าไปได้อย่างยากลำบาก ผู้คนแข่งขันกันเข้าไปเรียน ในสถาบันการศึกษา ที่ก่อตั้งมาโดย พระมหากษัตริย์ ด้วยเงินของแผ่นดิน ครั้นจบออกมาก็เหมือนถูกล้างสมอง สนใจแต่เพียงเงินเดือน หรือการเรียนต่อ หลงลืมบุญคุณที่ได้ใช้เงินของรัฐอุดหนุน จึงได้จ่ายค่าเทอมในราคาถูกแสนถูก คิดเอาแต่ได้ว่า นี่เป็นความสามารถของฉัน ฉันเป็นคนเพียรหมั่นขยันเรียน ฉันจึงได้ปริญญาบัตรมา นี่เป็นรางวัล ที่ฉันสมควรได้รับ ฉันเป็นหนี้ใครที่ไหน พอทำงานไปก็ใคร่ครวญถึงการมีครอบครัว มีลูก ทดแทนคุณพ่อแม่ หลงลืมบุญคุณของแผ่นดินไปเสียสิ้น โอกาสอันดี ที่ข้าพเจ้าได้อุปสมบทบวชเข้ามา จึงไม่รอช้าที่จะ แทนคุณของแผ่นดิน แม้จะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เพราะมีแค่สองมือ และความสามารถก็แค่ระดับตุ๊กแก แต่ก็อาจจุดประกายให้คนอื่น ๆ หันมาเห็นคุณของแผ่นดินกันบ้าง

การเดินทางในคราวนี้ ได้ไปพบคนที่เขา นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เขาตั้งคำถามว่า สมมติว่านาย ก. เดินทางไกลมาอย่างเหนื่อยอ่อน หิวเป็นกำลัง มาพบไร่ข้าวโพด ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ เธอก็เก็บข้าวโพดมากิน แล้วก็ไป นาย ข. เดินทางไกลมาเช่นกัน มาพบไร่ข้าวโพดไร่เดียวกัน เธอก็เก็บข้าวโพดมากิน และเก็บอีก หลายฝัก ไปฝากคนที่บ้านด้วย นาย ค. เดินมาพบไร่ข้าวโพดไม่มีเจ้าของ ก็จัดการ เอาเสามาปัก ขึงรั้ว ลวดหนาม ยึดเอาเป็นของตัว ไม่อนุญาตให้ใคร เข้ามาเก็บข้าวโพดกินอีกเลย เขาผู้นั้นถามว่า ใน ๓ คนนี้ ถ้าเป็นลูกของเรา เราจะชมใครว่า ฉลาด ใคร โง่ คิดดูดี ๆ นะ นาย ค. ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้ละเมิดศีลสักข้อเดียว ไม่ได้เบียดเบียนใครด้วย ได้คำตอบในใจของท่านแล้ว ก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่า โลกนี้ทั้งใบก็เล็กเกินไป สำหรับคนโลภ หรือคนไม่รู้จักพอ เพียงคนเดียว ฉะนั้นถ้าเรารักพ่อของเรา เราก็มาปฏิบัติตน ให้เป็นคนรู้จักพอ บรรเทาเสียซึ่งความโลภ ทำอย่างไรหนอ จึงจะคลายความโลภ พ่อสอนว่า ความโลภ บรรเทาได้ด้วยการให้ทาน ทานที่ยิ่งใหญ่คือ การทำสาธารณะประโยชน์ บางทีเราให้ทานแก่ขอทาน เพราะเห็นว่าเขาน่าสงสาร เขาจน เขามอมแมม เขาพิการ มีการตั้งเงื่อนไข มีการเจาะจง ว่าเราจะให้คนนั้นคนนี้ แต่การทำสาธารณะประโยชน์ คือการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่เจาะจงให้แก่ใครคนใดคนหนึ่ง จะรวยหรือจน จะดีหรือเลว จะดำหรือขาว เราให้ทั้งหมด เป็นทานที่พ่อเราทำให้ดูมาชั่วชีวิต ถ้าเราเจริญรอยตามท่าน ก็เท่ากับเราได้ทดแทนคุณท่าน ทำเล็กทำน้อยก็ถือว่าได้ทำ ทำไปตามกำลังใจของเรา สบาย ๆ ....ยากไหมล่ะการทดแทนคุณ

ลูกหลานของเรา กำลังก้าวเข้าสู่ยุคทุนนิยมเต็มตัว ชนิดไม่รู้จักการทำสาธารณะประโยชน์ หรือประโยชน์ส่วนรวม รู้จักแต่กอบโกย หาผลประโยชน์ใส่ตัว ข้าพเจ้าเห็นว่า เราควรจะยึดแนวมัชฌิมาปฏิปทา ที่พระพุทธองค์ ทรงสอนว่า อย่าตึงเกินไป อย่าหย่อนเกินไป อย่าซ้ายจัดนัก อย่าขวาสุดโต่ง ทุนนิยมมันก็ดี แต่ก็อย่าให้ มันเกินไป เมืองนอกเขายังไม่ทุนนิยม เต็มสตรีมเลย เขายังใช้สิ่งที่เรียกว่า regulated capitalism คือมีการดูแลบ้าง มีการควบคุมบ้าง อย่าปล่อยให้อนาคตของชาติ เป็นไปตามยถากรรมเลย มาช่วยกันดูแล หรือทำให้เขาดูกันดีกว่า อย่าปล่อยจนวันหนึ่งลูกหลานของเรา มาถามเราว่า “แม่ครับพ่อครับ การทำสาธารณะประโยชน์มีจริงหรือครับ ผมเห็นแต่ในพิพิธภัณฑ์ หรืออนุสรณ์สถาน...” ฯ

สักวาว่าด้วย 'สาธารณะ'

IMG_8788 ถ้าได้อ่านวิธีสร้างบุญบารมี ในสมเด็จพระญาณสังวรฯ จะทราบว่า อามิสทาน(ทานที่ให้ด้วยวัตถุ)ที่มีอานิสงส์มากสุด ๆ ได้แก่ สังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน ตามลำดับ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะสังฆทาน คือทานที่ให้แด่สงฆ์ สงฆ์ในที่นี้ใช่พระรูปใดรูปหนึ่ง แต่คือคณะสงฆ์ หรือได้แก่สงฆ์ทั้งสังฆมณฑลนั่นเอง ไม่ใช่ได้แก่วัดใดวัดหนึ่ง แต่ภิกษุทั่วประเทศทั่วโลกก็มีสิทธิ์ใช้สังฆทานอันนั้น สงฆ์ร่วมกันเป็นเจ้าของ ตามพระวินัยแล้ว คำว่าสงฆ์ หมายถึง ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป หรือจตุวรรค โดยอีกนัยนั่นคือ เป็นการให้ทาน "เป็นสาธารณะ" แด่สงฆ์

วิหารทานก็เช่นกัน วัดวาอารามทั้งหลายที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน หาใช่เป็นของเจ้าอาวาส หาใช่เป็นของเจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค หาใช่เป็นของสมเด็จพระสังฆราช หาใช่เป็นของทายกทายิกาผู้มีศรัทธานำปัจจัยมาถวายสร้างวัด หากแต่เป็นของสงฆ์ทั้งหลาย ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา จนถึง สมมติสงฆ์ ทั่วสังฆมณฑล ร่วมกันเป็นเจ้าของ หรืออีกนัยหนึ่ง วัดวาอารามสิ่งก่อสร้างถาวรวัตถุทั้งหลายนั้น "เป็นของสาธารณะ"

นี่เป็นเหตุที่ว่า ทำไมการลักของสงฆ์จึงมีโทษมาก ทำไมเพียงเศษดินเศษทรายที่ติดรองเท้าเรา ตอนเดินออกไปจากวัด จึงมีโทษเช่นเดียวกับการลักของสงฆ์ แม้ไม่มีเจตนา การใช้น้ำไฟของวัด ก็เข้าข่ายเดียวกัน หรือการไปเก็บผลไม้ในวัดกิน แม้เด็กวัด หรือพระรูปใดรูปหนึ่งอนุญาต ก็ยังอยู่ในข่ายอาการแห่งการขโมย เพราะพระรูปใดรูปหนึ่งไม่มีสิทธิ์อนุญาตให้ ฆราวาสเอาของสงฆ์ไปใช้ ต้องมีภิกษุอย่างน้อย ๔ รูป หรือจตุวรรค มีมติอนุญาต กระทั่งที่ดินนั้น ฆราวาสผู้นั้นเป็นคนถวายวัดเอง หรือต้นไม้ต้นนั้นเป็นคนปลูกเอง แต่เอามาปลูกในเขตวัด ก็กลายเป็นของสงฆ์ไปโดยปริยาย ฆราวาสไม่มีสิทธิ์ถือกรรมสิทธิ์สิทธิพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น หรือแม้เศษกระเบื้องหลังคาเก่า ๆ อิฐผุ ๆ ก็สงเคราะห์ลงตามเหตุ และผลเดียวกัน อันนี้ไม่ได้ขู่นะ พระเณรไม่รู้จะหวงหลังคาเก่า ๆ อิฐผุ ๆ ไว้ทำไม นี่เป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ ที่ท่านรู้จริงสังขารไม่เปื่อยไม่เน่า เตือนไว้ และแนะให้ชำระหนี้สงฆ์ไว้เสมอ เมื่อมีโอกาส

ก็แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับน๊อตเสาไฟฟ้าเล่า...อ่านต่ออีกหน่อยแล้วจะเข้าใจ

ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านเน้นให้ทำสาธารณะประโยชน์ สาธารณะกุศล เพราะมีอานิสงส์มาก การสร้างถนน การให้แสงสว่างตามทางเปลี่ยว การสร้างสะพาน การสร้างโรงเรียน การสร้างโรงพยาบาล ฯลฯ เหล่านี้มีคุณมาก เพราะอะไร เพราะนอกจากคนทั่วไปจะได้ใช้แล้ว พระภิกษุสามเณรก็ได้ใช้เช่นกัน!!! นี่ไง...มันถึงมีอานิสงส์ไม่ต่างอะไรจากสังฆทาน วิหารทาน

พอจะเดาออกหรือยังว่า ผู้ที่ขโมยของสาธารณะไป จะมีอานิสงส์เช่นไร

ถูกต้องแล้วคร้าบ..... ก็เหมือนลักของสงฆ์นั่นเอง เพราะพระภิกษุก็ต้องใช้ไฟฟ้าเหมือนกัน ต้องใช้ท่อระบายน้ำเหมือนกัน ทำไมข้าพเจ้าถึงรู้สึกสยดสยอง ก็เพราะเห็นว่า เมื่อเขาละอัตภาพนี้ไปแล้ว เขาจะต้องไปทนทุกข์อย่างแสนสาหัส ในอเวจีมหานรก ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ แลกกันน็อตไม่กี่กิโล ราคาไม่กี่สตางค์ โดยที่ไม่มีแม้โอกาสจะได้รู้ว่า ทำไมเขาถึงตกนรก สงสารที่เขา ไม่มีโอกาส แม้เพียงจะได้รู้ว่า ความสุข คืออะไร เขาไปขโมยของ เอาของไปแลกเป็นเงิน เอาเงินไปใช้ซื้อสิ่งของที่จำเป็นในชีวิต แล้วก็เข้าใจว่านั่นเป็นความสุข ฉะนั้นเขาก็ทำอีก ๆ ไม่สิ้นสุด นี่ไงที่เขาว่า กรรมชั่วดึงลงต่ำ กรรมดีดึงขึ้นสูง ทำชั่วแล้วก็จะพอใจในความชั่ว ทำดีแล้วก็จะพอใจทำความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ฉะนั้นแล้ว เมื่อพบข่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตา ขอท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงได้เป็นสัมมาทิฏฐิโดยไว ก่อนจะสายเกินไป และขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาช่วยกันแผ่เมตตาให้แก่พวกเขาเหล่านั้นด้วย พวกเขาน่าสงสารเหลือเกิน อย่าไปโกรธแค้นชิงชังเขาเลย แค่นี้เขาก็ทุกข์มากพออยู่แล้ว กระแสแห่งโทสะ เมื่อรวม ๆ กันหลายผู้หลายคน มันก็มีพลัง อาจทำให้เขาเหล่านั้นถลำลึกลงไปในความเลวมากขึ้น กระแสแห่งการให้อภัย กระแสแห่งความเมตตาสงสาร กระแสแห่งความรักความอบอุ่น อาจจะช่วยให้เขากลับตัวกลับใจ เป็นคนดีของสังคม อะไรจะประเสริฐไปกว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

อีกประการหนึ่ง การทำสาธารณะประโยชน์ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องยาก เรื่องใหญ่ แค่เก็บขยะในแม่น้ำลำคลอง ทะเล หรือตามท้องถนนสักชิ้น ก็เป็นงานสาธารณะประโยชน์แล้ว ข้าพเจ้าเคยเดินธุดงค์ไปตามท้องถนนในต่างจังหวัด เห็นขยะตามข้างทางเป็นระยะ ๆ แล้วก็คิดว่า ถ้าคนใช้ถนนสักล้านคน จะมีสักกี่คนที่ทิ้งขยะลงข้างถนนอย่างไม่ใส่ใจ จะมีสักกี่คนที่ไม่ทิ้งขยะลงทางสาธารณะ เพราะได้รับการศึกษาดีแล้ว และจะมีสักกี่คนที่ลงจากรถ ไปเก็บขยะสักชิ้นสองชิ้น ไปทิ้งขยะ ในบริเวณที่ไม่มีพนักงานเก็บกวาดขยะ จะถึงหนึ่งคนหรือเปล่าหนอ

สุดท้ายเลย ฝากถึงคนที่บอกว่า ไม่มีเวลาไปทำบุญ ไม่มีตังค์ทำบุญ ฝากบอกเขาด้วยว่า บุญนั่นทำได้ทุกวันเลย ไม่ต้องเสียตังค์ด้วย บุญอยู่ที่ลมหายใจเรานั่นแล แค่หายใจเข้า รู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออก รู้อยู่ว่าหายใจออก วันละสักสิบคู่ (หายใจเข้า ๑, หายใจออก ๑ นับเป็น ๑ คู่) แค่นี้ก็บุญมหาศาลยิ่งกว่าสร้างวัดสร้างเจดีย์ เพราะนี่คือบุญอันเกิดจากการภาวนา บุญกิริยาวัตถุมี ๓ ได้แก่ ทานมัย สีลมัย ภาวนามัย ภาวนามัยนี่อานิสงส์สูงที่สุดเลย อย่าไปเข้าใจว่า บุญมากคือ ต้องเป็นสิ่งที่ทำยาก บางทีของง่าย ๆ หมู ๆ อย่างการรู้ลมหายใจ ถ้าเพียรทำด้วยความตั้งใจ ก็ได้บุญมหาศาลไม่แพ้บุญที่ทำโดยยากเลย 

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

IMG_8914

อะไรเอ่ย...คืองานศพ ตอน ๘ - คุยกับผี ภาค ๓Dhammasarokikku

 

392565_378803795504821_100001256126365_1067932_788653209_n

เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากงานที่ตั้งใจจะเขียน หนังสือแจกงานศพ ค้างไว้หลายเดือนแล้ว ได้ยินมาว่า การไม่มีงานคั่งค้าง เป็นอุดมมงคล จึงนำมาปัดฝุ่น เรียบเรียงเสียให้เสร็จ เพือให้เป็นมงคลชีวิต แก่ตัวผู้เขียนเอง ดังนี้

ว่าจะมีแค่ ๒ ภาค กลายเป็น ๓ ภาค Trilogy ไปจนได้ ที่ต่อไปอีกภาคหนึ่ง ก็เพราะไปอ่านเจอเรื่องเกี่ยวกับสัมภเวสีว่า พวกเขาลำบากกันอย่างไร และการอุทิศส่วนกุศล มีผลอย่างไร หากว่าผู้มาร่วมงานศพ ได้อ่าน ก็คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย

ดัดแปลงจาก ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต

ที่เก็บกระดูก

ยามชีวี มีอยู่ รู้กันไว้

บ้านกูใหญ่ นักหนา หาใครเทียบ

มาบัดนี้ ที่อยู่ แคบเกินเปรียบ

เคยกินเรียบ กินคด โอ้หมดกัน

จำไว้เถิด ทรัพย์ใด แสวงหา

กอบโกยมา เข่นฆ่า ให้อาสัญ

ครั้นตายลง กงเต็ก เผาไม่ทัน

ทรัพย์ใดนั้น เอาไม่ได้ สักเก๊เดียว ฯ 

เรื่องที่ ๑๒๒
เด็กชายณัฐพร ครุฑานนท์ ตายจากคนเป็นสัมภเวสี

จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

".. ต่อไปนี้จะเล่าเรื่องตายแล้วไปเป็นผี คือไม่ใช่กลับฟื้นหรือยังไม่เกิดเป็นคน ท่านจะได้ทราบว่า ชีวิตของคนสมัยเป็นผีนั้นมันเต็มไปด้วยความรำเค็ญเพียงใด โปรดทราบไว้ด้วย คำว่า "ผี" เป็นศัพท์ไทยสมัยก่อน ศัพท์จริงของเขาออกเสียงว่า "ปี๋" แปลว่า "มืด" แต่คนไทยเมืองใต้ ลิ้นอ่อนเกินไปนิดหนึ่ง จึงทำให้เสียงเพี้ยนไปกลายเป็นผี ศัพท์ว่าผีนี้ ดูตามภาษาบาลีที่จัดว่าเป็นแม่ภาษาก็ไม่เห็นมี บาลีเรียกผีว่า "อสุรกาย" แปลว่า มีกายไม่กล้า คือคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าประชาชน เหมือนคนผีๆ ที่คอยหลบๆ ซ่อนๆ เกรงเขาจะลงโทษเพราะตนมีความผิด

ผีนี้คนเรารวมหมด คือยกยอดเอาตั้งแต่สัมภเวสีจนถึงพรหมรวมเรียกว่า "ผี"

ผีถ้าว่ากันตามที่ปรากฏมีอยู่ ๒ พวกคือ

พวกที่หนึ่ง ได้แก่ผีประเภทรับผลของกรรม คือมีความสุขเพราะบุญบันดาล หรือมีความทุกข์เพราะการบีบคั้นของบาป

พวกที่สอง ที่เรียกว่า "สัมภเวสี" แปลว่า ผีที่ต้องแสวงหาที่เกิด คือตายเมื่อยังไม่ถึงกำหนดอายุขัย เป็นการตายเพราะอกุศลบางอย่างเข้ามาตัดรอนชีวิต ที่พวกชาวบ้านเรียกว่า "ผีตายโหง" นั่นเอง พวกนี้ตายแล้วยังไม่เสวยผลความดีหรือความชั่ว คือยังไม่ไปนรกหรือสวรรค์ ต้องรอจนกว่าจะสิ้นอายุขัย จึงจะได้รับผล การตายประเภทนี้ ถ้าพบท่านผู้รู้จริงๆ ท่านยับยั้งไม่ให้ตายได้

อย่าง ท่านอายุวัฒนกุมาร จะต้องตายเมื่อเป็นเด็กเล็ก เพราะอกุศลกรรมบีบคั้น ครั้นเมื่อพ่อแม่นำไปให้พระพุทธเจ้าช่วย พระองค์สงเคราะห์ตัดกรรมนั้นให้ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย ในที่สุดท่านอายุวัฒนกุมารกลับ มีอายุอยู่มาได้ถึง ๑๒๐ ปีจึงตาย

ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบเรื่องของผีที่เรียกว่า "สัมภเวสี" ต่อไปนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ท่านผู้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังชื่อ "ร.ต.สุภักดิ์ อนุกูล" ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. เด็กชายณัฐพร ครุทานนท์ ชื่อเล่นๆ ว่า "หนุ่ม" เป็นบุตรชายคนรองสุดท้ายของนายสุนทร-นางสุภาพ ครุทานนท์ อยู่บ้านเลขที่ ๔๑/๓ ตำบลบางแพ ได้รับอุบัติเหตุถูกสายไฟฟ้าที่ขาดห้อยอยู่ดูดถึงแก่ความตาย เรื่อง ของความตายนี้ ทางพระท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าไม่ว่าใครทั้งสิ้นที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกันหมด จะตายด้วยโรคอะไรหรืออาการอย่างไร ในที่สุดก็ตายเหมือนกัน พระท่านสอนไม่ให้เสียใจเพราะเหตุแห่งความตายมาถึง คนรับฟังมีมาก แต่รับปฏิบัติคือตัดใจไม่ยอมเศร้าโศกถึงคนตายนี้หายาก เรื่องของการระงับความเศร้าโศกอาลัยในเมื่อมีคนที่รักตายนี้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง คนที่จะทำได้แน่นอนไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในเรื่องของความตายนั้น ท่านว่ามีพระอรหันต์เท่านั้นที่จะเห็นเรื่องของความตายเป็นของปกติธรรมดา เหมือนเห็นใบไม้ที่แกว่งจนล่วงลงจากต้น ไม่มีความรู้สึกเสียดายห่วงใยใดๆ ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้ามีคนตายเกิดขึ้นที่บ้านใคร คนที่เกี่ยวข้องเช่นสามีหรือภรรยาของผู้ตายไม่ร้องไห้แสดงความเสียใจ เขาก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียอีก ต้องแสดงออกถึงความเศร้าโศกรำพัน นั่นแหละเขาจึงจะนิยมว่าเป็นคนดี รักกันจริง เรื่องของความเห็นของพระกับชาวบ้านไม่ใคร่จะลงกันก็อีตอนนี้แหละ

เป็นอันว่า เมื่อเด็กชายณัฐพรลูกชายตาย คุณสุนทร และคุณสุภาพก็ต้องร้องไห้ตามแบบฉบับของชาวบ้านที่รักลูกทั่วโลก มีการทำบุญตามพิธีสงฆ์ คือพระมาสวดและก็เลี้ยงพระ ในที่สุดก็ยังไม่เผาเอาไปเก็บไว้ที่โกดังวัดใกล้บ้าน เป็นสุสานทำเป็นตัวตึก ท่านผู้เล่าให้ฟังคือ ร.ต.สุภักดิ์ ได้บอกว่าในระยะที่เด็กชายหนุ่ม หรือณัฐพรตายตอนแรก ๆ ยังไม่มีอะไรปรากฏการณ์ เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนครบ ๘ เดือนเศษ ค่ำวันหนึ่ง น.ส.เฉลียง เด็กที่มาอยู่บ้านนายสุนทร หลังจากเด็กชายหนุ่มตายไปแล้ว และไม่เคยรู้จักเด็กมาก่อน

น.ส.เฉลียง อายุ ๑๖ ปี ขณะที่เธอกำลังนั่งทำงานอยู่นั้น ก็เกิดร้องกรี๊ดขึ้นมาเฉย ๆ ทุกคนในบ้านพากันแปลกใจ  จึงเข้าไปถามสาเหตุ ที่ร้องส่งเสียงแสดงความหวาดกลัวนั้น น.ส.เฉลียงได้บอกแก่ทุกคนที่เข้าไปถามว่า "เห็นเด็กชายคนหนึ่ง อายุประมาณ ๓ ปี เข้ามาทางช่องกระจกบานเกล็ด พร้อมกันนั้นก็มีพระสงฆ์ ๒ องค์ตามมา เมื่อทันกัน พระทั้ง ๒ องค์ก็ช่วยกันจับเด็กชายคนนั้น คนละแขน พาออกไปทางช่องกระจกบานเกล็ด เธอเห็นอย่างนั้น ก็ตกใจกลัวจึงร้องออกมา และเด็กคนที่เห็นนั้นมีรูปร่างหน้าตา เหมือนภาพถ่ายเด็กที่แขวนอยู่ที่ห้องรับแขก" เรื่องที่ น.ส.เฉลียง บอกนั้น สร้างความสนใจแก่ทุกคนในที่นั้น เป็นพิเศษ เพราะเด็กชายหนุ่มตายเมื่ออายุ ๓ ปี จึงพากันสนใจ และแปลกใจไปตาม ๆ กัน

วิญญาณของเด็กชายหนุ่มเข้าทรง

ต่อมาอีกไม่กี่วัน น.ส.เฉลียง ทำงานอยู่กลางลานบ้าน ก็เกิดล้มลงเฉย ๆ มีอาการมือเท้าเกร็ง มีเสียงร้องคล้ายเด็กร้องไห้ นางสุภาพเข้าไปสอบถามอยู่นาน เกือบชั่วโมง น.ส.เฉลียงจึงพูดด้วย แต่ไม่ได้พูดด้วยสำเนียงเดิม ที่เคยพูด กลับออกเสียงเป็นเสียงเด็ก บอกชื่อตัวเองว่า "หนูชื่อหนุ่ม คิดถึงแม่สุภาพถึงได้มา คิดถึงพ่อ คิดถึงน้องและครูปั๊ก" (ตามสำเนียงที่เด็กชายหนุ่ม เคยเรียก ร.ต. สุภักดิ์ ออกสำเนียงเป็นปั๊กเสมอ เพราะยังพูดไม่ค่อยชัด) แล้วสั่งว่า "วันพรุ่งนี้อย่าให้ครูปั๊กไปไหน หนุ่มมีธุระจะคุยด้วย"

เมื่อพูดจบ อาการของ น.ส.เฉลียง ก็เป็นปกติ ร.ต.สุภักดิ์ บอกว่าบ้านของเขา อยู่ติดกับบ้านของนายสุนทร ทั้งสองมีความสนิทสนมกันมาก เด็กชายหนุ่มก็มีความสนิทสนมกับ ร.ต.สุภักดิ์ มาก เคยมาหา ร.ต.สุภักดิ์ และเคยติดตามไปในที่ต่าง ๆ เป็นปกติ คุณสุภักดิ์ เป็นคนโสดและมีนิสัยรักเด็ก บางคราวเขาจะเพาะถั่วงอกเพื่อทดลอง เด็กชายหนุ่มก็มาช่วยทำงาน ทำตามประสาเด็ก และชอบซักถามเพื่อความเข้าใจ คุณสุภักดิ์รัก และชอบในความสนใจของเด็กชายหนุ่มมาก

ต่อมาเมื่อเด็กชายหนุ่มต้องตาย เพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูด คุณสุภักดิ์ก็เอาถั่วงอก ที่เด็กชายหนุ่มช่วยปลูกนั้น มาผัด และถวายพระ อุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อทราบจากนางสุภาพว่า เด็กชายหนุ่มต้องการพบ ตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่เพื่อจะทราบความจริงว่า เด็กชายหนุ่มจะมาเข้าทรงจริง หรือ น.ส.เฉลียง จะเล่นตลกกันแน่ จึงคอยพบตามเวลาที่เด็กนัดไว้

วันนั้นเป็นวันที่ ๒๑ มิถุนายน เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. น.ส.เฉลียง ก็มีอาการเหมือนเดิม คือมีอาการคล้ายเป็นลมหน้ามืดแล้วก็ล้มลง เป็นอันว่าทราบทั่วกันว่า อาการอย่างนั้นปรากฏก็แสดงว่า วิญญาณของเด็กชายหนุ่มเข้าทรง เมื่อเข้าทรงแล้ว ก่อนจะถามถึงใคร เด็กชายหนุ่มก็ถามหาครูปั๊ก ถามว่า "วันนี้ครูปั๊กมาหรือเปล่า" เมื่อร.ต.สุภักดิ์ตอบว่า "มาและอยู่ที่นี่แล้ว" วิญญาณของเด็กชายหนุ่มก็พูดว่า "หนุ่มคิดถึงครูปั๊กมาก" เขาถามว่า "เวลานี้หนุ่มอยู่ที่ไหน" ตอบว่า "ขณะนี้หนุ่มอยู่ที่ตึก" ถามว่า "ตึกที่หนุ่มอยู่ตั้งอยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ที่วัดใกล้ๆ บ้านนี่เอง"

เป็นอันทราบได้ว่า วิญญาณของเด็กชายหนุ่มอยู่ที่สุสานวัดใกล้บ้านนั่นเอง เพราะสุสานคือที่เก็บศพเขาทำเป็นตึก ถามว่า "หนุ่มอยู่คนเดียวหรือมีเพื่อนอยู่ด้วย" ตอบว่า "มีพระอยู่ด้วยสององค์ และคนอื่น ๆ อีกหลายคน แต่หนุ่มไม่รู้จักชื่อเขาเหล่านั้น"

307007_267344070039606_571061443_n สำหรับพระ ๒ องค์ ที่เด็กชายหนุ่มบอกนั้นคือ พระภิกษุเหมือนอายุ ๒๒ ปี และพระภิกษุทองใบอายุ ๕๐ ปี ตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูดเหมือนกัน เด็กชายหนุ่มบอกต่อไปว่า "ขณะที่หนุ่มจะต้องตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูดนั้น เห็นพระ ๒ องค์นี้มาจับมือจูงไป และบังคับให้จับสายไฟฟ้าที่ขาด ตกห้อยลงมา หนุ่มจึงต้องตายจากคน"

เรื่องการสนทนาระหว่าง ร.ต.สุภักดิ์กับวิญญาณของเด็กชายหนุ่ม เป็นเหตุให้ทราบข้อเท็จจริงที่เป็นข่าวลือกันมานานแล้วว่า คนที่จะต้องตายโหง คือผูกคอตาย ดำนํ้าตาย เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่แก้ไขฟื้นคืนชีพมาแล้ว มักจะเล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นไม่รู้ตัวว่าทำอย่างนั้น แต่กลับเห็นว่าตนเองกำลังเพลิดเพลินกับอะไรสักอย่างหนึ่ง บาง คนก็บอกว่ามีคนมาท้าให้ไปตีกัน จะนำเรื่องที่พบมานี้มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง เพื่อเป็นการรับรองเรื่องของเด็กชายหนุ่มหรือณัฐพรคนนี้สัก ๒ เรื่อง ขอเล่าสั้นๆ

คนผูกคอตาย

เรื่องแรก เกิดขึ้นในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า รายนี้เป็นผู้หญิงชื่อ "จันทร์" ลูกชายพาหญิงสาวคนหนึ่งมาเพื่ออยู่ร่วมเป็นสามีภรรยา เป็นลูกของคนที่ค่อนข้างจะมั่งคั่งสักหน่อย ท่านแม่ก็พอใจในลูกสะใภ้ พอเวลาล่วงเลยไป ๓ วัน เป็นระยะเวลาสมควรที่จะไปติดต่อรับรองเรื่องบุตรพาลูกสาวเขามา แกก็แต่งตัวเรียบร้อยออกเดินทางจากบ้าน เพื่อจะไปบ้านบิดามารดาของลูกสะใภ้ เพราะเป็นคนรู้จักกันดี บิดามารดาฝ่ายหญิงก็ทราบว่าลูกชายของแม่จันทร์คนนี้พาลูกสาวของเขามา ก็ไม่มีความรังเกียจ ส่งข่าวมาเพื่อให้ไปรับรองตามประเพณี เมื่อออกจากบ้านไปแล้วแทนที่แกจะไปบ้านฝ่ายหญิง ปรากฏว่าแกแวะไปที่ป่าช้าวัดใกล้ๆ กับส้วม แกไต่ขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง บังเอิญขณะนั้นมีพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านกำลังนั่งถ่ายอุจจาระอยู่ในส้วม ท่านเห็นเหตุการณ์ตลอด ท่านบอกว่าท่านเห็นแม่จันทร์คนนั้นได้ขึ้นไปบนต้นไม้ มีหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนหนึ่งขึ้นตามไปเมื่อทั้งสองคนขึ้นไปบน ต้นไม้เรียบร้อยแล้ว หญิงชื่อจันทร์นั้นก็เปลื้องผ้าสไบออก และเอาชายหนึ่งผูกกับกิ่งไม้ เอาอีกชายหนึ่งผูกที่คอ เมื่อผูกเสร็จหญิงที่ขึ้นตามไปนั้น ก็เอาเท้าถีบแม่จันทร์ให้ตกลงมา ร่างห้อยกับกิ่งไม้ แล้วหญิงคนนั้นก็ขึ้นเหยียบสองบ่าช่วยขย่มพระที่กำลังถ่ายอุจจาระเห็นเข้า อย่างนี้ก็ตกใจ รีบออกจากห้องส้วมวิ่งเข้าไปถึงต้นไม้และไต่ต้นไม้ขึ้นไปช่วยแก้ให้แม่ จันทร์พ้นอันตราย พระท่านว่าท่านไม่เห็นหญิงที่เหยียบบ่าลงสวนมาเลย และก็ไม่ทราบว่าหายไปทางไหน เมื่อท่านแก้ให้แม่จันทร์ลงมาแล้ว ด้วยเหตุที่ท่านส่งเสียงเอะอะโวยวายด้วยความตกใจ เป็นเหตุให้เพื่อนพระและคนที่อยู่ใกล้เคียงมากันหลายคน ต่างช่วยกันปฐมพยาบาลเพื่อแก้ไข

เมื่อฟื้นแล้วสอบถามเรื่องที่มาผูกคอตายและหญิงคนที่มาช่วยให้ตายเร็วเข้า แม่จันทร์ตอบว่า "ไม่รู้ว่าผูกคอตายตามที่ปรากฏ" แกบอกว่าขณะที่ออกจากบ้าน ก็ประสงค์จะไปติดต่อทาบทามขอขมาเรื่องลูกชายพาลูกสาวเพื่อนบ้านมา แต่เมื่อออกจากบ้านปรากฏว่ามีขบวนแห่ มีคนมากเขากำลังเล่นรำกัน คงจะเป็นกลองยาว เพราะสมัยนั้นกำลังนิยมกลองยาว แกก็เข้าไปรำกับเขา ขณะที่ถูกแก้ให้ฟื้นนั้นกำลังรำเพลิน ได้ยินเสียงพระเรียกให้กลับ แกจึงกลับมา

นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันว่า พวกที่จะต้องตายโหง มักจะมีวิญญาณอื่นมาชักนำให้เห็นอาการที่จะทำลายตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ร้าย แรง คือทำให้เกิดความเพลิดเพลินในทางสนุกไปเสีย

คนดำนํ้าตาย

อีกเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นในเขตตำบลโรงเฆ่ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร คนนี้ชื่อ "มาก" เมื่อปี ๒๔๙๗ ปรากฏว่าเป็นฤดูนํ้ามาก นายมากแกนั่งจักตอกอยู่บนชานเรือนพร้อมด้วยเพื่อนบ้านหลายคนมานั่งจักตอกรวม กัน และคุยกันเพื่อแก้รำคาญ ขณะที่นายมากนั่งจักตอกอยู่ อยู่ๆ แกก็ลุกขึ้นแล้วก็เดินลงไปที่บันได ขณะนั้นนํ้าท่วมพื้นดินมีระดับเกือบถึงชานเรือน เมื่อแกลงบันไดไปแล้วก็เลยลงไปในนํ้า ดำนํ้าลงไป พวกเพื่อนบ้านคิดว่านายมากคงจะร้อนมาก ถึงได้ลงนํ้าไปทั้งๆ ที่มือถือมีด แต่เมื่อแกดำลงไปในนํ้าเป็นเวลานานเกินไป พวกเพื่อนบ้านเกิดสงสัยจึงลงไปดู เพื่อนบ้านคนหนึ่งดำนํ้าลงไปสำรวจ พบนายมากนั่งกอดบันไดอยู่ จึงช่วยกันดึงเอาตัวขึ้นมา ต้องทำปฐมพยาบาลกันอย่างหนัก เพราะปรากฏว่าแกกินนํ้ามากเกินไป เมื่อแก้ไขฟื้นแล้วเพื่อนบ้านถามว่า "ลงไปในนํ้าทำไม"

แกตอบว่า "ขณะที่นั่งจักตอกอยู่ด้วยกันนั้น มีคนมาท้าให้แกไปตีกับเขา" ปกติแกเป็นคนไม่ยอมกลัวคน แต่ไม่ข่มเหงใคร ถ้าใครมารุกราน นายมากก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าสู้ชนิดเข็มเย็บตาทีเดียว มาคราวนี้เมื่อมีคนมาท้าถึงที่บ้าน แกบอกว่า "เขาขึ้นมาท้าบนชานเรือน ก็เลยลุกขึ้นและเอามีดที่เป็นเครื่องมือจักตอกนั่นแหละ ไปสู้กับผู้บังอาจมาท้าแก" ขณะที่เพื่อนแก้ไขอยู่นั้น แกบอกว่า "กำลังสู้กันนัวทีเดียว"

นี่ แหละท่านทั้งหลาย คนที่จะตายโหง คือตายด้วยอุบัติเหตุ มักจะมีเหตุอื่นมาทำให้หลงผิด เรื่องอย่างนี้เคยรับฟังมาหลายสิบราย มีเรื่องคล้ายคลึงกัน จึงเป็นเหตุให้ชวนสันนิษฐานว่า คนที่จะตายโหง มีผีมาหลอกล่อให้ตาย เพราะบางคนที่มีทุกข์ยิ่งกว่าคนที่ฆ่าตัวตาย เขายังไม่ยอมตาย คนที่ฆ่าตัวตายบางคนมีเรื่องกระทบใจนิดเดียวก็ฆ่าตัวตาย

540509_461046210589939_1746968845_n การอุทิศส่วนกุศล

ตอนนี้ขอวกเข้าเรื่องของเด็กชายหนุ่มต่อไป เธอมาบอกว่า "หลัง จากพระ ๒ องค์นั้นมาบังคับ คือจับมือให้จับสายไฟฟ้าแล้ว รู้สึกว่ามีกายอีกกายหนึ่ง (โดยเธอใช้คำพูดว่ามีตัวอีกตัวหนึ่ง) เกิดขึ้น เห็นตัวเดิมนอนนิ่ง ส่วนตัวที่เกิดภายหลังก็มีสภาพรูปร่างเหมือนตัวเดิมทุกอย่าง พระ ๒ องค์นั้นบังคับให้ไปอยู่ด้วย โดยช่วยกันจูงมือให้เดินตามไป กำลังเธอสู้พระ ๒ องค์ไม่ได้ ก็จำต้องเดินไปกับพระทั้ง ๒ องค์นั้น" เมื่อพูดจบเธอก็บอกว่า "เมื่อหนุ่มไปอยู่กับพระใหม่ๆ ครูปั๊กเอาถั่วงอกที่หนุ่มช่วยปลูกผัดถวายพระ แล้วอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้นั้น หนุ่มได้รับและกินแล้วอร่อยดีเหมือนกัน แต่เผ็ดมากไปหน่อย หนุ่มไม่ชอบเผ็ดมาก"

ตรงนี้น่าคิด ที่คนทั้งหลายเข้าใจว่าผีจะคอยกินอาหารที่คนจัดสำรับให้นั้น เรื่องของเด็กชายหนุ่มยืนยันว่า จะได้กินต่อเมื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ใช่เอาสำรับกับข้าวไปวางข้างโลงแล้วก็เรียกผีให้มากิน ร.ต.สุภักดิ์รับปากว่าจะทำบุญส่งไปให้ใหม่ รุ่งเช้าก็เอาถั่วงอกผัดถวายพระ คราวนี้ไม่ใส่พริกด้วยเกรงว่าเด็กชายหนุ่มจะเผ็ด อีกสองสามวันวิญญาณเด็กชายหนุ่มมาเข้าน.ส.เฉลียงบอกว่า "ถั่วงอกที่ทำบุญไปให้นั้นได้กินแล้วอร่อยมาก ขอบใจครูปั๊ก ครูปั๊กใจดีมาก หนุ่มรักครูปั๊กมาก" แล้วก็บอกว่า "หนุ่มอยากกินองุ่น ขอให้ช่วยหาองุ่นถวายพระแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้หนุ่มด้วย" (คำว่าอุทิศนั้นก็คือการกรวดนํ้านั่นเอง แต่อันที่จริงไม่ต้องกรวดนํ้าก็ได้ใช้ภาษาพูดธรรมดา บอกขออุทิศผลบุญที่ทำนี้ให้แก่ผู้ตายชื่อและนามสกุลอะไร ให้โมทนาในผลบุญทั้งหมดนี้ ผู้ตายก็จะได้รับผลบุญนั้น)

ร.ต.สุภักดิ์ ก็รับคำแล้วก็จัดองุ่นถวายพระอุทิศส่วนกุศลไปให้ คราวนี้ร.ต.สุภักดิ์ก็คิดว่าผีอื่นก็คงต้องการเหมือนกัน การอุทิศส่วนกุศลจึงแผ่เสียหมดจักรวาล

ต่อมาเมื่อวิญญาณของเด็กชาย หนุ่มมาเข้าสิงน.ส.เฉลียงบอกว่า "องุ่นหนุ่มไม่ได้กินเลย เด็กบ้านํ้าลายไหลยืดข้างบ้านแย่งกินหมด เวลาครูปั๊กบอกให้ทำไมบอกให้คนอื่นด้วยล่ะ คือเด็กบ้านํ้าลายไหลยืดคนนั้นมันตัวโตกว่าหนุ่ม มันแย่งหนุ่ม หนุ่มสู้มันไม่ได้ หนุ่มก็เลยอด"

ร.ต.สุภักดิ์รับปากว่า "ต่อไปจะส่งให้หนุ่มคนเดียว" หนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วก็ลากลับไป ผีบ้านํ้าลายไหลยืดข้างบ้านที่เด็กชายหนุ่มบอกนั้นคือ เด็กชายธีระ ยุทธ บุตรชายนางสังเวียน ถูกสุนัขบ้ากัดตาย เมื่อก่อนตายอาการของโรคคือพิษสุนัขบ้ากำเริบ มีอาการนํ้าลายไหลและร้องคล้ายเสียงสุนัข เธอตายเมื่ออายุ ๗ ปี ส่วนเด็กชายหนุ่มตายเมื่ออายุ ๓ ปี ตัวเธอจึงโตกว่า

เรื่องร่างกายของผีนั้นเมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว ก็เป็นเหตุให้ได้รับความรู้ใหม่ ตามที่ทราบมาตามบาลีว่า เทวดา นั้นเมื่อปรากฏวาระแรกก็เป็นหนุ่มเป็นสาวทันที ไม่มีใครเป็นเด็กและก็ไม่มีแก่หรือร่างกายร่วงโรย สำหรับผีประเภทสัมภเวสีนี้ กลับมีร่างกายไม่เสมอกัน คือตอนตายร่างกายมีสภาพอย่างไร เมื่อเป็นผีก็คงมีสภาพอย่างนั้น ตายเมื่อเด็กก็เด็กตลอดไป ตายเมื่อแก่ก็แก่ตลอดกาล เป็นความรู้ ใหม่ที่รับทราบ ถ้าจะถามว่าเชื่อหรือไม่ ก็ขอตอบว่าลองเชื่อไว้พลางๆ ก่อน เพราะเป็นเรื่องที่ผีบอกเอง ผีบอกเรื่องผีไม่เชื่อ แล้วจะมัวเชื่อคำบอกเล่าของคนที่ไม่เคยเห็นผีได้อย่างไร

ร.ต.สุภักดิ์ เองบอกว่า ตามปกติแกก็ไม่ใคร่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้อะไร แต่เมื่อมาประสบเข้ากับเรื่องของเด็กชายหนุ่มนี้เข้า รู้สึกว่าเชื่อจนหมดสงสัย เพราะพยายามพิสูจน์หาความจริงอยู่เสมอ มีคราวหนึ่งที่วิญญาณของเด็กชายหนุ่มมาเข้าสิงน.ส.เฉลียงบอกว่า "อยากดูทีวี" เขาจึงเปิดเครื่องทีวีให้ดู น.ส.เฉลียงนั่งหลับตาพริ้มหันหน้าไม่ตรงกับตู้ทีวี แต่เมื่อถูกถามถึงรูปร่างลักษณะของผู้แสดงละครในทีวีขณะนั้น ก็บอกได้ตรง ถามว่าขณะนี้คนนั้นกำลังทำอะไร หยิบอะไร เอามือวางไว้ที่ใด ก็บอกได้ตรงทุกอย่าง ร.ต.สุภักดิ์บอกว่า "ถ้าจะลองนั่งอย่างนั้นบ้าง จะไม่เห็นภาพในจอทีวีเป็นอันขาด"

และก็ยังพิสูจน์แบบอื่นๆ อีกหลายวาระ เป็นที่น่าอัศจรรย์เวลาที่วิญญาณเด็กชายหนุ่มเข้ามาสิงน.ส.เฉลียงนั้น บอกอะไรได้ถูกต้องตามที่ถาม ทั้งๆ ที่เรื่องราวอย่างนั้นเป็นความลับ นอกจากเขาเท่านั้นเป็นผู้รู้แต่ผู้เดียว นี่ก็เป็นอีกตอนหนึ่งที่ทำให้ร.ต.สุภักดิ์จำต้องเชื่อเรื่องของวิญญาณ

ตามที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็มิได้มีความมุ่งหมายให้ท่านทั้งหลายเชื่อเรื่องผีเจ้าเข้าสิงแต่ประการใด เห็นว่าเรื่องนี้พอจะลงกันได้กับพระสูตร ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า "เมื่อคนตายไปจากโลกนี้ ผู้ที่หวังสงเคราะห์ผู้ตาย ท่านให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ท่านผู้ตายจึงจะได้รับ ไม่ใช่เอาสำรับไปวางไว้ให้"

สมัย ที่อาตมายังรับนิมนต์สวดพระอภิธรรม เคยเห็นบ่อยๆ เกือบทุกราย เมื่อเวลาพระจะให้ศีล เจ้าภาพก็ไปเคาะข้างหีบศพบอกคนตายว่า "พระจะให้ศีลแล้วขอจงตั้งใจรับศีล" เวลาที่จะถวายอาหารพระ ก็เอาสำรับกับข้าวไปตั้งไว้แล้วก็บอกคนตายว่า "เอาข้าวมาให้แล้ว กินข้าวเสียเถอะ" เมื่อเห็นและได้ฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจ ด้วยทราบมานานแล้วว่าการทำอย่างนั้น ผีไม่มีโอกาสจะได้กิน

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ขณะ ทำบุญเพื่อให้คนตาย ส่วนใหญ่มักจะมีของที่เป็นศัตรูกับบุญผสมอยู่ด้วย เช่น ล้มวัว ล้มควาย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ เป็นต้น เวลาพระให้ศีล เวลาถวายทาน เวลาพระสวดหรือเทศน์ เจ้าภาพไม่ว่าง เมื่อเวลาอุทิศส่วนกุศลผีจะรับบุญจากไหน

ทางที่ดี ถ้าญาติฉลาด ก็เผื่อเหนียวไว้ก่อน พอตายปั๊บไม่ต้องทำบุญมาก แต่ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ คือหาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป ผ้าไตร ๑ ไตร พระพุทธรูป ๑ องค์ ถวายเป็นสังฆทานกับพระสงฆ์ ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบไข่แม้แต่ลูกเดียว เมื่อทำบุญเสร็จ ก็ให้อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครอื่นทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ คนที่ตายไปเป็นสัมภเวสีจะได้รับผลบุญทั้งหมดทันที จะมีความสุข มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด ท่านพวกนี้ก็จะไปถึงด้านสวรรค์ก่อน.."

หวังว่า คงได้ความรู้ วิธีปฏิบัติ และหายสงสัย เรื่องเข้าองค์ทรงเจ้า และสัมภเวสีไปบ้าง ไม่มากก็น้อย เรื่องของการทำให้เพลิน ข้าพเจ้าเองก็เคยประสบมาเหมือนกัน ลองอ่านแล้วไปพิจารณาดูเองนะครับไม่รู้ว่า เป็นฤทธิ์เหล้าหรือเปล่า สมัยก่อนยังไม่ได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ข้าพเจ้าเป็นยอดมนุษย์ขี้เมา เมากลับบ้านเป็นประจำ และทางกลับบ้านก็ต้องผ่านทางถนนรัชดาภิเษก ปกติถ้าเมากลับบ้าน จะขับรถช้าลง เหลือแค่ ๖๐-๘๐ กม./ชม. (จากความเร็วปกติ ๑๔๐ กม./ชม. ขึ้นไป) วันนั้นเมามากเป็นพิเศษ ตาเกือบจะปิด ก็ฝืนขับไปช้า ๆ ดูไฟถนนเอา พอมาถึงโค้ง ที่ดาราเขาไปตายกันเยอะ ๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่ ๆ แล้วมีผ้าผูกเยอะ ๆ หน่ะ(แต่ตอนขับไปนี่ ไม่รู้นะว่าตรงนั้นเป็นโค้งร้อยศพ) ปรากฏว่า แสงไฟส่องถนนเรียงรายออกไปทางด้าน "ขวา" คือถ้ามองแต่ไฟนี่ จะเข้าใจว่า ถนนเป็นถนนโค้งขวา เอ๊ะ...แต่เราขับผ่านทางนี้ประจำ จำได้ว่า ตรงนี้มันเป็นทางโค้งซ้าย นี่หว่า ขยี้ตาแล้วก็เห็นเหมือนเดิม เลยเข้าซ้าย จอดรถสักพักหนึ่ง แล้วขับรถต่อ พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้วถึงมานึกย้อน และเข้าใจว่า ที่เขามาตายกันตรงนี้เยอะ ๆ ก็คงเป็นเพราะเหตุนี้

ดัดแปลงจาก ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต

ฝากไว้สะกิดใจ

หากความจริง ใครยัง ไม่เคยคิด

ว่าชีวิต ไม่แน่ "เดี๋ยวก็ตาย"

น่าเป็นห่วง คนเช่นนี้ ช่างมากมาย

ไม่รับจริง ช่างน่า สงสารเอย ฯ

ความจริงเนื้อหาของหนังสือ ใกล้หมดนานแล้ว เหลือก็แต่ข้อคิดสะกิดใจ ที่พระมหาพรชัยเมตตาให้มา ซึ่งก็มาหมดสต็อกเอาในตอนนี้ และของมหาโอ๊ต ซึ่งท่านนำไปอัพไว้บนบล็อกของท่านเรียบร้อยแล้ว จะนำมาไว้ที่นี่อีก ก็คงจะซ้ำซ้อน เหลือเพียงคำแปลของบทสวดอภิธรรม ซึ่งจักนำมาอัพไว้ในตอนหน้า

ว้า...นึกว่าจะจบในตอนนี้แล้วเชียว ที่สุดก็ต้องขอค้าง ไปจบในตอนหน้า จักได้เป็นมงคลแก่ตัวเองเสียที ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผล จงมีแก่ท่านทั้งหลาย ที่ติดตามอ่านมา ตั้งแต่ตอนแรก จนถึงตอนนี้ ทุกประการเทอญ ฯ

ของแถมครับ ฉลองที่เพิ่งสามารถทำให้หน้าเอ็นทรี่มีเสียงธรรมะได้ เอาเรื่องของคนระลึกชาติได้ไปฟังสัก ๒ เรื่องเป็นไง

อะไรเอ่ย...คืองานศพ ตอนที่ ๗ - คุยกับผี ภาค ๒Dhammasarokikku

562581_455171214512488_771097169_n

เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากงานที่ตั้งใจจะเขียน หนังสือแจกงานศพ ค้างไว้หลายเดือนแล้ว ได้ยินมาว่า การไม่มีงานคั่งค้าง เป็นอุดมมงคล จึงนำมาปัดฝุ่น เรียบเรียงเสียให้เสร็จ เพือให้เป็นมงคลชีวิต แก่ตัวผู้เขียนเอง ดังนี้

ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น กับเรื่องผี ๆ น่ายินดีครับที่มีคนสนใจเรื่องชีวิตหลังความตาย เลยขอยกมาอีกสักเรื่องหนึ่ง อ่านแล้วก็ได้ความรู้ดี ความจริงข้าพเจ้าเห็นว่า ชาวพุทธที่ปฏิเสธเรื่องผีสางนางไม้เทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์นี่ น่าสงสารที่สุดเลยครับ เพราะการปฏิเสธภพภูมิเหล่านี้ ก็เท่ากับปฏิเสธความมีอยู่ของวัฏสงสารด้วย ทั้งที่เรื่องวัฏสงสาร เป็นเรื่องที่สำคัญอันดับหนึ่งเลย ของการศึกษาศาสนาพุทธ จะว่าท่านเลือกเชื่อเป็นบางภพภูมิ ที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ก็ฟังไม่เข้าท่า พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ๓๑ ภพภูมิ ท่านเลือกเชื่อบางภพบางภูมิ ก็เท่ากับ ท่านสังสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าซีครับ ดีไม่ดี หนักเข้าก็อาจจะเผลอไปปรามาสพระไตรปิฎก(ซึ่งก็คือพระธรรม)เข้าสักวันว่า พระไตรปิฎกเชื่อถือไม่ได้ ผิดเพี้ยน เพราะอายุอานาม เก่าแก่เหลือเกิน ก็จะกลายเป็นโทษใหญ่

ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต

ไฟ

กี่นาที ร่างนี้ ไร้วิญญาณ

ถูกไฟผลาญ เผาวอด มอดเป็นผง

นั่นตายแล้ว เขาถึง เผาไฟปลง

ไฟอื่นคง เผาเป็น เช่นเราตาย

ไฟใดหนอ เผาใจ เสมอนะ

ไฟราคะ เช้าเย็น เช่นสหาย

ไฟโทสะ นั่นแล เผามิคลาย

ไฟหลงตาย หลงคิด ติดตัวตน ฯ 

เรื่องที่นำมาลงนี้ อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความหนักแน่นของการมีอยู่ของผี วัฏสงสาร และเจ้ากรรมนายเวร จักได้มีความเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรมากขึ้น เรื่องนี้ได้รับมาทางฟอร์เวิร์ดเมล์ อาจจะมีผู้เคยได้อ่านบ้างแล้ว กระมัง

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดกับตัวผม....

ไม่ว่าจะพูดที่ไหนกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็อย่างนี้ ผมจะเริ่มเล่าเรื่องว่า....

603031_10150961427787508_534199937_n ผม(นายแพทย์ อาจินต์ บุณยเกตุ )ได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นอายุราว ๆ 16-17 ปี ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีนและก็เป็นเรื่อยมาระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็น ๆ หาย ๆ โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลาง กระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว

ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ ก็พอบรรเทาไปได้ เคยขอให้อาจารย์ที่ศิริราชตรวจ ท่านก็บอกว่า สายตามีส่วนช่วยทำให้ปวดได้ เพราะสายตาไม่ดี ผมก็เลยสวมแว่นตามาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนถึงบัดนี้

สรุปว่า ผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบ ๆ ปี....

ตอนที่เป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ต ก็ยังเป็นตอนไปศึกษาต่อที่อเมริกาก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม แต่พอจะผ่ามันก็เกิดหายปวด เพราะมันเป็น ๆ หาย ๆ หมอที่นั่นก็เลยไม่กล้าผ่า

พอศึกษาจนจบ ก็กลับมารับราชการต่อ ตามโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง ตอนปี พ.ศ. 2504 ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ ฝ่ายวิชาการ เกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ตอนนี้เอง

โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ (พ.ศ.2508) คุณ หมอสิริ บุณยะรัตเวช หัวหน้าศัลยกรรม ร.พ.รามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท ท่านผู้นี้เอง ที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดยาเข้าในสมอง ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย

ท่านบอกว่า หนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดสมองเส้นที่ห้านี้ เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกทีคนโบราณเรียกว่า “ลมตะกัง” หมอปัจจุบันเรียกว่า “ไมเกรน” หรือ 'ติ๊ดเตอลารูไทรเจมินัลนิวราลเจีย' เป็นชื่อเดียวกัน การรักษา ยากมาก

ตอนปี พ.ศ. 2504 นั้น คุณหมอสิระ ยังไม่กลับจากการเดินทางต่อจากอังกฤษ ท่านเรียนจนสำเร็จเป็นราชบัณฑิตในวิชาศัลยศาสตร์ แห่งประเทศอังกฤษ ท่านกลับมาตอน พ.ศ. 2507 หรือราวๆ นั้น

ท่านศาสตราจารย์ น.พ.อุดม โปษกฤษณะ เป็นผู้รักษาผม มีศาสตราจารย์ น.พ.วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชา ศัลยกรรม และ ศาสตราจารย์ น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย ทั้งสองท่านเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน

ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่หาย....

ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์ และเพื่อนฝูง

แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน....

คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย พยาบาลจะให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมก็นอนหลับตา เอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อย ๆ

ที่ผมทำแบบนี้ได้เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2500 ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาส หนึ่งพรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่อาการปวดก็สงบลง มันก็เป็นเช่นนี้ คือ ปวดสักพัก แล้วก็บรรเทา

พอสงบ ผมก็สงบจิตทำสมาธิต่อไป....

ประมาณสามทุ่มเศษๆ ผมก็หลับตาเห็น....เด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง.... ก็ลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า.... 'ใครมา?'

ได้รับคำตอบว่า “ดึกแล้ว....ไม่มีใครมาหรอก....”

ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนยังกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่หน้าตายังเด็ก มายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล

เมื่อเห็นเช่นนั้น ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า....“หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่....”

ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน รวมทั้ง คุณ ใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ จนทุกวันนี้ และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย....

ภรรยาผม มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า “เธอ นี่อยู่นี่ๆ” ก็คงคิดว่าผมป่วยมากจนเพ้อ.... ผมก็บอกว่า “ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก....” แต่ว่า....มีใครเห็นไหม? หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่.... สองคนนั้นตอบว่า.... 'ไม่มีใครอีกแล้ว....'

ผมสังเกตเห็นว่า ทั้งสองคนนั้นขยับตัว เข้ามาชิดกัน ภรรยาทำท่าจะสวดมนต์ หรือพนมมือไหว้พระปลก ๆ

แต่ผมก็ยังข้องใจ.... เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม!

ผมก็เลยพูดออกมาดัง ๆ กับภรรยา และพยาบาลในห้องว่า....

“จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วย” แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดังๆ ว่า

“หนูเป็นใคร....มาทำไมในห้องนี้?”

แม่หนูตอบว่า “หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว”

โดยผมจะคอยทวนคำตอบ ดัง ๆ ....ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด....

“เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้....หนูเป็นอะไรตาย?”

“ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ”

ภรรยา และพยาบาลช่วยกันจดใหญ่.... “หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?”

“ตาหนูเป็นพระยาค่ะ” ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วยตัว.. “อ”.. ลงท้ายด้วย ..“สิริ”

ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินกันทุกคน....

“งั้นหนูก็เป็นหลาน....” ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออก แล้วพูดออกมาว่า....

“หลานเจ้าคุณ อัชราชทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ ?”

หนูคนนั้นก็ตอบว่า “ใช่ค่ะ! คุณอาเก่งมาก”

“แล้วพ่อของหนูล่ะ?”

“คุณอาไม่รู้จักหรอกค่ะ”

ผมถามต่อไปว่า “หนูมีพี่น้องกี่คน?”

“มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว”

ผมทบทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย....

“หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ”

603121_3357079772856_1629452350_n “หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีหลายที่ตึกเด็ก.... เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา .... และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ”

จากนั้น คุณแม่หนูอ้วนก็หายไป.... หายวับไปเลย....

ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา กับพยาบาลฟัง.... พยาบาลคนนั้น ตื่นเต้นมาก พลางบอกกับผมว่า....

ที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้.... ห้องนี้หรือเปล่า? เพราะเธอแปลกใจและสนใจมาก ที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน....

จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธๆ ๆ ไปด้วย

ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนั้นเอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างรุนแรง.... ทำให้ผมตื่นขึ้นมาอีก.... แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว....

ตอนนี้ เงียบสงัด แต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียว ด้วยความปวดที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หู ว่า....

“เธอ! พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง....เข้ามาซิ”

ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร....แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกว่า....

“เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ!”

ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วน ก็คนเก่า อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย 12 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผม .... แล้วพูดว่า ....“พ่อ! หนูมาช่วยพ่อ”

ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า ....

'เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม?....เด็ก ๆ มายืนอยู่ที่นี่แนะ!'

พยาบาลเปิดไฟในห้องสว่างพรึ่บ แล้วบอกว่า.... 'ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ?'

“มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ....”

พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ไปที่ตัวเด็ก....

คุณใบยกเก้าอี้มาสองตัว ให้แขกที่มองไม่เห็นตัวนั่งข้างเตียงทันที....

ภรรยาผม กับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน....

แล้วทั้งสองก็พนมมือทำท่าสวดมนต์อีกรอบ....

หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป “คุณ อาคะ หนูไปก่อนนะคะ ” ว่าแล้วก็หายวับไปทันที เหลือแต่แม่หนูตัวเล็กคนเดียว....

ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้....

แล้วถามว่า....'คุณพ่อปวดศรีษะมากหรือคะ?'

ผมตอบว่า.... 'ตอนนี้ปวดมากจ้ะ!'

เธอยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะ ด้านที่ปวดของผมไว้แล้วบอกว่า “สักครู่จะทุเลา”

ต่อจากนั้นสักพัก อาการปวดก็สงบ....

ผมจึงถามเธอว่า.... 'หนูเป็นใคร? แล้วทำไม มาเรียกว่า พ่อ?'

ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก.... “ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อ....”

ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูว่า.... “อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ”

ต่อไปนี้ เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กผู้หญิงคนนั้น....

โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย....

“ชาติก่อนนี้ หนูเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง”

“เป็นผู้หญิงค่ะ”

“หนูเป็นอะไรตายในชาติก่อน?”

“หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น และตกน้ำตาย”

“หนูตายที่ไหน?”

“ตกน้ำตาลที่โรงโม่”

ผมไม่รู้จักท่าโรงโม่ จึงถามเธอว่า “โรงโม่อยู่ที่ไหน?”

“ก็แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่”

“ตอนที่ตกน้ำตายหนูอายุเท่าไหร่?”

“ก็สิบกว่าขวบค่ะ”

“ชาติก่อนนี้ พ่อเป็นอะไร”

“ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล”

“....ราชมัล เป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก?”

“ราชมัล เป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย”

ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ ผมไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น แล้วจึงถามแม่หนูนั้นว่า “ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย?”

เธอตอบว่า “ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามมาสนองในชาตินี้”

ผมแย้งว่า “ก็ทำตามหน้าที่…หน้าที่ คือ ควบคุมทรมานเขา เราไม่ทำ เราก็ผิด....”

แม่หนูก็ตอบว่า....“ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกคดีฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่าง ๆ แก่ราษฎร.... ความจริงนั้น เขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านมารวมหัวกันใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถามเขา เขาไม่ได้ทำ ก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ พ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บ แล้วเอาเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบ เพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับสัตย์ว่าเป็น เขาก็ไม่รับ ในที่สุดก็ทนทรมานไม่ไหว ก็ขาดใจตาย!

ก่อนตาย... เขาผูกใจอาฆาตพยาบาทไว้ว่า จะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร....

....

ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้ว.... จึงได้ป่วยเช่นนี้” <---มักจะมีคนสงสัยบ่อย ๆ เรื่องต้องฆ่าคน หรือฆ่าสัตว์ โดยหน้าที่ อ่านเรื่องนี้แล้ว น่าจะได้ความกระจ่าง

ผมทวนทำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาผมและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด

ผมจึงถามต่อไปว่า 'เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที?'

แม่หนูตอบว่า “พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้ '

ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอด ก็ขอให้ผมถามว่าเมื่อชาติก่อนเธอเป็นอะไร?

แม่หนูตอบว่า “คุณแม่ เมื่อชาติก่อนนี้เป็นแม่ชี บวชเป็นแม่ชีถือศีลกินเพล อยู่วัดใต้” ผมก็ไม่ทราบว่า วัดใต้ ไหน

แม่หนูบอกว่า “เวลาผมปวดประสาทมาก ๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลง”

แล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวด พลางก็พูดว่า.... “พรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ”

ผมย้ำว่า 'พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากระโหลกศีรษะพ่อหรือ?'

เธอก็พยักหน้ารับคำ แล้วก็บอกว่า ....“หนูจะไปก่อนล่ะ"

ภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ม่อยหลับกันไปทั้งหมด...

รุ่งขึ้นเวลา 8 นาฬิกา....

อาจารย์ หมออุดม มาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจน ดิ้นถึงสองครั้ง

ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า....

“แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก”

แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด....

ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่....

เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด

ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง....

มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย !

สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนหัวโกนคิ้วด้านขวา ขึ้นไปถึงกลางศีรษะ แล้วทำความสะอาด

ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สะลืมสะลือก็ประเภทมอร์ฟีน จวนๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคนไข้ ก็เข้ามาเทียบเอาตัวผมนอนเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว และแล้วผมก็สิ้นสติไปเมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด….

ผมมาทราบตอนหลังว่า ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น....

พยาบาลในห้องได้ไปคุยกับหัวหน้าตึกแล้วคุยกันต่อๆ กันไป ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น ทุกคนก็อาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน ที่ประหลาดใจมากก็คือ ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลยไม่ทำงานอยู่ในนั้น

เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน และเด็กผู้นั้น ก็ถึงแก่กรรมที่เตียงผมป่วยในตึกวิบูล

ด้วยความสนใจพยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติ และสืบประวัติของผู้ป่วยในตึกนี้

ในปี พ.ศ. 2502 –2503 ค้นอยู่นาน เพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย

และในที่สุดก็ค้นพบว่า....ได้มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งป่วย และถึงแก่กรรมด้วยโรคอ้วนในห้องนี้จริง!

ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่อง ก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อย ๆ

แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่า เด็กที่มาหาคุณหมอที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อน เมื่อคืนนี้ มาบอกว่าจะถูกผ่าตัดเช้าวันนี้ พอรุ่งขึ้นเช้าอาจารย์อุดมก็มาเอาตัวไปจริง ๆ

....แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.... พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก และจากตึกนี้ไปตึกโน้น ไปจนทั่วโรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน....

อาจารย์หมออุดม ท่านเคยรักษาโรคนี้ผมมาสองสามครั้งแล้ว....

โดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทส่วนที่ปวด แต่ไม่ได้ผล มันเหมือนกับตีงูให้หลังหัก โรคก็อาละวาดใหญ่

ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ประมาณ 4 ครั้งในสองปี เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย....

โดยเจาะกระโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย....

คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขา ตามที่แม่หนูเธอบอก....

เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาด ราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น

จากนั้นก็เอามีดเอากรรไกรเข้าไปตัดเส้นประสาทที่ห้า

แต่อาจารย์ท่านว่าการผ่าตัดทำได้ด้วยความยากลำบาก เพราะรื้อรังมานาน....

ประกอบกับได้รับการฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น ....

ผลการผ่าตัดไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าคงได้ผลไม่น้อย....

การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราวๆ สี่ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว

พอราว ๆ เที่ยงเขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ที่ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ซึ่งทั้งสองท่านนี้มีศักดิ์ เป็นลุง เป็นป้าผมด้วย ทุกคนคิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือเกิน ระหว่างที่คอยรอรับผมในห้องภรรยา และพยาบาลได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกท่านฟัง ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ

ค่ำวันนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก....

ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่า ปวดแผล มิหนำซ้ำโรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานมากกว่าเก่า มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะ ร้องปวดดิ้นไป และแล้วก็นึกขึ้นได้...

“หนู! ช่วยพ่อด้วย” ผมตะโกนออกมาดัง ๆ

ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างก็ได้รับฟังเรื่องราวโดยละเอียด....

ต่างก็สงบ มีแต่ผมผู้เดียว ทุรนทุรายอยู่บนเตียง....

ชั่วอึดใจเดียว....

ก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงที่เคยบอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง

ผมจึงถามว่า.... “มาแล้วหรือลูก ช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือจะทนแล้ว!”

แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า “เดี๋ยวจะทุเลา”

ก็เป็นจริงดังว่า อาการปวดก็ทุเลา พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยามาก็เลยไม่ต้องฉีด

คุณใบ ก็ช่วยยกเก้าอี้มาให้แขกที่แลไม่เห็นตัวนั่งอย่างเคย....

แม่หนูก็นั่งข้างเตียง เอามือเท้าคางตามเดิม ผมก็ถามว่า.... “หนูอ้วนไปไหนล่ะ!”

เธอตอบว่า.... “วันนี้ไม่ได้มา”

ทุกคนในห้อง ฟังผมคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า.... “หนูชื่ออะไรจ๊ะ?”

เธอตอบว่า “ก่อนที่จะตายนี้หนูชื่อ.... พิมพวดี”

“หนูเป็นอะไรตาย?”

“หนูเป็นไข้เลือดออกตายค่ะ”

'ตายที่นี่หรือ?'

“ตายที่ตึกเด็กค่ะ”

“ตายเมื่อไหร่จ๊ะ?”

“เมื่อปี 2502 ค่ะ”

“หนูมีพี่น้องกี่คนจ๊ะ”

“มีสามคนค่ะ”

“ผู้หญิง ผู้ชาย กี่คน”

“หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว”

“พ่อแม่คงจะเสียใจมากที่หนูตายไป”

579890_487787254570169_2076709610_n “พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างศาลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนูไปตั้งศาลานี้ มีรูปหนูและมีคำจารึก มีกระดูกที่เผาแล้วของหนู ฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ....…พ่อดีขึ้นแล้ว หนูลาไปก่อน แล้ว จะมาหาพ่ออีกค่ะ”

คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนในห้องได้ยินได้ฟัง และฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆ พยาบาลฉีดยาให้ผมอีก แล้วผมก็หลับไปจนเช้า โดยไม่มีอาการปวดรุนแรง มารบกวนอีกเลยในคืนนั้น....

เหมือนกับยังไม่สิ้นเวรกรรม อาการของโรคที่สงบไปคืนหนึ่งนั้น....

พอรุ่งขึ้นเช้ามันก็เอาอีก ปวดอีก ทุรนทุรายร้องครวญครางอีก อาจารย์ท่านมาดูอาการทุกเช้า ทุกวัน สั่งการรักษาทุกวัน เช้าสบาย สายปวด กลางวันสบาย บ่ายปวดดิ้น หรือพอตอนเย็นสบายชื่นฉ่ำ พอค่ำก็ร้องครวญคราง เป็นอยู่อย่างนี้ อีกสามหรือสี่วัน

ทุกครั้งที่ปวดผมก็จะนึกถึงหนูพิมพวดีทันที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวัน ก็จะได้ยินเสียงพูดว่า “พ่อ หนูมาแล้ว....” แล้วเธอก็เอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา คำพูดที่ผมพูดก็คือ.... “มาแล้วหรือลูก…”
ทุก ๆ คนที่มาเยี่ยมผม หรือมาอยู่ในห้องจะเงียบสงบ....

คอยฟังคำพูดของผมที่พูดกับวิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์ อย่างใจจดใจจ่อ เหมือนนัดกันไว้....

ในเย็นวันนั้น เย็นมากแล้ว....ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม ท่านได้ไปเยี่ยมพร้อมบุตรของท่านชื่อ คุณ วีระวัฒน์ บุณยเกตุ หรือที่ญาติเรียกชื่อเล่นว่า “บู๊” เป็นคนขับรถพี่ชายผมไปที่ศิริราช

และ(ตอนนี้)พี่ชายผมท่านถึงแก่อนิจจกรรมไปแล้ว จะเหลือก็คุณวีระวัฒน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม คุณทวีฯเป็นประจักษ์พยานอีกท่านหนึ่ง

โดยในขณะนั้นอาการปวดของผมกำเริบปวดขึ้นมาก ๆ ผมนอนร้องเรียกหนูพิมพ์ให้มาช่วย คุณทวี ก็ทราบเรื่องอยู่บ้างแล้วจากคำบอกเล่าของญาติ ๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่ ซึ่งปกติท่านไปเยี่ยมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก และร้องเรียกหนูพิมพ์ ว่า “ลูก…มาช่วยพ่อที”

คุณทวีทราบเรื่องนั้นจากญาติพี่น้องหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ ท่านมาเห็นพอดี คือ พอผมเรียก หนูพิมพ์ หนูพิมพ์ก็มา ผมก็ถามว่า.... “ผ่าตัดแล้วทำไมยังไม่หายอีก”

หนูพิมพ์ตอบว่า.... “ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรหมดกรรมที่ทำไว้....”

“แล้วเมื่อไหร่จะหาย?”

เธอตอบว่า.... “ก็ราว ๆ อีกสี่ปี พ.ศ. 2508 นั่นแหละ”

ผมก็ถามดังๆ ต่อไปว่า “แล้วจะทำอย่างไรต่อไป”

เธอตอบว่า “พรุ่งนี้แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าตัดอีก จะต้องผ่าอีกสองครั้ง รวมเป็นสี่ครั้งในคราวนี้....”

ผมก็ทวนคำพูดของเธอแล้วร้องว่า.... 'ต้องผ่าถึงสี่ครั้งเชียวหรือ?'

คุณทวีนั่งฟังอย่างสงบ ทุกคนเงียบคอยฟังครู่ใหญ่ๆ อาการปวดก็บรรเทา....

หนูพิมพ์จึงบอกกับผมว่า “หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับส่วนกุศล ที่เขาอุทิศให้ ที่ศาลาพิมพวดี....”

ทุกคนได้ยินคำพูดที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์....

ผมจึงถามเธอว่า ....'เขาอุทิศกุศลให้เรื่องอะไร?'

เธอตอบว่า “เขาบำเพ็ญกุศลศพใครก็ไม่รู้ที่ศาลา คนตายมีเหรียญตรา มีสายสะพาย..” ผมก็ทวนคำพูด ออกมาดัง ๆ

คุณทวีก็อยากจะพิสูจน์ จึงให้คุณวีระวัฒน์บุตรชายขับรถยนต์ออกไปเดี๋ยวนั้น ไปดูซิว่าที่ศาลาพิมพวดี วัดมกุฎฯ มีการบำเพ็ญกุศลศพใคร ศพมีเหรียญตรา น่าจะรับพระราชทานเพลิงศพ ที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทร์ฯ เพราะหนูพิมพ์บอกว่ามีสายสะพาย....

คุณ วีระวัฒน์ บุณยเกตุ จึงรีบขับรถออกจากศิริราชไปที่วัดมกุฎฯ ทันที....

ปรากฏว่าเป็นความจริง....

คืนนั้น มีการนำศพออกมาจากสุสาน นำมาบำเพ็ญกุศล....

พรุ่งนี้จะรับพระราชทานเพลิงศพ ....

เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมได้ลืมชื่อของท่านไปเสียแล้ว....

รูปถ่ายหน้าโกศเป็นรูปเต็มยศ ....

มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริงๆ คุณวีระวัฒน์ฯ จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีฯ ว่า....

เป็นจริงอย่างที่ผมทวนคำพูดทุกประการ....

ผมต้องเล่าย้อนไปนิดหน่อย....

คือตอนที่หนูพิมพ์นั่งอยู่ข้างเตียงผม เอามือเท้าคางยันขอบเตียงอย่างเคย....

เธอพูดว่า “เสียดาย”

ผมถามว่า 'เสียดายอะไร?'

เธอตอบว่า “แก้วระย้าที่โคมไฟในศาลา คนที่ยกขาหยั่งวางพวงหรีด ทำขาหยั่งไปโดนแก้วช่อระย้า ตกลงมาแตกหลายช่อ ทำให้ไม่สวย พ่อแม่ก็ไม่ทราบ อีกสองสามวัน คุณ พ่อหนูชาตินี้ จะมาเยี่ยมพ่อ พ่อช่วยบอกคุณพ่อหนูให้ช่วยเปลี่ยนช่อระย้าที่ตกลงมาแตกให้ที หนูไม่สบายใจ....”

ผมทวนคำพูดนี้ให้ทุกคนได้ยิน รวมทั้งคุณทวีฯด้วย ก่อนที่คุณวีระวัฒน์ฯจะกลับมาจากวัดฯมารายงานเรื่องศาลา นั้น....

คุณทวี และบุตรชาย กลับไป ด้วยความประหลาดใจว่า....

ผมนอนเจ็บอยู่ตั้งสิบกว่าวันแล้ว ทำไมรู้เรื่องที่จะเผาศพรองอธิบดีกรมเจ้าท่า....

และศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลาพิมพวดี....

วิญญาณคงมาบอกจริง ๆ วิญญาณมีจริงหรือ? คนตายแล้วยังวนเวียนอยู่หรือ....

....อะไรที่มาพูดกับน้องชาย....

ผมว่า ท่านคงนอนคิดไปนาน....

คืนนั้น ผมปวดอีกครั้งหนึ่ง....

พอเช้า อาจารย์อุดมฯก็มาเยี่ยมอย่างเช่นเคย พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่าไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อนแปดนาฬิกา....

ผมตะลึง ภรรยา และพยาบาล งง ทุกคนในตึกนั้น เมื่อได้ทราบคำสั่งก็ประหลาดใจ เพราะพยาบาลที่เฝ้าเธอเล่าให้เพื่อน ๆ เธอฟังตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า เช้านี้ผมจะต้องถูกผ่าตัดอีก เพราะหนูพิมพ์ บอกไว้....

แล้วผมก็ถูกนำไปห้องผ่าตัด ผ่าตัดดึงเอารากประสาทเส้นนี้ออกมา โดยพยายามดึงเอาออกมาให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ราวๆ ตอนเที่ยงก็กลับมาห้องนอนที่ตึกพัก โดยสลบมาบนรถเปลตามเคย....

พอฟื้นขึ้นมา อาการปวดเจ็บแผลก็มาแทน แต่อันนี้ระงับได้ด้วยการฉีดยา พยาบาลฉีดยาระงับปวดให้เป็น ระยะๆ

พอค่ำลงก็สงบ ญาติพี่น้องเพื่อนๆ เข้ามาเยี่ยมกันมากมายตามเคย ที่มาเยี่ยมจริงๆ ก็มีที่อยากจะรู้เรื่องวิญญาณของเด็กที่มาช่วยผมก็มี....

พอสักสามทุ่มคืนนั้น หนูพิมพ์ก็มาอีกตามเคย....

เธอเอามือมาวางที่ขมับข้างที่ผมปวดทั้งแผลผ่าตัด และที่ปวดอยู่เดิม....

ทำอย่างไรก็ไม่หาย ผมนอนทนเอา ภาวนาบริกรรมจนหลับไปในที่สุด....

แล้วเธอก็จากไป....

ข่าวลือ ข่าวจากปากต่อปาก ไปไกลกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน และก็แน่นอน ข่าวนั้น ก็ต้องการมากกว่าความจริง

จนวันหนึ่ง....คุณชิต สุวรรณปัทม์ เคยเป็นพยาบาลอาวุโส ที่สายนัดดาคลินิก ของ นายแพทย์ ม.ล.เต่อ สนิทวงศ์ ซึ่งผมเคยทำงานกับท่าน เมื่อ พ.ศ. 2493-2495 ก็สามสิบแปดปีมาแล้ว เป็นคนที่ชอบพอกัน ในสมัยที่ทำงานอยู่ด้วยกัน

เธอมาเพื่อมาเยี่ยมแล้วมาบอกกับผมว่าจะมีคนมาพบมาหา และคุยเรื่องหนูพิมพวดี ผมก็บอกเธอว่า ก็มีอย่างที่พยาบาล และภรรายาผมได้ยินได้ฟังเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น (คุณ ชิต นี่ ถึงแก่กรรมไปเมื่ออายุราวๆ 70 ปี)

ถัดต่อมา อีกวันหรือสองวัน เย็นๆ ก็มีชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อนมาขอเยี่ยม

ดูเหมือนจะเป็นเวลา 18-19 น. ขณะนั้นอาการผมดีขึ้นนิดหน่อย ไม่ปวดประสาท สองท่านนี้เอาพวงมาลัยพวงใหญ่มาแขวนให้ผมที่หัวเตียงนอน ในห้องเผอิญจุดธูปหอมบูชาพระ กลิ่นผสมกันหอมพิกล ทำท่าจะเหมือนศาลเจ้าไหหลำไปโน่น....

สักครู่ใหญ่ คุณผู้ชายที่มาด้วยก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กผู้หญิงราวๆ สามสิบใบคงได้ มาวางเรียงบนที่นอนผม ผมชักสงสัยว่าท่านจะมาทำพิธีปัดรังควาน หรือทำพิธีแขก ที่เรียกว่า “อิศวระกุมารี” คือเอาเด็กพรหมจรรย์ มาบุชาพระอิศวร บนบานศาลกล่าวให้ผมหายป่วยไข้ หรืออย่างไร

แต่ไม่ใช่…. พอท่านค่อยๆ เอารูปถ่ายมีขนาดสักสองนิ้วบ้าง สามนิ้วบ้าง มาวางเรียงเต็มหน้าเตียง ที่ผมนอนอยู่ เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ถามว่า “คุณหมอ ช่วยชี้ซิครับว่า คนที่มาหาคุณหมอ มาคุยกับคุณหมอ แล้วบอกว่าชาติก่อนเป็นลูกสาวคุณหมอ และชาตินี้เกิดมาเป็นลูกสาวผมน่ะ …คนไหนในรูปถ่ายที่นำมาเรียงอยู่นี่…?

ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบแว่นตามาสวมดูไปที่ละรูป ดูไม่นานนัก โดยวิธีหยิบรูปที่ไม่ใช่รูปหนูพิมพ์ออกมากอง ทีละใบๆ จนเหลือใบสุดท้าย ทิ้งไว้บนเตียงหนึ่งใบ และก็หยิบรูปนี้ขึ้นมาชูพลางบอกว่า “หนูคนนี้แหละครับ ที่มาหาผมทุกวัน”

ทั้งสองท่านที่มาเยี่ยม หุบรอยยิ้มที่มุมปาก คุณผู้หญิงร้องไห้โฮใหญ่ คุณผู้ชายก็เช็ดน้ำตา แล้วกล่าวว่า....

“ใช่แล้วครับ รูปนี้คือรูปถ่ายหนูพิมพวดี ลูกสาวผม ถ่ายในเครื่องแบบนักเรียน ส่วนนอกนั้นเป็นรูปเพื่อน ๆ ของหนูพิมพ์”

ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น เงียบหมด แทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ ต่างคนต่างขยับเข้ามา ดูรูปหนูพิมพพ์ที่อยู่ในมือผม....

พอบรรยากาศค่อยคลี่คลายไปในทางปกติขึ้นแล้ว....

534879_229806627119072_229413671_n ท่านที่มาเยี่ยมก็บอกว่า “ผมทราบดีจากคุณชิต ก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยม และสอบถามถึงลูกสาวผม เพราะทุกวันนี้ ก็ยังระลึกถึงหนูพิมพ์อยู่เสมอ แกเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก ท่านั่งประจำของแก ก็คือ ท่านั่งเท้าคาง เอาข้อศอกยันพื้นไว้ อย่างที่คุณหมอพูดจริงๆ ผมชื่อ เสียง โหสกุล ครับ ผมมีกิจการส่วนตัว ค้าขายเครื่องอะไหล่รถยนต์ทุกชนิด ที่เป็นตึกสามชั้นอยู่ตรงสามแยกสะพานนนพวงค์ ทิศใต้ของโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ฯ นี่เองครับ....

ผมก็ถามคุณเสียงว่า “คุณเสียงมีบุตรธิดากี่คน”

“คุณเสียง ก็ตอบมาผมจำได้ไม่ชัดเจนว่า 3 หรือ 4 คน แต่ที่แน่ๆ มีธิดาคนเดียวคือ หนูพิมพ์ เธอป่วยด้วยไข้เลือดออก เสียชีวิตที่ตึกเด็กโรงพยาบาลศิริราช ประมาณปี พ.ศ. 2502 จริง ....

ส่วนเรื่องเด็กอ้วนๆ ที่ตายด้วยโรงอ้วนนั้น ไม่ทราบเรื่อง....”

ผมก็ถามคุณ เสียง ว่า มีอะไรเกี่ยวกับหนูพิมพ์อีกไหม ผมอยากทราบ....

คุณเสียง ก็พูดว่า “เช้าวันหนึ่ง มีพระภิกษุห้ารูปจากวัดเทพศิรินทร์นี้เอง ได้เดินไปที่ร้านเสรียนต์ มีตาลปัตรทุกอง ค์และมีลูกศิษย์ตามไปด้วยสองสามคน พอพระมาถึงก็ก้าวเข้าไปในร้าน ลูกศิษย์ก็ร้องบอกว่า....'พระมาแล้วครับ' คุณเสียงจึงถามว่า.... 'มาเรื่องอะไร?'

พระรูปหนึ่งท่านก็พูดว่า “ที่เมื่อวานนี้ ให้เด็กผู้หญิงไปนิมนต์พระมารับสังฆทานห้ารูป นิมนต์ให้มาที่นี้”

คุณเสียง ก็พูดว่า ไม่เคยให้เด็กคนไหนไปนิมนต์....

พอดีพระเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของหนูพิมพวดี ที่ติดไว้ข้างฝาท่านก็ชี้ว่า “หนูคนนี้แหละที่ไปนิมนต์ อาตมานั่งอยู่ด้วยกันสามองค์ได้ยินชัดทั้งสามองค์ ส่วนอีกสององค์นั้น อาตมานิมนต์มาให้ครบห้าองค์ ตามที่แม่หนูบอก”

คุณ เสียง ตกตะลึง และงงเป็นที่สุด จะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ และวันนี้เป็นวันที่ถึงแก่กรรมของหนูพิมพ์ด้วย....

พ่อแม่จะทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้อยู่แล้ว....

ฉะนั้นก็เลยเปลี่ยนเป็นถวายสังฆทาน ตามที่หนูพิมพ์ปรากฏร่าง ....

ไปนิมนต์พระมา ให้เสียเลย....

ก็แปลก....วิญญาณในร่างของหนูพิมพ์ไปนิมนต์พระมาทำสังฆทานให้กับตน....

ในวันตายของตน....

คุณ เสียง ถามต่อไปว่า ตอนนี้หนูพิมพ์อยู่ที่ไหน ผมก็บอกว่า “หนูพิมพ์ยังอยู่แถว ๆ นี้ และมาเยี่ยมผมเกือบทุกคืน โดยมากก็ไม่เว้น แต่บางที่ก็มาตอนกลางวัน…

หนูพิมพ์บ่นว่าคนถือขาหยั่งที่วางพวงหรีด เอาขาหยั่งไปเกี่ยวกับระย้าโคมไฟกลางศาลาพิมพวดี ตกลงมาแตกหลายอัน พ่อเธอไม่รู้เลยไม่มีใคร ไปทำให้ดีเหมือนเก่า เธอเสียตายมาก”

ผมก็นอนอยู่ที่เตียงนี้มากว่าสิบวันแล้วไม่เคยไปนั่งในศาลาที่ว่านี้ หากจะไปงานศพที่วัดใด ผมก็มักจะนั่งข้างนอกศาลา เพราะข้างนอกเย็นดี แล้วผมจะรู้ว่าที่กลางศาลาพิมพวดี มีโคมไฟระย้าห้อยอยู่ ได้อย่างไร แล้วเดี๋ยวนี้ตกลงมาแตกหลายอัน....

คุณเสียง จึงไห้คนขับรถบึ่งไปดูโคมไฟ ว่า เป็นจริงตามที่ผมพูด หรือไม่

คนขับรถกลับมา ตอนหลังก็มาเรียนว่า “ระย้าที่ห้อยโคมไฟขาดไปหลายอัน สงสัยว่าจะตกลงมาแตก”

ท่านจึงสั่งว่า “พรุ่งนี้ให้ช่างไฟไปดู แล้วไปจัดการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย”

คุณเสียง และภรรยา นั่งอยู่อีกสักพักก็กลับ ก่อนกลับได้ถามผมว่า หนูพิมพ์พูดหรือเปล่าว่า วิญญาณของเธอจะไปไหนต่อ....

ผมก็ตอบว่า “อีกไม่ช้าหนูพิมพ์จะไปเกิด และทีนี้จะไปเกิดเป็นผู้ชาย.... เธอคุยกับผมว่าอย่างนั้น”

พอได้ยินคำนี้ ภรรยาคุณเสียงก็ยกมือไหว้พึมพำว่า “เกิดชาติใดฉันใดขอให้มาเป็นแม่ลูกกันอีก”

ก่อนจากกัน ทั้งสองท่านได้ออกปากเชิญผมว่า ถ้าผมหายป่วยเมื่อไหร่จะเชิญผม และภรรยา ไปรับประทาน อาหารที่บ้านสักครั้ง บ้านท่านอยู่ถนนสุขุมวิท จะเป็นซอยนานาใต้ หรือไร ผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว และเมื่อผมหายป่วยในคราวนั้นกลับบ้านแล้ว ผมก็ได้ไปตามคำเชิญ โดยมีญาติมิตรท่านมาฟัง และดูหน้าตาผม....

เมื่อตอนที่จะจากกันที่ศิริราชในคืนนั้น ผมออกปากขอรูปถ่ายของหนูพิมพ์ไว้....

เพื่อจะได้ดู และอุทิศกุศลให้เธอ เวลาสวดมนต์และทำบุญกุศล....

ซึ่งผมได้ปฏิบัติดังนี้มากว่า 27 ปีแล้ว....

ซึ่งท่านก็กรุณามอบในใหญ่ขนาดโปสการ์ดให้ผมมาหนึ่งใบ....

เห็นจะเป็นเพราะว่าวันนั้นไม่ได้พักผ่อน และสนทนาพาทีกันมาก....

547289_239068139545573_676329950_n พอค่ำอาการปวดก็มาเยือน คราวนี้ปวดบริเวณเหนือคิ้วข้างขวามากที่สุด แล้วเลยลามไปปวดตั้งแต่ขมับไป กึ่งกลางกระหม่อม มันทั้งแสบทั้งปวดเหมือนเอาไฟมาอัง ปวดอยู่นาน ผมนึกไปถึงหนูพิมพ์พยายามเข้าสมาธิไปมันก็ไม่ทุเลา หนูพิมพ์มาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอรู้ว่าเธอมาผมก็พูดว่า “มาแล้วหรือลูก”

สองคนนั่งเฝ้าฟังอย่างเคย แต่คราวนี้พยาบาลที่ตึกมาฟังด้วย

ผมถามว่า “เมื่อไหร่จะหาย หรือหมดเวรกรรมเสียทีมันทรมานจริงๆ…”

หนูพิมพ์ก็ตอบว่า “อีกสี่ปีถึงจะพบหมอที่จะรักษาให้หายขาดได้ เมื่อนั้นก็หมดเวร แล้วก็จะมีความสุขตลอดไป"

ผมก็ถามต่อไปว่า “แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ไนตอนนี้ เพราะตอนนี้ปวดมาก”

เธอตอบว่า “พรุ่งนี้ พ่อจะต้องถูกผ่าตัดอีก คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับงวดนี้ และจะเป็นการผ่าตัดที่ทารุณที่สุดในชีวิตพ่อ!'

ผมก็ทวนคำพูดของเธออีกว่า “พรุ่งนี้พ่อจะต้องถูกผ่าตัดอีกหรือ แล้วจะทารุณที่สุดด้วยหรือ”

ทุกคนในห้องเงียบ มีแต่ความเวทนาและสงสาร ภรรยาผมเชื่อสนิท จนถึงกับน้ำตาไหล ด้วยความรันทด ผมนั่งเอาศีรษะกดไว้ที่ขอบเตียง บางทีก็อยากจะเอากระแทกลงในที่เหล็กหัวเตียง เพราะความเจ็บปวดจิตใจตอนนี้แทบจะอดทนไม่ได้....

พยาบาลฉีดยาให้หลับตามที่หมอเวรสั่งก็หลับไป พอตื่นขึ้นก็ปวดอีกแทบตลอดคืน ผมนึกเบื่อตัวเอง แทนอาจารย์ที่ท่านตั้งใจรักษา อยากจะตายๆ เสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ทรมาน แต่มันยังไม่หมดกรรมก็ต้องทนอยู่ต่อไป....

รุ่งเข้า 7 นาฬิกา อาจารย์ท่านก็มาเยี่ยมตามเคย พอได้รับรายงานจากพยาบาล ท่านก็ยืนนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็หันมาพูดกับผมว่า....

“เดี๋ยวแปดโมงเช้าเอาไปผ่าอีกที ทีนี้จะเลาะประสาทฝอยออกหมดทั้งแถบ มันคงจะไม่มีอะไรมาปวดอีกแล้ว”

ทุกคนนิ่ง นิ่งด้วยความเวทนา นิ่งด้วยความประหลาดใจ....

และเชื่อว่าทุกครั้งที่หนูพิมพวดีมาบอกเป็นต้องไม่ผิด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้....

ข่าวก็ออกจากปากนี้ไปปากโน้น ไปปากนั้น ว่าวิญญาณของหนูพิมพ์มาบอกล่วงหน้า ทุกที ที่จะมีการผ่าตัด....
แล้วก็จริงทุกทีไป....

พอราว ๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคันนั้นก็มาอีก คราวนี้พยาบาลไม่ฉีดยาให้ก่อนผ่าตัด....

ผมจึงถามพยาบาลว่าทำไมไม่ฉีดยาสลบ....

ก็ได้รับคำตอบว่า คราวนี้อาจารย์จะผ่าสด ๆ ไม่ใช้ยาฉีด ไม่ใช้ยาชาใดๆ ทั้งสิ้น ผมก็ขึ้นนอนเปลไปกับเขา ....

พอถึงห้องผ่าตัด อาจารย์ท่านก็บอกว่า “ไม่รู้ประสาทฝอยเส้นไหนมันเสีย มันถึงปวด ถ้าให้ยาสลบยาชาแล้วมันก็เหมือนถอนฟันเลยไม่รู้ว่าซี่ไหนปวด....

....เพราะฉะนั้นคราวนาจึงจะผ่าตัดโดยไม่ต้องใช้ยาชาเลย ขอให้ทนเอาหน่อย”

ผมก็นึกว่ากรรม กรรมแน่แท้ เพราะแม้แต่สัตวแพทย์เขาจะทำการผ่าตัด เขายังใช้ยาระงับความรู้สึก ระงับความปวด นี่ผมเป็นคนแท้ๆ ยังโดนแบบนี้ ว่าแล้วท่านก็เอามีดกรีดลงบนคิ้วขวาเรื่อยไป ผมสะดุ้งสุดตัว ด้วยความเจ็บปวด ร้อนครวญครางออกมา....

ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เจ็บก็ร้องไป ตำรวจไม่จับหรอก” แล้วท่านก็ผ่าไป....

เอาคีมจับเส้นประสาททีละเส้น พอเส้นประสาทถูกคีมคีบมันก็ปวดถึงหัวใจ ผมร้องออกมาดังกว่าวัว กว่าควาย ที่กำลังถูกเชือด....

เพราะการผ่าตัดแบบนี้ เวลาดึงเส้นประสาททีไรก็สะดุ้งจนตัวลอย พยาบาลห้องผ่าตัดก็กดหัวไว้ ทั้ง ๆ ที่พันธนาการไว้อย่างเหนียวแน่น ....

ผมถูกผ่าไป ดึงประสาทไป ร้องจนสุดเสียง เพราะความเจ็บ และความปวด ทนทุกข์ทรมาน อยู่อย่างนั้น กว่าชั่วโมง อาจารย์ท่านพยายามดึงประสาทออกให้มากที่สุด

แต่ทำได้ยาก เพราะมันติดกันนุงนัง เหมือนกับวุ้นเส้นที่เราเอามายำกิน ผมร้องโอดโอย ดังที่สุดในชีวิต เจ็บที่สุดในชีวิตปวดที่สุดในชีวิต และทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับที่หนูพิมพ์บอกไว้ไม่มีผิด และสุดท้ายผกก็สลบไปเอง เพราะความเจ็บปวด มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนที่สายน้ำเกลือรุงรัง มีสายยางอยู่ที่จมูกที่ปาก ความปวดนั้น ยังไม่หายแม้จะหยุดผ่าตัดแล้ว แต่ความเจ็บปวดก็ยังมีอยู่ มันสุดที่จะทนทานจนต้องร้องและครางออกมาดัง ๆ….

ค่ำนั้น ก็ยิ่งปวดแผล ปวดระบบประสาท ปวดระบบสมอง เมื่อยไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยได้เป็นมาก่อน ผมถูกฉีดยาระงับปวด ยานอนหลับ และหลับไปทั้งสายยางต่างๆ จนมาตื่นอีกทีก็ดึกโข เห็นจะราว ๆ สองยาม หรือกว่า จำได้ว่า วันที่ถูกผ่าตัดชดใช้วิบากกรรมนั้นเป็นวันพุธ ที่จำได้เพราะท่านอาจารย์ได้บอกว่า วันพฤหัสพรุ่งนี้ ไม่ว่าง ท่านติดประชุมเช้า ผ่าเสียวันพุธนี้แหละ….

พอตื่นขึ้นมาดังกล่าว ก็พบภรรยา และพยาบาลที่นั่งเฝ้าอยู่

ผมถามทั้งสองคนว่า ผมยังไม่ตายอีกหรือ มันทารุณที่สุดแล้ว.…”

สองคนนั้น น้ำตาไหลเพราะความสงสาร แล้วผมก็หลับตาภาวนา พุทโธ ๆ ระงับเวทนา

พอหลับตาสักครู่ หนูพิมพ์ก็เอามือมากุมตรงที่แผลผ่าตัด และที่ปวดอยู่

ผมก็ถามเธอว่า “พ่อหมดเวร หรือยัง”

เธอตอบว่า “พ่อชดใช้กรรมตามที่เขาอาฆาตไว้มากแล้ว ต่อไปนี้จะดีขึ้น ๆ”

ผมถามต่ออีกว่า “พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม”

เธอตอบว่า “ไม่มีอีกแล้ว”

“แล้วจะปวดโรคประสาทนี้อีกไหม”

เธอตอบว่า “ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก จะมีอีกสี่ปี”

“แล้วจะให้พ่อทำอย่างไรต่อไป”

“ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อย ๆ ขออโหสิเขาเสียภาวนา แล้วส่งในไปแผ่ส่วนกุศลให้เขาเสมอ ๆ นะพ่อนะ” หนูพิมพ์ตอบ

“ พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่”

“วันอาทิตย์นี้แหละจ้ะ…พ่อ”

ผมก็ถามอีกว่า “ถ้ามันยังไม่หาย จะกลับไปได้อย่างไร…”

เธอตอบว่า “ก็ยังมีกรรมเบา ๆ หลงเหลืออยู่อีก ถึงจะเป็นก็ไม่รุนแรงเท่าคราวนี้จ้ะ”

“เวลาพ่อกลับบ้านแล้ว พ่อจะเรียกให้ลูกไปหาจะได้ไหม”

“หนูจำต้องลาไปเกิดแล้ว และเป็นผู้ชายจ้ะ..แล้วลูกเข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่ เจ้าทาง เขาห้ามจ้ะ”

เธอตอบ ภรรยาผม และนางพยาบาลนั่งฟัง และจด ตามอย่างเคย

“หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้จะไม่มาอีกแล้วจ้ะพ่อ พ่ออย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย นะพ่อนะ” เสียงหนูพิมพ์แว่วๆ แต่ชัดเจนติดมาจนบัดนี้….

ก่อนที่หนูพิมพ์จะจากไปนั้น ผมได้ถามแกว่ามีอะไรขาดเหลือบ้างไหม ผมจะทำบุญอุทิศไปให้....

หนูพิมพ์บอกว่า แกไม่มีอะไรขาดเหลือ พร้อมบริบูรณ์หมด....

แต่เสียดายอยู่อย่างหนึ่งคือ แกยังทำการฝีมือไม่เสร็จ ขอให้ผมนำผ้าขาว กว้างศอกเศษ ยาวศอกเศษ ด้ายมันสีน้ำเงิน กับเข็มโครเชต์ไปวางไว้หน้ารูปแกที่ศาลาพิมพวดี ด้วย เพราะคุณพ่อของแกเอาไปทิ้งเสียแล้ว ทั้งๆ ที่แกยังปักรูปดอกไม้ไม่เสร็จ ก็มาตายเสียก่อน….

ผมก็ให้ภรรยาผมจัดการนำผ้าขาว ด้ายมันสีน้ำเงินกับ เข็มโครเชต์ไปวางไว้ที่หน้ารูปแก….

ต่อมาไม่กี่วัน คุณเสียง โหสกุล คุณพ่อของหนูพิมพ์ ก็มาเล่าให้ผมฟังว่า มีใครก็ไม่ทราบ เอาผ้าข้าว ด้ายมัน กับเข็มโครเชต์ไปว่าไว้ที่หน้ารูปหนูพิมพ์ ผมก็บอกความจริงให้ฟัง….

คุณพ่อของหนูพิมพ์ ก็ยอมรับว่า ได้เอาผ้าขาวที่หนูพิมพ์ทำการฝีมือค้างอยู่ไปทิ้งจริงๆ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ว่า …หนูพิมพ์ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลยอาการปวดผมก็บรรเทาเบาบางลง ๆ

แม้จะไม่หายขาด ก็ยังดีกว่าเก่า… ผมนอนอยู่อีกสามวัน พอถึงวันเสาร์ตอนเช้า อาจารย์อุดมมาเยี่ยม ท่านไม่เคยหยุดงานเลย แม้วันหยุดราชการ ผมรายงานว่า “อาการปวดเบาไปแยะ แต่ก็ยังมีอยู่อีกไม่หายขาด”

ท่านก็บอกว่า “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ จะกลับบ้านก่อนก็ได้พักฟื้นต่อไป เผื่อมีอะไรค่อยว่ากันใหม่”

ผมลุกขึ้นนั่งกราบในความกรุณา แล้วท่านก็ไป ผมดีใจที่จะได้กลับบ้าน ในวันพรุ่งนี้เช้า ทั้งๆ ที่แผลผ่าตัดต่างๆ ยังไม่หาย

ท่านบอกว่า “ทำแผลเอง เอาไหมออกเองก็แล้วกัน เป็นหมอนี่…”

คืนนั้น ผมนอนหลับได้ดีมาก อาการปวดประสาทมีรบกวนนิดหน่อย ตอนที่หลับก็หลับสนิท ไม่มีอะไรมาแผ้วพานในใจ ผมก็เข้าสมาธิต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อรู้สึกตัว….

เช้าวันอาทิตย์ ผมถวายบังคมลาสมเด็จพระราชบิดา ลาพยาบาล ลาแพทย์ที่ช่วยเหลือ….

ก่อนกลับบ้านผมถือรูปหนูพิมพวดีไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถแวะไปที่วัดมกุฏกษัตริยารามก่อน เพื่อไปดูศาลาพิมพวดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ….

ผมยกมือขึ้นอุทิศส่วนกุศลให้เธอ และบอกเธอว่า จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อสวดมนต์ก็จะอุทิศส่วน
กุศลให้เธอทุกวัน จนกว่าผมจะตายไป และขอให้ได้พบกันเป็นพ่อลูกทุก ๆ ชาติ….

ผมขอจบเรื่องนี้ ด้วยความเชื่อว่า ....

จิต และวิญญาณ นั้น มีจริง เพราะผมได้ประสบกับตัวเองมาแล้ว ดังที่เล่าให้ท่านฟังนี้…

ขอฝากบุญไว้ ณ ที่นี้....

ท่านที่อ่านจบแล้ว อย่าเก็บความรู้นี้ไว้ โดยเปล่าประโยชน์....

พึงเผยแพร่ ให้ผู้อื่นได้อ่าน ได้รับทราบ ต่อ ๆ กันไป....

อันจะเป็นประโยชน์แก่ท่านเอง ด้วยเป็นธรรมทาน.....

ดัง พุทธดำรัส คำตรัสสอนของสมเด็จพระประทีปแก้ว ที่ว่า....

สัพพะทานัง ธัมมะ ทานัง ชินาติ....การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง....

อันจะเป็นเหตุให้ ความสำนึกในคุณธรรม ของสังคมส่วนรวม ก็จะดีขึ้น สูงขึ้น….

ขอโมทนา คุณ ความดี กับทุก ๆ ท่านที่ตั้งใจเผยแพร่ธรรม....

************ ********* ********* ********* *****

นำภาพและข้อมูลทั้งหมดมาจากเวปพลังจิต โพสโดย คุณมหาหิน ขออนุโมทนาในธรรมทาน

ไม่รู้อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้านั่งแก้โค้ด ตาแทบบอด ข้าพเจ้าก็อยากบอก เหมือนกับที่เจ้าของเรื่อง อยากบอกแลว่า เวรกรรมมีจริง เจ้ากรรมนายเวรมีจริง ชาติหน้ามีจริง วัฏสงสารมีจริง

มีชีวิต ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว จงทำทุกวันในชีวิต ให้เปี่ยมคุณค่า และที่สำคัญที่สุด "จงอย่าประมาท"

ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต

กระดูก

สัปเหร่อ บรรจงเก็บ กระดูกใส่

ในถาดไว้ เพื่อเก็บ อนุสรณ์

กระดูกนี้ ลูกหลาน ได้อาวรณ์

ระลึกตอน เป็นอยู่ คู่เคียงกัน

กระดูกเอย ต่างไร กระดูกสัตว์

ดูให้ชัด ถ่องแท้ ต่างตรงไหน

คิดให้ลึก ซึ้งแน่ แค่ตรงใจ

ความดีไซร้ ให้ต่าง กระดูกคน ฯ

เพื่อความสมบูรณ์ของ เนื้อหา ข้าพเจ้าขอขันอาสา หากใครมีข้อสงสัย ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องงานศพ เชิญคอมเม้นท์เข้ามา ข้าพเจ้าจะพยายามไปค้นคว้าหาคำตอบให้ และแม้หาไม่ได้ ก็จะได้ไถ่ถามผู้รู้ แล้วนำมาบันทึกไว้ เพื่อประโยชน์ของสาธุชน สืบไป ฯ

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons