วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตัวอย่างข้อสอบสนามหลวง วิชาธรรมวิจารณ์

clip_image002

clip_image004

       คำปรารภ จากผู้เรียบเรียง

...รวบรวมโดย พระสุวรรณ สิริวัณโณ

แนวข้อสอบติวเข้มนักธรรมเอกที่ท่านถืออยู่นี้ ข้าพเจ้าจัดทำขึ้นเป็นประโยชน์ในการเรียนการสอนนักธรรมชั้นเอก ประจำวัดพุทธบูชา บางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร อันมีเนื้อหาครบสมบูรณ์ จากที่ข้าพเจ้าได้รวบรวมมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่นักเรียนที่มีเวลาน้อย ชุดเตรียมตัวสอบนักธรรมในปีนี้ว่านักธรรมเอกนี้มีเนื้อหาละเอียดลออ กว่านักธรรมตรี และนักธรรมโทมากแต่ขอให้ท่านนักศึกษา จงอย่าได้ท้อถอยครับ พระศาสดาตรัสไว้ว่า วิริเยนทุกฺขมจฺเจติ คนเราล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ฉะนั้นเพียรไปเถิดขอรับ ต้องสำเร็จสักวันหนึ่งแน่นอนความดีของแนวข้อสอบสนามหลวงนักธรรมเอกเล่มนี้ ขอถวายเป็นพุทธบูชาธรรมบูชา สังฆบูชา บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทั้งหลาย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้แต่ผู้เดียว

สุวรรณโณ ภิกขุ

clip_image006

ตัวอย่างข้อสอบสนามหลวง วิชาธรรมวิจารณ์

๑. ความเป็นอนัตตาแห่งสังขาร พึงกำหนดรู้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง

ตอบ ด้วยอาการอย่างนี้ คือ

ก) ไม่อยู่ในอำนาจ หรือฝืนความปรารถนา

ข) แย้งต่ออัตตา

ค) ความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้

ง) ความเป็นสภาพสูญ ฯ

๒. พระบาลีว่า สิญฺจ ภิกฺขุ อมํ นาวํ แปลว่า ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ คำว่า เรือ และ

คำว่า วิด ในที่นี้ หมายถึงอะไร

ตอบ เรือ หมายถึง อัตภาพร่างกาย

วิด หมายถึง บรรเทากิเลส และบาปธรรมเสียให้บางเบา จนขจัดได้ขาด ฯ

๓. บาลีอุทเทสว่า วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ แปลว่า เมื่อหลุดพ้นแล้ว

ญาณว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี ใครเป็นผู้หลุดพ้น และหลุดพ้นจากอะไร

ตอบ จิตเป็นผู้หลุดพ้น ฯ หลุดพ้นจากอาสวะกิเลส ๓ ฯ

๔. สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน ต่างกันอย่างไร พระบาลีว่า เตสํ

วูปสโม สุโข ความเข้าไปสงบแห่งสังขารเหล่านั้น เป็นสุข จัดเป็นนิพพานชนิดใด

ตอบ สอุปาทิเสสนิพพานเป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ อนุปาทิเสสนิพพาน

เป็นความดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ฯ

จัดเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ฯ

๕. ผู้จะเจริญวิปัสสนาภาวนา พึงศึกษาให้รู้จักธรรม ๓ ประการ อะไรบ้าง

ตอบ ธรรม ๓ ประการ คือ

ก) ธรรมเป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น (มีขันธ์ ๕ เป็นต้น)

ข) ธรรมเป็นรากเหง้า เป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งอยู่ของวิปัสสนานั้น (คือสีล

วิสุทธิ และจิตตวิสุทธิ)

ค) ตัว คือ วิปัสสนานั้น (คือ วิสุทธิ ๕ ที่เหลือ) ฯ

๖. ในส่วนสังสารวัฏ สัตวโลกตายแล้ว มีคติเป็นอย่างไร จงอ้างบาลีประกอบ

ตอบ มีคติเป็น ๒ คือตายแล้วไปสู่สุคติ มีบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา

ตายแล้วไปสู่ทุคติ มีบาลีว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกงฺขา ฯ

๗. นิพพิทาญาณ หมายถึงอะไร ปฏิปทาแห่งนิพพิทา เป็นเช่นไร

ตอบ หมายถึงปัญญาของผู้บำเพ็ญเพียรจนเกิดความหน่ายในสังขาร ฯ

การพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็น

อนัตตา แล้วเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายในทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินหมกมุ่นอยู่ในสังขารอัน

ยั่วยวนเสน่หา นี้เป็นปฏิปทาแห่งนิพพิทา ฯ

๘. จริต คืออะไร เพราะเหตุใดจึงต้องเจริญกัมมัฏฐานให้เหมาะกับจริตของตน

จริตของคนในโลกนี้มีกี่ประเภท อะไรบ้าง คนสูงอายุมีความ

กังวล นอนไม่หลับ เพราะคิดห่วงลูกหลาน เป็นต้น จัดเป็นคนมีจริตอะไร

กัมมัฏฐานข้อใดเป็นที่สบายแก่คนจริตนั้น นิวรณ์ ๕ อย่างไหน

สงเคราะห์เข้าในจริตอะไร

ตอบ คือ ความประพฤติเป็นปกติของบุคคล ฯ

เพราะกัมมัฏฐานแต่ละอย่างก็เป็นที่สบายของคนแต่ละจริต ถ้าเจริญไม่เหมาะกับจริต

กรรมฐานก็จะสำเร็จได้โดยยาก ฯ

มี ๖ ประเภท ราคจริต ๑, โทสจริต ๑, โมหจริต ๑, สัทธาจริต ๑, วิตักกจริต ๑,

พุทธิจริต ๑ ฯ

มีวิตักกจริต ฯ อานาปานุสสติ หรือกสิณ ฯ

กามฉันท์ สงเคราะห์เข้าในราคจริต

พยาบาท สงเคราะห์เข้าในโทสจริต

ถีนมิทธะ สงเคราะห์เข้าในโมหจริต

อุทธัจจกุกกุจจะ สงเคราะห์เข้าในวิตักกจริต

วิจิกิจฉา สงเคราะห์เข้าในโมหจริต ฯ

clip_image008

๙. นิพพิทา คืออะไร บุคคลผู้ไม่ประสบลาภยศสรรเสริญสุข จึงเบื่อหน่ายระอา

อย่างนี้ จัดเป็นนิพพิทาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ตอบ คือ ความหน่ายในเบญจขันธ์ หรือในทุกขขันธ์ด้วยปัญญา ฯ

ไม่จัดเป็นนิพพิทา เพราะยังเบื่อหน่ายด้วยท้อแท้ มิใช่เป็นความหน่ายด้วยปัญญา ฯ

๑๐. วิปัลลาส คืออะไร แบ่งตามจิตและเจตสิกได้กี่ประเภท อะไรบ้าง

ตอบ คือ กิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง ฯ

แบ่งได้ ๓ ประเภท ฯ

คือ ก) สัญญาวิปัลลาส ข) จิตตวิปัลลาส ค) ทิฏฐิวิปัลลาส ฯ

๑๑. อารมณ์ของสติปัฏฐาน มีอะไรบ้าง ภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานพึงมีคุณสมบัติ

อะไรบ้าง

ตอบ มี กาย เวทนา จิต ธรรม ฯ

พึงมี ก) อาตาปี มีความเพียรเผากิเลส ข) สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ ค) สติมา มีสติ

๑๒. สหคตทุกข์ คือทุกข์เช่นไร มียศชื่อว่าเป็นทุกข์นั้น มีอธิบายอย่างไร

ตอบ คือ ทุกข์ไปด้วยกัน หรือทุกข์กำกับกัน ได้แก่ทุกข์มีเนื่องมาจากวิบุลผล ฯ

มียศ คือได้รับตั้งเป็นใหญ่กว่าคนสามัญเป็นชั้น ๆ ต้องเป็นอยู่เติบกว่าคนสามัญ

จำต้องมีทรัพย์มากเป็นกำลัง มักหาได้ไม่พอใช้ ต้องมีภาระมาก ไม่มีเวลาเป็นของตน

เป็นที่เกาะของผู้อื่นจนนุงนัง ต้องพลอยสุขทุกข์ด้วยเขา ฯ

๑๓. ไวพจน์ แห่งวิราคะ ได้แก่อะไรบ้าง

ตอบ ได้แก่ มทนิมฺมทโน แปลว่า ธรรมยังความเมาให้สร่าง

ปิปาสวินโย แปลว่า ความนำเสียซึ่งความกระหาย

อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่า ความถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย

วฏฏูปจฺเฉโท แปลว่า ความเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ

ตณฺหกฺขโย แปลว่า ความสิ้นไปแห่งตัณหา

วิราโค แปลว่า ความสิ้นกำหนัด

นิโรโธ แปลว่า ความดับ

นิพฺพานํ แปลว่า ธรรมชาติหาเครื่องเสียบแทงมิได้ ฯ

๑๔. กายคตาสติกัมมัฏฐานกับอสุภกัมมัฏฐาน ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร จง

อธิบาย กสิณ แปลว่าอะไร และเป็นคู่ปรับแก่นิวรณ์ชนิดไหน

ตอบ ต่างกันที่อารมณ์ คือ กายคตาสติ พิจารณาอาการภายในของตนเป็นอารมณ์

อสุภะ พิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ ฯ

เหมือนกันตรงที่พิจารณาให้เห็นเป็นปฏิกูล ไม่งามเหมือนกัน และเป็นปฏิปักษ์ต่อกาม

ฉันทะ อีกทั้งเป็นเครื่องกำจัดวิปลาสข้อที่เห็นว่าสวยงามในสิ่งที่ไม่สวยงามได้ด้วย ฯ

แปลว่า วัตถุอันจูงใจ คือจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกัมมัฏฐาน ที่มีนิมิต หรือมี

วัตถุที่ชื่อว่ากสิณเป็นอารมณ์ เป็นคู่ปรับแก่อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ฯ

๑๕. บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข ความว่า ผู้เพ่ง

ความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย ความสงบ ได้แก่อะไร อามิส ได้แก่อะไร

เพราะเหตุไรจึงเรียกว่าอามิส

ตอบ ได้แก่ ความเรียบร้อยทางกายทางวาจาและทางใจ ฯ

ได้แก่ ปัญจพิธกามคุณ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนาน่าใคร่น่า

ชอบใจ ฯ

เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวอยู่ ฯ

๑๖. วิมุตติ เป็นโลกิยธรรมหรือโลกุตตรธรรม เป็นสาสวะหรืออนาสวะ

ตอบ ถ้ามุ่งเอาบาลีซึ่งคือ เจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ก็เป็นโลกุตตระและอนาสวะ

อย่างเดียว ถ้ามุ่งเอาอรรถกถาซึ่งคือ วิมุตติ ๕ วิมุตติเป็นโลกิยะก็มี เป็นสาสวะก็มี

คือ ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะและเป็นสาสวะ สมุทเฉทวิมุตติ

ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระและอนาสวะ ฯ

๑๗. ในอรกสูตร ทรงแสดงอุปมาชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายไว้อย่างไรบ้าง จงบอกมา

๓ ข้อ ที่ทรงแสดงไว้เช่นนั้นเพื่ออะไร

ตอบ ทรงแสดงไว้ดังนี้ คือ (ให้ตอบเพียง ๓ ข้อ) ๑. เหมือนหยาดน้ำค้าง ๒. เหมือน

ต่อมน้ำ ๓. เหมือนรอยไม้ขีดลงในน้ำ ๔. เหมือนลำธารอันไหลมาจากภูเขา ๕.

เหมือนก้อนเขฬะ ๖. เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ ๗. เหมือนโคที่เขาจะฆ่า ฯ

ทรงแสดงไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เร่งรีบทำความดีให้ทันกับเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ฯ

clip_image010

๑๘. เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงชักนำให้บำเพ็ญสมาธิ หัวใจสมถ

กัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง พระพุทธจรรยาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการทรงแสดงธรรมเร้าใจนั้นด้วยอาการอย่างไรบ้าง

ตอบ เพราะใจที่อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่ เป็นกำลังสำคัญในอัน

จะให้คิดเห็นอรรถธรรมและเหตุผลอันสุขุมลุ่มลึก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ใน

พระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง ฯ

มีกายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ จตุธาตุววัตถานะ ฯ

ด้วยอาการ ๔ คือ

ก) สนฺทสฺสนา อธิบายให้เห็นแจ่มแจ้ง ให้เข้าใจชัด

ข) สมาทปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทาน คือทำตาม

ค) สมุตฺเตชนา ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ

ง) สมฺปหํสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทำ ฯ

๑๙. คำว่า มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง หมายถึงความเมาในอะไร

ตอบ หมายถึงความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น สมบัติ

แห่งชาติ สกุล อิสริยะ บริวาร ก็ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ดี เยาว์วัย ความหาโรค

มิได้ และชีวิต ก็ดี นับเข้าในอารมณ์ประเภทนี้ ฯ

๒๐. วิราคะเป็นยอดแห่งธรรมทั้งปวง คำว่า “ธรรมทั้งปวง” หมายถึงอะไร นิโรธ

ที่เป็นไวพจน์แห่งวิราคะ หมายถึงอะไร

ตอบ หมายถึง สังขตธรรม คือธรรมอันธรรมดาปรุงแต่ง และอสังขตธรรม คือ ธรรม

อันธรรมดามิได้ปรุงแต่ง ฯหมายถึง ความดับทุกข์ เนื่องมาจากดับตัณหา ฯ

๒๑. ในบรรดาสังขตธรรมนั้น อะไรเป็นยอด เพราะเหตุไร

ตอบ อัฏฐังคิกมรรคเป็นยอด ฯเพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ ๆ ของอัฏฐังคิกมรรคก็เป็นธรรมดี ๆ รวมกันเข้าทั้ง ๘ ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก และเป็นทางเดียวนำไปถึงความดับทุกข์ หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ ฯ

clip_image012

๒๒. ปัจจุบันนี้ การเจริญกัมมัฏฐาน เป็นที่นิยมของสาธุชน ขอทราบว่ากัมมัฏฐานนั้นมีกี่อย่าง อะไรบ้าง

ตอบ มี ๒ อย่าง คือ สมถกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายสงบใจ ๑, วิปัสสนา

กัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา ฯ

๒๓. อะไรเป็นลักษณะ เป็นเหตุ เป็นกิจ และเป็นผลของวิปัสสนา ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาพึงรู้ฐานะทั้ง ๖ ก่อน ฐานะทั้ง ๖ นั้นคืออะไรบ้าง

ตอบ สภาพความเป็นเองของสังขาร คือเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จริงอย่างไร ความรู้ความเห็นว่าสังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาแจ้งชัดจริงอย่างนั้น เป็นลักษณะของวิปัสสนาการที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่ฟุ้งซ่าน เป็นเหตุของวิปัสสนาการกำจัดโมหะความมืดเสียให้สิ้นเชิง ไม่หลงในสังขารว่า เป็นของเที่ยงเป็นสุข เป็นตัวเป็นตน เป็นของงาม เป็นกิจของวิปัสสนาความรู้แจ้งเห็นจริงในสังขารทั้งหลายว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันสืบเนื่องมาจากการกำจัดโมหะความมืดได้สิ้นเชิง ไม่มีความรู้ผิดความเห็นผิด เป็นผลของวิปัสสนา ฯฐานะทั้ง ๖ คืออนิจจะ ของไม่เที่ยง ๑อนิจจลักษณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง ๑ทุกขะ ของที่สัตว์ทนยาก ๑ทุกขลักษณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ๑อนัตตา สภาวะมิใช่ตัวมิใช่ตน ๑อนัตตลักษณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา ๑ ฯ

๒๔. ตามมหาสติปัฏฐานสูตร ผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ วันถึงตลอด ๗ ปี

พึงหวังผลอะไรได้บ้าง

ตอบ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑

หรือเมื่อวิบากขันธ์ที่กิเลสมีตัณหา เป็นต้น เข้ายึดไว้ยังเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ ฯ

๒๕. อุทเทสแห่งนิพพิทา ดังต่อไปนี้ มีความหมายว่าอย่างไร

ก) คนเขลา

ข) ผู้รู้

ค) หมกอยู่

ง) หาข้องอยู่ไม่

จ) โลกนี้

ตอบ ก) คนผู้ไร้วิจารณญาณ

ข) ผู้รู้โลกตามความเป็นจริง

ค) เพลิดเพลินหลงติดอยู่ในสิ่งอันมีโทษ

ง) ไม่พัวพันในสิ่งล่อใจ

จ) โดยตรง ได้แก่แผ่นดินเป็นที่อยู่อาศัย โดยอ้อม ได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย ฯ

๒๖. สังขารในไตรลักษณ์กับในขันธ์ ๕ ต่างกันอย่างไร

ตอบ สังขารในไตรลักษณ์ หมายเอารูปธรรมและนามธรรมทั้งหมด ที่ปัจจัยปรุงแต่ง

ขึ้น ส่วนสังขารในขันธ์ ๕ หมายเอาเจตสิกธรรมที่ปรุงแต่งจิตให้มีอาการต่าง ๆ เว้น

เวทนาและสัญญา ฯ

๒๗. ปกิณณกทุกข์ คืออะไร จะบรรเทาได้ด้วยวิธีอย่างไร

ตอบ คือ ทุกข์จร เช่น ความเศร้าโศกเสียใจ ความร่ำไรบ่นเพ้อรำพันความไม่สบาย

กาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความประสบสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ความพลัด

พรากจากของรัก ความผิดหวัง เป็นต้น ฯจะบรรเทาได้ด้วยการมีสติ ใช้ปัญญาพิจารณา เห็นความจริงของสังขาร เป็นทุกขังอนิจจัง อนัตตา รู้จักปลงรู้จักปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น ฯ

๒๘. สภาวทุกข์และปกิณณกทุกข์ คือทุกข์เช่นไร

ตอบ สภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำสังขาร ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ ฯ

ปกิณณกทุกข์ คือทุกข์จร ได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ฯ

๒๙. คนสัทธาจริตและคนวิตกจริต มีลักษณะอย่างไร ควรเจริญกัมมัฏฐานอะไร

ตอบ คนสัทธาจริต มีลักษณะเชื่อง่ายขาดเหตุผล คนวิตกจริต มีลักษณะคิดมาก

ฟุ้งซ่าน ฯคนสัทธาจริตควรเจริญอนุสสติ ๖ ข้างต้น คนวิตกจริตควรเจริญอานาปานสติ ฯ

clip_image014

๓๐. พระบาลีว่า “ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้ เรือที่เธอวิดแล้ว จักพลันถึง” จงให้

ความหมายคำต่อไปนี้ ให้ถูกต้องตามพระบาลีนั้น

ก) เรือนี้

ข) จงวิด (วิดอะไร)

ค) เรือที่วิดแล้ว

ง) จักพลันถึง (ถึงอะไร)

จ) เรือจักไม่จมใน....

ตอบ ก) อัตภาพร่างกายนี้

ข) วิดน้ำ คือมิจฉาวิตก

ค) อัตภาพที่บรรเทากิเลสให้เบาบางลง

ง) ถึงท่า คือพระนิพพาน

จ) ในสังสารวัฏ ฯ

๓๑. บาลีแสดงปฏิปทาแห่งนิพพิทาว่า เย จิตตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มาร

พนฺธนา ผู้ใดสำรวมจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร

ก) คำว่า “บ่วงแห่งมาร” ได้แก่อะไร (๔๖)

ข) การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงมาร ในธรรมวิจารณ์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้อย่างไร และถ้าจะจัดเข้าไตรสิกขา จัดได้อย่างไร

ตอบ ก) ได้แก่ วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา

น่าชอบใจ ฯ

ข) แนะนำวิธีปฏิบัติไว้ ๓ ประการ คือ

๑. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น

ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา

๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คืออสุภะและกายคตา-

สติหรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ

๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็นใน

ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯจัดเข้าไตรสิกขาดังนี้

ประการที่ ๑ จัดเข้าในสีลสิกขา

ประการที่ ๒ จัดเข้าในจิตตสิกขา

ปราการที่ ๓ จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ

clip_image016

๓๒. จงแสดงวิธีเจริญมุทิตา พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการเจริญ พอเป็นตัวอย่าง

ตอบ วิธีเจริญมุทิตานั้นดังนี้ เมื่อได้เห็นหรือได้ยินมนุษย์หรือสัตว์เป็นอยู่สุขสบาย

เจริญรุ่งเรืองด้วยสุขสมบัติ พึงทำจิตใจให้ชื่นชมยินดี แล้วแผ่มุทิตาจิตไปว่า สัตว์ผู้นี้

หนอบริบูรณ์ยิ่งนัก มีสุขสมบัติมาก จงเจริญยั่งยืนด้วยสุขสมบัติยิ่ง ๆ เถิด เมื่อเจริญ

อยู่เนือง ๆ ย่อมได้รับอานิสงส์ คือ จะละความริษยาในสมบัติของผู้อื่นได้ ฯ

๓๓. บุคคลผู้ถูกนิวรณ์ ๕ ครอบงำ พึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไรบ้าง

ตอบ ถูกกามฉันทะครอบงำ พึงแก้ด้วยอสุภกัมมัฏฐาน และกายคตาสติ

ถูกพยาบาทครอบงำ พึงแก้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร

ถูกถีนมิทธะครอบงำ พึงแก้ด้วยอนุสสติกัมมัฏฐาน

ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ พึงแก้ด้วยกสิณ หรือมรณัสสติ

ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ พึงแก้ด้วยจตุธาตุววัตถาน หรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ

๓๔. การทำวัตรสวดมนต์ เป็นกิจวัตรของพระภิกษุสามเณรและเป็นภาวนากุศลจงแสดงวิธีเจริญสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในบททำวัตรเช้ามาดูพอเป็นตัวอย่าง

ตอบ การสวดนมัสการพระรัตนตรัยก็ดี สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก็ดี เป็นการน้อมจิตระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ชื่อว่าเจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จัดเป็นสมถกัมมัฏฐาน ฯสวดสังเวคปริกิตตนปาฐะว่า ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ... รูปํ อนิจฺจํเวทนา อนิจฺจา... รูปํ อนตฺตา เวทนา อนตฺตา... เป็นอาทิ ตั้งสติมีความเพียร ใช้ปัญญาพิจารณาเบญจขันธ์ ยกขึ้นสู่สามัญลักษณะ จัดเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ

๓๕. อาหารปริเยฏฐิทุกข์ คืออะไร จะบรรเทาได้ด้วยวิธีอย่างไร

ตอบ คือ ทุกข์ในการหาเลี้ยงชีพ เช่น ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เมื่อผลประโยชน์ขัดกัน ก็ทะเลาะกัน และเมื่อยิ่งแสวงหามากก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์มาก ฯจะบรรเทาได้ด้วยการขยันประหยัดอดทนและอดออม เป็นอยู่ด้วยปัจจัยเครื่องเลี้ยงชีพเท่าที่จำเป็น ตัดสิ่งงเฟ้อที่ไม่จำเป็นออกไป ยินดีเท่าที่ตนมีอยู่โดยยึดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการดำรงชีวิต ฯ

clip_image018

๓๖. อนิจจตาแห่งสังขารทั้งหลาย จะกำหนดรู้ได้ด้วยวิธีใดบ้าง

ตอบ ๑. กำหนดรู้ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย ได้ในบาลีว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชูชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดาเกิดขึ้นแล้วย่อมดับ

๒. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้นด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับได้ในบาลีว่า อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติกาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป

๓. กำหนดรู้ในทางสุขุม ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ๆ คือ ไม่คงที่อยู่นานเพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ได้ในคาถาวิสุทธิมรรค ว่าชีวิตํ อตฺตภาโว จ สุขทุกฺขา จ เกวลา เอกจิตฺตสมา ยุตฺตา ลหุโส วตฺตเต ขโณชีวิต อัตภาพ และสุขทุกข์ทั้งมวล ประกอบกันเป็นธรรมเสมอด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน ฯ

๓๗. พระพุทธพจน์ว่า “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จะไม่เป็น

การปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ จงอธิบาย

ตอบ ไม่เป็นการปฏิเสธเสียทีเดียว เช่นทรงแสดงถึงสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่างไว้ เป็นต้น

แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่ ยังต้องอิงอาศัยผู้อื่น สิ่งอื่น เรียกว่า อามิสสุขหรือสุขอิงอามิส อิงปัจจัยภายนอก ยังไม่ใช่สุข ไม่อาจนับว่าเป็นสุขที่แท้จริงได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่เจือไปด้วยความทุกข์ ไม่ต้องอิงอาศัยสิ่งอื่นปัจจัยภายนอก เรียกว่า นิรามิสสุข ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มี ฯ

๓๘. จงจัดนวรหคุณ แต่ละอย่างลงในพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ

ตอบ บท อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู เป็นพระปัญญาคุณ

บท อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระกรุณาคุณบท พุทโธ ภควา เป็นพระปัญญาคุณ และพระกรุณาคุณทั้งสอง (สุคโต ในที่บางแห่งจัดเป็นทั้งพระปัญญาคุณ ทั้งพระกรุณาคุณ) ฯ

clip_image020

๓๙. สัตวโลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ปัจจุบันภพนั้น เกี่ยวเนื่องกับสัมปรายภพ

อย่างไร

ตอบ สัตวโลกตายแล้ว มีคติเป็น ๒ คือ ถ้าทำดี คือประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจก็ไปสู่สุคติ ถ้าทำไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่ทุคติ ฯจิตดีชั่วในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้าขึ้นอยู่กับภูมิและภพในของจิตในปัจจุบันนี้ ดังมีหลักธรรมในอุเทศบาลีแสดงว่าเมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้ และเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ

๔๐. ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร ท่านสอนให้แผ่ไปในตนก่อน มีความมุ่งหมาย

อย่างไร

ตอบ มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้ทำตนเป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข เกลียด

ชังทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุขความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ฯ

๔๑. พระคิริมานนท์หายจากอาพาธหนัก เพราะฟังธรรมอะไร ใครเป็นผู้แสดงข้อว่า “สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจสญฺญา ความจำหมายความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง” มีใจความว่าอย่างไร

ตอบ เพราะฟังคิริมานนทสูตร ฯ พระอานนทเถระ เป็นผู้แสดง ฯมีใจความว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง แต่สังขารทั้งปวง ฯ

๔๒. กิเลสกาม และวัตถุกาม ได้แก่อะไร อย่างไหนจัดเป็นมาร และเป็นบ่วงแห่ง

มาร เพราะเหตุไร

ตอบ กิเลสกาม ได้แก่ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือตัณหา ความทะยานอยาก ราคะความกำหนัด อรติความขึ้งเคียด เป็นต้น จัดเป็นมาร เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดี และทำให้เสียคน ฯวัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส ผฏฐัพพะ อันเป็นที่น่าพอใจ จัดเป็นบ่วงแห่งมารเพราะเป็นอารมณ์ผูกใจให้ติดแห่งมาร ฯ

๔๓. ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ทรงแสดงวิธีพิจารณาสติ

สัมโพชฌงค์ได้ด้วยอาการอย่างไร

ตอบ ด้วยอาการอย่างนี้ คือ เมื่อสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่ามีอยู่ ณภายในจิตของเรา เมื่อไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเราเมื่อยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญบริบูรณ์ขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น ฯ

๔๔. ข้อว่า อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร ทรงให้ยกธรรมอะไรขึ้นพิจารณาว่า

เป็นอนัตตา

ตอบ ทรงให้ยกอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ฯ

๔๕. จงแสดงพุทธคุณ ๙ โดยอัตตสมบัติ และปรหิตปฏิบัติ พอได้ใจความ ในพระ

พุทธคุณ ๙ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล เพราะเหตุไร

ตอบ พระพุทธคุณตั้งแต่ อรหํ จนถึง โลกวิทู เป็นพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติพระพุทธคุณ คือ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพุทธคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ พระพุทธคุณ คือ พุทฺโธ ภควา เป็นพระพุทธคุณทั้งอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ฯพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อนแล้วจึงทรงบำเพ็ญพุทธกิจให้สำเร็จประโยชน์แก่เวไนย ฯ

๔๖. พระบรมศาสดา ทรงแสดงอานิสงส์แห่งวิปัสสนา ไว้ในอนัตตลักขณสูตร

อย่างไร

ตอบ ทรงแสดงไว้ว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมฟอกจิตให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิตพ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้นแล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์ คือ กิจพระศาสนาได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเช่นนี้ ไม่มีอีก ฯ

๔๗. ในมหาสติปัฏฐานสูตร สติปัฏฐาน ๔ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่ากระไร สติปัฏฐาน

๔ นั้น มีอานิสงส์อย่างไรบ้าง

ตอบ เอกายนมรรค ฯมีอานิสงส์ ๕ ประการ คือ เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ๑, เพื่อความข้ามพ้นโสกะและปริเทวะ ๑, เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส ๑, เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้ ๑, เพื่อการทำให้แจ้งพระนิพพาน ๑ ฯ

๔๘. ความเกิด ความแก่ และความตาย จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน โดยรวบยอด

ทุกข์ที่แสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้แก่ทุกข์เช่นไร นิพัทธทุกข์

หมายถึงทุกข์อย่างไร

ตอบ จัดเข้าในสภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำสังขาร ฯ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕ ฯ

หมายถึง ทุกข์เนืองนิตย์ หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวด

อุจจาระ ปวดปัสสาวะ ฯ

๔๙. ตัณหาคืออะไร ตัณหานั้น เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อดับย่อมดับที่

ไหน

ตอบ คือความอยาก ฯ เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลก เมื่อดับย่อม

ดับในสิ่งที่เป็นที่รักที่ยินดีในโลก ฯ

๕๐. ในอนุสสติ ๑๐ ข้อว่า มรณัสสติ ไม่ใช้ว่า มรณานุสสติ เพราะเหตุไร

ตอบ ที่ไม่ใช้อย่างนั้น ก็เพราะท่านสอนให้ผู้พิจารณาเห็นปรากฏชัดเป็นปัจจุบันธรรม

จะได้เกิดความไม่ประมาท เป็นผู้ทแกล้วกล้าไม่ย่อท้อต่อความตาย หากจะไปเอาความตายที่ล่วงมาแล้วยกขึ้นพิจารณา ในบางขณะอาจเกิดความกลัวตายขึ้นก็ได้ ฯ

๕๑. เนื้อความในภารสูตรว่า “ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น”

ถามว่า

ก) คำว่า “ภาระอันหนัก” ได้แก่อะไรบ้าง

ข) การถือและการปลงภาระอันหนักนั้น หมายถึงอะไร

ตอบ ก) ได้แก่ เบญจขันธ์ ฯ

ข) การถือ หมายถึง การถือด้วยอุปาทาน การปลง หมายถึง การถอนอุปาทานด้วยปัญญา ฯ

clip_image021

๕๒. ไตรลักษณ์ ที่ว่าเห็นได้ยากนั้น เพราะอะไรปิดบังไว้ (๔๕) ผู้พิจารณาอนิจจตา

ความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไร อนิจจตากำหนดรู้ได้ ด้วยอาการอย่างไรบ้าง

ตอบ อนิจจตา มีสันตติ ความสืบต่อแห่งนามรูปปิดบังไว้ ทุกขตา มีอิริยาบถ ความผลัดเปลี่ยนอิริยาบถปิดบังไว้ อนัตตตา มีฆนสัญญา ความสำคัญเห็นเป็นก้อนปิดบังไว้ ฯ

ย่อมได้รับอานิสงส์ คือเพิกถอนสันตติได้ ทำให้เห็นความเกิดขึ้นและความดับไปความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายด้วยปัญญาอันชอบ ย่อมเบื่อหน่ายในสังขารอันเป็นทุกข์ ดำเนินไปในหนทางแห่งความบริสุทธิ์ ฯกำหนดรู้ได้ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ

ก) ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นไปในเบื้องปลาย

ข) ในทางละเอียดกว่านั้น ย่อมกำหนดรู้ได้ด้วยความแปรในระหว่างเกิดและ

ดับ

ค) ในทางอันเป็นอย่างสุขุม ย่อมกำหนดเห็นความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ๆ คือไม่คงที่อยู่นาน เพียงในระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ฯ

๕๓. การเจริญมรณสติอย่างไร จึงแยบคาย ในนวสีกถิกาปัพพะ เมื่อภิกษุเห็น

ซากศพชนิดใดชนิดหนึ่ง ๙ ชนิดนั้น ท่านให้ภาวนาอย่างไร

ตอบ เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ มีสติ ระลึกถึงความตาย ๑, มีญาณ รู้ว่าความตายจักมีเป็นแน่ ตัวจะต้องตายเป็นแน่ ๑, เกิดสังเวชสลดใจ เจริญอย่างนี้จึงจะแยบคาย ฯท่านให้ภาวนาโดยการน้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แล้วว่า อยมฺปิ โข กาโย ถึงร่างกายอันนี้เล่าเอวํ ธมฺโม ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา เอวํ ภาวี จักเป็นอย่างนี้ เอวํ อนตีโต ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ฯ

๕๔. พระบาลีว่า “ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา” มีอธิบาย

อย่างไร

ตอบ บุคคลทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความ

หมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ ฯ

๕๕. อานาปาณสติ ในคิริมานนทสูตร กับในมหาสติปัฏฐานสูตร ต่างกันอย่างไร ผู้

เจริญเมตตาเป็นประจำย่อมได้รับอานิสงส์ อย่างไรบ้าง

ตอบ ในคิริมานนทสูตร แสดงอาการกำหนดลมหายใจที่เป็นไปพร้อมในกาย เวทนา

จิต และธรรม ส่วนในมหาสติปัฏฐาน แสดงแต่เพียงกายานุปัสสนาเท่านั้น ฯย่อมได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ

1) หลับอยู่ก็เป็นสุข

2) ตื่นอยู่ก็เป็นสุข

3) ไม่ฝันเห็นสิ่งลามก

4) เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย

5) เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย

6) เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา

7) ไฟไม่ไหม้ พิษหรือศัสตราวุธทั้งหลายประทุษร้ายไม่ได้

8) จิตตั้งเป็นสมาธิเร็ว

9) ผิวพรรณผ่องใสงดงาม

10) ไม่หลงทำกาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ

11) เมื่อตายแล้วแม้เกิดอีกก็เกิดในสถานที่ดี เป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อมจากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก ฯ

๕๖. พระพุทธคุณบทว่า “สตฺถา เทวมนุสฺสานํ” เมื่อกล่าวถึงพุทธจรรยาในส่วนที่

ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง

ตอบ ประมวลลงได้อย่างนี้

ก) ทรงพระกรุณาหวังจะให้ผู้ที่ทรงสั่งสอน ได้ความรู้อันจะให้สำเร็จประโยชน์

ข) ทรงมุ่งความจริงกับประโยชน์เป็นที่ตั้ง

ค) ทรงทำกับตรัสเป็นอย่างเดียวกัน

ง) ทรงฉลาดในวิธีสั่งสอน ฯ

๕๗. วิปัลลาสข้อว่า วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข จะถอนได้ด้วยสัญญา

อะไรในสัญญา ๑๐ ใจความว่าอย่างไร

ตอบ จะถอนได้ด่วยอาทีนวสัญญา ฯใจความว่า ภิกษุย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า กายอันนี้แลมีทุกข์มาก มีโทษมาก เหล่าอาพาธต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นในกายนี้ ฯ

clip_image023

๕๘. ในทุกข์ ๑๐ อย่าง ความร้อนใจ หรือความถูกลงอาชญา จัดเป็นทุกข์เช่นไร

ตอบ จัดเป็นวิปากทุกข์ ฯ

๕๙. พระพุทธคุณบทว่า สุคโต นั้น เป็นพระคุณส่วนอัตตสมบัติ และส่วนปรหิต

ปฏิบัติอย่างไร จงอธิบาย

ตอบ พระคุณส่วนอัตตสมบัติ คือ เสด็จออกผนวชไม่ย่อท้อ เสด็จดำเนินไปตามอัฏฐังคิกมรรคเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มิได้ทรงกลับคืนมาสู่อำนาจกิเลสที่พระองค์ทรงละได้แล้ว จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เสด็จไปในที่ใดก็ทรงไม่มีอันตรายใดจักเกิดแก่พระองค์ได้ เสด็จไปกลับได้โดยสวัสดี ฯพระคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ คือ เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เทศนาโปรดมหาชนให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้ได้รับประโยชน์ทั้งปัจจุบัน อนาคต และประโยชน์อย่างยิ่ง คือพระนิพพาน อนึ่งทรงมีพระวาจาดี คือทรงกล่าวแต่คำที่จริงที่แท้ประกอบด้วยประโยชน์แก่บุคคลที่ควรกล่าว เสด็จไประงับอันตรายด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ปวงชนแม้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ทรงฝากรอยจารึก คือพระคุณความดีในโลก ดุจฝนตกลงยังพืชให้เผล็ดผล เป็นประโยชน์แก่คนและสัตว์ผู้พึ่งแผ่นดิน ฯ

๖๐. ปริยัติธรรม หมายถึงอะไร ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ธรรมทั้งปริยัติ

ปฏิบัติ และปฏิเวธ มีคุณโดยย่ออย่างไร

ตอบ หมายถึง พุทธวจนะทั้งสิ้น ฯที่ได้ชื่อว่าปริยัติธรรม เพราะเป็นธรรมต้องเล่าเรียนศึกษาให้รู้รอบคอบด้วยดี ฯมีคุณโดยย่อดังนี้

1 ) ปริยัติธรรม มีคุณคือ ให้รู้วิธีบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา

2 )ปฏิบัติธรรม มีคุณคือ ทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน

3 )ปฏิเวธธรรม คือ มรรค ผล นิพพาน มรรคผลนั้น มีคุณคือ ละกิเลสเป็นสมุจเฉท

ปหาน ส่วนนิพพาน มีคุณคือ ดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งหมด ฯ

clip_image025

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons