วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาและเฉลยธรรม ทุกวิชา ตรี,โท,เอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

ปัญหาและ_9_150เฉลยธรรม นักธรรมชั้นตรี

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

----------------------------------------

.

๑.๑

โลกเดือดร้อนวุ่นวายในปัจจุบันนี้ เพราะขาดธรรมอะไร ?

๑.๒

บุคคลมีกาย วาจา ใจ งดงามเพราะปฏิบัติธรรมอะไร ?

.

๑.๑

เพราะขาดธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่างคือ

๑) หิริ ความละอายแก่ใจ

๒) โอตตัปปะ ความเกรงกลัว

๑.๒

เพราะปฏิบัติธรรมอันทำให้งาม ๒ อย่างคือ

๑) ขันติ ความอดทน

๒) โสรัจจะ ความเสงี่ยม

.

๒.๑

ทุจริต คืออะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

๒.๒

คนที่รับปากรับคำเขาไว้แล้ว แต่ไม่ทำตามนั้นจัดเข้าในทุจริตข้อไหน ?

.

๒.๑

ทุจริต คือประพฤติชั่ว ประพฤติเสียหาย มี ๓ คือ

๑) ประพฤติชั่วด้วยกาย เรียก กายทุจริต

๒) ประพฤติชั่วด้วยวาจา เรียก วจีทุจริต

๓) ประพฤติชั่วด้วยใจ เรียก มโนทุจริต

๒.๒

จัดเข้าในวจีทุจริต

.

๓.๑

มูลเหตุที่ทำให้บุคคลทำความชั่วเรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ?

๓.๒

สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญเรียกว่าอะไร ? โดยย่อมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

.

๓.๑

เรียกว่า อกุศลมูล หมายถึงรากเง่าของอกุศล มี ๓ คือ

๑) โลภะ อยากได้

๒) โทสะ คิดประทุษร้ายเขา

๓) โมหะ หลง ไม่รู้จริง

๓.๒

เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ คือ

๑) ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

๒) สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

๓) ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

.

๔.๑

หลักธรรมดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

๔.๒

อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ข้อไหนเป็นอันตรายที่สุด ?

เพราะเหตุไร ?

.

๔.๑

มี ๔ อย่างคือ

๑) ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร

๒) สัปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ

๓) อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ

๔) ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในปางก่อน

๔.๒

ข้อ ๓ คือ เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป เป็นอันตรายที่สุด เพราะอันตรายข้ออื่น ๆ ย่อมรวมลงในกามคุณทั้งสิ้น

.

๕.๑

อธิษฐานธรรมคือธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

๕.๒

ผู้ที่ทำงานไม่สำเร็จผลตามที่มุ่งหมายเพราะขาดคุณธรรมอะไรบ้าง ?

.

๕.๑

มี ๔ อย่างคือ

๑) ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้

๒) สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริง

๓) จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความจริงใจ

๔) อุปสมะ สงบใจจากสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความสงบ

๕.๒

เพราะขาดอิทธิบาท คือ คุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ ๔ อย่างคือ

ñ) ©Ñ¹·Ð ¾Íã¨ÃÑ¡ã¤Ãèã¹ÊÔ觹Ñé¹

๒) วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น

๓) จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ

๔) วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น

.

๖.๑

อินทรีย์ ๖ กับอารมณ์ ๖ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ?

๖.๒

อะไรเรียกว่า สัมผัส ?

.

๖.๑

มีความสัมพันธ์กันอย่างนี้

ตา เป็นใหญ่ในการเห็นอารมณ์ คือรูป

หู เป็นใหญ่ในการฟังอารมณ์ คือเสียง

จมูก เป็นใหญ่ในการสูดดมอารมณ์ คือกลิ่น

ลิ้น เป็นใหญ่ในการลิ้มอารมณ์ คือรส

กาย เป็นใหญ่ในการถูกต้องอารมณ์ คือโผฏฐัพพะ

ใจ เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์ คือธรรม

๖.๒

การกระทบกันระหว่างอายตนะภายในมี ตา เป็นต้น กับอายตนะ ภายนอก มีรูปเป็นต้น เกิดความรู้ขึ้น เรียกว่า จักขุวิญญาณ เป็นต้น ทั้ง ๓ อย่างนี้ รวมกันในขณะเดียวกัน เรียกว่า สัมผัส

.

๗.๑

มละคือมลทิน หมายถึงอะไร ?

๗.๒

มลทินข้อที่ ๑ และข้อที่ ๙ คืออะไร ? แก้ด้วยธรรมอะไร ?

.

๗.๑

หมายถึงกิเลสเป็นเครื่องทำจิตให้เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส

๗.๒

มลทินข้อที่ ๑ คือ โกรธ แก้ด้วยเจริญเมตตา และมลทินข้อที่ ๙ คือ เห็นผิด แก้ด้วยสัมมาทิฏฐิ

.

๘.๑

เหตุให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันเรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

๘.๒

เมื่อปฏิบัติตามเหตุนั้นแล้วจะได้รับผลอะไร ?

.

๘.๑

เรียกว่าทิฏฐธัมมิกัตถะ มี ๔ อย่างคือ

๑) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น

๒) อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา

๓) กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี

๔) สมชีวิตา ความเลี้ยงชีวิตตามสมควร

๘.๒

จะได้รับผล คือ ทรัพย์ ยศ ไมตรี เป็นต้นในปัจจุบัน

.

๙.๑

ตระกูลอันมั่งคั่งจะตั้งอยู่ได้นานเพราะสถานใดบ้าง ?

๙.๒

ฆราวาสผู้ครองเรือนควรตั้งอยู่ในธรรมข้อใดบ้าง ?

.

๙.๑

เพราะสถาน ๔ คือ

๑) แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว

๒) บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า

๓) รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ

๔) ตั้งสตรีหรือบุรุษผู้มีศีลให้เป็นแม่เรือนพ่อเรือน

๙.๒

ควรตั้งอยู่ในฆราวาสธรรม ๔ คือ

๑) สัจจะ สัตย์ซื่อต่อกัน

๒) ทมะ รู้จักข่มจิตของตน

๓) ขันติ อดทน

๔) จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน

๑๐.

๑๐.๑

จงเขียนศีล ๕ ข้อที่ ๕ พร้อมทั้งคำแปล

๑๐.๒

สมบัติและวิบัติของอุบาสกอุบาสิกามีอะไรบ้าง ?

๑๐.

๑๐.๑

สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี แปลความว่า เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

๑๐.๒

มี

๑) ประกอบด้วยศรัทธา

๒) มีศีลบริสุทธิ์

๓) ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือเชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล

๔) ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา

๕) บำเพ็ญบุญแต่ในพระพุทธศาสนา

ตรงข้ามกับสมบัติทั้ง ๕ นี้ เป็นวิบัติของอุบาสกอุบาสิกา

_14_929

ปัญหาและเฉลยพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันศุกร์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

----------------------------------------

.

๑.๑

พุทธประวัติคืออะไร ?

 

๑.๒

มีความสำคัญอย่างไรที่ต้องเรียนรู้ ?

 

.

๑.๑

คือ เรื่องที่พรรณนาความเป็นไปของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

๑.๒

มีความสำคัญในการศึกษาและปฏิบัติพระพุทธศาสนา เพราะแสดง

พระพุทธจริยาให้ปรากฏ เช่นเดียวกับตำนานย่อมมีความสำคัญต่อชาติของตน ที่ให้รู้ได้ว่า ชาติได้เป็นมาแล้วอย่างไร

 

.

๒.๑

เจ้าชายสิทธัตถะทรงปรารภถึงอะไรจึงเสด็จออกบรรพชา ?

 

๒.๒

ทรงบรรพชาเมื่อพระชันษาเท่าไร ? และทรงบรรพชาได้กี่ปีจึงตรัสรู้ ?

 

.

๒.๑

ทรงปรารภถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย และ สมณะ

 

๒.๒

เมื่อพระชันษา ๒๙ ปี, และทรงบรรพชาได้ ๖ ปี จึงตรัสรู้

 

.

๓.๑

ญาณ ๓ ที่พระพุทธองค์ทรงได้ในวันตรัสรู้คืออะไรบ้าง ?

 

๓.๒

ญาณข้อไหน ที่ทำให้พระองค์ทรงสำเร็จความเป็นพุทธะโดยสมบูรณ์ ?

 

.

๓.๑

คือ ๑) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

๒) จุตูปปาตญาณ

๓) อาสวักขยญาณ

 

๓.๒

ญาณ ข้อที่ ๓

 

.

๔.๑

พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาเมื่อไร ?

 

๔.๒

ใจความแห่งปฐมเทศนานั้นว่าด้วยเรื่องอะไร ?

 

.

๔.๑

เมื่อวันเพ็ญ เดือนอาสาฬหะ สองเดือนหลังจากตรัสรู้

 

๔.๒

ว่าด้วยที่สุดสองอย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ, มัชฌิมาปฏิปทา, และอริยสัจ ๔

 

.

พระธรรมเทศนาต่อไปนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงที่ไหน และมีผลอย่างไร ?

 

๕.๑

อนัตตลักขณสูตร ๕.๒ อาทิตตปริยายสูตร

 

.

๕.๑

ทรงแสดงที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มีผลให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้บรรลุอรหัตตผล

 

๕.๒

ทรงแสดงที่ตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยา มีผลให้พระภิกษุปุราณชฎิลบรรลุอรหัตตผล

 

.

๖.๑

พระพุทธองค์เสด็จกรุงราชคฤห์ครั้งแรกภายหลังตรัสรู้ประทับที่ไหน ?

 

๖.๒

ทรงรับถวายพระอารามแห่งแรกชื่ออะไร ?

 

.

๖.๑

ประทับ ณ ลัฏฐิวัน สวนตาลหนุ่ม

 

๖.๒

ชื่อว่าเวฬุวนาราม

 

.

๗.๑

พระพุทธองค์ทรงจำพรรษาสุดท้ายที่เมืองอะไร ?

 

๗.๒

ทรงรับภัตตาหารมื้อสุดท้ายที่เมืองอะไร ?

 

.

๗.๑

ที่เวฬุวคาม เขตเมืองเวสาลี

 

๗.๒

ที่ปาวานคร

 

 

ศาสนพิธี

 

.

ผู้ศึกษามีความรู้เรื่องศาสนพิธีต่อไปนี้อย่างไร ?

 

๘.๑

บุญพิธี ๘.๒ ทานพิธี

 

.

รู้อย่างนี้คือ

 

๘.๑

บุญพิธี ว่าด้วยวิธีทำบุญมี ๒ อย่างคือ ทำบุญงานมงคล เช่น ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญฉลองอายุ เป็นต้น และทำบุญงานอวมงคล เช่น งานศพ เป็นต้น

 

๘.๒

ทานพิธี ว่าด้วยพิธีถวายทานต่าง ๆ เช่น สังฆทาน เป็นต้น

 

.

จงอธิบายวิธีปฏิบัติของพิธีกรรมต่อไปนี้ ?

 

๙.๑

วิธีกราบเบญจางคประดิษฐ์ ๙.๒ วิธีกรวดน้ำ

 

.

๙.๑

การกราบเบญจางคประดิษฐ์ มีวิธีปฏิบัติดังนี้ ชายนั่งคุกเข่าท่าพรหม หญิงนั่งคุกเข่าราบท่าเทพธิดา เข่าทั้งสองจดพื้น ประนมมือไหว้ หมอบกราบลง ทอดฝ่ามือทั้งสองที่พื้น ให้ฝ่ามือห่างกันเล็กน้อย ก้มศีรษะลงระหว่างฝ่ามือทั้งสองนั้น ให้หน้าผากจดพื้น

 
         

 

_7_308

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

.

๑.๑

ปริเยสนา ๒ อย่างตามความในพระสูตรท่านแสดงไว้อย่างไร ?

๑.๒

ภิกษุควรแสวงหาเลี้ยงชีพอย่างไรจึงเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ ?

.

๑.๑

แสดงว่า แสวงหาสิ่งอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ โสกะและสังกิเลส เป็นธรรมดา คือธรรมอันเกษมมีพระนิพพานเป็นอย่างสูง จัดเป็นอริย ปริเยสนา แสวงหาสิ่งอันมีชรา พยาธิ มรณะ โสกะและสังกิเลสเป็นธรรมดา ทั้งที่สภาพเช่นนั้นก็มีในตนอยู่พร้อมแล้ว จัดเป็นอนริยปริเยสนา

๑.๒

ภิกษุแสวงหาเลี้ยงชีพโดยอุบายอันสมควร ทั้งไม่เป็นโลกวัชชะมีโทษทางโลกและไม่เป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่นจึงจะเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ

.

๒.๑

ปรีชาหยั่งรู้อะไรจัดเป็นกิจจญาณ ?

๒.๒

สิกขาคืออะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

.

๒.๑

ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นสภาพที่ควรละเสีย ทุกขนิโรธเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด จัดเป็นกิจจญาณ

๒.๒

ปฏิปทาที่ตั้งไว้เพื่อศึกษา คือฝึกหัดไตรทวารไปตาม ชื่อว่าสิกขา มี ๓ อย่างคือ อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลยิ่ง ๑ อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตยิ่ง ๑

อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญายิ่ง ๑

.

๓.๑

อัปปมัญญา ๔ กับพรหมวิหาร ๔ ต่างกันอย่างไร ?

๓.๒

อะไรเรียกว่า อริยวงศ์ ? แจกออกเป็นเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

.

๓.๑

ต่างกันอย่างนี้คือ อัปปมัญญาได้แก่การแผ่โดยไม่เจาะจงตัว และไม่มีจำกัด ส่วนพรหมวิหารได้แก่การแผ่โดยเจาะจงตัว หรือโดยไม่เจาะจงตัวแต่ยังจำกัดมุ่งเอาหมู่นี้หมู่นั้น

๓.๒

ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะเรียกว่า อริยวงศ์ แจกออกเป็น ๔ คือ

 

๑) สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด

๒) สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด

๓) สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด

๔) ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล

.

๔.๑

อุปาทานคืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

๔.๒

กำเนิด ๔ มีอะไรบ้าง ?

.

๔.๑

คือการถือมั่นข้างเลว ได้แก่การถือรั้น มี ๔ คือ

กามุปาทาน ถือมั่นในกาม ๑ ทิฏฐุปาทาน ถือมั่นทิฏฐิ ๑

สีลัพพตุปาทาน ถือมั่นศีลพรต ๑ อัตตวาทุปาทาน ถือมั่นวาทะ

ว่าตน ๑

๔.๒

คือ

ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ ๑ อัณฑชะ เกิดในไข่ ๑

สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ๑ โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ๑

.

๕.๑

การสำรวมระวังปิดกั้นอกุศลเรียกว่าอะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

๕.๒

สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ?

.

๕.๑

เรียกว่า สังวร มี ๕ คือ

๑) สีลสังวร สำรวมด้วยศีล

๒) สติสังวร สำรวมด้วยสติ

๓) ญาณสังวร สำรวมด้วยญาณ

๔) ขันติสังวร สำรวมด้วยขันติ

๕) วิริยสังวร สำรวมด้วยความเพียร

๕.๒

มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้นระวังรักษามิให้อกุศลธรรมเข้า ครอบงำ เมื่อเห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนลืมหลง ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว

.

๖.๑

ทำไมท่านจึงเปรียบวิสุทธิ ๗ เหมือนรถ ๗ ผลัด ?

๖.๒

อะไรจัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ?

.

๖.๑

เพราะวิสุทธิ ๗ นี้ เป็นปัจจัยส่งต่อกันขึ้นไปเพื่อบรรลุพระนิพพาน ท่านจึงเปรียบเหมือนรถ ๗ ผลัดต่างส่งต่อซึ่งคนผู้ไปให้ถึงสถานที่ปรารถนา

๖.๒

วิปัสสนาญาณ ๙ จัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ

.

จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้

 

๗.๑

ภควา ๗.๒ โอปนยิโก

.

๗.๑

ภควา คือพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้มีโชค คือจะทรงทำการใด ก็ ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ อีกอย่างหนึ่งเป็นผู้จำแนกแจกธรรม

๗.๒

โอปนยิโก คือพระธรรมมีคุณควรน้อมเข้ามาในใจของตนหรือควรน้อมใจเข้าไปหาพระธรรมนั้นด้วยการปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในใจ

.

๘.๑

บารมีคืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

๘.๒

สังโยชน์อะไรเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ ? มีอะไรบ้าง ?

.

๘.๑

คือคุณสมบัติหรือปฏิปทาอันยวดยิ่ง

มี ๑๐ อย่าง คือ ทาน ๑ ศีล ๑ เนกขัมมะ ๑ ปัญญา ๑ วิริยะ ๑

ขันติ ๑ สัจจะ ๑ อธิษฐาน ๑ เมตตา ๑ อุเบกขา ๑

๘.๒

สังโยชน์เบื้องต่ำคืออย่างหยาบเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ มี ๕ อย่างคือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ กามราคะ ๑ ปฏิฆะ ๑

.

จงอธิบายคำต่อไปนี้

 

๙.๑

มิจฉาสมาธิ ๙.๒ สัมมาสมาธิ

.

๙.๑

มิจฉาสมาธิ คือการตั้งจิตไว้ผิด โดยนำสมาธิที่ได้นั้นไปใช้ในผิดทาง เช่น สะกดจิตในทางหาลาภให้แก่ตนเอง ในทางหาผลประโยชน์ ทำให้ผู้อื่นหลงงมงายในวิชาความรู้ ในทางให้ร้ายผู้อื่นและในทางนำให้หลง

๙.๒

สัมมาสมาธิ คือการตั้งจิตไว้ชอบในองค์ฌาน ๔ หรือมีนัยตรงกันข้ามกับ มิจฉาสมาธิข้างต้น

๑๐.

๑๐.๑

ธุดงค์ ๑๓ ท่านกล่าวว่า เป็นวัตรจริยาพิเศษอย่างหนึ่งไม่ใช่ศีลนั้น

คืออย่างไร ?

๑๐.๒

ธุดงค์นั้น ท่านบัญญัติไว้เพื่ออะไร ?

๑๐.

๑๐.๑

คือการสมาทานหรือข้อที่ถือปฏิบัติจำเพาะผู้สมัครใจจะพึงสมาทานประพฤติไม่มีโทษ มีแต่ให้คุณแก่ผู้ถือปฏิบัติ

๑๐.๒

เพื่อเป็นอุบายบรรเทาขัดเกลาและกำจัดกิเลส เป็นไปเพื่อความมักน้อยและสันโดษ เป็นต้น

         

_1_963

ปัญหาและเฉลยอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันศุกร์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

.

๑.๑

อนุพุทธบุคคลคือบุคคลพวกไหน ? ได้ชื่อว่าอย่างนั้นเพราะเหตุไร ?

๑.๒

อนุพุทธบุคคล เป็นนักบวชหรือบุคคลทั่วไป ?

.

๑.๑

คือบุคคลผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นผู้รู้ตาม

พระพุทธเจ้า

๑.๒

เป็นนักบวชก็มี เป็นบุคคลทั่วไปก็มี

.

๒.๑

การศึกษาอนุพุทธประวัติให้ประโยชน์อย่างไรต่อเจ้าของประวัติ ?

๒.๒

การศึกษาอนุพุทธประวัติให้คุณค่าอย่างไรต่อผู้ศึกษา ?

.

๒.๑

เป็นการประกาศเกียรติคุณพระสาวกผู้เป็นอุปการะแก่พระศาสนา ได้เชิดชูพระคุณท่าน นำเพื่อนร่วมศาสนาให้เกิดปสาทะและนับถือ ความดีของพระสาวกปรากฏแล้วจักเชิดชูพระเกียรติคุณของพระศาสดายิ่งขึ้น

๒.๒

ให้คุณค่าในด้านกำหนดและจดจำวัตรปฏิบัติอันงดงามของท่านมาเป็นปฏิปทาเครื่องดำเนินชีวิตของตน

.

๓.๑

พระโกณฑัญญะได้เกิดความรู้เห็นอย่างไรก่อน จึงนับว่าเป็นปฐมอริยสาวก ?

๓.๒

ท่านได้รับเกียรติยศเป็นพิเศษเพราะเหตุนี้อย่างไรบ้าง ?

.

๓.๑

ได้เกิดความรู้เห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา คือได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) แล้วทูลขอบวชกับพระพุทธองค์ จึงนับได้ว่าเป็นปฐมอริยสาวกใน พระศาสนา

๓.๒

เมื่อท่านเกิดความรู้เห็นดังนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงเปล่งอุทาน ว่า “͐ڐÒÊÔ Çµ âÀ ⡳ڱÚ␠͐ڐÒÊÔ Çµ âÀ ⡳ڱÚ␠แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอๆ แต่นั้นมา ท่านมีนามว่า อัญญาโกณฑัญญะ ข้อนี้เป็นเกียรติยศพิเศษสำหรับท่านผู้เป็นปฐมอริยสาวก

.

๔.๑

พระสาวกรูปใดได้รับการบวชด้วยญัตติจตุตถกรรมเป็นรูปแรก ?

๔.๒

พระสาวกรูปนั้นได้รับยกย่องเป็นเลิศในทางไหน ?

.

๔.๑

พระราธะ

๔.๒

ในทางมีปฏิภาณ คือญาณแจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนา

.

๕.๑

พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรคู่กับพระโมคคัลลานะโดยอุปมาไว้ อย่างไร ?

๕.๒

ที่ตรัสอุปมาไว้อย่างนั้นเพราะเหตุไร ?

.

๕.๑

พระพุทธองค์ตรัสอุปมาว่า พระสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้ทารกเกิด พระโมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้วนั้น

๕.๒

ที่ตรัสอุปมาไว้อย่างนั้นเพราะพระสารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ใน โสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบนที่ สูงกว่านั้น

.

๖.๑

การพบกันของพระอัสสชิและอุปติสสปริพาชกมีผลต่อพระพุทธศาสนา อย่างไร ?

๖.๒

พระสารีบุตรมีปัญญาเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายนั้น มีอะไรเป็นเครื่อง ยืนยัน ?

.

๖.๑

มีผลเกิดขึ้นดังนี้คือ

๑) อุปติสสปริพาชกได้ความเลื่อมใสในวัตรของพระอัสสชิ

๒) อุปติสสปริพาชกได้ฟังธรรมแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม

๓) อุปติสสปริพาชกได้ชักชวนเพื่อนไปบวช ฟังธรรมแล้วได้บรรลุ

ธรรม

๔) พระพุทธองค์ได้อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา

๖.๒

มีพระพุทธดำรัสตรัสยกย่องพระสารีบุตรว่า เป็นยอดแห่งพระสาวกผู้มีปัญญาและตรัสสรรเสริญว่า พระสารีบุตรสามารถแสดงธรรมจักร และจตุราริยสัจ ได้กว้างขวางพิสดารแม้นกับพระองค์ ประกอบกับพระธรรมเทศนาที่ท่าน ได้แสดงไว้ในโอกาสนั้น ๆ ส่องให้เห็นถึงอัจฉริยภาพอย่างแท้จริงของท่าน ในด้านนี้

.

๗.๑

ธรรมุทเทศคืออะไรบ้าง ? ๗.๒ ใครแสดงแก่ใคร ?

.

๗.๑

ธรรมุทเทศ คือ

๑) โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน

๒) โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน

๓) โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป

๔) โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

๗.๒

พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ

 

ศาสนพิธี

.

๘.๑

คำว่า สวดมาติกาหรือสดับปกรณ์ หมายถึงอะไร ?

๘.๒

คำทั้งสองนั้นใช้ต่างกันอย่างไร ?

.

๘.๑

หมายถึงการสวดบทมาติกาของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ หรือที่เรียกว่า สัตตัปปกรณาภิธรรม ซึ่งมีการบังสุกุลเป็นที่สุด เป็นประเพณีนิยมจัดให้พระสงฆ์สวดในงานทำบุญหน้าศพอย่างหนึ่ง

๘.๒

คำว่าสวดมาติกา ใช้ในงานศพราษฎรสามัญทั่วไป ส่วนคำว่า สดับปกรณ์ ใช้เรียกโดยโวหารทางราชการในงานหลวง (ศพหรืออัฐิของเจ้านายตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป)

.

๙.๑

ผ้าวัสสิกสาฎกคือผ้าเช่นไร ?

๙.๒

ผ้าจำนำพรรษาคือผ้าเช่นไร ?

.

๙.๑

คือ ผ้าสำหรับภิกษุใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝนหรืออาบน้ำทั่วไป เรียกกันว่า ผ้าอาบน้ำฝนบ้าง ผ้าอาบบ้าง ผ้านี้เกิดขึ้นเฉพาะฤดูกาลที่ทรงอนุญาตเป็นบริขารพิเศษชั่วคราว อธิษฐานไว้ใช้ได้ตลอด ๔ เดือนฤดูฝน พ้นจากเขตนั้นเป็นธรรมเนียมให้วิกัป

๙.๒

คือ ผ้าที่ทายกถวายแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือน เว้นผ้ากฐิน

๑๐.

๑๐.๑

ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?

๑๐.๒

แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

มี ๓ ประเภท คือ สังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑

๑๐.๒

มีความแตกต่างกันดังนี้

๑)

สังฆอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ประชุมสวด พระปาฏิโมกข์

 

๒)

ปาริสุทธิอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุน้อยกว่า ๔ รูป มีเพียง ๓ รูป หรือ ๒ รูป ร่วมกันทำเป็นการคณะ ให้แต่ละรูปบอกความบริสุทธิ์ของตน ๆ

 

๓)

อธิษฐานอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุรูปเดียวทำเป็นการบุคคลด้วยการอธิษฐานความบริสุทธิ์ใจของตนเอง

       

_3_762

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

.

๑.๑

สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ?

๑.๒

กายบริหาร ข้อที่ ๓ และข้อที่ ๗ มีความว่าอย่างไร ?

.

๑.๑

เรียกว่า อภิสมาจาร ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระศาสนา เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จำต้องมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไว้รักษาเกียรติและความเป็นผู้ดีของตระกูล

๑.๒

มีความว่าดังนี้

 

ข้อที่ ๓ อย่าพึงไว้เล็บยาว การขัดมลทินหรือแคะมูลเล็บเป็นกิจควรทำ

 

ข้อที่ ๗ อย่าพึงแต่งเครื่องประดับต่างๆ เช่น ตุ้มหู สายสร้อยและแหวน เป็นต้น

.

๒.๑

บาตรที่ทรงอนุญาตมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ? บาตรแสตนเลสจัดเข้าในชนิดไหน ?

๒.๒

บาตรที่ทรงห้ามมีกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?

.

๒.๑

มี ๒ ชนิด คือ ๑ บาตรดินเผา ๒ บาตรเหล็ก บาตรแสตนเลสจัดเข้าในบาตรเหล็ก

๒.๒

มี ๑๑ ชนิด คือ ๑ บาตรทอง ๒ บาตรเงิน ๓ บาตรแก้วมณี ๔ บาตรแก้วไพฑูรย์ ๕ บาตรแก้วผลึก ๖ บาตรแก้วหุง ๗ บาตรทองแดง ๘ บาตรทองเหลือง ๙ บาตรดีบุก ๑๐ บาตรสังกะสี ๑๑ บาตรไม้

.

๓.๑

นิสัยคืออะไร ? เหตุให้นิสัยระงับมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

๓.๒

ภิกษุเช่นไรควรได้นิสัยมุตตกะ ?

.

๓.๑

นิสัย คือ กิริยาที่พึ่งพิงของสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก ต่อพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์

เหตุให้นิสัยระงับจากพระอุปัชฌาย์ มี ๕ คือ ๑ หลีกไปเสีย ๒ สึกเสีย ๓ ตายเสีย ๔ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๕ สั่งบังคับ

ส่วนเหตุให้นิสัยระงับจากพระอาจารย์ เพิ่มอีก ๑ ข้อ คือ อันเตวาสิกรวมเข้ากับพระอุปัชฌาย์ของเธอ

๓.๒

ภิกษุผู้ควรได้นิสัยมุตตกะ คือ

๑) เป็นผู้มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ

๒) เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ยินได้ฟัง

มามาก มีปัญญา

๓) รู้จักอาบัติ มิใช่อาบัติ อาบัติเบา อาบัติหนัก จำพระปาฏิโมกข์ได้

แม่นยำ ทั้งมีพรรษาพ้น ๕

.

๔.๑

วัตรคืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

๔.๒

วัตถุอนามาสคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?

.

๔.๑

วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ มี ๓ อย่าง คือ ๑ กิจวัตร ๒ จริยาวัตร ๓ วิธิวัตร

๔.๒

วัตถุอนามาส คือวัตถุไม่ควรจับต้อง มีดังนี้

 

๑) ผู้หญิง รวมทั้งเครื่องแต่งกาย ทั้งรูปที่ทำมีสัณฐานเช่นนั้น และ

ดิรัจฉานตัวเมีย

๒) ทอง เงิน และรัตนะ

๓) ศัสตราวุธ

๔) เครื่องดักสัตว์

๕) เครื่องประโคมทุกอย่าง

๖) ข้าวเปลือก และผลไม้อันเกิดอยู่ในที่

.

๕.๑

กิจอันสงฆ์จะพึงทำก่อนสวดปาฏิโมกข์มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

๕.๒

สงฆ์สวดปาฏิโมกข์อยู่ ภิกษุอื่นมาถึง หรือมาถึงเมื่อสวดจบแล้ว พึงปฏิบัติ

อย่างไร ?

.

๕.๑

มี ๙ อย่างคือ ๑ กวาดโรงอุโบสถ ๒ ตามประทีป ๓ ปูอาสนะ

๔ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ ๕ นำปาริสุทธิของภิกษุผู้เจ็บไข้มา ๖ นำฉันทะ

ของเธอมาด้วย ๗ บอกฤดู ๘ นับภิกษุ ๙ สั่งสอนนางภิกษุณี

๕.๒

พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ ถ้าภิกษุมาใหม่มากกว่าภิกษุที่ประชุมกันอยู่ ต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากันหรือน้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็แล้วกันไป ให้ภิกษุที่มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลืออยู่ต่อไป ถ้ามาเมื่อสวดจบแล้ว แม้มากกว่า ก็ไม่ต้องสวดซ้ำอีก ให้ภิกษุที่มาใหม่บอกปาริสุทธิในสำนักภิกษุ ผู้สวดผู้ฟังปาฏิโมกข์แล้ว

.

๖.๑

ความรู้อะไรบ้างที่จัดเป็นดิรัจฉานวิชา ?

๖.๒

ภิกษุประพฤติเช่นไรเรียกว่าทำศรัทธาไทยให้ตกไป ?

.

๖.๑

ความรู้ที่จัดเป็นดิรัจฉานวิชา คือ

 

๑) ความรู้ในทางทำเสน่ห์

๒) ความรู้ในทางทำให้ผู้นั้นผู้นี้ถึงความวิบัติ

๓) ความรู้ในทางใช้ภูตผีอวดฤทธิ์เดชต่าง ๆ

๔) ความรู้ในทางทำนายทายทัก

๕) ความรู้อันทำให้หลงงมงาย เช่น หุงปรอท

๖.๒

ภิกษุรับของที่เขาถวาย เพื่อเกื้อกูลแก่พระศาสนาแล้ว ไม่บริโภค แต่ กลับนำไปให้แก่คฤหัสถ์เสีย ทำให้ผู้บริจาคเสื่อมศรัทธา เช่นนี้เรียกว่า ทำศรัทธาไทยให้ตกไป (ยกเว้น อนามัฏฐบิณฑบาต ทรงอนุญาตพิเศษ ให้แก่มารดาบิดาได้)

.

๗.๑

อเนสนาได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ?

๗.๒

การทำวิญญัติคือการทำอย่างไร ? จัดเข้าในอุปปถกิริยาประเภทไหน ?

.

๗.๑

อเนสนาได้แก่ กิริยาแสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร แสดงโดยเค้ามี ๒ อย่างคือ

 

๑) การแสวงหาเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก

๒) การแสวงหาเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ

๗.๒

การทำวิญญัติ คือ การออกปากขอของต่อบุคคลที่ไม่ควรขอ หรือในเวลาที่ไม่ควรขอ เช่น ขอต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ขอในยามปกติที่มิได้ทรงอนุญาต เป็นต้น จัดเข้าในอุปปถกิริยาประเภทอเนสนา

.

๘.๑

จงให้ความหมายของคำว่า กาลิก ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก

๘.๒

น้ำอ้อยเป็นกาลิกอะไร ?

.

๘.๑

กาลิก คือของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลำคอลงไป

ยาวกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าชั่วเที่ยงวัน

ยามกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว คือ ๑ วัน กับ ๑ คืน

สัตตาหกาลิก คือของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ๗ วัน

ยาวชีวิก คือของที่ให้บริโภคได้เสมอ ไม่จำกัดกาล

๘.๒

ถ้าเป็นน้ำอ้อยสด จัดเป็นยามกาลิก

ถ้าเป็นน้ำอ้อยเคี่ยวจนแข้นแข็ง จัดเป็นสัตตาหกาลิก

.

๙.๑

อุกเขปนียกรรม สงฆ์ควรทำแก่ภิกษุผู้ประพฤติเช่นไร ?

๙.๒

อธิษฐาน (บริขาร) มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

.

๙.๑

ควรทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้วไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ ที่เรียกว่า ไม่เห็นอาบัติ หรือยอมรับว่าเป็นอาบัติแต่ไม่แสดง ที่เรียกว่า ไม่ทำคืนอาบัติ

๙.๒

มี ๒ อย่างคือ

 

๑) อธิษฐานด้วยกาย คือเอามือลูบบริขารที่จะอธิษฐานนั้นเข้า

ทำความผูกใจตามคำอธิษฐาน

๒) อธิษฐานด้วยวาจา คือลั่นคำอธิษฐานนั้น ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้

๑๐.

๑๐.๑

สมบัติของภิกษุในทางพระวินัยมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

๑๐.๒

ภิกษุประพฤติเช่นไร ได้ชื่อว่า โคจรวิบัติ ?

๑๐.

๑๐.๑

มี ๔ คือ

๑) สีลสมบัติ

๒) อาจารสมบัติ

๓) ทิฏฐิสมบัติ

๔) อาชีวสมบัติ

๑๐.๒

ภิกษุไปสู่บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไป คือ หญิงแพศยา ๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑ ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ได้ชื่อว่า โคจรวิบัติ

_7_824

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

.

๑.๑

คำว่าโลก ในพระบาลีว่า “เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ ฯปฯ” หมายถึงอะไร ?

๑.๒

พระบรมศาสดาทรงชักชวนให้มาดูโลกนี้โดยมีพระประสงค์อย่างไร ?

.

๑.๑

คำว่า โลก โดยตรงหมายถึงแผ่นดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย โดยอ้อมหมายถึง หมู่สัตว์ผู้อยู่อาศัย

๑.๒

ทรงมีพระประสงค์ให้พิจารณาดูให้รู้จักของจริง เพราะในโลกที่กล่าวนี้ย่อมมีพร้อมมูลบริบูรณ์ด้วยสิ่งที่มีคุณและโทษ พระบรมศาสดาทรง ชักชวนให้มาดูโลก เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เป็นจริง จักได้ละสิ่งที่เป็นโทษไม่ข้องติดอยู่ในสิ่งที่เป็นคุณ

.

๒.๑

บุคคลเช่นไรชื่อว่าหมกอยู่ในโลก ?

๒.๒

ผู้หมกอยู่ในโลกได้รับผลอย่างไร ?

.

๒.๑

บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอัน ให้โทษ ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่าหมกอยู่ในโลก

๒.๒

ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียง สามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้

.

๓.๑

นิพพิทาคืออะไร ?

๓.๒

ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ?

.

๓.๑

นิพพิทา คือความหน่ายในทุกข์

๓.๒

อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายใน ทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา

.

๔.๑

สังขาร ในอธิบายแห่งปฏิปทาของนิพพิทานั้น ได้แก่อะไร ?

๔.๒

จะพึงกำหนดรู้สังขารนั้นโดยความเป็นอนัตตาด้วยอาการอย่างไร ?

.

๔.๑

ได้แก่ สภาพอันธรรมดาแต่งขึ้น โดยตรงได้แก่เบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันธรรมดาคุมกันเข้าเป็นกายกับใจ

๔.๒

ด้วยอาการอย่างนี้ คือ

๑) ด้วยไม่อยู่ในอำนาจ หรือด้วยฝืนความปรารถนา

๒) ด้วยแย้งต่ออัตตา

๓) ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้

๔) ด้วยความเป็นสภาพสูญ คือว่าง หรือหายไป

๕) ด้วยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย

.

๕.๑

วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์อย่างไร ?

๕.๒

อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยหรือไม่ ? ถ้าจัดได้ จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ?

.

๕.๑

ได้แก่ วิปฏิสารคือความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์คือถูกลงอาชญา

ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย

๕.๒

อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยเหมือนกัน จัดเข้าในหมวดสหคตทุกข์ ทุกข์ไปด้วยกัน

.

๖.๑

สมถภาวนา เป็นอุบายสงบระงับจิตอย่างไร ?

๖.๒

คนที่มีจิตมักลืมหลง สติไม่มั่นคง ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?

.

๖.๑

สมถภาวนา เป็นอุบายเครื่องสำรวมปิดกั้นนีวรณูปกิเลส มิให้เกิด ครอบงำ จิตสันดานได้ ดังบุคคลปิดทำนบกั้นน้ำไว้มิให้ไหลไปได้ฉะนั้น และเป็นอุบายข่มขี่สะกดจิตไว้มิให้ดิ้นรนฟุ้งซ่านได้ ดังนายสารถีฝึกม้าให้เรียบร้อย ควรเป็นราชพาหนะได้ฉะนั้น

๖.๒

ควรเจริญอานาปานัสสติ เพราะอานาปานัสสติกัมมัฏฐานนี้เป็นที่สบายของคนที่เป็นโมหจริต

.

๗.๑

สันติแปลว่าอะไร ? มีปฏิปทาที่จะดำเนินอย่างไร ?

๗.๒

สันติเป็นโลกิยะ หรือโลกุตตระ ?

.

๗.๑

สันติ แปลว่า ความสงบ มีปฏิปทาที่จะดำเนินคือ ปฏิบัติสงบกาย วาจา ใจ จากโทษเวรภัย ละโลกามิส คือเบญจพิธกามคุณ ๕ มีสันติเป็นวิหารธรรม

๗.๒

สันติเป็นได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ

.

๘.๑

ผู้จะเจริญกายคตาสติกัมมัฏฐานพึงกำหนดอะไร ?

๘.๒

เพราะเหตุใด ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ท่านจึงเรียกว่า มูลกัมมัฏฐาน ?

.

๘.๑

พึงกำหนดพิจารณากายเป็นที่ประชุมแห่งส่วนน่าเกลียดข้างบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมา ข้างล่างตั้งแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ให้เห็นว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ

๘.๒

ที่เรียกว่ามูลกัมมัฏฐานนั้น เพราะเป็นกัมมัฏฐานเดิมที่กุลบุตรผู้มาบรรพชา ย่อมได้รับสอนกัมมัฏฐานนี้ไว้ก่อนจากพระอุปัชฌาย์ เหมือนดังได้รับมอบศัสตราวุธไว้สำหรับต่อสู้กับข้าศึก คือกามฉันท์ อันจะทำอันตรายแก่พรหมจรรย์

.

๙.๑

เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงจะแยบคาย ?

๙.๒

อะไรเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ?

.

๙.๑

เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ สติ ระลึกถึงความตาย ๑ ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน ๑ เกิดสังเวชสลดใจ ๑ เจริญอย่างนี้ จึงจะแยบคาย

๙.๒

ความกำหนดรู้ว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา

๑๐.

๑๐.๑

สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ?

๑๐.๒

เมื่อจะเจริญกัมมัฏฐานพึงปฏิบัติอย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

ให้ผลต่างกันดังนี้

สมถะ ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ระงับนิวรณ์บางอย่างได้ อย่างสูง ทำให้ เข้าถึงฌานต่าง ๆ ได้ ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผล พ้นจากสังสารทุกข์

 

๑๐.๒

พึงปฏิบัติอย่างนี้ ในชั้นต้นพึงศึกษาให้รู้ว่า กัมมัฏฐานชนิดไหนชั้นใด ในกัมมัฏฐานนั้น ๆ มีความมุ่งหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ในที่นี้ควรศึกษาให้รู้กัมมัฏฐาน ๒ อย่างคือ

๑) สมถกัมมัฏฐาน

๒) วิปัสสนากัมมัฏฐาน

_5_222

ปัญหาและเฉลยพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันศุกร์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

.

๑.๑

ลักษณะทั้ง ๒ ที่พระพุทธองค์ทรงเห็นในมัชฌิมยามแห่งราตรีตรัสรู้คือ อะไรบ้าง ?

๑.๒

พระอุทานที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งในปัจฉิมยามมีความว่าอย่างไร ?

.

๑.๑

คือ

๑) ปัจจัตตลักษณะ ได้แก่การกำหนดโดยความเป็นกอง

๒) สามัญลักษณะ ได้แก่การกำหนดโดยความเป็นสภาพเสมอกัน

คือ ความเป็นของไม่เที่ยง

๑.๒

มีความว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามาร คือ ชรา พยาธิ มรณะเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยขึ้นกำจัดมืด ทำอากาศให้สว่างฉะนั้น

.

๒.๑

ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง ?

๒.๒

ที่สุดโต่งนั้นมีโทษอย่างไร ?

.

๒.๑

คือ

๑) กามสุขัลลิกานุโยค

๒) อัตตกิลมถานุโยค

๒.๒

มีโทษดังนี้

 

กามสุขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือ ผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

 

อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

.

๓.๑

พระอัครสาวก ๒ รูปมีชื่อเรียกอะไรบ้าง ? เหตุไรจึงเรียกอย่างนั้น ?

๓.๒

พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร ? และมีผล อย่างไร?

.

๓.๑

มีชื่อเรียก อุปติสสะ หรือสารีบุตร ๑ เรียก โกลิตะ หรือ โมคคัลลานะ ๑ ที่เรียกว่า อุปติสสะ เพราะเรียกตามโคตร ที่เรียกว่า สารีบุตร เพราะเป็นบุตรของ นางสารีพราหมณี ส่วนที่เรียกว่า โกลิตะ เพราะเรียกตามโคตร ที่เรียกว่า โมคคัลลานะ เพราะเป็นบุตรของนางโมคคัลลานีพราหมณี

๓.๒

มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใด สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา

.

๔.๑

พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์ อย่างไร ?

๔.๒

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญแก่พระพุทธศาสนา อย่างไร ?

.

๔.๑

เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างคือ

๑) การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน

๒) เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่ง

คนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้าได้

ประพฤติอย่างนี้ เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่ เขาเอง

๔.๒

ท่านได้เป็นประธานทำสังคายนาเป็นครั้งแรก

.

๕.๑

คำว่า “ภทฺเทกรตฺโต” ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ คือการปฏิบัติอย่างไร ?

๕.๒

พระสาวกรูปใดได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฉลาดอธิบายความย่อให้พิสดาร ?

.

๕.๑

คือการปฏิบัติอย่างนี้ คือ เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท

๕.๒

พระมหากัจจายนะ

.

๖.๑

ปัญหาว่า “พระขีณาสพตายแล้วเป็นอะไร” ใครถามใคร ? มีคำตอบอย่างไร ?

๖.๒

พระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาจบลงแล้ว มีผลอะไรเกิดแก่มาณพ ๑๖ คน ?

.

๖.๑

พระสารีบุตรถามพระยมกะ มีคำตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เที่ยง ดับไปแล้ว

๖.๒

มีผลคือ มาณพ ๑๕ คน เว้นปิงคิยมาณพ ส่งใจไปตามธรรมเทศนา มีจิตพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ส่วนปิงคิยมาณพเป็นแต่ได้ญาณเห็นในธรรม

.

๗.๑

พระปุณณมันตานีบุตรเป็นชาวเมืองไหน ? ตั้งอยู่ในคุณธรรมอะไรบ้าง ?

๗.๒

ใครถามว่า “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ? ใครตอบ ? ตอบว่า อย่างไร ?

.

๗.๑

เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ตั้งอยู่ในคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ความรู้เห็นในวิมุตติ

๗.๒

พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ และตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความดับไม่มีเชื้อ

.

๘.๑

เพราะเห็นอานิสงส์อะไร พระอานนท์จึงทูลขอพรข้อที่ ๘ ?

๘.๒

พระอุบาลีออกบวชพร้อมใครบ้าง ? ที่ไหน ? ท่านได้รับเอตทัคคะ

ทางไหน ?

.

๘.๑

เพราะเห็นอานิสงส์ว่าหากมีผู้มาถามว่า ธรรมนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงในที่ใด ? ถ้าท่านตอบไม่ได้ เขาจะพูดได้ว่า ท่านตามเสด็จพระศาสดาตลอดกาลนาน ไม่รู้แม้แต่เรื่องเท่านี้

๘.๒

พระอุบาลีออกบวชพร้อมกับ พระภัททิยะ พระอนุรุทธะ พระอานันทะ พระภัคคุ พระกิมพิละ พระเทวทัต ที่อนุปิยนิคม ได้รับเอตทัคคะทางเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงวินัย

.

จงอธิบายข้อความต่อไปนี้

 

๙.๑

ทรงทำอายุสังขาราธิฏฐาน ๙.๒ ทรงปลงอายุสังขาร

.

๙.๑

ทรงทำอายุสังขาราธิฏฐาน หมายถึง ทรงตั้งพระหฤทัยจักอยู่แสดงธรรม สั่งสอนแก่มหาชน และตั้งพุทธปณิธานใคร่จะดำรงพระชนม์อยู่ จนกว่า พุทธบริษัทจะตั้งมั่นและได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลาย ประดิษฐานให้มั่นคงถาวรสำเร็จประโยชน์แก่นิกรทุกหมู่เหล่า

๙.๒

ทรงปลงอายุสังขาร หมายถึง ทรงกำหนดวันปรินิพพานนับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน คือปลงพระทัยว่าจะบำเพ็ญพุทธกิจต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

๑๐.

๑๐.๑

เมื่อรวมเจดีย์ซึ่งแสดงไว้ในบาลี อรรถกถา และฎีกา มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

๑๐.๒

อันตรธาน ๕ อย่าง อย่างไหนสำคัญกว่า ? เพราะเหตุไร

๑๐.

๑๐.๑

มี ๔ คือ ธาตุเจดีย์ ๑ บริโภคเจดีย์ ๑ ธรรมเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑

 

๑๐.๒

ปริยัติอันตรธานสำคัญกว่า เพราะปริยัติเสื่อมลงในกาลใด พระศาสนาย่อมเสื่อมถอยในกาลนั้น เมื่อปริยัติยังดำรงอยู่ตราบใด พระศาสนาก็ยังดำรงอยู่ตราบนั้น เพราะว่าปริยัติเป็นรากแก้วของพระศาสนา ปฏิบัติเป็นแก่น ปฏิเวธ เป็นผล เมื่อรากแก้วขาดแล้ว แก่นและผลก็พลอยหมดไปตามกัน

       

_4_353

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓

วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

------------------------------

.

๑.๑

การตั้งญัตติและสวดอนุสาวนามีอยู่ในกรรมอะไรบ้าง ในสังฆกรรม

ทั้ง ๔ ?

๑.๒

สังฆกรรม ๔ นั้น อย่างไหนต้องทำในสีมา อย่างไหนทำนอกสีมาก็ได้ ?

.

๑.๑

การตั้งญัตติ มีในญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม

ส่วนการสวดอนุสาวนา มีในญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม

๑.๒

ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม ต้องทำในสีมาเท่านั้น ทำนอกสีมาไม่ได้ เพราะต้องตั้งญัตติ ส่วนอปโลกนกรรม ทำนอกสีมา

ก็ได้ เพราะไม่ต้องตั้งญัตติ

.

๒.๑

พัทธสีมามีกำหนดขนาดพื้นที่ไว้หรือไม่ ? ถ้ามี กำหนดไว้อย่างไร ?

๒.๒

สถานที่ที่เป็นสีมาตามพระวินัยไม่ได้ มีหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?

.

๒.๑

มีกำหนดไว้ คือกำหนดไม่ให้สมมติสีมาเล็กเกินไปจนจุภิกษุ ๒๑ รูป นั่งไม่ได้และไม่ให้สมมติสีมาใหญ่เกินไปกว่า ๓ โยชน์ สีมาเล็กเกินไปใหญ่เกินไป เป็นสีมาวิบัติ ใช้ไม่ได้

๒.๒

ไม่มี เพราะในป่าที่ไม่มีบ้าน ก็จัดเป็นสัตตัพภันตรสีมา ในน่านน้ำที่ได้ขนาด ก็จัดเป็นอุทกุกเขปสีมา ผืนแผ่นดินที่มีหมู่บ้านก็จัดเป็นคามสีมา แม้สีมันตริกซึ่งคั่นระหว่างมหาสีมากับขัณฑสีมาก็จัดเป็นคามสีมา

.

๓.๑

คำว่า “เจ้าอธิการ” ในพระวินัยหมายถึงใคร ? มีกี่แผนก ? อะไรบ้าง ?

๓.๒

การให้ภิกษุถือเสนาสนะเป็นหน้าที่ของใคร ? ผู้นั้นพึงปฏิบัติอย่างไร ?

.

๓.๑

หมายถึงภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นเจ้าหน้าที่ทำกิจการของสงฆ์

มี ๕ แผนก คือ

 

๑) เจ้าอธิการแห่งจีวร

๒) เจ้าอธิการแห่งอาหาร

๓) เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ

๔) เจ้าอธิการแห่งอาราม

๕) เจ้าอธิการแห่งคลัง

๓.๒

เป็นหน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะพึงกำหนดฐานะของภิกษุผู้ถือเสนาสนะว่า เป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย เป็นผู้มีอุปการะแก่สงฆ์หรือหามิได้ เป็นผู้เล่าเรียนหรือประกอบกิจในทางใดบ้าง เป็นต้น แล้วพึงให้ถือเสนาสนะ

.

๔.๑

วัดมีพระจำพรรษาวัดละ ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ทายกประสงค์จะถวายกฐิน นิมนต์พระมารวมในวัดเดียวกันเพื่อรับกฐิน เป็นกฐินหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?

๔.๒

ในคัมภีร์บริวาร ภิกษุผู้ควรกรานกฐินประกอบด้วยองค์เท่าไร ? บอกมา ๓ ข้อ

.

๔.๑

ไม่เป็นกฐิน เพราะองค์กำหนดสิทธิของภิกษุผู้จะกรานกฐินมี ๓ คือ

 

๑) เป็นผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสไม่ขาด

๒) อยู่ในอาวาสเดียวกัน

๓) ภิกษุมีจำนวนตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป

๔.๒

ประกอบด้วยองค์ ๘ (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)

 

๑) รู้จักบุพพกรณ์

๒) รู้จักถอนไตรจีวร

๓) รู้จักอธิษฐานไตรจีวร

๔) รู้จักการกราน

๕) รู้จักมาติกาคือหัวข้อแห่งการเดาะกฐิน

๖) รู้จักปลิโพธกังวลเป็นเหตุยังไม่เดาะกฐิน

๗) รู้จักการเดาะกฐิน

๘) รู้จักอานิสงส์กฐิน

.

๕.๑

จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ๑. ปฏิจฉันนาบัติ ๒. อันตราบัติ

๕.๒

สัมมุขาวินัยมีองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ?

.

๕.๑

๑) ปฏิจฉันนาบัติ หมายถึง อาบัติที่ภิกษุต้องแล้วปกปิดไว้

๒) อันตราบัติ หมายถึง อาบัติสังฆาทิเสสที่ภิกษุต้องเข้าอีกระหว่าง

ประพฤติวุฏฐานวิธี

๕.๒

มีองค์ ๔ คือ

 

๑) ในที่พร้อมหน้าสงฆ์

๒) ในที่พร้อมหน้าธรรม

๓) ในที่พร้อมหน้าวินัย

๔) ในที่พร้อมหน้าบุคคล

.

๖.๑

การคว่ำบาตรในทางพระวินัยมีความหมายว่าอย่างไร ?

๖.๒

การคว่ำบาตรนี้ สงฆ์ทำแก่ผู้ประพฤติเช่นไร ? บอกมา ๓ ข้อ

.

๖.๑

มีความหมายว่าไม่ให้คบค้าสมาคมด้วยลักษณะ ๓ ประการคือ

 

๑) ไม่รับบิณฑบาตของเขา

๒) ไม่รับนิมนต์ของเขา

๓) ไม่รับไทยธรรมของเขา

๖.๒

ทำแก่คฤหัสถ์ (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)

 

๑) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย

๒) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย

๓) ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย

๔) ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย

๕) ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน

๖) กล่าวติเตียนพระพุทธ

๗) กล่าวติเตียนพระธรรม

๘) กล่าวติเตียนพระสงฆ์

.

๗.๑

ใครเป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน หรือเป็นผู้ขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์ได้ ?

๗.๒

เหตุที่สงฆ์จะแตกกันมีอะไรบ้าง ? จะป้องกันได้ด้วยวิธีอย่างไร ?

.

๗.๑

ภิกษุผู้ปกตัตตะเป็นสมานสังวาส อยู่ในสีมาเดียวกันเท่านั้น ย่อมอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นก๊กเป็นพวกได้ นางภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา หาอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันได้ไม่ เป็นได้เพียงขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์เท่านั้น

๗.๒

มี ๒ อย่างคือ

 

๑) มีความเห็นปรารภพระธรรมวินัยแตกต่างกันจนเกิดเป็นอธิกรณ์

๒) ความประพฤติปฏิบัติไม่เสมอกัน ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้วเกิดความ

รังเกียจกันขึ้น

 

จะป้องกันได้ด้วย ๒ วิธีคือ

 

๑) ต้องส่งเสริมและกวดขันการศึกษาพระธรรมวินัย ให้มีความ

เห็นชอบเหมือนกัน

๒) ต้องส่งเสริมและกวดขันความประพฤติของภิกษุทั้งหลาย

ให้เสมอกัน ไม่ให้เป็นทางรังเกียจกัน

   

 

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕

.

๘.๑

กรรมการมหาเถรสมาคมดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละกี่ปี ?

๘.๒

ผู้จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีกำหนดไว้อย่างไร ?

.

๘.๑

กรรมการมหาเถรสมาคมที่เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ไม่มีกำหนดเวลา ส่วนกรรมการมหาเถรสมาคมที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง ดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๒ ปี

๘.๒

มีกำหนดไว้ว่าต้องเป็นอธิบดีกรมการศาสนา (โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓ ความว่า ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง)

.

๙.๑

ในกรณียุบเลิกวัด ทรัพย์สินของวัดนั้นจะพึงตกแก่ใคร ?

๙.๒

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของใคร ?

.

๙.๑

ให้ตกเป็นของศาสนสมบัติกลาง จะแบ่งให้ใครไม่ได้ (มาตรา ๓๒ วรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕)

๙.๒

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง กำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมการศาสนา

การดูแลและจัดการศาสนสมบัติของวัด กำหนดให้เป็นหน้าที่ของ เจ้าอาวาส

(การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๐ ว่า ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมการศาสนา เพื่อการนี้ให้ถือว่ากรมการศาสนาเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย และมาตรา ๔๑ ว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำงบประมาณประจำปีของศาสนสมบัติกลาง ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้งบประมาณนั้นได้ ส่วนการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัดมีในมาตรา ๓๗ (๑) ว่า เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาวัด จัด กิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดีและใน มาตรา ๔๐ ว่า การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง)

๑๐.

๑๐.๑

เจ้าอาวาส ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ ใครเป็นผู้แต่งตั้ง ?

๑๐.๒

เจ้าอาวาสผู้ได้รับแต่งตั้งมีหน้าที่อย่างไร ?

๑๐.

๑๐.๑

สมเด็จพระสังฆราช ทรงแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง

เจ้าคณะจังหวัด แต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์

 

๑๐.๒

เจ้าอาวาสมีหน้าที่ตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนี้

   

๑) บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี

๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนัก

อาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม

ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม

๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรม และสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิต

และคฤหัสถ์

๔) ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons