วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เราควรตัดสินความผิดพระหรือไม่?

 

lo1

ในช่วง ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่มีเรื่องใดฮ็อตฮิตจนเบียดทุกข่าวตกกระป๋องไปได้ เท่าเรื่องของพระภิกษุ ๒ ท่าน ในเวลาไล่เลี่ยกันแล้ว

ในฐานะอยู่ในผ้าเหลืองมาก็หลายปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์ อายุอานามก็จะสี่สิบปีหน้าแล้ว ที่สำคัญเคยได้ฟังโอวาทจากหลวงปู่เณรคำ ฉตฺติโก ที่พักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ๑ ครั้ง ก็พอรู้อัธยาศัยอยู่บ้าง ก็พยายามเตือนคนใกล้ชิดที่พอบอกได้ ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแท้แต่เวรแต่กรรม เพราะกระแสโลกาภิวัฒน์มันแรงมาก ไปต้านกระแสหลักก็คงไม่ไหว ทีนี้ก็มีโยมเพื่อนกังขาสงสัยในคำเตือน ไลน์เข้ามาถาม ดังนี้

นมัสการท่าน ด้วยความเคารพ
(ไม่รู้ว่าใช้ศัพท์ถูกหรือไม่)
ด้วยความด้อยปัญญาและห่างไกลจากธรรมะ จึงไม่ค่อยแน่ใจว่าสิ่งที่กระผมเข้าใจอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ จึงขอสอบถามท่านเพื่อให้คลายข้อสงสัย ดังนี้

1.การอวดอุตตริ ผิดธรรมวินัย ใช่หรือไม่?

2.การมีและใช้สิ่งของเครื่องใช้เกินความจำเป็น ถึงแม้สิ่งของนั้นจะมีผู้นำมาถวาย ถือเป็นกิเลสหรือไม่ เช่น กระเป๋าหลุยส์ หรือแม้แต่เครื่องบินเจท

3.เครื่องบินเจท มีความจำเป็นเพื่อกิจของสงฆ์อันใดบ้าง

4.พระสงฆ์เปิดบัญชีในชื่อตนเองหลายๆ บัญชีทั้งในและต่างประเทศ มีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้าน ที่มาของเงินไม่ชัดเจน หากเป็นเงินส่วนตัว มาจากไหน? หากเป็นเงินบริจาค ทำไมเปิดบัญชีชื่อตัวเอง?

5.ธรรมะคือความเป็นจริง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ใยต้องกลัวการพิสูจน์จนไม่กล้ากลับประเทศ หรือกลัวถูกจับสึก หากท่านเป็นอรหันต์ การจะถูกจับสึกหรือไม่ ไม่น่าจะสำคัญ เพราะท่านปฏิบัติจนมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่นานก็คงนิพพาน

ก่อนจะคุยกันเรื่องประเด็นร้อน ขอออกตัวก่อนว่า ข้าพเจ้ามิใช่มาถกให้เห็นว่า หลวงปู่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่จะชี้แจงให้เห็นว่า อาจจะยังไม่ถึงเวลาชี้ขาดลงไปว่า ท่านผิดจริง หลักฐานทั้งหลายจะเป็นตัวยืนยันมากกว่าคำพูดลอย ๆ

และก่อนจะเข้าสู่การตอบปัญหา ต้องขอปูพื้นฐานความรู้ก่อน จริยาพระอรหันต์เป็นอย่างไร ต้องศึกษานะ จะจินตนาการไปเองไม่ได้ ความจริงปุถุชนเราไม่สามารถจะรู้คุณธรรมของผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่าได้เลย แต่การศึกษาก็ช่วยให้เราวินิจฉัยได้ดีขึ้น (กระบวนการทำลายพระดี ก็อาศัยช่องว่างที่คนทั่วไปไม่รู้จักจริยาพระอรหันต์ และไม่ค่อยศึกษาพระวินัยนี้แล โจมตี) ในพระไตรปิฎกมีเรื่องของพระสารีบุตร เดินไปเจอลำธารเล็ก ๆ แทนที่จะรวบสบงแล้วเดินข้ามไปอย่างเรียบร้อย กลับขัดเขมรกระโดดแผล๊ว ข้ามลำธารไป ภิกษุปุถุชนก็นำความไปทูลฟ้องพระพุทธเจ้า คือตำแหน่งของพระสารีบุตรขณะนั้นเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ถ้าเทียบกับปัจจุบันก็คงประมาณรองสมเด็จ ถ้าแสดงจริยาใดไม่เหมาะไม่ควรก็จะถูกเพ่งเล็งมาก

พระพุทธเจ้าท่านตรัสแก้ให้ว่า นี่เป็นเพราะพระสารีบุตรเคยเกิดเป็นลิงมาหลายชาติ จึงมีจริยาเช่นนั้น ใช่เจตนาไม่สำรวม มีเพียงตถาคตเท่านั้นที่ละนิสสัยเดิมได้ อีกกรณีคือพระปิลินทวัจฉะ องค์นี้ชอบเรียกคนอื่นว่า "คนถ่อย" ถ้าเทียบกับปัจจุบันก็คงได้ว่า "ไอ้เหี้ย" คนฟังแล้วระคายหูก็ไปทูลฟ้องพระพุทธเจ้า พระองค์แก้ให้ว่า เพราะพระปิลินทวัจฉะเคยเกิดเป็นพราหมณ์สูงชาติต่อเนื่องมา ๕๐๐ ชาติ คำว่า "คนถ่อย" นี่เธอใช้เรียกคนอื่นมาตลอด

มีหลักฐานชั้นหลัง ๆ อีก จากครูบาอาจารย์ที่สังขารไม่เน่า ถึงจริยาพระอรหันต์ เช่น พระอรหันต์ขี้วัว แสร้งทำเป็นคนบ้า เดินเก็บขี้วัวไปเรื่อย แต่คนที่มีภูมิธรรมสูงกว่า หรือเท่ากันจะสามารถรู้ได้ พอนิมนต์ท่านมาสนทนาธรรม จริยาท่านเปลี่ยนไปเลย ขี้วัวในย่าม กลายเป็นสีผึ้งแจกคนที่มาร่วมฟังธรรมนั้น ส่วนพระอรหันต์ที่มีจริยาเรียบร้อย ก็มีให้เห็นมากมายอยู่แล้ว คงไม่ต้องบรรยายให้เสียพื้นที่ ความเป็นพระนั้นสามารถวัดได้จากอาบัติหหนักที่สุดคือปาราชิก ๔ เท่านั้น อาบัติหนักที่รองลงมา อย่างสังฆาทิเสส ๑๓ ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ มีตัวอย่างกรณีหลวงปู่บุดดา ถาวโร เวลามีเด็กหญิงเล็ก ๆ มาหาท่านจะเรียกมากอด ทั้งที่ท่านก็เป็นพระอรหันต์ หากยึดเอาตามจริยาภายนอก ก็เสี่ยงต้องอาบัติข้อ มีจิตกำหนัด ต้องกายมาตุคาม โดยที่สุดแม้เป็นทารกเกิดในวันนั้น ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ความเป็นจริงคือจิตท่านหลุดพ้นแล้ว ไม่มีความกำหนัดแล้ว จึงไม่ต้องอาบัติข้อนี้

จากตัวอย่างที่ยกมา เรื่องจริยาพระอรหันต์ เราไม่สามารถรู้ได้เลยจากจริยาภายนอก เพราะความเป็นอรหันต์เป็นเรื่องทางใจล้วน ๆ มิใช่เรื่องทางกาย หลวงปู่เณรคำเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างเราก็ไม่ทราบ ดังนั้นเรื่องชูสองนิ้ว หรือกิริยาแอ๊บแบ๊วทั้งหลาย จึงควรยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะไม่สามารถฟังธงได้ว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ เพียงเพราะชูสองนิ้ว ทำท่าแอ๊บแบ๊ว 

ในเรื่องกฏหมายสิทธิมนุษยชน กำหนดไว้ว่า ตราบใดที่ยังหาหลักฐานการทำความผิดอย่างชัดเจนของจำเลยมาไม่ได้ ยังต้องถือว่า จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ คือต้องไม่ให้กระทบศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้กับพระก็คงเป็นว่า ไม่ให้กระทบศักดิ์ศรีความเป็นพระ กรณีหลวงปู่ถูกโจทก์ว่า ต้องอาบัติปาราชิกเพราะอวดอุตตริมนุสสธรรมว่าตนเป็นพระอรหันต์ เรายังไม่มีหลักฐานกระไรบ่งชี้แน่นอนเลยว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ดังนั้นต้องถือว่า จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ตามที่เขาโจทก์ คือเป็นพระอรหันต์ ถูกไหมครับ? ถ้าท่านไม่ใช่พระอรหันต์ถึงจะผิดจริงตามที่โจทก์ และเราต้องศึกษาลึกเข้าไปในพระวินัยครับว่า ต้องปาราชิกทุกกรณีหรือไม่?

ขอออกตัวไว้ก่อนนะครับ แม้ข้าพเจ้าจะอายุจะถึงเลขสี่ปีหน้า จบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์ และอยู่ในผ้าเหลืองมาหลายปี กระนั้นข้าพเจ้าเองคุณวุฒิวัยวุฒิธรรมวุฒิยังไม่ถึงขั้นจะแก้ต่างให้หลวงปู่ได้ จึงขอตอบแต่ละประเด็นไว้เท่าที่ปัญญาน้อย ๆ ของข้าพเจ้าจะพึงทราบ ไว้ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาสืบไป 

ต่อไปจะเริ่มตอบคำถาม

๑. การอวดอุตตริมนุสธรรม (คนทั่วไปมักเข้าใจคำว่า อวดอุตตริ ว่า อวดในสิ่งที่ไม่ควร อวดสิ่งประหลาดพิสดาร แต่ความจริงหมายถึงธรรมอันยิ่งของมนุษย์ มี ฌาน วิโมกข์ มรรค ผล นิพพาน เป็นต้น) ผิดพระวินัยหรือไม่? คำตอบแบ่งเป็นหลายประเด็น

๑.๑ อวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน เพื่อลาภสักการะ ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระทันที ไม่ต้องสึก (กรณีนี้มักถูกนำมาใช้โจทก์พระดีที่มีชื่อเสียงเป็นประจำ)
๑.๒ อวดอุตตริมนุสสธรรมที่มีในตน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ สามารถแก้คืนด้วยการปลงอาบัติ
๑.๓ อวดอุตตริมนุสสธรรมที่มีในตน เพื่อการสอนธรรมะ สอนกรรมฐาน ท่านไม่ปรับอาบัติ

กรณีที่ ๑.๓ นี้ มีตัวอย่างคือ พระเดชพระคุณพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ก็แสดงชัดว่า ท่านมาเกิดเป็นชาติสุดท้าย ก็คือเป็นพระอรหันต์ พระเดชพระคุณพระราชพรหมยานเถระ หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แสดงอารมณ์ของพระอริยะไว้ละเอียดลออ ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้ศึกษาว่า จักรู้อารมณ์เหล่านี้ได้ คนที่แสดงว่าตนรู้ ต้องมีภูมิธรรมสูงกว่าหรือเท่ากัน นี่จะโจทก์เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรมก็ได้ แต่ท่านไม่ปรับอาบัติในกรณีเหล่านี้

ผู้ที่มั่นใจในมรรคผลนิพพานของตนเอง (ความจริงทุกคนที่บรรลุธรรม จะรู้ด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง) ที่ถูกยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ (เป็นเลิศกว่าผู้อื่น) ด้านบรรลือสีหนาท (การประกาศอย่างห้าวหาญถึงคุณธรรมของตน) ในสมัยพุทธกาลก็มีอยู่ คือพระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านประกาศต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้า และภิกษุสาวกว่า "ผู้ใดมีความสงสัยในมรรคหรือผล ขอผู้นั้นจงถามเรา" องค์นี้เองที่เป็นต้นบัญญัติ ทำให้พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เนื่องจากท่านเหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทน์แดงของเศรษฐี ใครแสดงต้องอาบัติทุกกฏ (อาบัติทุกกฏ เป็นอาบัติเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของพระ เช่น ไม่เคี้ยวอาหารดังจับ ๆ เป็นต้น)

ฉะนั้นในเมื่อไม่สามารถฟันธงได้ว่า หลวงปู่เณรคำไม่ใช่พระอรหันต์ แล้วอุปโลกน์ว่าตนเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกว่า ท่านไม่ใช่ (อย่างที่เกริ่นว่า การชูนิ้วสองนิ้วถ่ายรูป หรือการเดินห้าง ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่า เป็นพระอรหันต์หรือไม่) ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์จริง ท่านก็ไม่ผิดตามข้อกล่าวหา ถูกต้องไหมครับ? และตามกฎหมายก็ยังต้องถือว่า ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์

คำตอบคำถามข้อนี้จึงเป็นว่า ผิดก็ได้ ไม่ผิดก็ได้ ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

๒. การมีและใช้สิ่งของเครื่องใช้เกินความจำเป็น ถึงแม้สิ่งของนั้นจะมีผู้นำมาถวาย ถือเป็นกิเลสหรือไม่ เช่น กระเป๋าหลุยส์ หรือแม้แต่เครื่องบินเจท  

กรณีพระใช้ของหรู อันนี้ข้าพเจ้าอยากยกตัวอย่างเทียบเคียงในสมัยพุทธกาล ตอนที่นางวิสาขาสร้างวัดบุพพาราม

ครั้งนั้นมีสตรีผู้เป็นสหายของนางวิสาขาคนหนึ่งนำผ้าซึ่งมีค่าถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ มาเพื่อปูพื้นที่ปราสาท จึงบอกนางวิสาขาว่า “สหายข้าพเจ้านำผ้ามาผืนหนึ่ง ท่านจะให้ปู ณ ที่ใด”

นางวิสาขาตอบว่า “สหาย ถ้าข้าพเจ้าจะตอบว่าไม่มีสถานที่จะให้ปู ท่านก็จะเข้าใจว่า ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะให้ท่านร่วมกุศล เพราะฉะนั้นขอให้ท่านดูเอาเองเถิด เห็นสมควรปูลง ณ ที่ใดก็ปูลง ณ ที่นั้น”

นางเดินสำรวจทั่วปราสาทก็มองไม่เห็นที่ใดที่จะปูด้วยผ้ามีราคาน้อยกว่า ๑,๐๐๐ กหาปณะเลย นางรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ส่วนแห่งบุญในปราสาทนั้น จึงไปยืนร้องไห้อยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง

พระอานนท์เดินไปพบเธอเข้าโดยบังเอิญ เมื่อไต่ถามทราบความแล้วจึงแนะให้นางปูลาดผ้านั้นลงพร้อมด้วยปลอบโยนว่า “น้องหญิง ผ้าซึ่งปูที่เชิงบันไดนี้ ย่อมอำนวยผลมากมีอานิสงส์ไพศาล เพราะภิกษุทั้งหลายเมื่อล้างเท้าแล้ว ย่อมเช็ดเท้าด้วยผ้าซึ่งอยู่ตรงนี้แล้วเข้าไปข้างใน”

นางดีใจอย่างเหลือล้นที่พระอานนท์สามารถหาที่ปูลาดผ้าให้นางได้สมปรารถนา ได้ยินว่านางวิสาขาลืมกำหนดที่ตรงนั้นไป

อันนี้เป็นแค่ผ้าปูพื้นนะ ๑ กหาปณะขณะนั้น ซื้อลูกวัวได้ ๑ ตัว ถ้าแม่วัวราคา ๒ กหาปณะ ถ้าลูกวัวปัจจุบันตัวละ ๕,๐๐๐ บาท ๑,๐๐๐ กหาปณะขณะนั้น ก็เท่ากับ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขณะนี้ นี่คือมูลค่าผ้าที่สหายของนางวิสาขานำมาถวายนะ ส่วนที่นางวิสาขาปูเองนั้น ได้ยินว่า ถึงผืนละแสนกหาปณะ อย่างนี้จะมองว่า พระภิกษุสมัยนั้นใช้ของหรูได้หรือไม่?

เกินความจำเป็นหรือไม่? เป็นเรื่องของหลวงปู่เณรคำท่านพิจารณา ข้าพเจ้ามิทราบดอก เพียงแต่จะยกตัวอย่างให้เห็นว่า ในพระไตรปิฎกก็มีมาแล้ว วัดบุพพารามที่นางวิสาขาสร้างถวายพระพุทธเจ้านั้น มีห้องถึง ๑,๐๐๐ ห้อง เทียบกับโรงแรมขนาดใหญ่ได้เลยเชียวหล่ะ พระพุทธองค์เองก็ทรงประทับมากพรรษาที่สุด ในวัดเชตวัน ๑๙ พรรษา กับวัดบุพพาราม ๖ พรรษา ซึ่งหรูเริ่ดอลังการทั้งสองวัด จะมองว่าพระองค์ทรงติดหรูได้ไหมหล่ะ? นี่คือข้อสังเกตว่า ผู้ที่สำเร็จแล้ว พ้นจากสมมุติแล้ว ท่านไม่ได้มองว่าโน่นนั่นนี่เป็นของหรู (มีแต่ปุถุชนไปสมมุติกันเองว่า นี่คือหรู นั่นไม่หรู) แต่คือของที่ญาติโยมถวายมาด้วยศรัทธาก็ฉลองศรัทธาไปตามเรื่องตามราว

นี่อีกเหมือนกันที่ทำให้พระเถระที่นครปฐมบอกว่า ยังไม่เห็นหลวงปู่ผิดอะไรตรงไหน และท่านยังแนะให้คิดอีกว่า คุณคิดว่า คนที่จัดเครื่องบินถวายมีเงินเท่าไหร่? คนมีเงินขนาดนั้นเหล่านั้นเป็นคนโง่หรือ? เขาเหล่านั้นแยกแยะไม่ออกเลยหรือว่า พระรูปไหนดี รูปไหนหลอกลวง? เอาง่าย ๆ คนทั้งหลายเหล่านั้นย่อมเป็นนักธุรกิจ ถ้าเขาได้ผลประโยชน์น้อยกว่าที่ได้จากหลวงปู่ มีหรือจะถวายให้ได้ใช้เรื่อย ๆ มีกรณีตัวอย่างให้คิดง่าย ๆ ไว้เทียบเคียง เคยมีคนถวายเงินพระรูปหนึ่งทีละล้านบาท ไปถามเขาว่า ทำไมถึงถวายเงินเยอะจัง เขาบอกว่า เขาประกอบอาชีพเกี่ยวกับการเงิน (อาจจะเป็นการซื้อขายหุ้น) แค่เขารู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะขึ้นอะไรจะลง แค่ไม่กี่ชั่วโมง เขาสามารถทำเงินได้เป็นสิบล้าน ก็เลยเอามาถวายพระที่บอกข้อมูลล่วงหน้าแก่เขา ๑ ล้าน ไม่เห็นจะแปลกอะไร
แต่การนำเสนอข่าวทั้งหลาย พยายามชี้ชวนให้มองหลวงปู่ไปในทางอกุศลเสียมาก ท่านจึงว่า พวกชอบเอากิเลสไปตัดสินพระ

๓.เครื่องบินเจท มีความจำเป็นเพื่อกิจของสงฆ์อันใดบ้าง

อันนี้ไม่ทราบครับ เป็นเรื่องของหลวงปู่เณรคำ ฉตฺติโก กับโยมที่จัดถวาย

๔. พระสงฆ์เปิดบัญชีในชื่อตนเองหลาย ๆ บัญชีทั้งในและต่างประเทศ มีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้าน ที่มาของเงินไม่ชัดเจน หากเป็นเงินส่วนตัว มาจากไหน? หากเป็นเงินบริจาค ทำไมเปิดบัญชีชื่อตัวเอง?

อันนี้ก็ไม่ทราบวัตถุประสงค์ แต่ที่รู้มาคือหลวงปู่เณรคำ ฉตฺติโก ที่พักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ถูกโกงโดยกรรมการชุดแรกที่เป็นฆราวาส และถูกโกงซ้ำจากพระภิกษุใกล้ตัว จึงอาจเป็นเหตุให้ท่านเปิดบัญชีในชื่อตัวเอง

การเปิดบัญชีหลายบัญชีและมีเงินหมุนเวียนหลายร้อยล้านนั้น ก็ไม่ทราบความจริงอีกเช่นกัน รอให้ ปปง. กับดีเอสไอ ตรวจสอบดีกว่า อย่างที่โยมเพื่อนแนะนำว่า ธุรกรรมทางการเงินนั้น โกหกกันไม่ได้

๕. ทำไมท่านไม่กลับประเทศ

ที่ทราบมา ท่านก็อยากกลับ จะชี้แจงให้มันรู้ดำรู้แดงกันไป แต่พระผู้ใหญ่ฝ่ายที่ช่วยเหลือท่านอยู่ มีหลวงปู่ปานขาว เป็นต้น รั้งไม่ให้กลับ เพราะทางไทยเตรียมจะจับท่านสึกโดยไม่มีเหตุผลอันควร กรณีพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ที่เคยถูกโจทก์อย่างไม่ชอบธรรมในอดีต ก็ถูกจับสึกแล้วขังคุก ก่อนจะมีการพิจารณาความที่ถูกโจทก์อย่างเป็นธรรมเสียอีก

โดยสรุป ข้าพเจ้าเห็นว่า ขณะนี้ที่ยังอยู่ในขั้นสืบสวนสอบสวน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินท่าน ให้ยึดตามหลักกฎหมาย หากยังไม่มีหลักฐานใดใดพิสูจน์ว่า ผู้ต้องข้อกล่าวหาผิดจริง ก็ยังต้องให้ถือว่า จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะผลแห่งการตัดสินไปก่อนนั้น มีให้เลือกสองอย่างครับ ถ้าท่านเป็นพระเลวอย่างที่ข่าวออกจริง ด่าท่านไป ผลก็แค่เสมอตัวเพราะจะจัดการกับพระเลวนั้น ไม่ได้เป็นหน้าที่ของเรา ๆ ท่าน ๆ แต่เป็นหน้าที่ของบ้านเมือง เป็นหน้าที่ของพระเถระผู้ใหญ่ เราโกรธแค้นหัวเสียด่าจนคอแหบแห้งตาย ก็ไม่มีผลกระไรกับผู้กระทำผิด แต่ถ้าท่านไม่ได้เป็นพระเลวดังที่กล่าวหา กลับเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ถูกใส่ร้าย คนด่านี่ขาดทุนยับเลย คนปรามาสพระอริยะนี่อ้างอิงจากหนังสือ "พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อน"
ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าปรากฏว่า มีผู้อื่นผู้ใดประมาทพลาดพลั้ง หรือคะนองปาก กล่าวตำหนิติเตียน หรือนินทาว่าร้าย ด่าบริภาษ
แม้จะเป็นพระอริยะบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์
ท่านกล่าวว่า ห้ามมรรค ผล นิพพาน แม้บุคคลผู้นั้นจะพากเพียรปฏิบัติธรรม อย่างไรก็มิอาจสามารถ บรรลุมรรคผลได้
การติเตียน ด่าบริภาษพระอริยเจ้า จึงมีโทษมาก
เกิดความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด10อย่างคือ
บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ 1
เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที 1
สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว 1
เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม 1
ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ 1
ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง 1
ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก 1
ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน 1
หลงตามกาละ คือตายอย่างขาดสติ 1
เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก 1
กรรมที่บริภาษ ด่าทอ พระอริยบุคคลนี้ เป็นกรรมตัดรอน มรรคผล นิพพาน
มิใช่กรรมเก่า แต่เป็นกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ และมีผลรุนแรงมาก มีอำนาจตัดรอนกรรมดีอื่นๆในทันใด
วิธีแก้กรรมนี้ ต้องกล่าวขอขมาโทษ แก่พระอริยเจ้า เมื่อพระอริยเจ้าอดโทษไม่เอาโทษแล้ว ก็ไม่ห้าม มรรค ผล นิพพาน กลับมาเป็นปรกติดังเดิม

มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากการที่ไปกราบพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่ จ.นครปฐม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (๖ ก.ค. ๕๖) สามสิบกว่าพรรษาแล้ว เป็นพระปฏิบัติดีรูปหนึ่ง ท่านบอกเท่าที่ดูข่าว ยังไม่เห็นหลวงปู่เณรคำผิดตรงไหนเลย ท่านยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ถูกใส่ร้ายจนถูกจำคุก พวกที่ใส่ร้ายท่านมีอันเป็นไปหมด ไม่อุบัติเหตุ ก็ป่วยตาย ท่านว่า จอมพล ป. เห็นคนที่ร่วมกันคิดร้าย ค่อย ๆ ตายเป็นใบไม้ร่วง ก็สำนึกจะไปขอขมาท่าน แต่ไม่ทัน ตายในโรงพยาบาล

ท่านพูดถึงว่า จิตของพระอรหันต์จะเหมือนมีสปอทไลท์อยู่กลางอก คนที่ว่าร้ายท่าน ก็เหมือนส่งจิตตนเองไปเข้าสปอทไลท์ จิตงี้สุกเลย แล้วความป่วยไข้ก็ตามมา สมัยพุทธกาลก็มีคนโจทก์พระสารีบุตร ก็ป่วยตายเหมือนกัน ท่านว่า งานนี้ถ้าหลวงปู่ทรงฌานจริง (แค่ทรงฌานนะ ไม่ต้องถึงกับเป็นพระอรหันต์) คงวิบัติกันหมด

เอาละครับ ไม่ได้บอกให้เชื่อครับ แค่แจ้งให้ทราบ แล้วก็ไปตัดสินใจกันเอาเอง จะเลือกดูอยู่ห่าง ๆ ไม่เสี่ยงขาดทุน กับลงมือวิจารณ์ให้สนุกปาก ผลคือเสมอตัว (แค่ได้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฮีโร่กำจัดมารศาสนา แต่ความจริงไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย มีแต่ใจตนเองที่ว้าวุ่นรุ่มร้อน) หรือขาดทุนยับ (เกิดพลิกโผไม่เป็นอย่างที่คาด) เลือกกันเองครับ

เจริญธรรม ฯ

ปล. ที่แน่ ๆ งานนี้สื่อขายข่าวกันสนุกไปเรย 

edit @ 12 Jul 2013 13:25:03 by Dhammasarokikku

How to ทำบุญอย่างไรให้ส่งฝาอิชิตันแล้วรวยเป็นล้าน!!!

ichitan

มีคำถามเข้ามาอีกคำถาม ดองไว้จนเค็มได้ที่ ก็ปัดฝุ่นเอาขึ้นมาตอบ คำถามมีอยู่ว่า

นมัสการครับ

มีเรื่องจะเรียนถามอีกแล้วครับ เรื่องแรกเลย การทำบุญโดยการเตรียมการไว้ก่อนเช่น ตั้งใจจะไปทำบุญที่โน้นที่นี่ ตระเตรียมข้าวของทุกอย่างล่วงหน้าแล้วจึงค่อยไปทำบุญ กับการทำบุญโดยไม่ได้ตระเตรียมไว้ก่อน อยู่ๆมีคนชวนหรือแบบว่าอยู่ก็ไปทำเลยเจอบุญแบบกระทันหันก็ทำแบบกระทันหัน ถ้าเจตนาดีเท่ากันทุกอย่างทั้งสองการกระทำ อย่างไหนถือว่าเป็นกุศลที่แรงกว่ากันครับ

นมัสการครับ

อยากทราบเฉยๆครับพอดีอ่านอะไรไปเรื่อยแล้วฉุกคิดขึ้นมาครับ

ว่าโดยจิตที่เป็นกุศลแล้ว ทั้ง ๒ แนว ได้กุศลเท่ากัน ความแรงของกุศลขึ้นกับปัจจัยอื่นมากกว่า เช่น ก่อนทำบุญมีจิตเป็นกุศลไหม? ระหว่างทำจิตเป็นอย่างไร? หลังทำแล้ว มีอาการเสียดายไหม? วัตถุทานได้มาโดยบริสุทธิ์ไหม? หรือไปโกงชาติบ้านเมืองมาทำบุญ? ผู้รับทานมีคุณธรรมขั้นใด? เป็นต้น แต่เวลากุศลวิบากกลับมาสนอง ไม่เหมือนกัน ตามเจตนาจิต

แบบแรก ทำบุญโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า อันนี้เวลากุศลกรรมให้ผล ก็จะออกแนวที่เราต้องมีการคิดวางแผนล่วงหน้า มีการศึกษา มีการทำงาน เพื่อให้ได้ลาภผลเป็นน้ำเป็นเนื้อ และยั่งยืน ไม่ค่อยมีพลิกโผ หรือหวือหวา เช่น นอกจากทำงานประจำแล้ว อาจไปลงทุนในกองทุนระยะยาวสักกองทุนหนึ่ง ซึ่งได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ให้ผลประกอบการที่น่าพอใจ ผลแห่งทานจะออกมาในรูปที่มีรายได้ที่คงที่มั่นคง แนวนี้ตอนรับผลแทบไม่รู้ตัว เพราะเหมือนกับตนเป็นผู้วางแผนเอง แต่จริงแล้ว กุศลกรรมจะวางให้ผู้ลงทุน ลงทุนในธุรกิจที่ถูกต้อง ถูกเวลา ความเสี่ยงต่ำ หรือแม้ลงทุนในธุรกิจความเสี่ยงสูง ก็ลงทุนในจังหวะที่ดี ไม่สูญเงินต้น เป็นต้น (การสูญเงินต้น เป็นวิบากของการล่วงอทินนาทาน)

แบบหลัง ทำบุญแบบกระทันหัน มิได้เตรียมล่วงหน้า ผลแห่งกุศลกรรม จะออกมาแนวหวือหวาหน่อย คาดเดาไม่ได้ว่า จะมาอย่างไร มาทางไหน ส่วนใหญ่จะเป็นลาภลอย ถูกหวย ถูกสลาก ได้รางวัลชิงโชคอิชิตันรวยเป็นล้าน ไอโฟน ไอแพด เป็นต้น ทำนองเดียวกับตอนทำบุญที่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า ผู้ที่ได้ลาภลอย ก็มักไม่มีแผนรองรับลาภลอยเหล่านั้น มักใช้หมดไปอย่างน่าเสียดาย

ความจริงทั้งสองแบบนี้ สามารถสังเกตได้จากอุปนิสัยปัจจุบัน หากเราเป็นคนที่คิดแล้วคิดอีก กว่าจะทำบุญคราหนึ่ง อย่างนี้อย่าไปซื้อเลย หงหวยกระบวยสาเหร่ โดนแด๊กซ์เรียบวุฒิแน่นอน (ข้าพเจ้าพิสูจน์มาแล้วด้วยตนเอง กว่า ๒๐ ปี 555+) และลองสังเกตคนที่ถูกหวยบ่อย ๆ รับรองว่า อุปนิสัยการทำบุญของเขาจะเป็นประเภทไม่คิดมาก บอกปุ๊บทำปั๊บ กระไรเทือกนั้น แล้วลาภลอยมา ก็มักลอยไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ฉะนั้นอย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมฉันไม่เคยมีโชคลาภกระไรกับเขาเลย? คนเรามีกรรมเป็นของตนครับ

ดังนี้หากอยากถูกหวยรวยเป็นล้านกับอิชิตันอย่างใครเขาบ้าง ก็ต้องหัดทำทานประเภทไม่วางแผนล่วงหน้าไว้บ้าง อย่างไรก็ดี การทำบุญด้วยหวังจะให้ถูกหวยรวยข้ามคืน ถูกรางวัลชิงโชคสะโป๊กดาร์ค ไม่โดนกินตังค์ค่า sms เสร็จตาตันฟรีนั้น มีความโลภนำหน้า กว่าจะให้ผลมักยาวนานข้ามภพข้ามชาติ ความอยากถูกหวยนั้น ถ้าอธิษฐานแรงมาก ๆ ก็ไม่ต่างกระไรจากอธิษฐานให้มาเกิดใหม่ เพื่อให้กลับมาถูกหวย ทางที่ดี ทำบุญทุกประการ มุ่งไปนิพพานจุดเดียวเลย ดีที่สุด มาตรแม้นการถูกหวยจักเป็นปัจจัยให้เราถึงซึ่งนิพพาน เราก็จะถูกเองโดยไม่ต้องอธิษฐานใดใด ฉะนี้แล ฯ

ฝาอิชิตันกถาก็เอวังด้วยประการฉะนี้ ฯ 

edit @ 7 Dec 2012 20:30:51 by Dhammasarokikku

นิพพานคืออะไรกันแน่?

6

ปกติก็แชร์ธรรมะอยู่บนเฟสบุ๊คเรื่อย ๆ วันนี้แปลกไปเพราะมีคนมาเม้นท์ธรรมะของหลวงพ่อชา สุภทฺโท ที่แชร์เอาไว้ว่า

คนส่วนมากไม่อยากไปพระนิพพานเพราะกลัว เพราะเห็นไม่มีอะไร พอบอกว่าพระนิพพานคือความว่าง ถอยหลังเลยไม่ไป กลัว กลัวจะไม่ได้เห็นลูก กลัวจะไม่ได้เห็นหลาน กลัวจะไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างที่เวลาพระท่านให้พรญาติโยมว่า อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง โยมก็ดีใจสาธุ เพราะชอบ มันจะได้อายุหลายๆ วรรณะผ่องใส มีความสุขมากๆ มีพลังหลายๆ คนชอบใจ ถ้าจะพูดว่าไม่มีอะไรแล้ว เลิกเลย ไม่ต้องเอาแล้ว

คนมันติดอยู่ในภพอย่างนั้น บอกไปตรงนั้น ไม่ไป ไม่มีที่อยู่แล้ว อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง เออดีแล้ว อายุให้ยืนยาว วัณโณให้มีวรรณะ ผิวพรรรณสวยงาม ให้มีความสุขมากๆ ให้มีอายุยืนๆ คนอายุยืน ๆ มีผิวพรรณดีมีไหม เคยมีไหม? คนอายุหลาย ๆ มีพลังมาก ๆ มีไหม? คนอายุมาก ๆ มีความสุขมาก ๆ มีไหม? พอให้พรว่า อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ดีใจ สาธุกันทั้งนั้นทั้งศาลาเลย นี่แหละมันติดอยู่ในภพนี้

ฉะนั้นผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ควรเข้าไปใกล้พระให้มาก ดูการปฏิบัติของท่าน การเข้าไปใกล้พระ ก็คือใกล้พระพุทธเจ้า คือใกล้ธรรมะของท่านนั้นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานนท์ ให้ท่านทำให้มาก ให้ท่านเจริญให้มาก ใครเห็นเรา คนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเรา"

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

แล้วก็มีคนมาเม้นท์ไว้ว่า :

ตอนไปปฏิบัติธรรม พระอาจารย์ท่านให้ตั้งอธิษฐานจิตว่า ขอให้ได้ไปนิพพานในชาตินี้ เพื่อกำหนดทิศทางในการปฏิบัติให้ชัดเจน ก็ยังแอบสงสัยว่า นิพพานเป็นอย่างไร ถ้าไปนิพพานแล้วเกิดไม่ชอบล่ะ จะทำอย่างไร จะขอกลับมาเกิดอีกได้ไหม
(ยังมีอีกตั้งหลายที่ในโลกนี้ ยังไม่ได้ไปเที่ยวเลย เดี๋ยวอดกินขนมอร่อยกับบุปเฟต์สุดคุ้มด้วยนะ ...มารมาสะกิด)

แต่พอกลับบ้านมา ได้หลับลึกหลับยาวและไม่ฝันติด ๆ กันหลายคืน ก็รู้สึกดีมาก พอพิจารณาดู (คิดเอาเอง ไม่รู้ถูกต้องไหมนะคะ) ถ้าต้องนอนหลับยาวมาก ๆ ๆ ๆ แล้วให้เลือกระหว่าง

A ฝันตลอดเวลาที่หลับยาวนานนั้นเลย มีทั้งฝันดีและร้าย (สุขและทุกข์) ปน ๆ กันไป บังคับอะไรไม่ได้ ตามบุญตามกรรม ฝันร้ายแค่ไหน ก็ตกใจตื่นไม่ได้ ฝันดีแค่ไหน เดี๋ยวก็แว๊บหาย

B ไม่ฝันอะไรเลย ว่างเปล่า หลับลึก หลับยาว หลับสนิท ไม่รับไม่รู้อะไรเลย บรมสุขแท้

B ดีกว่า A แน่ๆ ^_^

ปล. แต่ยังคิดถึง บุปเฟต์ กับ เที่ยว เนี่ย นิพพานคงยังอีกแสนนนน...ไกล

เห็นว่า อาจจะเข้าใจความหมายของพระนิพพานผิดไป จึงอธิบายเสียยาวเหยียดดังนี้ :

ความจริงนิพพานแล้ว ก็ยังไปกินบุฟเฟ่ต์ ไปเที่ยวได้นะ เขาไม่ได้ห้ามจั๊กหน่อย คนเรามักคิดว่า พระอรหันต์นี่มีจริยาเรียบร้อย สงบเสงี่ยม เหมือนผู้ดีกุลบุตรกุลสตรีสมัยก่อน ความจริงแล้วจริยาพระอรหันต์นั้นท่านปล่อยตามธรรมชาติของท่าน ไม่ต้องระแวดระวังอะไรแล้ว ท่านมีศีลอัตโนมัติ บางท่านเคยเกิดเป็นลิงหลายชาติ จริยาก็จะซุกซนคล้ายลิง แต่ไม่ประกอบด้วยเจตนา

ที่ว่า นิพพานว่างอย่างยิ่ง หรือ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง คือนิพพานว่างจากกิเลสอย่างยิ่ง มิใช่อยู่ว่าง ๆ ปราศจากทุกสิ่งทุกอย่าง ลองนึกดูว่า ถ้าชีวิตเราวันหนึ่ง ๆ ไม่มีสิ่งใดมาทำให้จิตเศร้าหมองได้ เบิกบานทั้งวัน เราจะสุขแค่ไหน ไปกินบุฟเฟ่ต์ หรือไปเที่ยว สังเกตให้ดี ยังเจือด้วยความขุ่นข้องหมองใจไปตลอดนะ เช่น กินบุฟเฟ่ต์ไปถึงจุดหนึ่งก็อิ่ม ทั้งที่ขนมอย่างนั้นอย่างนี้ยังไม่ได้กินเลย อยากกินแต่กินไม่ไหว อยากแล้วไม่สมอยาก แค่นี้จิตก็เศร้าหมองแล้ว หรือกินอิ่มเกินไป อึดอัด นี่ก็เศร้าหมอง กินเสร็จแล้ว ตายละ น้ำหนักขึ้น ต้องไปเล่นฟิตเนสทั้งที่ขี้เกียจจะแย่ นี่ก็เศร้าหมอง กิน ๆ ไปโรงแรมนี้เป็นที่นิยมมาก ขึ้นราคาซะงั้น กินไม่คุ้มละ เศร้าหมองอีก สิ้นเดือนตายแล้ว นี่กินบุฟเฟ่ต์เกินโควต้า เงินไม่พอจ่ายค่าบัตรเครดิต เดือนหน้าต้องงดบุฟเฟ่ต์ ก็เศร้าหมองอีก หรือไปเที่ยว ก็มีขัดใจกับผู้ร่วมทางบ้าง ไม่พอใจสถานที่บริกรบ้าง นั่งนานเมื่อยขบบ้าง ทะเลเคยสวยกว่านี้ นักท่องเที่ยวมากขึ้น ขยะเยอะขึ้นไม่สวยอย่างเมื่อก่อนบ้าง สมมุติว่าทุกอย่างเพอร์เฟ็ค ก็ไม่พ้น อยากมาเที่ยวอีก ความอยากนี่ละ ต้นเหตุแห่งความเศร้าหมองเลย ฉะนั้นสุขทางโลก ยังเป็นสุขที่เจือด้วยทุกข์ ไม่มีสุขแบบเพียว ๆ สักกะอย่าง ทุกข์อยู่ติดกับสุขเหมือนเงา ยิ่งสุขมาก ทุกข์ก็ยิ่งมากตาม

ทีนี้มาดูนิพพานบ้าง ท่านว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง มันสุขยังไง? ข้าพเจ้ามิอาจบรรยายให้ถูกต้องแม่นยำได้ เพราะข้าพเจ้าก็ยังไม่ถึงนิพพาน ได้แต่วิเคราะห์ตามคำของครูบาอาจารย์ที่ท่านถึงแล้ว อาจลองเทียบเคียงกับเวลาที่เรามีความสุขมาก ๆ เช่น วันรับปริญญาบัตร วันที่ประสบความสำเร็จในชีวิต วันนั้นความสุขมันล้นเอ่อจนไหลออกมาเป็นน้ำตาใช่ไหม? นั่นเทียบได้เพียงปีติสุข สุขขั้นต้น ๆ ของการปฏิบัติเท่านั้นเอง

สังเกตเวลาแห่งความสุข มันแค่แป๊บ ๆ เท่านั้นเอง ไม่มีใครรับปริญญาแล้วน้ำตาเอ่อทั้งวัน มันก็มีเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แล้วก็จางไป ถูกกระตุ้นใหม่ก็อาจมีน้ำตาอีก แล้วก็จางไป ความสุขเหล่านั้นบางทีต้องแลกมาด้วยความขยันหมั่นเพียรเรียนหนังสือตลอด ๑๖-๑๗ ปี ครั้นได้มาแล้ว ก็ยังขวนขวายหาสุขอย่างเดิม มาเติมเต็มชีวิตที่เติมไม่มีวันเต็ม ด้วยการต่อโท ต่อเอก ต่อโพสต์ด็อกเตอร์ ค้นหาแค่ปีติสุขเล็กน้อยไปตลอดชีวิต

ทำไมคนไปฝึกนั่งสมาธิ พอได้ปีติแล้ว คราวนี้นั่งไม่ยอมเลิก ก็ทำนองเดียวกับปีติสุขที่เกิดจากวันรับปริญญานั่นแหละ เพียงแต่ปีติที่เกิดในวันรับปริญญา เป็นปีติที่เกิดจากคนอื่น สิ่งอื่น นอกกายนอกใจเรา กระตุ้นให้เกิดปีติ แต่ปีติสุขที่เกิดจากสมาธินั่น เป็นปีติที่เกิดจากภายใน ไม่ต้องไปดูคอนเสิร์ตดี ๆ แพง ๆ ไม่ต้องไปกินบุฟเฟ่ต์อร่อย ๆ ไม่ต้องซื้อรถใหม่ พ่อแม่พี่น้องญาติเพื่อนแฟนไม่ต้องมาแสดงความยินดีกับเราในโอกาสวันเกิด วันรับปริญญา วันแต่งงาน วันขึ้นบ้านใหม่ หรือวันใด ๆ เลย แค่นั่งดูลมหายใจเฉย ๆ อยู่กับบ้านก็เกิดปีติได้ มีความสุขได้ ทุก ๆ วัน

เทียบความสุขที่เกิดจากการกระตุ้นภายนอก กับปีติอันเกิดจากสมาธิภายในนั่น ความสุขภายนอกกลายเป็นความสุขแบบเด็ก ๆ ไปเลย อย่าเพิ่งพูดเรื่องของคุณภาพ พูดแค่เรื่องปริมาณก่อน คนที่ได้ปีติจากสมาธินั้น ปีตินั้นคงอยู่นานทีเดียว นานกว่าปีติจากการรับปริญญามาก บางคนเกิดปีติตลอดการนั่งสมาธิก็มี บางคนพอนั่งสมาธิได้ปีติแล้ว กลายเป็นเสพติดสมาธิก็มี โดยไม่ย้อนกลับไปแสวงหาปีติภายนอกกระจอกงอกง่อยอย่างการรับปริญญาอีก

ปีติทั้งสองที่กล่าวมานี้ยังเป็นแค่โลกียสุข ยังเทียบไม่ได้กับอารมณ์ของพระนิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุข สุขอย่างยิ่ง เป็นโลกุตตรสุข สุขอันอยู่เหนือโลก ถ้าให้เทียบเคียง ก็อาจเทียบเคียงเอาจากปีติสุขที่ยาวนานต่อเนื่อง ไม่ใช่ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามเหตุปัจจัยภายนอก หรือสมาธิ ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้แล้ว เล่าให้ฟังว่า มันสุขเสียจนธาตุขันธ์แทบรองรับไม่ไหว บางท่านเสวยสุขอยู่ ๑ ปีเต็ม ๆ สุขจากสมาธินี่ ขี้ ๆ ไปเลย สุขจากการเที่ยว การกินบุฟเฟ่ต์นี่หลุดจากสเกลไปเลย ไม่อาจเทียบกันได้

ลองนึกดูสิ สุขทางโลกนั้น เป็นสุขที่มีเงื่อนไขทั้งนั้น ถ้าได้กินบุฟเฟ่ต์ ฉันถึงจะสุข ถ้าได้ไปเที่ยวที่สวย ๆ อาหารอร่อย ๆ มีแหล่งช็อปดี ๆ ถูก ๆ ไกด์บริการดี มุกตลกเยอะ ๆ ฉันถึงจะสุข ต้องมีสมาธิ มีปีติ ฉันถึงจะสุข แต่สุขจากพระนิพพานนี่ไม่มีเงื่อนไข สุขตลอดเวลา ทำอะไรก็มีแต่ความสุข ยืน เดิน นั่ง นอน สุขตลอด ครูบาอาจารย์ที่ท่านถึงแล้วจึงรักเคารพพระพุทธเจ้าสุดจิตสุดใจอย่างที่ปรากฏในบทสวดมนต์ว่า ข้าพเจ้าขอเป็นทาสพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า นั่นออกมาจากใจเลยนะ ไม่ใช่ท่องบ่นเป็นนกแก้วนกขุนทอง เพราะมีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ชี้ทางมาถึงแดนบรมสุขนี้ได้

ฉะนั้นนิพพานมิใช่แดนว่าง ๆ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรให้สนุกสนาน เป็นแดนอับเฉามืดสนิท อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ หากแต่เป็นแดนที่มีความสุขโดยไม่ต้องอาศัยการปรุงแต่งใดใด ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยภายนอก ไม่ต้องฝืนใจทำอะไร ทำอะไรก็มีแต่ความสุข และเป็นสุขสุดยอดที่สุขใด ๆ ในโลกก็มิอาจเทียม บุฟเฟ่ต์ ดื่มกิน เที่ยวเล่นอย่างโลก ๆ ละหรือ? ผู้ที่ถึงแล้ว จะเห็นว่า กามสุข (สุขทางกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) เป็นสุขที่จืดสนิท ไม่มีรส ไม่มีชาติอะไรกับเขาเลย

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

edit by Dhammasarokikku


dj100.25พาเที่ยวอินเดีย



 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons