ส่วนตัวเลิกเชื่อหมอดูหมอเดามานานแล้ว มิใช่ว่า เป็นคนเชื่อกระไรยากมาแต่กำเนิดหรอก แต่เป็นประเภทสัตว์ทานจิ้งหรีด เอ้ย...เผลอใช้พาสาวิบัติ นึกว่ากำลังแช็ตเอ็มอยู่ เลิก ๆ.... ข้าพเจ้าเองเป็นประเภทสัทธาจริตเชื่อกระไรง่าย ๆ นั่นแล เป็นเหตุให้วันนี้จักเชื่อกระไรสักอย่างก็ต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก
โดนหลอกมาซะยับไงคับพี่น้อง
ครั้งสุดท้ายนี่โดนเด็กเกือบรุ่นราวคราวลูก (ถ้าเขาเด็กกว่านี้อีกสัก ๕ ปีละใช่เลย) ถอนหงอกเข้าให้ เลยเข็ดจนตาย ไม่เชื่อกระไรง่าย ๆ อีกแล้ว (ขนาดทรงจำไว้ในกระแสเลือดแล้ว ก็ยังถูกเด็กเมื่อวานซืนหลอกอยู่เป็นระยะ ๆ สงสัยแพ้ทางพวกเด็ก ๆ)
เรื่องคนชอบดูหมอ มันก็มิใช่กระไรผิดนักหรอก เพราะคนเราบางเวลาก็มีอ่อนแอกันบ้าง เจอทุกข์หนัก ก็มักวิ่งหาที่พึ่ง และที่พึ่งสุดฮิตก็คือ เหล่าเทพธิดาพญาไก่ 1150 สั่งเคเอฟซี เอ้ย... เทพธิดาพยากรณ์ 1900-XXX-XXXX จนกลายเป็นธุรกิจสูบเงินจากคนที่มีจิตใจอ่อนแอ
ผู้ที่เชื่อชะตาฟ้าลิขิตมาก ๆ ก็มีแนวโน้มงมงาย เชื่อกระไรง่าย ๆ ชีวิตลมเพลมพัดไปกับสายลม และแสงแดด รอโชคชะตาฟ้าดินจักพาไป บ้างก็ครุ่นคิดอยู่กับปรัชญาเพ้อฝัน บ้างบ้าไอด้อลอยากเป็นอย่างเขา แต่วัน ๆ ไม่ทำกระไร เล่นสนุกไปวัน ๆ บ้างอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไม่จริงเพ้อเจ้อ ตัวตนที่อยากจะเป็น กับตัวตนที่แท้จริง แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว และมีแนวโน้มจักต่างมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น อยากเป็นบัณฑิตใส่ครุยเท่ ๆ มีหน้ามีตาในสังคม มีงานดี ๆ ทำ แต่ขี้เกียจเรียนหนังสือ วัน ๆ เอาแต่เที่ยวกลางคืน กินเหล้า แล้วไปดูหมอว่า ตัวเองจักเรียนจบได้ไปต่อนอกหรือเปล่า อยากเป็นนักธุรกิจชื่อดัง ประสบความสำเร็จ แต่วัน ๆ เอาแต่เล่นเลี๊ยบตุ่ยอยู่ใต้ถุนคณะ ไม่ก็โต๊ะสนุ๊ก ร้านเกมออนไลน์ แล้วไปถามหมอดูว่า ผมจักได้เป็นนายกฯเมื่อไหร่ (นายกสมาคมหมากรุกจีนแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาหน่ะเซ้)
มีญาติโยมเขาถวายหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า สักระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาอ่าน วานนี้ได้แง้มประเดิมอ่านสักเล็กน้อยขณะเข้าห้องน้ำ (ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์) ปรากฏต่อมแมงโม้พุ่งพรวดแข่งกับอุจจาระ รีบออกจากห้องน้ำมาอัพเอ็นทรี่โดยพลัน (ทั้งที่ใกล้สอบแล้วนะเนี่ยะ) หนังสือหน้าตาเป็นอย่างนี้ ครับ
เป็นหนังสือน่าอ่านอย่างยิ่ง ครับ
หนังสือเดินเรื่องเรียบ ๆ ปูพื้นฐานข้อมูลที่ควรรู้ ก่อนเข้าสู่หลักธรรมะ ตอนแรกคิดจักเอามาย่อให้รวบรัดตัดความจบในหนึ่งเอ็นทรี่ พิจารณาแล้วอย่างไรก็จับใจความได้ยาก ตัดแต่งพันธุกรรมตรงไหน ก็ดูจักขาดอรรถรสในการอ่าน จึงขอยกมาทั้งกระบิ แต่จักตัดออกเป็นตอนสั้น ๆ พ่อในเนื้อหาต่อไปนี้ คือ ท่านเหลี่ยวฝาน สีน้ำเงิน คือเนื้อหาดั้งเดิม สีเขียว คือความเห็นเพิ่มเติม
โอวาทข้อที่หนึ่ง
การสร้างอนาคต
คําพยากรณ์ท่านผู้เฒ่าข่ง
พ่อนั้นกําพร้าท่านบิดา มาตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๒๐ ท่านย่าของลูกในเวลานั้นก็มีอายุมากแล้ว ท่านได้บอกให้พ่อเลิกคิดที่จะเป็นขุนนางเสีย หันมาเรียนแพทย์ดีกว่า ท่านบอกพ่อว่าการเป็นแพทย์นั้น นอกจากจะยึดเป็นอาชีพได้แล้ว ยังจะช่วยคนยากจนได้อีก ถ้ามีความสามารถดีก็จะเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นความปรารถนาของท่านบิดาที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ต่อมา พ่อพบผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ที่วัดฉืออวิ๋นจื้อ ท่านมีเครายาว ราศีผ่องใสยิ่งนัก รูปร่างสูงใหญ่ สง่างามราวกับเทพยดา พ่อจึงคารวะท่านด้วยความเคารพ ท่านพูดกับพ่อว่า
“เธอจะได้เป็นขุนนางนะ ปีหน้าสอบได้ทั้งสามขั้น ไฉนจึงไม่เรียนหนังสือเล่า”
พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ ท่านฟัง แล้วถามชื่อแซ่และที่อยู่ของท่าน ท่านตอบว่า ท่านแซ่ข่ง เป็นชาวอวิ๋นหนาน ได้เล่าเรียนวิชาโหราศาสตร์อันเป็นตําราตั้งเดิมถ่ายทอดกันมา โดยมิได้แก้ไขเพิ่มเติมอันใดให้ไขว้เขวเลยซึ่งเป็นตําราของท่านบรมโหราจารย์ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ซ่ง (ซ้อง) (ค.ศ.๙๖๐-๑๑๒๗ หรือ พ.ศ.๑๕๐๓-๑๖๗๐) ท่านผู้เฒ่าข่งต้องการจะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่พ่อ พ่อจึงพาท่านมาบ้านเพื่อพบท่านย่าของลูก ท่านกําชับให้พ่อต้อนรับท่านผู้เฒ่าให้ดี แล้วทดลองให้ท่านพยากรณ์ดู ปรากฏว่าแม่นยําไปเสียทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ผิดพลาดเลย พ่อจึงเริ่มเรียนหนังสือใหม่ ก็ท่านลุงของท่าน ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อนี่แหละ ท่านได้แนะนําให้พ่อไปเป็นนักเรียนกินนอนที่สํานักเรียนแห่งหนึ่ง ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยากรณ์พ่อไว้ว่า
“จะสอบผ่านทั้งสามขั้น ขั้นแรกจะได้คะแนนมาเป็นที่ ๑๔ ขั้นกลางจะได้ที่ ๗๑ และ ขั้นที่สามจะได้ที่ ๙”
ปรากฏว่าผลออกมาเช่นนั้นจริงๆ
ต่อมาท่านก็พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้ว่า
“ปีใดจะสอบได้เป็นนัก เรียนหลวง ได้ข้าวพระราชทานเป็นจํานวนเท่านั้นถัง ปีใดจะสอบขั้นสุดท้าย ปีใดจะได้เป็นนายอําเภอ เมื่อเป็นนายอําเภอแล้ว สามปีครึ่ง ก็ควรลาออกจากราชการ เพราะอายุ ๕๓ ก็จะสิ้นอายุขัย จะนอนตายอย่างสงบในวันขึ้น ๑๕ ค่ําเดือน ๘ เวลาตี ๑-๓ น่าเสียดายจะไม่มีบุตรไว้สืบสกุล”
ในกาลต่อมาคําพยากรณ์ ของท่านผู้เฒ่าข่งก็ยังคงแม่นยําเสมอมา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านพยากรณ์ไว้ว่าจะได้รับพระราชทานข้าวหลวงครบจํานวนหนึ่งแล้ว จึงจะได้สอบขั้นสุดท้ายเพื่อเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงนั้น ยังไม่ทันที่พ่อจะได้รับพระราชทานข้าวหลวงครบตามจํานวนที่ท่านพยากรณ์ไว้ พ่อก็ได้รับคําสั่งให้ไปสอบ คราวนี้สอบตก พ่อเริ่มสงสัยในคําพยากรณ์อยู่ในใจ
แต่แล้วในปีต่อมา มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยเป็นกรรมการตรวจข้อสอบให้พ่อ ท่านชมพ่อว่า
“คําตอบทั้ง ๕ ข้อของท่านนั้น เขียนได้ดีเหมือนขุนนางผู้ใหญ่ที่เขียนทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นต่อฮ่องเต้นั่นเทียว ท่านว่า ถ้าคนไม่มีความรู้จริงย่อมเขียนไม่ได้เช่นนี้ ความสามารถของพ่อย่อมจักเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน ไฉนจึงถูกทําลายอนาคตเสียเล่า”
ท่านจึงสั่งให้พ่อไปทํา งานกับท่าน และให้พระราชทานข้าวหลวงย้อนหลัง จนครบจํานวนที่ขาดไป ปรากฏว่าเท่าจํานวนที่ท่านผู้เฒ่าข่งคํานวณไว้พอดี
คัดลอกมาจาก : www.geocities.com/dkamonpan/leawphan.pdf
ชีวิตอันแสนงมงายของข้าพเจ้า ก็เริ่มมาคล้าย ๆ เช่นนี้แล ไปพบคนที่มีอำนาจวิเศษ สามารถพยากรณ์หลายสิ่งหลายอย่างได้แม่นยำ ราวกับมีตาทิพย์ จนข้าพเจ้าหลงเชื่อหัวปักหัวปำ ใครเจออย่างท่านเหลี่ยวฝานเข้าไป คงมีน้อยคนที่จักไม่เชื่อ การที่คนเราไม่เชื่อในอำนาจวิเศษเหนือมนุษย์ เหนือธรรมชาติ เหนือวิทยาศาสตร์ ก็มีหลายแบบอีก ยกตัวอย่างได้ดังนี้
๑. บางท่านไม่เชื่อแบบมีอคติ กระไรที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยสมการฟิสิกส์ สมการคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ จักไม่เชื่อเด็ดขาด หลับหูหลับตาไม่เชื่อ มีทิฏฐิความเห็นเหนียวแน่นเป็นของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากประสบการณ์ในการเรียน หรือประสบการณ์ในชีวิต ที่ก็ไม่ค่อยได้แวะเวียนไปเกี่ยวข้องเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ใครใคร่ให้พิสูจน์ก็ไม่พิสูจน์ ก็อั๊วะไม่เชื่อ ใครจักทำไม คนแบบนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เขาใจแคบไปนิดหนึ่ง
๒. บางท่านไม่เชื่อแบบไร้เหตุผล สนองอัตตาตัวตนว่า เป็นผู้เชื่อกระไรยาก ต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีกเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ออกขวนขวายแสวงหาข้อพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้ตนได้ชื่อว่า เป็นผู้เชื่อกระไรยากเป็นพอ คนเช่นนี้ก็ทำกระไรตกหายไปจากชีวิตเยอะอยู่เหมือนกัน
๓. อีกพวกหนึ่ง ไม่เชื่อเพราะต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตา แล้วออกขวนขวายแสวงหาข้อเท็จจริง เมื่อพิสูจน์แล้ว ทดลองทำด้วยตนเองแล้ว พิจารณาด้วยเหตุด้วยผลแล้ว เห็นจริงแล้ว จึงเชื่อ คนประเภทนี้พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ครับ
๔. บางท่านไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ลบหลู่ เพราะยังไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ พวกนี้เพลย์เซฟ ครับ
คนสี่ประเภทข้างต้น เป็นเพียงคนส่วนน้อยของสังคม ครับ ส่วนใหญ่จักเชื่อกันไม่ลืมหูลืมตา ไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน เอาอย่างง่าย ๆ ยกตัวอย่างเป็นพวกใบ้หวยก็แล้วกัน ให้เบอร์มาทีหนึ่งตั้งห้าเลข ในสิบเลข แล้วก็ออกมาหลาย ๆ สำนัก ต้องมากลับเลข บวกเลข ลบเลข บ้าบอคอแตก กว่าจักได้เป็นเลขที่ถูกต้อง แล้วแถมกว่าจักตีเลขออก ก็ตอนหวยออกไปแล้ว สำนักหนึ่งให้มาตั้งหลายเบอร์ พอถูกขึ้นมา ก็ประโคมข่าว อุ๊ย...ใบ้หวยแม่น ถ้าว่ากันตามหลักสถิติแล้ว ใครก็เป็นเจ้าพ่อใบ้หวยได้ ครับ แบบนี้ มั่วมันเข้าไป ก็ต้องถูกขึ้นมาสักวัน แต่ก็มีคนไม่น้อยแห่แหนไปเชื่อสำนักใบ้หวยลวงโลกเหล่านี้
ถ้าเจ๋งจริง ให้มาตรง ๆ เต็ง ๆ เลย ครับ ไม่ต้องมีโต็ด กลับหัวกลับหางให้วุ่นวาย
หันมาดูทางหมอดู ก็ไม่แตกต่างกัน เดาไปสิบเรื่อง ถูกสักสองเรื่อง แต่เผอิญสองเรื่องนั้น เป็นเรื่องที่ฟังแล้วถูกใจ ใช่เลย เช่น จักได้แฟนหล่อ พ่อรวย จักถูกหวย จักหายป่วย เอาแล้ว แม่นเหลือเกิน อี ๘ เรื่องที่ไม่แม่นเลย ไม่ได้ใส่ใจแล้ว
คำทำนายก็เหมือนกัน บางทีท่านเล่นทำนายแบบเหวี่ยงแห ยังไงมันก็ถูกแหงม ๆ เช่น โหงวเฮ้งแบบนี้ พ่อต้องเป็นผู้ชายแน่ ๆ แม่ต้องเป็นผู้หญิงชัวร์เลย หรือ คนเกิดราศีนี้เป็นคนน้ำใจงาม อู๊ย... แม้เราจักเป็นคนชั่วแสนชั่ว เจอคำทำนายแบบนี้เข้าไป ก็ต้องบอกว่า แม๊นแม่น จริงไม่จริง?
เทพขึ้นมาอีกนิด ก็พยากรณ์กระไรที่มัน 50:50 เช่น หน้าตาแบบนี้ รักพ่อมากกว่ารักแม่ ใช่ไหม? เจ้าประคุณเอ้ย... มันก็มีอยู่แค่สองอย่างเท่านั้นแหละ ไม่รักพ่อมากกว่ารักแม่ ก็รักแม่มากกว่ารักพ่อ ความน่าจะเป็นในการทายถูก 50% อย่างนี้แม่ค้าในตลาดเขาก็ดูได้ ครับ
สมัยยังงมงายกับหมอดูอยู่ เคยไปดูที่ท่าพระจันทร์ ครับ เป็นหมอดูไพ่ยิบซี พยากรณ์ว่า ข้าพเจ้ามีเกณฑ์ได้ไปเมืองนอกในปีนั้น ข้าพเจ้าก็เหมือนคนทั่วไปนั่นแล เฝ้ารอดูว่า จักได้ไปเมืองนอกจริงหรือเปล่า เสร็จแล้วมันก็มีแววจักได้ไปจริง ๆ ในช่วงปิดเทอม ซึ่งครอบครัวฐานะปานกลางอย่างครอบครัวข้าพเจ้า การจักได้ไปสหรัฐฯนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เวลานั้นข้าพเจ้าก็อยากลองพิสูจน์เหมือนกันว่า หากข้าพเจ้านอนกระดิกหัวแม่เท้าอยู่เฉย ๆ คำทำนายจักเป็นจริงหรือไม่? คิดไปคิดมาก็ไม่อยากเสี่ยง ครับ หากไม่ได้ไปขึ้นมา มันไม่คุ้มค่าเสี่ยง ทำไมเราจักต้องไปให้ค่าหมอดูขนาดนั้น ชีวิตเราเป็นคนลิขิตเอง ครับ ก็เลยลุกขึ้นขวนขวาย แล้วก็ได้ไปจริง ๆ
คิดย้อนไปในเวลานั้น หากข้าพเจ้าไม่ลุกขึ้นมาขวนขวาย ก็คงไม่ได้ไปแน่นอน ฉะนั้นเขาก็แค่ทำนายว่า "มีเกณฑ์" เท่านั้น ที่เหลือเราต้องไปขวนขวายเอาเอง
บางท่านก็พยายามโน้มน้าวตัวเองไปกับคำทำนาย เหล่านั้น เช่น ทำนายว่า จักป่วย ก็รอดูว่า มันจักป่วยเมื่อไหร่ แล้ววันหนึ่งก็เป็นหวัด นั่นไง ๆ แม่นเหลือเกิน ป่วยจริง ๆ ด้วย หรือพยากรณ์ว่า จักเกิดอุบัติเหตุ ออกจากร้านไป สะดุดหินเข้าหน่อย อุ๊ย... นั่นไง ๆ ที่หมอดูว่า แม่นฉิบ
ย้อนกลับมาดูเคสของท่านเหลี่ยวฝาน ครับ เป็นเรามีคนหน้าตาน่าเชื่อถือมาทัก เฮ้ย... ปีหน้าจักสอบบรรจุราชการ หรือเป็นนายร้อย จปร.ได้นะ ทำไมไม่เรียนหนังสือ เราจักเชื่อหรือไม่ เราจักทำแบบท่านเหลี่ยวฝานพาท่านผู้เฒ่าเข้าบ้าน มาให้ผู้มีอาวุโสในบ้่านช่วยดูให้หรือไม่? หรือจักเชื่อมั่นในตัวเอง? คิดว่า ตัวเองแน่ ตาแก่นี่พูดกระไรก็ไม่รู้เลอะเลือน ทำนายกระไรก็ไม่ตรงความจริง ไม่ได้เรียนอยู่ จักไปสอบเข้ารับราชการไปได้อย่างไร ถ้าวันนั้นท่านเหลี่ยวฝาน เชื่อมั่นในตัวเองเกินไป เลือกจักเชื่อ หรือไม่เชื่อด้วยตนเอง ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความรู้กระไร วันนี้เราอาจไม่ได้เห็นหนังสือเล่มนี้แล้วก็เป็นได้
คำพยากรณ์ทั้งหลายนั้น ท่านก็มิได้ปักใจเชื่อในทีเดียว แม้จักสามารถทำนายพิสูจน์กันได้แม้เรื่องเล็กน้อยในปัจจุบัน ท่านก็ยังมิได้เชื่ออย่างแน่นหนา ยังเฝ้าดูคำทำนายจักเป็นจริงหรือไม่มาโดยตลอด และเมื่อวันหนึ่ง คำทำนายมาเป็นจริงแทบทุกข้อ จึงปลงใจเชื่อ แต่แม้มีพิจารณญาณไม่เชื่อกระไรง่าย ๆ ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่ดีพอ ครับ มาอ่านกันต่อไป
พบท่านอวิ๋นกุเถระผู้พลิกชีวิตท่านเหลี่ยวฝาน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งทําให้พ่อเชื่อถือในคําพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่งยิ่งขึ้น เพราะอุปสรรคที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ทําให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ชะตาชีวิตนั้นได้ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน จะช้าจะเร็วจะมีใครเป็นอุปสรรคอย่างใด ก็หนีไม่พ้น พ่อจึงปล่อยใจให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่มีความคิดกระตือรือร้น ไม่ทะเยอทะยานขวนขวาย ไม่ดิ้นรนที่จะเอาดีไปกว่านี้อีกต่อไป ทําให้จิตใจสงบยิ่งนัก เมื่อพ่อสอบได้เช่นนี้ ก็ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง (ปักกิ่งในปัจจุบัน) อยู่ในมหาวิทยาลัยของหลวงหนึ่งปี พ่อไม่ได้ดูหนังสือหรือตําราเรียนใด ๆ อีกเลย เอาแต่นั่งสมาธิ ไม่พูดไม่จา ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พอครบหนึ่งปี พ่อได้รับคําสั่งให้ไปเข้ามหาวิทยาลัยของหลวงทางใต้(นานกิงในปัจจุบัน) อันเป็นสถาบันสุดท้ายที่นักศึกษาที่สอบไล่ได้ตามขั้นตอนต่าง ๆ ในภูมิลําเนาเดิมของตนมาแล้ว จะต้องเข้ามาฝึกฝนเตรียมตัวสอบเพื่อออกรับราชการต่อไป แต่ก่อนที่พ่อจะเข้าไปยังสถาบันแห่งนี้ ได้แวะไปที่วัดซีเสียซานเพื่อคารวะท่านอวิ๋นกุเถระเสียก่อน พ่อได้นั่งสมาธิกับท่านสองต่อสอง เป็นเวลานานถึงสามวันสามคืน โดยมิได้หลับนอนเลย พระเถระกล่าวกับพ่อด้วยความแปลกใจว่า
“อันธรรมดาปุถุชนนั้น จิตใจว้าวุ่นสับสน จึงไม่สามารถบรรลุฌานได้ ส่วนพ่อนั้นไฉนนั่งสามวันสามคืนแล้วยังไม่เห็นจิตใจวอกแวกเลย”
พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟังว่า
“ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้แน่นอนแล้ว คิดวุ่นวาย ไปก็ไร้ประโยชน์ จึงทําใจให้สบายไร้กังวลดีกว่า”
ท่านอวิ๋นกุเถระหัวเราะร้องว่า
“โธ่เอ๋ย นึกว่าเป็นผู้วิเศษแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ยังเป็นปุถุชน”
ท่านกล่าวว่า
“อันที่จริงคนเรานั้น ถ้าจิตใจไม่ว้าวุ่น ทําใจให้สงบได้แล้ว ก็เกือบจะสําเร็จเป็นพระอรหันต์ พ้นจากความเป็นปุถุชนได้แล้ว แต่คนธรรมดานั้น จิตใจยากที่จะสงบระงับได้ การฟุ้งซ่านนี่เองที่ทําให้คนเราถูกผูกมัดด้วยอํานาจพลังบวก และพลังลบของธรรมชาติ ทําให้ไม่มีอิสระเสรีต้องขึ้นกับดวงชะตาราศี และการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้าที่โหราจารย์ทั้งหลายได้ทําสถิติกันไว้ โหราศาสตร์จึงมีขึ้นด้วยเหตุนี้ ก็มีแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้นที่จะถูกกําหนดได้ตามวิชาโหราศาสตร์ แต่คนที่ทําแต่ความดีมาก ๆ แล้ว ชะตาชีวิตจักทําอะไรได้ โหราศาสตร์นั้นหยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่วของคนเราหรอก วิชาโหราศาสตร์จึงยึดเป็นบรรทัดฐานไปหมดมิได้ เพราะคนดีนั้น ถึงแม้ชะตาชีวิตจะบ่งไว้ว่าไม่ดีอย่างไร แต่พลังแห่งกุศลธรรมนั้นใหญ่หลวงนัก สามารถพลิกความคาดหมายของโหราศาสตร์ได้ คนจนก็กลายเป็นคนรวยได้ คนอายุสั้นก็กลายเป็นคนอายุยืนได้ ในทํานองเดียวกัน คนที่สร้างอกุศลกรรมอย่างหนักไว้ ชาตาชีวิตก็ไม่สามารถผูกมัดเขาไว้ได้เช่นกัน แม้จะถูกลิขิตมาว่าจะได้ดีมีสุขอย่างใด แต่พลังแห่งอกุศลกรรมนั้นใหญ่หลวงนัก ย่อมสามารถผันแปรความสุขเป็นความทุกข์ ความมีลาภยศกลายเป็นหมดลาภยศ ความอายุยืนก็กลายเป็นอายุสั้นได้เช่นกัน ส่วนพ่อนั้น ปล่อยชีวิตให้อยู่กับชะตากรรมมายี่สิบปี ไฉนจะไม่ใช่ปุถุชนเล่า
พ่อกราบเรียนท่านว่า
“ถ้าเช่นนั้น ชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้หรือ”
ท่านตอบว่า
ชะตาชีวิตนั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอน อนาคตเราต้องสร้างของเราเอง คนทําดีชะตาก็ดี คนทําชั่วชะตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดีก็ต้องทําดี ถ้าทําแต่ความไม่ดี แม้ชะตาจะดีก็กลายเป็นร้ายได้ ในพุทธรรมก็กล่าวไว้ว่า ผู้ใดต้องการลาภยศ ย่อมได้ลาภยศ ผู้ใดต้องการบุตรธิดา ย่อมได้บุตรธิดา ผู้ใดต้องการอายุยืน ย่อมได้อายุยืน หากประกอบแต่กรรมดีย่อมสมปรารถนาแล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เช่นนี้
พ่อซักท่านต่อไปว่า
นักปราชญ์ท่านเมิ่งจือ ได้กล่าวไว้ว่า หากปรารถนาสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น ท่านคงหมายถึงสิ่งที่กระทําได้ทางนามธรรมละกระมัง คุณธรรมความดีงามนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างได้เองโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน แต่ทางรูปธรรมนั้น ยศถาบรรดาศักดิ์ชื่อเสียงและความมั่งคั่งจะแสวงหาได้อย่างไรถ้าไม่มีผู้หยิบ ยื่นให้
ท่านอวิ๋นกุเถระตอบพ่อว่า
ท่านเมิ่งจื่อกล่าวไว้ ไม่ผิดหรอก พ่อเองที่เข้าใจคําสอนของท่านผิดไป ท่านลั่กโจ๊วเคยกล่าวไว้ว่า ความสุขความเจริญทั้งมวล เกิดขึ้นที่ใจก่อนทั้งสิ้น การแสวงหาใด ๆ ก็ตามต้องเริ่มที่ใจก่อน ไม่เพียงแต่จะได้คุณธรรมความดีงามทางธรรมเท่านั้น ความสุขความเจริญ ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง อันเป็นความดีงามของโลก ก็จะติดตามมาเอง เพราะฉะนั้นการแสวงหาสิ่งที่ดีงามนั้น ย่อมได้สิ่งที่ดีงามตามปรารถนา ในทํานองเดียวกัน หากไม่สํารวจตนเอง ไม่เริ่มต้นทําความดีจากตัวเราเอง กลับดิ้นรนคิดแสวงหาจากภายนอก แม้จะแสวงหามาได้ ก็เป็นเพียงได้ตามชะตากําหนดไว้เท่านั้น ไม่ใช่ได้เพราะความดีของเรา เพราะการแสวงหาจากภายนอกนั้น อาจจะต้องใช้ความพยายามในทางที่ถูกบ้างผิดบ้าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์เอาด้วยคาถา แสวงหาด้วยแรงขับของกิเลสตัณหา จึงไม่ได้คํานึงถึงศีลธรรม เป็นการสูญเปล่าทั้งสองทาง ทางธรรมก็เสียหาย ทางโลกก็เสียหายอีก การแสวงหาจากภายนอกนั้น จึงไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้โดนใจข้าพเจ้า คือ ข้าพเจ้าเชื่อว่า โหราศาสตร์ที่แม่นยำนั้น มีอยู่จริง เพียงแต่ข้าพเจ้ายังมิได้ประสบพบกับตนเอง ได้แต่ยินเสียงเขาลือเขาอ้างกัน และเห็นว่า หลังจากบวชเข้ามาห่มผ้าเหลืองแล้ว โชคชะตาก็มิอาจมีอิทธิพลต่อข้าพเจ้าอีกต่อไป สมณะเป็นบุคคลที่อยู่เหนือดวง ส่วนหนึ่งอาจจักอยู่เหนือดวง ด้วยไม่เชื่อดวงชะตาอีกตอ่ไป อีกส่วนอาจจักอยู่เหนือการคาดเดาของโหราศาสตร์จริง ๆ ดังที่ได้ยินแม่หมอหลายท่านกล่าวว่า เขาไม่ดูหมอให้พระ แต่มิอาจอธิบายออกมาเป็นภาพชัดขนาดนี้ ปัจจุบันข้าพเจ้าก็ยังชอบดูดวงอยู่ แต่คำทำนายทั้งหลาย มิได้มีอิทธิพลใด ๆ กับข้าพเจ้า หากคำพยากรณ์กล่าวถึงอนาคตอันเลวร้าย ข้าพเจ้าก็ถือว่า นั่นคือ คำท้าทายที่ข้าพเจ้าจักต้องฝ่าพ้นไปให้ได้
ผู้ที่ปฏิเสธโหราศาสตร์ไปเลย ก็มิสามารถอธิบายความนี้ให้กว้างขวาง มิสามารถอธิบายการที่โหรหลวง หรือผู้ที่สามารถพยากรณ์สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำในอดีตว่า เป็นไปด้วยเหตุไร ไม่สามารถใช้สมการคณิตศาสตร์ หรือสูตรฟิสิกส์ อธิบายศาสตร์ที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ได้
ในส่วนถัดมา หากจักอธิบายเป็นทางธรรม ท่านเหลี่ยวฝานก็ปักใจเชื่อในชะตาฟ้าลิขิตอย่างแน่นหนาแล้ว ได้ลงมือเจริญสมถภาวนา คือ นั่งทำสมาธิ ทำความสงบ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในทางโลกแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติได้เช่นนี้ ก็ถือว่า ยอดเยี่ยมมากแล้ว มีความสุขมากแล้ว การทำงานมีประสิทธิภาพสูงมากแล้ว ยากจักหาใครเทียบได้ แต่ในทางธรรม ยังถือว่า ใช้ไม่ได้ ครับ
เพราะการทำสมถภาวนา มันได้แค่ความสงบ ได้แค่ความสุข แต่ไม่ได้สติปัญญา ยังมีการปฏิบัติที่ยิ่งกว่านี้อีก ซึ่งก็คือวิปัสสนา
ในตอนนี้ท่านอวิ๋นกุเถระ ได้แก้ไขความเห็นผิดของท่านเหลี่ยวฝาน ที่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมว่า มิได้เป็นเช่นนั้น ชะตากรรมนั้น ถูกกำหนดด้วยกรรมในอดีตจนสามารถทำนายทายทักได้อย่างแม่นยำ แต่ชะตาชีวิตนั้นสามารถเปลี่ยนได้ด้วยปัจจุบันกรรม ท่านจึงว่า อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน
และจากบทสนทนา สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ท่านเหลี่ยวฝาน เป็นผู้มีความรู้มาก ศึกษามาก สามารถเขียนคำตอบได้เหมือนขุนนางผู้ใหญ่ สามารถสอบเป็นขุนนางได้ (สมัยก่อนขุนนางจีนสอบยากมาก) สามารถถกด้วยปรัชญาที่มีชื่อเสียงท่านต่าง ๆ มีปัญญาไม่น้อย ยังมีความเห็นผิด ก้มหน้าให้ชะตากรรมเป็นผู้พาชีวิตไป หากมิได้พบกับผู้รู้ ก็คงไม่มีหนังสือเล่มนี้เช่นกัน เราเองความรู้ยังด้อยกว่าท่านเหลี่ยวฝานตั้งมากมาย สมควรขวนขวายสมาคมคบหาปรึกษากับท่านผู้รู้ หรือศึกษาไว้ให้มาก จักได้ทำความเห็นให้ถูกให้ต้อง
ท่านลั่กโจ๊วนั้นเป็นใครไม่ทราบ แต่คำสอนของท่าน ตรงเป๊ะกับคำสอนของพระศาสดาทีเดียว ที่ว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมใดล้วนมีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐสุด และสำเร็จที่ใจ
วันนี้ก็พล่ามมายาวแล้ว ขอได้ติดตามอ่านในตอนต่อไป
จบตอนที่ ๑ by Dhammasarokikku