วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

ก่อนกาลประสูติพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

A10186080-0ก่อนกาลประสูติพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปี ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก หรือก่อนพระพุทธศักราช ๕๐๐ ปีเศษ ในประเทศอินเดีย ณ เมืองหนึ่งทางทิศเหนือ ใกล้แคว้นสักกะชนบท พระเจ้าอุกกากะราชเป็นกษัตริย์ปกครอง พระองค์มีพระโอรสพระธิดา ๙ พระองค์ คือ

๑. พระเชษฐภคินี ไม่ปรากฏพระนาม

๒. พระอุกกามุข

๓. พระกรกัณฑุ

๔. พระหัตถินีก

๕. พระสินิปุระ

๖-๗-๘-๙ พระกนิษฐภคินี ไม่ปรากฏพระนาม

ครั้นได้สร้างพระนครแล้ว จึงขนานนามพระนครนี้ว่า กบิลพัสดุ์ โดยอาศัยชื่อของกบิลดาบส เจ้าของถิ่นเดิมเป็นนิมิต และตั้งกษัตริย์วงศ์นี้ นามว่า ศากยวงศ์ ตามพระดำรัสของพระเจ้าอุกกากะราช

ในกาลนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าบังเกิดเป็นสันตุสิตเทวราช เสวยทิพยสมบัติอยู่ในรัตนวิมานสวรรค์ชั้นดุสิตเทวโลก ท้าวมหาพรหมและเทวราชในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า จึงชวนกันไปเฝ้ากราบทูลอาราธนาพระบรมโพธิสัตว์เจ้า จุติลงไปบังเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษยโลก เพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า ครั้นได้เวลาอันสมควรก็เสด็จจุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางเจ้ามายาราชเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ ณ พระนครกบิลพัสดุ์ ในวันเพ็ญ เดือน ๘ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี

ในราตรีกาลวันอาสาฬหปุรณมีนั้น พระนางเจ้ามายาราชเทวีทรงอธิษฐานสมาทานอุโบสถศีล เสด็จบรรทมบนพระแท่นที่ ในเวลารุ่งสุริยรังษีปัจจุบันสมัย ทรงพระสุบินนิมิตว่า

‘ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ มายกพระองค์ไปพร้อมกับพระแท่นที่ผทม เอาไปวางไว้บนแผ่นมโนศิลา ภายใต้ต้นรังใหญ่ แล้วมีนางเทพธิดามาทูลเชิญให้เสด็จไปสรงน้ำในสระอโนดาษ ชำระล้างมลทินแห่งมนุษย์แล้ว ทรงผลัดด้วยผ้าทิพย์ ลูบไล้ด้วยเครื่องหอมอันเป็นทิพย์ ทั้งประดับด้วยทิพย์บุปผาชาติ ใกล้ภูเขาเงินภูเขาทอง แล้วเชิญเสด็จให้เข้าผทมในวิมานทอง บ่ายพระเศียรไปยังปราจีนทิศ (ตะวันออก) ขณะนั้นมีเศวตกุญชร ช้างเผือกเชือกหนึ่ง ชูงวงจับดอกปุณฑริกปทุมชาติ (บัวขาว) เพิ่งแย้มบาน กลิ่นหอมฟุ้งตระหลบ ลงจากภูเขาทองด้านอุตตรทิศ ร้องก้องโกญจนาทเดินเข้าไปในวิมาน ทำประทักษิณเวียนพระแท่นที่ผทมได้ ๓ รอบ แล้วปรากฏเสมือนเข้าไปสู่พระอุทรทางเบื้องขวาของพระราชเทวี’ ก็พอดีพระนางเจ้าเสด็จตื่นบรรทม ขณะนั้นก็พลันบังเกิดกัมปนาทแผ่นดินไหว มีรัศมีสว่างไปทั่วโลกธาตุ เป็นบุพพนิมิตโดยธรรมนิยม ในเวลาพระบรมโพธิสัตว์เจ้าเสด็จลงปฏิสนธิในพระครรภ์พระนางเจ้ามายาราชเทวี

เมื่อพระนางเจ้ามายาราชเทวีทรงพระครรภ์อยู่ถ้วนทศมาส ๑๐ เดือนบริบูรณ์ในวันวิสาขะปุณณมี คือวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ แล้วมีพระทัยปรารถนาจะเสด็จไปเมืองเทวทหะนคร แลเสด็จประพาสลุมพินีสถาน อันตั้งอยู่ในระหว่างพระนครทั้งสอง คือ พระนครกบิลพัสดุ์และพระนครเทวทหะ เมื่อเสด็จดำเนินไปถึงร่มไม้สาละพฤกษ์ ทรงยกพระหัตถ์เหนี่ยวกิ่งสาละซึ่งอ่อนน้อมค้อมลงมา ขณะนั้นก็ประจวบลมกัมมัชวาตหวั่นไหวประชวรพระครรภ์ ใกล้ประสูติ เทพยดาในหมื่นจักรวาลมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น พระนางเจ้ามายาเทวี ทรงนุ่งโกสัยพัสตร์ขจิตด้วยทอง ทรงห่มทุกุลพัสตร์คลุมพระองค์ลงไปถึงหลังพระบาท ประทับยืนผันพระปฤษฏางค์พิงเข้ากับลำต้นมงคลสาละพฤกษ์ พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งสาละ ทอดพระเนตรไปยังปราจีนทิศ

ในกาลนั้น เป็นมหามงคลหุติฤกษ์ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าประสูติจากมาตุคัพโภทร ท้าวสุธาวาสมหาพรหมทั้ง ๔ พระองค์ ก็ทรงถือข่ายทองรองรับพระกายไว้ ในที่เฉพาะพระพักตร์พระราชเทวีแล้วกล่าวว่า พระแม่เจ้าจงทรงโสมนัสเถิด พระราชโอรสที่ประสูตินี้ มีมเหศักดาอานุภาพยิ่งนัก ขณะนั้นท่ออุทกธาราทั้งสองก็ไหลหลั่งลงมาจากอากาศ ท่อธารหนึ่งเป็นน้ำร้อน ท่อธารหนึ่งเป็นน้ำเย็น ตกลงมาโสรจสรงพระกายพระกุมารกับพระราชมารดา

ลำดับนั้นท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ พระองค์ ก็ทรงรับพระราชกุมารไปจากพระหัตถ์ท้าวมหาพรหม โดยรองรับพระองค์ด้วยอชินจัมมาชาติ อันมีสุขสัมผัส ซึ่งสมมติว่าเป็นมงคลในโลก ต่อนั้น นางนมทั้งหลายจึงรองรับพระองค์ด้วยผ้าทุกุลพัสตร์จากพระหัตถ์ท้าวจตุโลกบาล

พระราชกุมารก็เสด็จอุฏฐาการลงจากมือนางนมทั้งหลาย เสด็จเหยียบยืนยังพื้นภูมิภาคด้วยพระบาททั้งสองเสมอเป็นอันดี ท้าวมหาพรหมก็ทรงเปรมปรีดิ์ ทรงทิพย์เศวตฉัตรกางกั้นกันละอองมิให้มาถูกต้องพระยุคลบาท ท้าวสยามเทวราช ทรงซึ่งทิพย์วาลวิชนีอันวิจิตร เทพบุตรที่มีมหิทธิฤทธิ์องค์หนึ่ง ถือพระขรรค์อันขจิตด้วยแก้ว ๗ ประการ เทพบุตรองค์หนึ่งยืนประดิษฐานถือฉลองพระบาทชาตรูปมัยทั้งคู่ เทพบุตรองค์หนึ่งยืนเชิดชูทิพยมหามงกุฎ ล้วนเป็นเกียรติแก่พระกุมาร ซึ่งเพียบพร้อมด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ทั้ง ๕ ปรากฏแก่นัยน์ตาของมวลมนุษย์ แต่เทพยดาทั้งหลายที่ถือนั้นมิได้เห็นปรากฏ

ครั้นพระกุมารทอดพระเนตรไปยังปราจีนทิศ เห็นเทพยดามนุษย์เป็นอันมาก มาสโมสรสันนิบาตในลานอันเดียวกัน และเทพยดาทั้งปวงนั้นทำสักการบูชาด้วยบุปผาชาติต่าง ๆ ตั้งไว้บนเศียรเกล้า ครั้นแล้วพระกุมารเจ้าก็บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุตตรทิศ เสด็จย่างพระบาทไปบนพื้นแผ่นทอง อันท้าวจตุโลกบาลถือรองรับไว้ได้ ๗ ก้าว แล้วทรงหยุดประทับยืนบนทิพยปทุมบุปผาชาติ อันมีกลีบได้ ๑๐๐ กลีบ

ขณะนั้น โลกธาตุก็บังเกิดมหัศจรรย์หวั่นไหว รัศมีพระอาทิตย์ก็อ่อนมิได้ร้อนเย็นสบาย มหาเมฆก็ตั้งขึ้นในทิศทั้งหลาย ยังวัสโสทกให้ตกลงในที่นั้น ๆ โดยรอบ ทิศานุทิศทั้งหลายก็โอภาสสว่างยิ่งนัก ทั้งสรรพบุพพนิมิตปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ก็ปรากฏมี ดุจการเมื่อเสด็จลงปฏิสนธิในพระครรภ์นั้น

และในวันพระกุมารประสูตินั้น มีมนุษย์และสัตว์ กับสิ่งซึ่งเป็นสหชาติมงคลบังเกิดร่วมกันวันทันสมัยถึง ๗ คือ พระนางพิมพา ๑ พระอานนท์ ผู้เป็นราชโอรสพระเจ้าอมิโตทนะ พระเจ้าอา ๑ กัณฐกอัสวราช ม้าพระที่นั่ง ๑ ไม้มหาโพธิ์ ๑ กับขุมทอง ๔ ขุม คือ ขุมทองสังขนิธี ขุมทองเอลนิธี ขุมทองอุบลนิธี ขุมทองปุณฑริกนิธี

ครั้นกษัตริย์ศากยราชทั้งสองพระนครทรงทราบข่าวสาร พระกุมารประสูติก็ทรงปีติโสมนัสเป็นที่ยิ่ง จึงเสด็จมาอันเชิญพระราชกุมารพร้อมด้วยพระชนนี แวดล้อมด้วยมหันตราชบริวาร กึกก้องด้วยดุริยะประโคมขาน แห่เสด็จคืนเข้าพระนครกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้จัดพี่เลี้ยง นางนม พร้อมด้วยเครื่องสูงแบบกษัตริย์ บำรุงพระราชกุมาร กับจัดแพทย์หลวงถวายการบริหารพระราชเทวี พระราชชนนีของพระกุมารเป็นอย่างดี

อสีตดาบส เป็นมหาฤษีอยู่ ณ เชิงเขาหิมพานต์เป็นที่เคารพของราชสกุลเดินทางมาเยี่ยม และได้ทำนายว่า ถ้าพระกุมารอยู่ครองฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก

หลังประสูติเป็นเวลา ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะพร้อมทั้งพระนางสิริหามายา พระประยูรญาติได้จัดพิธีขนานพระนามพระราชกุมารว่า สิทธัตถะ โดยเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาเลี้ยง แล้วได้คัดเลือกเอาพราหมณ์ชั้นยอด ๘ คนให้เป็นผู้ทำนายลักษณะพระกุมาร ซึ่งพราหมณ์โกณฑัญญะ ได้ทำนายว่าสิทธัตถะกุมาร จักออกบรรพชา ไม่ ครองราชสมบัติ และตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับถวายพระนามพระกุมาร ตามคุณพิเศษที่ปรากฏ ด้วยพระรัศมีโอภาสงามแผ่สร้านออกจากพระสรีระกายเป็นปกติ จึงถวายพระนามว่า อังคีรส และด้วยพระกุมารต้องพระประสงค์สิ่งอันใด สิ่งอันนั้นจะต้องพลันได้ดังพระประสงค์ จึงได้ถวายพระนามว่า สิทธัตถะ แต่มหาชนนิยมเรียกตามพระโคตรว่า โคตมะ ( โดยเฉพาะคนไทยเราแต่ก่อนนิยมเรียกว่า สิทธารถ อ่านว่า สิทธาด )

เมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระนางสิริหามายาก็เสด็จทิวงคต ไปบังเกิดเป็นเทพธิดา สถิตในดุสิตเทวโลก ตามประเพณีพระพุทธมารดา พระเจ้าสุทโธทนะจึงได้มอบการบำรุงรักษาพระสิทธัตถะกุมาร ให้เป็นภาระแก่พระนาง ปชาบดี โคตมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพระนางสิริมหามายา และเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ

เมื่อพระสิทธัตถะกุมารมีพระชนมายุ ๘ พรรษา พระราชบิดาจึงทรงพาไปมอบไว้ในสำนักครูวิศวามิตร พระกุมารทรงเรียนได้ว่องไว จนสิ้นความรู้ของอาจารย์สิ้นเชิง ต่อมาได้ทรงแสดงศิลปธนู ซึ่งถือว่าเป็นวิชาสำคัญสำหรับกษัตริย์ ในท่ามกลางขัตติยวงศ์ศากยราช และเสนามุขอำมาตย์ แสดงความแกล้วกล้าสามารถเป็นเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมถึง ให้ปรากฏเป็นอัศจรรย์

ครั้นพระกุมารมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระราชบิดาจึงตรัสสั่งให้สร้างปราสาท ๓ หลัง คือ วัมยปราสาท ๑ สุรัมยปราสาท ๑ สุภปราสาท ๑ เพื่อเป็นที่เสด็จประทับอยู่ของพระราชโอรสใน ๓ ฤดูกาล คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน ตกแต่งปราสาท ๓ หลังนั้นงดงามสมพระเกียรติ เป็นที่สบายในฤดูนั้น ๆ แล้วตรัสขอ พระนางยโสธรา แต่นิยมเรียกว่า พระนางพิมพา พระราชบุตรีของพระเจ้าสุปปพุทธะ ในเทวทหนคร อันประสูติแต่พระนางอมิตา พระกนิษฐภคินีของพระองค์ มาอภิเษกเป็นพระชายา

พระสิทธัตถะกุมารเสด็จอยู่บนปราสาททั้ง ๓ หลังนั้น ตามฤดูทั้ง ๓ บำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรีประโคมขับ ไม่มีบุรุษเจือปน เสวยสุขสมบัติทั้งกลางวันกลางคืน จนพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา มีพระโอรสประสูติแต่นาง ยโสธราพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ราหุลกุมาร

พระสิทธัตถะกุมารทอดพระเนตรเทวทูต

วันหนึ่ง พระสิทธัตถะเสด็จประพาสพระราชอุทยาน โดยรถพระที่นั่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ซึ่งเทพยดานิรมิตให้ทอดพระเนตรในระยะทาง ทรงเบื่อหน่ายในกามสุข ตั้งต้นแต่ได้ทรงเห็นคนแก่ เป็นลำดับไป จึงทรงน้อมพระทัยเสด็จออกบรรพชา ทรงตื่นบรรทมในเวลาดึกสงัดแห่งราตรีนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นนางบำเรอฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีเหล่านั้น นอนหลับอยู่เกลื่อนภายในปราสาท ดั่งซากศพ อันทิ้งอยู่ในป่าช้าผีดิบ ทรงเตรียมแต่งพระองค์ทรงพระขรรค์ รับสั่งเรียกนายฉันนะ อำมาตย์ ให้เตรียมผูกม้ากัณฐกะ เพื่อเสด็จออกในราตรีนั้น แล้วเสด็จไปยังปราสาทพระนางพิมพาเทวี เพื่อทอดพระเนตรราหุลกุมาร เผยพระทวารห้องบรรทมของพระนางพิมพาเทวี พระนางบรรทมหลับสนิท พระกรกอดโอรสอยู่ ทรงดำริจะอุ้มพระโอรสขึ้นชมเชยเป็นครั้งสุดท้าย ก็เกรงว่าพระนางพิมพาจะทรงตื่นบรรทม เป็นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออกบรรพชา จึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาในพระโอรส แล้วเสด็จออกจากห้องเสด็จลงจากปราสาท ซึ่งเทพยดาบันดาลเปิดทวารพระนครไว้ให้เสด็จโดยสวัสดี ขณะนั้นพญามารวัสวดี เห็นพระสิทธัตถะสละราชสมบัติ เสด็จออกจากพระนครเพื่อบรรพชา ก็มาอาราธนาให้กลับคืนสู่พระนครเถิด แต่ไม่เป็นผล

ใกล้รุ่งปัจจุสมัย ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที ทรงเสด็จลงจากหลังอัสวราช ประทับนั่งเหนือหาดทรายอันขาวสะอาด ทรงเปลื้องเครื่องประดับสำหรับขัตติยราชทั้งหมดมอบให้แก่นายฉันนะ ตั้งพระทัยปรารถนาจะทรงบรรพชา ทรงจับพระโมลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ ตัดพระโมลีให้ขาดออกเรียบร้อยด้วยพระองค์เอง แล้วทรงจับพระโมลีนั้นขว้างขึ้นไปบนอากาศ ทรงอธิษฐานว่า ถ้าได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณโดยแท้แล้ว ขอจุฬาโมลีนี้ จงตั้งอยู่ในอากาศ ทว่าจะมิได้บรรลุสิ่งซึ่งต้องประสงค์ ก็จงตกลงมายังพื้นพสุธา ในทันใด จุฬาโมลีก็มิได้ตกลงมา สมเด็จพระอัมรินทราธิราชจึงรองรับไว้ด้วยผอบแก้ว แล้วนำไปบรรจุยังจุฬามณีเจดีย์สถาน ในเทวโลก ฆฏิการพรหมก็น้อมนำไตรจีวรและบาตรมาจากพรหมโลกเข้าไปถวาย พระสิทธัตถะทรงรับแล้วทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต แล้วทรงมอบผ้าทรงเมื่อยังเป็นคฤหัสถ์เพศทั้งคู่ ให้แก่ฆฏิการพรหมไปบรรจุไว้ในทุสสเจดีย์ ในพรหมโลกสถาน

นายฉันนะเมื่อต้องเดินทางกลับพระนครกบิลพัสดุ์ ก็มิอาจจะกลั้นโศกาอาดูรได้ รู้สึกว่าเป็นโทษหนักที่ทอดทิ้งให้พระมหาบุรุษเจ้าอยู่แต่พระองค์เดียว แต่ก็ไม่อาจขัดพระกระแสรับสั่งได้ จึงเดินทางพร้อมกับม้ากัณฐกะสินธวชาติแต่เพียงชั่วสุดสายตา ม้ากัณฐกะก็ขาดใจตาย ด้วยความอาลัยในพระมหาบุรุษเจ้าสุดกำลัง ครั้นพระราชบิดา พระมาตุจฉา พระนาง พิมพา ตลอดจนขัตติยราช ได้สดับข่าวก็ค่อยคลายความโศกเศร้า และต่างก็คอยสดับข่าวตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณของพระมหาบุรุษสืบไป ตามคำพยากรณ์ที่อสิตดาบส และพราหมณ์ทั้งหลายทูลถวายไว้แต่ต้นนั้น

ลำดับนั้น ได้เสด็จจาริกไปสู่สำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร เพื่อทรงศึกษาวิชาสมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๓ จนสิ้นความรู้ของอาฬารดาบส แล้วทรงอำลาไปสู่สำนักอุทกดาบส รามบุตร เพื่อทรงศึกษาอรูปฌาน ๔ ครบสมาบัติ ๘ จนสิ้นความรู้ของอุทกดาบส ทรงมุ่งพระทัยจะทำความเพียรโดยลำพังพระองค์เดียว จึงเสด็จจาริกไปยังมคธชนบท บรรลุถึงตำบลอุรุเวลา เสนานิคม และประทับอยู่ ณ ที่นั้น โดยมีปัญจวัคคีย์ปฏิบัติบำรุง

ทรงเริ่มบำเพ็ญทุกกรกิริยา ซึ่งเป็นปฏิปทาที่นิยมว่าเป็นทางให้ตรัสรู้ได้ในสมัยนั้น โดยทรมานพระวรกายให้ลำบาก ซึ่งเป็นกิจยากที่บุคคลจะกระทำได้ ด้วยการทรมานเป็น ๓ วาระ ดังนี้

วาระที่ ๑ ทรงกดพระทนต์ (ฟัน) ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ (เพดานปาก) ด้วยพระชิวหา (ลิ้น) ไว้แน่น จนพระเสโท (เหงื่อ) ไหลจากพระกัจฉะ (รักแร้)

วาระที่ ๒ ทรงผ่อนกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้าออก) เมื่อลมไม่ได้ทางเดินสะดวก โดยช่องพระนาสิก (จมูก) และช่องพระโอฐ (ปาก) ก็เกิดเสียงดังอู้ทางช่องพระกรรณ (หู) ทั้งสอง ให้ปวดพระเศียร (หัว) ร้อนในพระกายเป็นกำลัง

วาระที่ ๓ ทรงอดพระกระยาหาร ผ่อนเสวยแต่วันละน้อยบ้าง เสวยอาหารละเอียดบ้าง จนพระกายเหี่ยวแห้ง พระฉวี (ผิว) เศร้าหมอง พระอัฏฐิ (กระดูก) ปรากฏทั่วพระกาย จนเส้นพระโลมา มีรากเน่าร่วงจากขุมพระโลมา

สมเด็จอมรินทราธราชทรงทราบข้อปริวิตกของพระมหาบุรุษดังนั้น จึงทรงซึ่งพิณทิพย์สามสายมาดีดถวาย เป็นเหตุแห่งพระสิทธัตถะทรงพิจารณาเห็นแจ้งถึง มัชฌิมาปฏิปทา

ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ แห่งวันเพ็ญวิสาขะปุรณมี ปีระกา นางสุชาดา ธิดาของคฤหบดีผู้มั่งคั่งในตำบลนั้น ได้หุงข้าวมธุปายาสมีภาชนะเป็นถาดทองไปถวาย ซึ่งขณะนั้น บาตรดินอัน เป็นทิพย์ซึ่งฆฏิการพรหมถวายแต่วันแรกทรงบรรพชา ได้อันตรธานหายไป พระองค์เสด็จลุกจากที่ประทับ เสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ประทับบ่ายพระพักตร์สู่บุรพาทิศแล้ว ทรงปั้นข้าวปายาสได้ ๔๙ ปั้น เสวยจนหมด แล้วทรงถือถาดลงสู่แม่น้ำอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า หากได้ตรัสแก่พระปรมาภิเสกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วถาดทองนั้นก็ได้ลอยทวนกระแสน้ำเนรัญชราขึ้นไปประมาณ ๑ เส้น ก่อนจมลงตรงนาคภพพิมาน แห่งพญากาฬนาคราช

ทรงเสด็จดำเนินไปสู่ควงไม้อสัตถะโพธิพฤกษ์มณฑล ณ ด้านปราจีนทิศ ทรงรับหญ้าคา ๘ กำจาก โสตถิยะพราหมณ์ แล้วทรงอธิษฐานให้เป็นรัตนบัลลังก์แก้ว ทรงขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ตรงไปยังปราจีนทิศ หันพระปฤษฎางค์ (หลัง) ไปทางลำต้นโพธิ์พฤกษ์ ก่อนที่จะเริ่มทำความเพียรโดยสมาธิจิต ได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานในพระทัยว่า ถ้ายังมิได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด แม้พระโลหิตและพระมังสะจะเหือดแห้งไป จะเหลือแต่พระตจะ (หนัง) พระนหาลุ (เอ็น) และพระอัฏฐิ (กระดูก) ก็ตามที จะไม่เลิกละความเพียร โดยเสด็จลุกไปจากที่นี่

ครั้งนี้ ทรงผจญกับพญาวัสวดีมาราธิราช แต่ก็ทรงใช้บารมีธรรมทั้ง ๓๐ ประการ ปราบได้โดยสำเร็จ ไม่ช้าก็ทรงบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตฌาน ซึ่งเป็นส่วนรูปสมาบัติ เป็นลำดับ จนถึงอรูปสมาบัติ ๔ บริบูรณ์ โดยในปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติที่พระองค์ทรงบังเกิดมาแล้วทั้งสิ้นได้ ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ บางแห่งเรียกว่า ทิพพจักษุ สามารถหยั่งรู้การเกิดการตาย ตลอดจนการเวียนว่ายของสัตว์ทั้งหลายอื่นได้หมด ในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ทรงปรีชาสามารถทำอาสวะกิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้นไปด้วยพระปัญญา พิจารณาในปัจจยาการแห่งปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมและปฏิโลม และทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเวลาปัจจุบันสมัย รุ่งอรุโณทัยแห่งวันวิสาขะปุรณมีนั่นเอง ขณะนั้น พระองค์มีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้นคือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

ขณะนั้น พื้นมหาปฐพีอันกว้างใหญ่ก็หวั่นไหว พฤกษาชาติทั้งหลายก็ผลิดอกออกช่องามตระการตา เทพเจ้าทุกชั้นฟ้าก็แซ่ซ้องสาธุการ โปรยปรายบุปผามาลัยทำการสักการบูชา เปล่งวาจาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ด้วยปีติยินดี เป็นอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีในกาลก่อน

ครั้นแล้ว ทรงประทับเสวยวิมุติสุขบนรัตนบัลลังก์ทั้งสิ้น ๗ วัน ประทับอยู่ในทิศอิสานแห่งไม้มหาโพธิ์อีก ๗ วัน สถานที่นั้นเรียกว่า "อนิมิสเจดีย์" เสด็จจงกรมในทิศอุดรแห่งไม้มหาโพธิ์อีก ๗ วัน เสด็จประทับนั่งยังรัตนฆระเจดีย์ เรือนแก้ว ในทิศปัจจิมแห่งไม้มหาโพธิ์ พิจารณาพระอภิธรรมปิฎกอีก ๗ วัน

ทรงเสด็จไปประทับยังร่มไทรของคนเลี้ยงแพะนามว่า อชปาลนิโครธ ซึ่งเป็นที่พบนางมารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางราคา นางอรดี ด้วยอานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บันดาลให้ร่างกายอันงดงามของมารธิดาทั้ง ๓ กลายเป็นหญิงชราน่าสังเวช จนพากันตกใจอันตรธานหายไปในที่สุด ต่อมามีพราหมณ์ผู้หนึ่ง มีนิสัยเป็นหุหุกชาติ ชอบตวาดข่มขี่ผู้อื่นด้วยวาจาว่า หึ หึ มาทูลถามถึงพราหมณ์และธรรมอันทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงสมณะว่าเป็นพราหมณ์ และธรรมอันทำบุคคลให้เป็นสมณะว่า เป็นธรรมอันทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ในพระพุทธศาสนา โดยโวหารพราหมณ์

ครั้นล่วง ๗ วัน ทรงเสด็จไปประทับนั่งขัดสมาธิยังร่มไม้จิกนามว่า "มุจลินท์" ในทิศอาคเนย์แห่งไม้มหาโพธิ์ เสวยวิมุติสุขอยู่ ๗ วัน ในกาลนั้นฝนตกพรำตลอด พญานาคนามว่า "มุจลินท์นาคราช" มีความเลื่อมใส จึงเข้าไปใกล้แล้วขดเข้าซึ่งขนดกาย แวดวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ๗ รอบ แผ่พังพานอันใหญ่ป้องปกพระเศียรจากลมและฝน จากนั้นเสด็จไปยังร่มไม้เกตุนามว่า "ราชายตนะ" ในทิศทักษิณแห่งต้นมหาโพธิ์อีก ๗ วัน เป็นอวสาน

ตลอดเวลา ๔๙ วัน พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ฉันพระกระยาหารใดๆ จึงทรงรับอาหารของพานิชสองพี่น้อง ชื่อ ตปุสสะ และภัลลิกะ ซึ่งเป็นนายก องเกวียน นำข้าวสัตตูก้อน สัตตูผงมาถวาย ทรงรับบาตรเสลมัย เป็นศิลาล้วน มีสีเขียวดังเมล็ดถั่วเขียว จากท้าวจาตุมหาราช ๔ พระองค์ ทรงอธิษฐานประสานบาตรเข้าเป็นลูกเดียว ในกาลนั้น พานิชสองพี่น้องกราบทูลแสดงตนเป็นอุบาสก ปฐมอุบาสกทั้งสองนี้จึงเป็นอุบาสกประเภท เทววาจิก คือ เปล่งวาจาขอถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมทั้งสอง เป็นที่พึ่งที่ระลึก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานพระเกศาธาตุที่ติดพระหัตถ์เมื่อปรามาสพระเศียรแก่ปฐมอุบาสกทั้งสอง เพื่อเป็นที่ระลึกตามประสงค์

ครั้นแล้ว จึงเสด็จไปประทับยังร่มไม้อชปาลนิโครธ ทรงได้พิจารณาถึงพระธรรม ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ทั้งหมดนั้น เป็นคุณชาติละเอียดสุขุมคัมภีรภาพอย่างยิ่ง ยากที่มนุษย์ทั้งหลาย ผู้มีปัญญาน้อย มีความเพียรน้อย แม้จะได้สดับแล้ว จะตรัสรู้ตามได้ ทำให้พระองค์ทรงท้อพระทัยในอันจะแสดงธรรมโปรดประชากร ท้าวสหัมบดีพรหมทราบในพระพุทธปริวิตกเช่นนั้น จึงชวนเทพยดาเป็นอันมากไปเข้าเฝ้า อาราธนาให้ทรงประกาศธรรมโปรดมวลมนุษย์ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยั่งเห็นสันดานของประชาสัตว์สิ้นแล้ว ว่ามีอุปนิสัยต่าง ๆ กัน เป็น ๔ จำพวก ดังดอกบัว ๔ เหล่า นั้น คือ

๑. อุคฆติตัญญู ผู้สามารถจะตรัสรู้ตามพระธรรมเทศนาได้ฉับพลัน

๒. วิปจิตัญญู ผู้จะตรัสรู้ตามในกาลภายหลังที่สดับรับพระโอวาทแนะนำในกาลต่อไป

๓. เนยยะ ผู้มีสันดานเพียงเล่าเรียน ศึกษา ปฏิบัติตามโอวาท ซึ่งสามารถจะรู้ได้ในกาลภายหลัง

๔. ปทปรมะ ผู้ยากที่จะสั่งสอน แม้จะได้สดับธรรม ก็จะได้ผลเพียงเป็นอุปนิสัยปัจจัยในภพต่อไป

จึงทรงน้อมพระทัยไปในอันที่จะแสดงธรรมโปรดประชาสัตว์ ทรงรับอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหม ตั้งพระทัยจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาด้วยดี ให้เกิดแก่พุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แผ่ไพศาลก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานสืบไป

จากนั้น พระพุทธองค์ทรงพระดำริหาผู้ที่สามารถจะรู้ธรรมนี้ได้ ทรงปรารภถึงอาฬารดาบส และอุทกดาบส แต่ท่านทั้งสองได้สิ้นชีพเสียแล้วก่อนหน้า ๗ ราตรี ทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ว่า เป็นผู้มีอุปนิสัยในอันจะตรัสรู้ธรรม ทั้งมีอุปการะแก่พระองค์มาก ได้เป็นอุปัฏฐากของพระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา ทรงประกาศพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ให้พระอัญญาโกณทัญญะได้บรรลุโสดาปัตติมรรค และเป็นพระสาวกองค์แรกในพระศาสนานี้ เป็นอันว่า พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้า ให้เกิดขึ้นบริบูรณ์ ในกาลแต่บัดนั้น ในกาลต่อมา ทรงแสดงธรรมสั่งสอนพระปัญจวัคคีย์ด้วย อนัตตลักขณะสูตร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

ทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ ให้กับมารดาและภรรยาเก่าของพระยสะจนได้ธรรมจักษุ และเป็นอุบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนา

ทรงประทานอุปสมบทให้กับเศรษฐีบุตรชาวเมืองพาราณสี ๔ คน คือ วิมละ สุพาหุ ปุณณชิ และควัมปติ ซึ่งเป็นสหายของพระยสะ และสหายชาวชนบท ๕๐ คน ทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหัตผล

ทรงแสดง อนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ ให้ภัททวัคคีย์มานพทั้ง ๓๐ ณ ไร่ฝ้าย และประทานอุปสมบทให้ จนในไม่ช้าก็บรรลุอริยผลเบื้องสูง

ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ทรมานอุรุเวลกัสสป และได้ทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์ให้อุรุเวลกัสสปพร้อมชฎิลบริวารทั้ง ๕๐๐ อีกทั้งชฎิลผู้เป็นน้องทั้งสองคือ นทีกัสสปดาบส พร้อมด้วยดาบสทั้ง ๓๐๐ อันเป็นศิษย์ และคยากัสสปดาบสพร้อมด้วยดาบสทั้ง ๒๐๐ อันเป็นศิษย์ เห็นเป็นอัศจรรย์ใจ ทรงโปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา แล้วทรงพาเหล่าพระภิกษุสงฆ์ไปสู่คยาสีสะประเทศ ตรัสพระธรรมเทศนา อาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุ ๑,๐๐๐ นั้น ให้บรรลุพระอรหันต์ด้วยกันทั้งสิ้น

ทรงแสดงจตุราริยสัจ โปรดพระเจ้าพิมพิสารและราชบริพาร ๑๑ หมื่น ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล อีก ๑ หมื่น ให้ได้ความเลื่อมใสมั่นคงอยู่ในพระรัตนตรัย เป็นอุบาสกในพระศาสนา ทรงถวายมหาทานร่วมด้วยราชบริพาร คือถวายพระราชอุทยาน เวฬุวันเป็นสังฆาราม เป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา

ทรงแสดงธรรมโดยควรแก่อุปนิสัยของปริพพาชก ๒๕๐ คน และสองสหาย อุปดิสสะและโกลิตะ จนปริพพาชก ๒๕๐ คนบรรลุอรหัตผล และทรงประทานเอหิภิกขุอุปสมบทแก่ทั้งหมด

โกลิตะ หลังอุปสมบทแล้วมีนามว่า พระโมคคัลลานะ ได้สดับโอวาทในธาตุกัมมัฏฐานแล้วปฏิบัติตาม ก็ได้บรรลุพระอรหันต์ในวันนั้น

อุปดิสสะ หลังอุปสมบทแล้วมีนามว่า พระสารีบุตร ได้สดับพระธรรมเทศนา เวทนาปริคคหสูตร ในวันเพ็ญวันมาฆปุรณมี เดือน ๓ ซึ่งพระบรมศาสดา ทรงแสดงแก่ปริพพาชกชื่อว่า ทีฆนขะ อัคคิเวสนโคตร ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ส่วนทีฆนขะปริพพาชกได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

ในกาลนั้น พระบรมศาสดาได้ทรงตั้งพระเถระเจ้าทั้งสองไว้ในตำแหน่ง คู่แห่งอัครสาวก คือ พระสารีบุตรเถระ เป็นอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะเถระ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย

และในวันมาฆปุรณมี พระบรมศาสดาเสด็จมาประทับที่เวฬุวัน พร้อมด้วยพระอรหันต์ขีณาสพเจ้า ๑,๒๕๐ องค์ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ เพื่อเป็นหลักในการประกาศพระพุทธศาสนาสำหรับพระสาวกสืบไป

ครั้งเสด็จยังนครกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ก็ปรากฏ"ฝนโบกขรพรรษ" เป็นมหัศจรรย์ ทรงมีพุทธบรรหารตรัสว่า

"ฝนโบกขรพรรษนี้ จะตกในที่ชุมนุมพระประยูรญาติในครั้งนี้เท่านั้นก็หาไม่ ในอดีตสมัย เมื่อตถาคตเสวยพระชาติเป็น พระเวสสันดร บรมโพธิสัตว์ ฝนโบกขรพรรษก็เคยได้ตกลงในที่ชุมนุมพระประยูรญาติเหมือนครั้งนี้"

แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนา เรื่องมหาเวสสันดรชาดก ยอยกพระมหาบารมีทาน แก่พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช พร้อมพระประยูรญาติ ทรงตรัสพระธรรมเทศนาโปรดพระนางมหาปชาบดีจนได้บรรลุโสดาปัตติผล และพระเจ้าสุทโธทนะได้บรรลุสกิทาคามีผล และในวันที่สามที่ทรงรับภัตตาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ทรงเทศนามหาธรรมปาลชาดกโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ ให้สำเร็จพระอนาคามีผล ส่วนพระนางพิมพาราชกัญญา เมื่อได้สดับพระธรรมที่พระศาสดาทรงประทาน ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ทรงประทานอุปสมบทให้พระนันทกุมาร และพระราหุลกุมารในกาลต่อมา

ทรงประทานอุปสมบทแก่อุบาลีอำมาตย์กับช่างกัลบก และกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ คือ พระภัททิยะ พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระภัคคุ พระกิมพิละ และพระเทวทัต พระภัททิยะ สำเร็จพระอรหัตผลในพรรษานั้น พระอนุรุทธะ บรรลุทิพจักษุญาณก่อน เมื่อฟังพระธรรมเทศนา มหาปุริสวิตักสูตร จึงสำเร็จพระอรหัตผล พระอานนท์ ได้บรรลุอริยะผลเพียงพระโสดาบัน พระภัคคุและพระกิมพิละ เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้บรรลุพระอรหัตผล ส่วนพระเทวทัตนั้น ได้บรรลุปุถุชนฤทธิ์ อันเป็นของโลกิยะบุคคล

พระเทวทัตได้เกิดความโทมนัสน้อยใจ ตามวิสัยของปุถุชนจำพวกที่มากด้วยความอิจฉา ริษยา ผูกอาฆาตในพระบรมศาสดา เมื่อครั้งทูลขอเป็นภารธุระช่วยว่ากล่าวครอบครองภิกษุสงฆ์ทั้งปวง แต่พระศาสดาไม่ทรงอนุญาต จึงปรารถนาจะทำอันตรายแก่พระผู้มีพระภาค

คราหนึ่ง พระเทวทัตหลีกจากเมืองโกสัมพีสู่เมืองราชคฤห์ คบคิดกับพระเจ้าอชาติศัตรูให้ปลงพระชนม์ชีพพระราชบิดา จัดการสถาปนาพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ พระอชาตศัตรูราชกุมารยังเยาว์พระวัย หลงเชื่อถ้อยคำของพระเทวทัต จึงทำปิตุฆาต ปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์พระเจ้าพิมพิสาร พระชนกนาถ ให้อภิเษกพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สำเร็จดังปรารถนา ต่อมา พระเทวทัตได้คบคิดกับพระเจ้าอชาติศัตรู ใช้ให้นายขมังธนูทั้งหลาย เข้าไปทำอันตรายยิงพระบรมศาสดา แต่นายขมังธนูกลับมีจิตศรัทธา สดับพระธรรมเทศนา ให้บรรลุโสดาปัตติผลด้วยกันสิ้น

ครั้งที่สอง พระเทวทัตลอบขึ้นไปบนภูเขาคิชฌกูฎ กลิ้งก้อนหินศิลาใหญ่ลงมาหวังจะให้ประหารพระบรมศาสดาขณะเสด็จขึ้น สะเก็ดศิลาได้กระทบพระบาทจนห้อพระโลหิต นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ที่พระผู้มีพระภาคต้องประสบอันตรายถึงเสียพระโลหิตจากพระวรกาย เพราะพระเทวทัตกระทำอนันตริยกรรมพุทธโลหิตุบาท

ครั้งที่สาม พระเทวทัตให้ปล่อยช้างนาฬาคีรี ช้างพระที่นั่งกำลังซับมันดุร้าย เพื่อให้ทำอันตรายพระชนม์ชีพของพระบรมศาสดา แต่พระบรมศาสดาได้ทรงช้างนาฬาคีรีให้หมดพยศอันร้ายกาจ หมอบยอบกายเข้าไปถวายบังคมพระบรมศาสดา ฟังพระบรมศาสดาตรัสสอนแล้วเดินกลับเข้าสู่โรงช้าง ทั้งทรงตรัสอนุปุพพิกกถาอนุโมทนาที่พระอานนท์ได้สละชีวิตออกไปยืนกั้นช้างนาฬาคีรี ประทานพระธรรมเทศนามหังสชาดก และจุลลหังสชาดก ยกคุณของพระอานนท์เถระเจ้าที่ได้สละชีวิตถวายพระองค์แม้ในอดีตชาติ

ภายหลัง พระเทวทัตปรารถนาจะเลี้ยงชีพด้วยโกหัญญกรรม การหลอกลวงสืบไป จึงทูลขอวัตถุ ๕ ประการ เพื่อให้พระบรมศาสดาบัญญัติให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติโดยเคร่งครัด คือ

๑. ให้อยู่ในเสนาสนะป่า เป็นวัตร

๒. ให้ถือบิณฑบาต เป็นวัตร

๓. ให้ทรงผ้าบังสุกุล เป็นวัตร

๔. ให้อยู่โคนไม้ เป็นวัตร

๔. ให้งดฉันมังสาหาร เป็นวัตร

แต่พระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ด้วยทรงเห็นว่า ยากแก่การปฏิบัติ เป็นการเกินพอดีไม่เป็นทางสายกลางสำหรับบุคคลทั่วไป พระเทวทัตโกรธแค้น ไม่สมประสงค์ กล่าวโทษพระบรมศาสดา ประกาศว่า คำสอนของตนประเสริฐกว่า ทำให้ภิกษุที่บวชใหม่ มีปัญญาน้อยหลงเชื่อ ยอมทำตนเข้าเป็นสาวก ครั้นพระเทวทัตได้ภิกษุยอมเข้าเป็นบริษัทของตนแล้ว ก็ประกาศทำสังฆเภท แยกจากพระบรมศาสดา พาภิกษุชาววัชชีบวชใหม่เหล่านั้น ไปยังตำบลคยาสีสะประเทศ

ครั้นพระบรมศาสดาทรงทราบเหตุ ทรงดำรัสให้พระสารีบุตรเถระและพระโมคคัลลานะเถระ ไปนำภิกษุพวกนั้นกลับ ด้วยอำนาจเทศนาปาฏิหาริย์และอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ของอัครสาวกทั้งสอง บันดาลภิกษุเหล่านั้นได้บรรลุอมตธรรม แล้วพาภิกษุเหล่านั้นกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดาในท้ายที่สุด

ครานั้น พระโกกาลิกะ ซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระเทวทัต มีความโกรธ กล่าวโทษแก่พระเทวทัต ที่ไปคบค้าด้วยพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ให้พระอัครสาวกทั้งสองพาภิกษุทั้งหลายกลับไปหมดสิ้น ได้ประหารพระเทวทัตที่ทรวงอกด้วยเท้าอย่างแรงด้วยกำลังโทสะ เป็นเหตุให้พระเทวทัตเจ็บปวดอย่างสาหัส ถึงอาเจียนเป็นโลหิต ได้รับทุกข์เวทนาแรงกล้า อันเตวสิกทั้งหลายช่วยกันหามพระเทวทัตมาถึงสระโบกขรณี นอกพระเชตวันวิหาร วางเตียงลงในที่ใกล้สระแล้วลงสรงน้ำ พระเทวทัตลุกขึ้นนั่ง ห้อยเท้าทั้งสองถึงพื้นดิน ประสงค์จะเหยียบยันกายขึ้นบนพื้นปฐพี ขณะนั้น พื้นปฐพีก็แยกออกเป็นช่อง สูบเอาเท้าทั้งสองของพระเทวทัตลงไปในแผ่นดินโดยลำดับ พระเทวทัตได้จมหายไปในภาคพื้นตราบเท่าถึงคอและกระดูกคาง จึงได้กล่าวคาถาสรรเสริญบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“พระผู้มีพระภาค เป็นอัครบุรุษ ยอดแห่งมนุษย์และเทพยดาทั้งหลาย พระองค์เป็นสารถีฝึกบุรุษอันประเสริฐ พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณ์ถึงร้อย และบริบูรณ์ด้วยสมันตจักษุญาณ หาที่เปรียบมิได้ ข้าพระองค์ ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ"

พอสิ้นเสียงแห่งคำนี้เท่านั้น ร่างพระเทวทัตก็จมลงไปในปฐพีไปบังเกิดในอเวจีมหานรก

เมื่อถึงกาลพระเจ้าสุทโธทนะ ได้รับการบีบคั้นจากอาพาธกล้า เกิดทุกขเวทนายิ่งนัก พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา โปรดให้พระพุทธบิดาบรรลุพระอรหัตผล แล้วเสด็จนิพพานด้วยอุปปาทิเสสนิพพาน

ทรงประทานบรรพชาอุปสมบทแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระนางพิมพาเทวี และศากยะขัตติยนารีเป็นภิกษุณี

ทรงทำปาฏิหาริย์และทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทที่สันนิบาตประชุมกันอยู่บริเวณรอบต้นคัณฑามพฤกษ์ จนบรรลุอริยมรรคอริยผลกันเป็นอันมาก

ทรงเสด็จโปรดพระพุทธมารดา ณ ดาวดึงส์สุราลัยเทวโลก และทรงแสดงอภิธรรม ๗ พระคัมภีร์ โปรดตลอดไตรมาส ให้เทพยดาในโลกธาตุที่ประชุมฟังธรรมอยู่ในที่นั้น ได้บรรลุมรรคผลสุดที่จะประมาณ ในอวสานกาลเป็นที่จบคัมภีร์มหาปัฏฐาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ ๗ พระมหามายาเทวี พระพุทธมารดา ก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล และเสด็จลงสู่มนุษย์โลกในวันปุรณมี แห่งอัสสยุชมาส เพ็ญเดือน ๑๑ ท้าวโกสีย์จึงนิรมิตบันไดทิพย์ ๓ บันได ลงจากเทวโลก คือบันไดทองอยู่เบื้องขวา บันไดเงินอยู่เบื้องซ้าย บันใดแก้วอยู่ท่ามกลาง เชิงบันไดทั้ง ๓ ประดิษฐานอยู่ภาคพื้นปฐพีที่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสะนคร ศีรษะบันไดเบื้องบนจดยอดภูเขาสิเนรุราช บันไดแก้วนั้นเป็นที่พระผู้มีพระภาคเสด็จลง บันไดทองเป็นที่เทวดาทั้งหลายตามลงมาส่งเสด็จ บันไดเงินเป็นที่พรหมทั้งหลายตามลงมาส่งเสด็จ ขณะนั้นเทพยดาและพรหมทั้งหลาย ได้มาประชุมพร้อมกันบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าเต็มทั่วจักรวาล ได้ทรงทำ "โลกวิวรณะปาฏิหาริย์" เปิดโลกโดยอาการทอดพระเนตรไปทิศต่าง ๆ รวมทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างเป็น ๑๐ ทิศด้วยกัน พร้อมกับเปล่งฉัพพรรณรังษีรัศมี ๖ ประการ เป็นมหาอัศจรรย์ ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทจนบรรลุอริยมรรคอริยผล ตลอดจนพระอรหัตผลเป็นอันมาก

และในภายหลัง ทรงแสดงธรรมปรารภความชรา ซึ่งเบียดเบียนกายของพระองค์แก่พระอานนท์เถระ เหล่าเทพยดาที่มาสดับพระธรรมเทศนาในที่นั้น ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอันมาก

จำเดิมแต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อนุตรภิเศกสัมโพธิญาณ คำนวณพระชนมพรรษาได้ ๓๕ พระวัสสาแล้ว ก็เริ่มบำเพ็ญปรหิตประโยชน์ โปรดเวไนยสัตว์

ในพรรษาที่ ๑ เสด็จจำพรรษา ณ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงได้สาวกเป็นพระอรหันต์จำนวน ๖๐ องค์ เกิดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นพุทธบริษัท ๔ ขึ้น การประกาศศาสนาได้ดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง โดยการจาริกไปยังหมู่บ้านชนบทน้อยใหญ่ในแคว้นต่างๆ ทั่วชมพูทวีปตลอดเวลาอีก ๔๔ พรรษา

ในพรรษาที่ ๒ เสด็จไปยังเสนานิคมในตำบลอุรุเวลา ในระหว่างทางได้สาวกกลุ่ม ภัททวัคคีย์ ๓๐ คน และที่ตำบลอุรุเวลาได้ ชฎิล ๓ พี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ กับศิษย์ ๑,๐๐๐ คน เทศนาอาทิตตปริยายสูตร ที่คยาสีสะ แล้วเสด็จไปยังราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ กษัตริย์เสนิยะพิมพิสาร ทรงถวายสวนเวฬุวันแด่คณะสงฆ์ ทั้งได้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นสาวก

อีก ๒ เดือนต่อมาทรงเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธาราม ได้สาวกมากมาย ได้แก่ พระนันทะ พระราหุล พระอานนท์ พระเทวทัต และพระญาติอื่น ๆ

อนาถปิณฑิกะเศรษฐี อาราธนาไปยังกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ถวายสวนเชตวันแต่คณะสงฆ์ ทรงจำพรรษาที่นี่

ในพรรษาที่ ๓ นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่

ในพรรษาที่ ๔ ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ

ในพรรษาที่ ๕ เสด็จจำพรรษาที่กุฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนครไพศาลี โปรดพระราชบิดาจนได้บรรลุอรหัตผล ทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโรหิณี ทรงบรรพชาอุปสมบทพระนางปชาบดีโคตมี และคณะเป็นภิกษุณี

ในพรรษาที่ ๖ เสด็จจำพรรษาบน มกุฏบรรพต ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในกรุงสาวัตถีย์

ในพรรษาที่ ๗ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาเสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่บน ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ร่มไม้ปาริชาติในดาวดึงส์เทวโลก แสดงอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา

ในพรรษาที่ ๘ เสด็จจำพรรษาที่เภสกลาวัน ป่าไม้สีเสียด ใกล้กรุงสุงสุมารคีรี ในภัคคราฐ และทรงแสดงธรรมเทศนาในแคว้นโกสัมพี

ในพรรษาที่ ๙ เสด็จจำพรรษาที่ปาลิไลยวันสถาน อาศัยกุญชรชาติ ชื่อว่า ปาลิไลยหัตถี ทำวัตรปฏิบัติ และทรงแสดงธรรมเทศนาในแคว้นโกสัมพี

ในพรรษาที่ ๑๐ เสด็จจำพรรษาที่บ้านนาลายพราหมณ์ คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีแตกแยกกันอย่างรุนแรง ทรงตักเตือน ทรงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่า ปาลิเลยยกะ มีช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา

ในพรรษาที่ ๑๑ เสด็จจำพรรษาที่ภายใต้ร่มไม้ปุจิมันทพฤกษ์ ไม้สะเดา อันเป็นรุกขพิมานของนาเฬรุยักษ์ ใกล้พระนครเวรัญชา ต่อมาเสด็จไปยังกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อ เอกนาลา

ในพรรษาที่ ๑๒ เสด็จจำพรรษาอยู่ในปาลิยบรรพต ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา เกิดความอดอยากรุนแรง

ในพรรษาที่ ๑๓ เสด็จจำพรรษาที่พระเชตวันวิหาร ณ พระนครไพศาลี ทรงเทศนาและจำพรรษาบน ภูเขาจาลิกบรรพต

ในพรรษที่ ๑๔ เสด็จจำพรรษาที่นิโครธาราม มหาวิหาร ใกล้พระนครกบิลพัสดุ์ อนุเคราะห์ระงับการวิวาทระหว่างพระประยูรญาติทั้งหลาย ทั้งสองพระนคร ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ราหุลกุมารขอบรรพชาอุปสมบท

ในพรรษาที่ ๑๕ เสด็จจำพรรษาที่อัคคาฬวเจดีย์ ใกล้อาฬวีนคร หลังจากทรงทรมานอาฬวกยักษ์ ให้สิ้นพยศแล้ว แล้วเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ สุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางโคจร

พรรษาที่ ๑๖ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่ อาลวี

พรรษาที่ ๑๗ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี แล้วเสด็จกลับมายังอาลวี ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์

พรรษาที่ ๑๘ เสด็จไปยัง อาลวี ทรงจำพรรษาบน ภูเขาจาลิกบรรพต

ในพรรษาที่ ๑๖, ๑๗ และ ๑๘ ทรงเสด็จกลับไปจำพรรษาที่เวฬุวันวิหาร ณ นครราชคฤห์ อีก รวม ๓ พรรษา

พรรษาที่ ๑๙ทรงเทศนาและจำพรรษาที่บน ภูเขาจาลิกบรรพต

พรรษาที่ ๒๐ โจรองคุลีมาลย์ กลับใจเป็นสาวก ทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ ทรงเริ่มบัญญัติวินัย

พรรษาที่ ๒๑ - ๔๔ ทรงยึดเอาเชตวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์กลางการเผยแพร่และเป็นที่ประทับจำพรรษา แล้วทรงเสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่าง ๆ โดยรอบ

ในพรรษาที่ ๑๙ ถึงพรรษาที่ ๔๕ รวม ๒๕ พรรษานี้ ทรงจำพรรษาที่พระเชตวันวิหารและบุพพาราม สลับกัน คือประทับที่พระเชตวันวิหาร ของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีสร้างถวาย ๑๙ พรรษา ประทับที่บุพพาราม ของท่านมหาอุบาสิกา วิสาขา สร้างถวาย ๖ พรรษา

ครั้นในพรรษาที่ ๔๕ ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้าย พระบรมศาสดา ทรงจำพรรษา ณ บ้านเวฬุคาม ใกล้พระนครไพศาลี พระเทวทัต คิดปลงพระชนม์ กลิ้งก้อนหินจนเป็นเหตุให้พระบาทห้อโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวก และภายในพรรษา ทรงพระประชวรอาพาธหนักครั้งหนึ่ง ทรงเยียวยาบำบัดพระโรคด้วยโอสถ คือ สมาบัติ ครั้นออกพรรษา ทรงทำปวารณากับด้วยพระสงฆ์สาวกทั้งปวง ได้รับสั่งแก่พระสารีบุตรเถระว่า "ไม่ช้าแล้วตถาคตก็จะปรินิพพาน ดูกรสารีบุตร ตถาคตจะไปพระนครสาวัตถี" พระสารีบุตรเถระรับพระบัญชาออกมารับสั่งพระสาวกให้เตรียมการตามเสด็จ จากนั้น พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก เสด็จไปประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร

ครั้นเสด็จถึงทิวาวิหาร ณ ปาวาลเจดีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสนิมิตโอภาสแก่พระอานนทเถระแต่เพราะมารเข้าดลใจมิให้รู้ทัน จึงมิได้ทูลอาราธนาให้ดำรงพระชนมายุกัปหนึ่ง แม้พระบรมศาสดาจะทรงทำโอภาสนิมิตถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์ได้ฟังแล้วก็นิ่งอยู่ พญาวัสวดีมาร จึงถือโอกาสเข้าไปทูลอาราธนาให้เสด็จปรินิพพาน พระพุทธองค์จึงทรงรับอาราธนา และเมื่อทรงกำหนดพระทัยปลงพระชนมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ ในวันมาฆะปุรณมี เพ็ญเดือน ๓ ครั้งนั้น ก็บังเกิดมหัศจรรย์บันดาล พื้นแผ่นพสุธาธารโลกธาตุ ก็กัมปนาทหวั่นไหว ประหนึ่งว่า แสดงความทุกข์ใจ อาลัยในพระผู้มีพระภาคเจ้า จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในกาลไม่นาน ต่อนี้ไปอีก ๓ เดือนเท่านั้น

ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท ณ บ้านภัณฑุคามนั้น ให้ตั้งอยู่ในอริยะธรรม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติอันเป็นธรรมนำให้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งมวล จากนั้นเสด็จไปสู่บ้านหัตถีคาม และอัมพคาม และชมพุคาม และเมืองโภคนคร โดยลำดับ ประทับอยู่ที่โภคนคร แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทชาวเมืองนั้น แล้วเสด็จไปยังเมืองปาวานคร เข้าอาศัยยังอัมพวัน สวนมะม่วงของนายจุนทะกัมมารบุตร คือบุตรของนายช่างทอง ซึ่งอยู่ใกล้เมืองนั้น นายจุนทะได้กราบทูลนิมนต์และถวาย “สุกรมัทวะ” ซึ่งเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงประชวรพระโรค “โลหิตปักขันทิกาพาธ” มีกำลังกล้า ลงพระโลหิต เสวยทุกขเวทนาอย่างหนัก ทรงแสดงบุพพกรรมที่ทรงทำไว้ในชาติก่อนแก่พระอานนท์

ทรงเสด็จไปเมืองกุสินารานคร ขณะที่เสด็จพระพุทธดำเนินตามทางนั้น ให้บังเกิดกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงเสด็จแวะเข้าพักยังร่มไม้ริมทาง พลางตรัสเรียกพระอานนท์ ขอน้ำเสวย เป็นครั้งแรกและเป็นครั้งเดียว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเรียกขอน้ำเสวยในขณะเดินทางยังไม่ถึงที่พัก เนื่องด้วยพระองค์ทรงประชวรมาก พระอานนท์ ได้กราบทูลว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม เพิ่งข้ามแม่น้ำนี้ไป แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำเล็ก น้ำในแม่น้ำก็น้อย เมื่อล้อเกวียนมากด้วยกัน บดไปตลอดทุกเล่ม น้ำขุ่นนัก ไม่ควรเป็นน้ำเสวย ถัดนี้ไปไม่ไกลนัก แม่น้ำกกุธานที มีน้ำจืด ใส เย็น ทั้งมีท่ารื่นรมย์ เชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคไปยังแม่น้ำกกุธานทีโน้นเถิด ผิวะเสวยหรือจะสรงก็จะเย็นเป็นสุขสำราญ"

แล้วได้กราบทูลทัดทานถึง ๒ ครั้ง เมื่อได้สดับกระแสรับสั่งครั้งที่ ๓ พระเถระเจ้าก็อนุวัตรตามพระบัญชาทันที ด้วยได้สติรู้ทันในพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "อันธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะดำรงคงพระวาจามั่น ในสิ่งซึ่งหาเหตุมิได้ เป็นไม่มี" จึงรีบนำบาตรเดินตรงไปยังแม่น้ำนั้น ครั้นเข้าไปใกล้แม่น้ำนั้น ก็พลันได้ปีติโสมนัส ด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า หากมาบันดาลน้ำในแม่น้ำซึ่งขุ่นข้นได้กลับกลายเป็นน้ำใสสะอาดปราศมลทิน

ระหว่างนั้นปุกกุสะ บุตรแห่งมัลลกษัตริย์ ผู้เป็นสาวกของท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร เดินทางจากเมืองกุสินารา เพื่อจะไปยังปาวานคร ได้ถวายผ้าสิงคิวรรณ ๒ ผืน อันมีเนื้อละเอียด มีสีดังทองสิงคี งาม ประณีตมีค่ามาก ปุกกุสะ ได้น้อมผ้าถวายเป็นพุทธบริโภคผืนหนึ่ง ถวายพระอานนท์เถระผืนหนึ่ง ตามพระพุทธบัญชา แล้วปุกกุสะได้อภิวาททูลลาไป พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงธรรมมีกถาให้ปุกกุสะมัลลบุตร เบิกบาน รื่นเริงในกุศลจริยาตามสมควร เมื่อพระเถระเจ้านำเข้าถวายปกคลุมพระกาย พระฉวีวรรณก็งามบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก พระองค์ตรัสแก่พระอานนท์ว่า

"จริงดังอานนท์สรรเสริญ" พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่ง "กายของตถาคตย่อมงามบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งใน ๒ เวลา คือ เวลาราตรีที่จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ และเวลาราตรีที่จะปรินิพพาน ๑ อานนท์ ๒ เวลานี้แล กายของตถาคตงามบริสุทธิ์ยิ่งนัก"

ทั้งทรงได้ตรัสสรรเสริญว่า "อันบิณฑบาตทานที่ถวายพระตถาคตใน ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่พระตถาคตเจ้าเสวยแล้วได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ ครั้ง ที่พระตถาคตเจ้าเสวยแล้ว เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ๑ ครั้ง เป็นทานมีผลมาก มีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตทานทั้งหลาย เป็นกุศลกรรมทำให้เจริญ อายุ วรรณะ สุข ยศ และสวรรค์ ดังนี้เถิด"

เมื่อเสด็จดำเนินข้ามแม่น้ำหิรัญวดี ไปเมืองกุสินารานคร เข้าไปยังสาลวันอุทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้นครกุสินาราแล้ว ทรงโปรดให้พระอานนท์ปูลาดเตียงที่ประทม ณ ระหว่างไม้รังคู่ แล้วเสด็จขึ้นประทมสีหไสยา มีสติสัมปชัญญะ แต่มิได้มีอุฎฐานสัญญามนสิการ เพราะเหตุเป็นไสยาอวสาน ต้นรังทั้งคู่ เผล็ดดอกบานเต็มต้น ร่วงหล่นมายังพระพุทธสรีระ บูชาพระตถาคตเจ้า เป็นมหัศจรรย์ แม้ดอกมณฑาในเมืองสวรรค์ ตลอดทิพยสุคนธชาติก็ตกลงมาจากอากาศ บูชาพระตถาคตเจ้า ใช่แต่เท่านั้น ยังเทพเจ้าทั้งหลายก็ประโคมดนตรีทิพย์ บันลือลั่นเป็นมหานฤนาท บูชาพระตถาคตเจ้าในอวสานกาล

ทรงตรัสถึงสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล ควรที่พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า จะดูจะเห็น และควรจะให้เกิดความสังเวชทั่วกัน และตรัสถึงวิธีปฏิบัติในพระสรีระว่า

"ดูกรอานนท์ ชนทั้งหลายย่อมพันพระสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ ด้วยผ้าขาวซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าขาว ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญพระสรีระลงในหีบทองอันเต็มไปด้วยน้ำมันหอม เชิญขึ้นสู่จิตรกาธาร ซึ่งทำด้วยไม้หอม ถวายพระเพลิง แล้วเชิญพระอัฏฐิธาตุไปทำพระสถูปบรรจุไว้ ณ ที่ประชุมแห่งถนนใหญ่ทั้ง ๔ เพื่อเป็นที่ไหว้สักการบูชาแห่งมหาชนผู้สัญจรไปมาแต่ทิศทั้ง ๔ เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน

"อานนท์ บุคคลผู้ควรแก่การประดิษฐานในสถูป เรียกว่า ถูปารหบุคคล มี ๔ ประเภท คือ

พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑

พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑

พระสาวกอรหันต์ ๑

พระเจ้าจักรพรรดิ ๑

บุคคลพิเศษทั้ง ๔ นี้ ควรที่บรรจุอัฏฐิธาตุไว้ในสถูป เพื่อเป็นที่สักการบูชากราบไหว้ ด้วยความเลื่อมใส ด้วยสามารถเป็นพลวปัจจัย นำให้ผู้กราบไหว้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ตามกำลังศรัทธาเลื่อมใส"

ในกาลนี้ ปริพพาชก ชื่อ สุภัททะ ชาวเมืองกุสินารา มาขอโอกาสเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามข้อสงสัยและเมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาว่าด้วยอริยะมรรค ๘ ประการ ก็ทูลขอบรรพชาอุปสมบท โดยมีพระอานนท์เป็นธุระให้ และได้บรรลุพระอรหัตผลในราตรีวันนั้น ได้เป็นพระอรหันต์ปัจฉิมสาวกของพระผู้มีพระภาค ทันพระชนม์ชีพของพระบรมศาสดา

พระอานนท์เถระ ได้ทูลถามพระบรมศาสดาด้วยเหตุที่พระฉันนะถือตัวว่า เป็นผู้ว่ายาก ไม่รับโอวาทใคร และเกรงว่าเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว จักเป็นผู้ว่ายากยิ่งขึ้น ด้วยหาผู้ยำเกรงมิได้ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสให้ลง พรหมทัณฑ์ ว่าดังนี้
"อานนท์การลงพรหมทัณฑ์ นั้น คือ ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงโอวาท ไม่พึงสั่งสอนเลย ไม่พึงเจรจาคำใด ๆ ด้วยทั้งสิ้น เว้นแต่คำอันเป็นกิจธุระโดยเฉพาะอานนท์ เมื่อฉันนะถูกสงฆ์พรหมทัณฑ์แล้ว จักสำนึกในความผิด และสำเหนียกในธรรมวินัย เป็นผู้ว่าง่าย ยอมรับโอวาท ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล”

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “อานนท์ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว หากจะพึงมีภิกษุบางรูปดำริว่า พระศาสดาของเราปรินิพพานแล้ว บัดนี้ ศาสดาของเราไม่มี อานนท์ ท่านทั้งหลายไม่ควรดำริอย่างนั้น ไม่ควรเห็นอย่างนั้น แท้จริง วินัยที่เราได้บัญญัติแก่ท่านทั้งหลายก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลายก็ดี เมื่อเราล่วงไป ธรรมและวินัยนั้น ๆ แล จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย”

"ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

เมื่อตรัสพระโอวาทประทานเป็นวาระสุดท้ายเพียงเท่านี้แล้ว ก็หยุด มิได้ตรัสอะไรอีก ทรงทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ โดยอนุโลมเป็นลำดับดังนี้ คือ

ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว

ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว

ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว

ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว

ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว

ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว

ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนะแล้ว

ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว

ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ตามเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดแล้วก็เสด็จ

ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ออกจากสมาบัตินั้นโดยปฏิโลมเป็นลำดับจนถึงปฐมฌาน

ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน อีกวาระหนึ่ง

ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน

ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน

โดยมีพระอนุรุทธเป็นผู้เข้าฌานตามดู

เมื่อครั้นออกจากจตุตถฌานแล้ว

ก็เสด็จปรินิพพาน ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขะปุรณมี เพ็ญเดือน ๖ มหามงคลสมัย

ครั้นบังเกิดมหัศจรรย์ แผ่นดินไหว กลองทิพย์ก็บันลือลั่น กึกก้องด้วยสัททสำเนียงเสียงสนั่นในนภากาศ เป็นมหาโกลาหล ในปัจฉิมกาล ท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวโกสีย์สักกะเทวราช พระอนุรุทธเถระเจ้า และพระอานนท์เถระเจ้า ได้กล่าวคาถาสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายทั้งปวง ที่ประชุมอยู่ในอุทยานสาลวันนั้น ต่างก็เศร้าโศก ร่ำไร รำพัน พระอนุรุทธเถระเจ้า และพระอานนท์เถระเจ้า ได้แสดงธรรมิกถาปลุกปลอบ บรรเทาจิตบริษัทให้เสื่อมสร่างจากความเศร้าโศก ตามควรแก่วิสัยและควรแก่เวลา ครั้นสว่างแล้ว พระอนุรุทธเถระเจ้าก็มีเถระบัญชาให้พระอานนท์รีบเข้าไปในเมืองกุสินารา แจ้งข่าวปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคแก่มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย

มัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้อัญเชิญพระสรีระของพระผู้มีพระภาคไปโดยทิศทักษิณแห่งพระนคร เพื่อถวายพระเพลิงยังภายนอกพระนคร แต่ปรากฏพระสรีระศพไม่ขยับเขยื้อน จึงต้องทำการอัญเชิญพระสรีระศพเข้าพระนครโดยทางประตูทิศอุดร เชิญไปในท่ามกลางพระนคร แล้วออกจากพระนครโดยทางประตูทิศบูรพา แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานถวายพระเพลิงที่มกุฎพันธนะเจดีย์ ด้านทิศตะวันออกแห่งเมืองกุสินารานคร ตามประสงค์ของเทวดา แล้วอัญเชิญพระพุทธสรีระศพขึ้นประดิษฐานบนเตียงมาลาอาสน์ ซึ่งตกแต่งด้วยอาภรณ์อันวิจิตร แล้วเคลื่อนขบวนอัญเชิญไปโดยทางอุตรทิศเข้าไปภายในแห่งพระนคร ประชาชนพากันมาสโมสรเข้าขบวนแห่ตามพระพุทธสรีระศพสุดประมาณ เสียงดุริยางค์ดนตรีแซ่ประสานกับเสียงมหาชน ดังสนั่นลั่นโกลาหลเป็นมหัศจรรย์ ทั้งดอกมณฑาอันเป็นของทิพย์ในสรวงสวรรค์ก็ร่วงหล่นลงมาสักการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ขบวนมหาชนอัญเชิญพระพุทธสรีระศพได้ผ่านไปในวิถีทางท่ามกลางพระนครกุสินารา ประชาชนทุกถ้วนหน้าพากันสักการบูชาทั่วทุกสถาน ตลอดทางที่พระพุทธสรีระศพจะแห่ผ่านไปตามลำดับ

ระหว่างทาง นางมัลลิกา ผู้เป็นภรรยาของท่านพันธุละเสนาบดี จึงได้มีโอกาสถวายเครื่องประดับอันมีชื่อว่า มหาลดาประสาธน์ อันงามวิจิตรมีค่ามากถึง ๙๐ ล้าน ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ในสมัยนั้นมีอยู่เพียง ๓ เครื่อง คือ ของนางวิสาขา ของนาง มัลลิกา ภรรยาท่านพันธุละ และของเศรษฐีธิดาภรรยาท่านเทวปานิยสาระ เป็นอาภรณ์ประดับพระพุทธสรีระ ขณะนั้นพระพุทธสรีระศพก็งามโอภาส แล้วมหาชนก็อัญเชิญพระพุทธสรีระศพเคลื่อนจากที่นั้น ออกจากประตูเมืองด้านบูรพทิศ ไปสู่มกุฎพันธนะเจดีย์

ครั้นอัญเชิญหีบทองขึ้นประดิษฐานบนจิตรกาธาร ทำสักการบูชา กษัตริย์มัลลราชทั้ง ๘ องค์ ผู้เป็นประธานกษัตริย์ทั้งปวง ก็นำเอาเพลิงเข้าจุดเพื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระศพ แต่เพลิงก็ไม่ติดตามประสงค์ เหตุเพราะคอยท่าพระมหากัสสปเถระเจ้า ซึ่งออกเดินทางจากเมืองปาวาไปยังเมืองกุสินารา พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่หยุดพักอยู่ยังร่มไม้ริมทาง ครั้นพบอาชีวกผู้หนึ่ง เดินถือดอกมณฑากั้นศีรษะมาตามทาง ก็นึกฉงนใจ ด้วยดอกมณฑานี้ หามีในมนุษย์โลกไม่ จึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปถามอาชีวกผู้นั้น เมื่อได้ความถึงพระนิพพานเมื่อ ๗ วันก่อน จึงรีบพาพระสงฆ์บริวารเดินทางไปยังนครกุสินารา ตรงไปยังมกุฎพันธนะเจดีย์

เวลานั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง บวชเมื่อภายแก่ ชื่อ สุภัททะ เป็นวุฑฒะบรรพชิตมีจิตดื้อด้าน ด้วยสันดานพาลชน เป็นอลัชชีมืดมนย่อหย่อนในธรรมวินัย กล่าวคำจ้วงจาบพระบรมศาสดา เป็นเหตุให้พระมหากัสสปเถระดำริที่จะทำสังคายนา ยกพระธรรมวินัยขึ้นไว้เป็นที่เคารพแทนองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า

ครั้นถึงยังพระจิตรกาธาร ที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระศพ พระบรมศาสดาแล้ว พระมหากัสสปเถระก็ทำจีวรเฉวียงบ่า ประคองอัญชลี กระทำประทักษิณเวียนพระจิตรกาธารสามรอบแล้ว เข้าสู่ทิศเบื้องพระยุคลบาท น้อมถวายอภิวาทแล้วตั้งอธิษฐานจิตว่า

"ขอให้พระบรมบาททั้งคู่ของสมเด็จพระบรมครู ผู้ทรงพระเมตตาเสด็จไปประทานอุปสมบทแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีนามว่ากัสสปะ ณ ร่มไม้พหุปุตตนิโครธ ทั้งยังทรงพระมหากรุณาโปรดประทานมหาบังสุกุลจีวรส่วนพระองค์ ให้ข้าพระองค์ได้ร่วมพระพุทธบริโภคโดยเฉพาะ จงออกจากหีบทอง รับอภิวาทแห่งข้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ ซึ่งตั้งใจมาน้อมถวายคารวะ ณ กาลบัดนี้เถิด"

ขณะนั้น พระบรมบาททั้งคู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้แสดงอาการประหนึ่งว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ได้ทำลายคู่ผ้าทุกุลพัสตร์ที่ห่อหุ้มอยู่ทั้ง ๕๐๐ ชั้น กับทั้งพระหีบทองออกมาปรากฏในภายนอก ในลำดับแห่งคำอธิษฐานของพระมหากัสสปะเถระเจ้า ดุจดวงอาทิตย์ที่แลบออกจากกลีบเมฆ ฉะนั้น พุทธบริษัททั้งปวงเห็นเป็นอัศจรรย์พร้อมกัน

ครั้นพระมหากัสสปะ กับพระสงฆ์บริวาร ๕๐๐ และมหาชนทั้งหลายกราบนมัสการ พระบรมยุคลบาทโดยควรแล้ว พระบาททั้งสองก็ถอยถดหดหายจากหัตถ์พระมหากัสสปะ นิวัตตนาการคืนเข้าพระหีบทองดังเก่า ทุกสิ่งทุกอย่างได้ตั้งอยู่เป็นปกติ มิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจากที่แต่ประการใด เป็นมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่อีกวาระหนึ่ง ขณะนั้น เสียงโศกาปริเทวนาการของมวลเทพยดาและมนุษย์ ซึ่งได้หยุดสร่างสะอื้นแล้วแต่ต้นวัน ก็ได้พลันดังสนั่นขึ้นอีก เสมอด้วยวันเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

ขณะนั้น เตโชธาตุ ก็บันดาลติดพระจิตรกาธารขึ้นเองด้วยอานุภาพเทพยดา เพลิงได้ลุกพวยพุ่งโชตนาเผาพระพุทธสรีระศพ พร้อมคู่ผ้า ๕๐๐ ชั้น กับหีบทองและจิตรกาธารหมดสิ้น เว้นแต่ สิ่งซึ่งเพลิงมิได้เผาให้ย่อยยับไป ด้วยอานุภาพพระพุทธอธิษฐาน ดังนี้
๑. ผ้าห่อหุ้มพระพุทธสรีระชั้นใน ๑ ผืน
๒. ผ้าห่อหุ้มภายนอก ผ้าห่อหุ้มพระพุทธสรีระ ๑ ผืน
๓. พระเขี้ยวแก้ว ทั้ง ๔
๔. พระรากขวัญ ทั้ง ๒
๕. พระอุณหิส ๑ รวมพระบรมธาตุ ๗ องค์นี้ ยังคงปกติอยู่ดีมิได้แตกกระจัดกระจาย

และ พระบรมสรีระธาตุ ทั้งหลายนอกนั้น แตกฉานกระจัดกระจายทั้งสิ้น มีสัณฐานต่างกันเป็น ๓ ขนาด คือ
๑. ขนาดโต มีประมาณเท่า เมล็ดถั่วแตก
๒. ขนาดกลาง มีขนาดเท่า เมล็ดข้าวสารหัก
๓. ขนาดเล็ก มีประมาณเท่า เมล็ดพันธุ์ผักกาด

ครั้นเสร็จการถวายพระเพลิงแล้ว ท่ออุทกธารแห่งน้ำทิพย์ก็ตกลงจากอากาศดับเพลิงให้อันตรธาน มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย ก็มีความชื่นบาน ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายใส่ไว้ในพระหีบทองน้อย ทำสักการบูชาด้วยธูปเทียนสุคนธ์มาลาบุปผาชาติ แล้วแห่เข้าสู่ภายในพระนคร อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ เบื้องบนรัตนบัลลังก์ ภายใต้เศวตฉัตร ณ พระโรงราชสัณฐาคารนั้น

มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย พากันกริ่งเกรงว่า อริทรราชทั้งหลายจักยกแสนยากรมาช่วงชิงพระบรมสารีริกธาตุ จึงให้จัดตั้งจาตุรงคเสนาโยธาหาญ พร้อมสรรพด้วยศัตราวุธป้องกันรักษาพระบรมสารีริกธาตุ ทั้งภายในและภายนอกพระนครอย่างมั่นคง แล้วให้จัดการสมโภชบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยเครื่องดุริยางค์ดนตรี ฟ้อนรำ ขับร้อง ทั้งกีฬานักษัตรนานาประการ เป็นมโหฬารยิ่งนัก ตลอดกาลถึง ๗ วัน

ครั้งนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูราช ผู้ครองพระนครราชคฤห์ พระเจ้าลิจฉวี แห่งพระนครไพศาลี พระเจ้ามหานาม แห่งกบิลพัสดุ์นคร พระเจ้าฐุลิยะราช แห่งเมืองอัลลกัปปนคร พระเจ้าโกลิยราช แห่งเมืองรามคาม พระเจ้ามัลลราช แห่งเมืองปาวานคร และ มหาพราหมณ์ ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปกะนคร รวม ๗ นครด้วยกัน ล้วนมีความเลื่อมใส และความเคารพนับถือมั่นในพระพุทธศาสนา ครั้นได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระบรมศาสดา มีความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ในพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก จึงได้แต่งราชทูตส่งไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ณ เมืองกุสินารานคร เพื่อจะได้สร้างพระสถูปบรรจุไว้เป็นที่สักการบูชา เป็นสิริมงคลแก่พระนครของพระองค์สืบไป ครั้นส่งราชทูตไปแล้ว ก็ยังเกรงไปว่า กษัตริย์มัลลราช แห่งกุสินารานั้น จะขัดขืนไม่ยอมให้ดังปรารถนา จึงให้จัดโยธาแสนยากรเป็นกองทัพ พร้อมด้วยจาตุรงคเสนาโยธาหาญครบถ้วน ด้วยสรรพศัตราวุธเต็มกระบวนศึก เดินทัพติดตามราชทูตไป ด้วยทรงตั้งพระทัยว่า หากกษัตริย์มัลลราช แห่งนครกุสินาราขัดขืน ไม่ยอมให้ด้วยไมตรี ก็จะยกพลเข้าโหมหักบีบบังคับ เอาพระบรมธาตุด้วยกำลังทหาร

ในกาลนั้น โทณพราหมณ์ ผู้เป็นทิศาปาโมกข์อาจารย์ สอนไตรเภทแก่กษัตริย์ทั้งหลาย เป็นผู้ระงับเสียซึ่งความวิวาทของกษัตริย์ทั้งปวง และชี้ให้เห็นประโยชน์แห่งความสามัคคี เมื่อกษัตริย์ทั้งปวงได้สติ ดำริเห็นสอดคล้องและเลื่อมใสในถ้อยคำนั้น ก็ยินยอมพร้อมเพรียงให้เปิดประตูเมืองกุสินารา แล้วเข้าประชุมพร้อมกันยังพระโรงราชสัณฐาคาร ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แล้วให้เปิดพระหีบทองน้อยที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมกันถวายอภิวาท สมตามมโนรถ

ขณะนั้น พระบรมสารีริกธาตุ อันทรงพรรณพิลาศงามโอภาสด้วยรัศมี ซึ่งปรากฏอยู่ในพระหีบทอง เฉพาะพระพักตร์ ได้เตือนพระทัยกษัตริย์ทั้งปวง ให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้มีพระภาค กษัตริย์ทั้งปวงจึงได้ทรงกรรแสงปริเทวนาการต่างๆ ครั้งนั้น โทณพราหมณ์เห็นกษัตริย์ทั้งหลายมัวแต่โศกศัลย์รันทดอยู่เช่นนั้น จึงได้หยิบพระทักษิณทาฐธาตุ คือ พระเขี้ยวแก้ว ข้างขวา เบื้องบน ขึ้นซ่อนไว้ในมวยผม แล้วจัดการตักตวงพระบรมสารีริกธาตุด้วยทะนานทอง ถวายกษัตริย์ทั้ง ๘ พระนคร ซึ่งประทับอยู่ ณ ที่นั้น ได้พระนครละ ๒ ทะนานเท่า ๆ กันพอดี รวมพระบรมธาตุเป็น ๑๖ ทะนานด้วยกัน

ท้าวสักกะอมรินทราธิราชทราบด้วยทิพย์จักษุว่า โทณพราหมณ์ลอบหยิบเอาพระทักษิณทาฐธาตุซ่อนไว้ในมวยผม จึงแฝงพระกายลงมาหยิบเอาพระทักษิณทาฐธาตุ เชิญลงสู่พระโกษทองน้อย ยกขึ้นทูลพระเศียรเกล้า อัญเชิญไปบรรจุไว้ที่พระจุฬามณีเจดีย์ ณ สุราลัยเทวสถาน

ในสมัยนั้น บรรดากษัตริย์ทั้งหลาย เมื่อได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ต่างองค์ต่างก็จัดขบวนอันมโหฬาร อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปยังพระนครของตนด้วยเกียรติยศอันสูง แล้วให้ก่อพระสถูปเจดีย์ขึ้น บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้เป็นที่สักการบูชาของมหาชน จึงปรากฏว่า มีพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ดังนี้
๑. พระธาตุเจดีย์ ที่เมืองราชคฤห์
๒. พระธาตุเจดีย์ ที่เมืองไพศาลี
๓. พระธาตุเจดีย์ ที่เมืองกบิลพัสดุ์
๔. พระธาตุเจดีย์ ที่เมืองอัลลกัปปะนคร
๕. พระธาตุเจดีย์ ที่เมืองรามนคร
๖. พระธาตุเจดีย์ ที่เมืองเวฏฐทีปกะนคร
๗. พระธาตุเจดีย์ ที่เมืองปาวานคร
๘. พระธาตุเจดีย์ ที่เมืองกุสินารานคร
๙. พระอังคารเจดีย์ ที่เมืองโมรีนคร
๑๐. พระตุมพเจดีย์ ที่เมืองกุสินารานคร

รวมเป็น ๑๐ เจดีย์ด้วยกัน ยังส่วนต่าง ๆ ที่เป็นส่วนพระบรมธาตุบ้าง ที่เป็นส่วนบริขารพุทธบริโภคบ้าง ก็ปรากฏว่าได้รับอัญเชิญไปสร้างพระสถูปเจดีย์บรรจุไว้ในเมืองต่าง ๆ ดังนี้

๑. พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนขวา กับพระรากขวัญเบื้องขวา ขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในพระจุฬามณีเจดียสถาน ณ ดาวดึงสเทวโลก

๒. พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำขวา เดิมไปประดิษฐาน ณ เมืองกาลิงคราฐ แต่บัดนี้ไปสถิตอยู่ในลังกาทวีป

๓. พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนซ้าย ไปประดิษฐานอยู่ ณ เมืองคันธารราฐ

๔. พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำซ้าย ไปประดิษฐานอยู่ในนาคพิภพ

๕. พระรากขวัญเบื้องซ้าย กับพระอุณหิส ขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในทุสสเจดีย์ ณ พรหมโลก

ส่วนพระทนต์ทั้ง๓๖ และพระเกศา พระโลมา กับทั้งพระนขาทั้ง ๒๐ นั้น เทพยดาอัญเชิญไปองค์ละองค์ สู่จักรวาลต่างๆ

พระบริขารพุทธบริโภคทั้งหลายนั้น ก็ได้รับอัญเชิญไปบรรจุไว้ในสถูปตามนครต่างๆ ดังนี้

๑. พระกายพันธ์ สถิตอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตร
๒. พระอุทกสาฎก สถิตอยู่ที่เมืองปัญจาลราฐ
๓. พระจัมมขันธ์ สถิตอยู่ที่เมืองโกสราฐ
๔. ไม้สีฟัน สถิตอยู่ที่เมืองมิถิลา
๕. พระธัมมกรก สถิตอยู่ที่เมืองวิเทหราฐ
๖. มีดกับกล่องเข็ม สถิตอยู่ที่เมืองอินทปัตถ์
๗. ฉลองพระบาท สถิตอยู่ที่บ้านอุสิรพราหมณคาม และถลกบาตร
๘. เครื่องลาด สถิตอยู่ที่เมืองมกุฏนคร
๙. ไตรจีวร สถิตอยู่ที่เมืองภัททราฐ
๑๐. บาตร เดิมสถิตอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตร ภายหลังไปอยู่เมืองลังกาทวีป
๑๑. นิสีทนะสันถัด สถิตอยู่ที่เมืองกุรุราฐ

ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายเถรวาท

ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ๒๕ พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ ๒๕ และพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือพระศรีอาริยเมตไตรย ในทรรศนะเถรวาทถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ที่เหนือกว่าคนทั่วไปคือพระองค์พบทางดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และเผยแพร่หนทางนั้นต่อสรรพสัตว์ ทรงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เมื่อทรงดับขันธ์ปรินิพพาน คือดับไปโดยไม่เหลือเชื้อใดๆ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องทำความดี (บารมี) มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระโพธิสัตว์)

กำเนิดของพระพุทธเจ้า

พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาเสด็จอุบัติเป็นพระพุทธเจ้านั้น จะทรงเลือกปัจจัย ๕ ประการ คือ

1. กาล (อายุขัยของมนุษย์)

อายุขัยของมนุษย์ขึ้นอยู่กับกระแสสังขารและการทำความดี หากทำดีมากขึ้นอายุก็จะเพิ่มขึ้น หากทำดีน้อยอายุขัยก็จะลดลง อายุขัยของมนุษย์อยู่ระหว่าง ๑๐ ปีถึง ๑ อสงไขย (๑ ตามด้วยเลข ๐ ถึงหนึ่งร้อยสี่สิบตัว) แต่พระโพธิสัตว์ทรงเลือกอายุขัยมนุษย์ระหว่าง ๑๐๐-๑๐๐,๐๐๐ ปี ถ้าหากน้อยกว่า ๑๐๐ ปี มนุษย์จะมีจิตใจหยาบช้าเกิน ก็จะฟังธรรมให้แตกจนบรรลุพระนิพพานได้ ถ้าเกิน ๑๐๐,๐๐๐ ปี มนุษย์จะเริ่มประมาทความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพราะอายุยืน ความตายมาถึงช้า จะไม่เห็นอริยสัจ ๔ หรือธรรมใดๆ

2. ทวีป (ทวีปที่จะลงมาประสูติ)

พระโพธิสัตว์เลือกชมพูทวีปเป็นทวีปที่จะจุติลงมาทุกครั้ง เพราะมนุษย์ในชมพูทวีปมีทั้งความสุขและความทุกข์ มีความเห็นทุกข์ เห็นสุข ได้ดีกว่ามนุษย์ในทวีปอื่นๆ

สาเหตุอีกอย่างที่เลือกมนุษย์ เพราะมนุษย์เห็นสุขทุกข์ได้ง่ายที่สุด สัตว์ในอบายภูมิ ๔ มีแต่ความทุกข์ไม่เห็นสุขกระจ่าง เทวดาพรหมก็เห็นสุขมากกว่าทุกข์จนยากที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ได้ อีกทั้งมนุษย์ทำบุญได้ จึงทรงเลือกมนุษย์

3. ประเทศ (ประเทศที่จะประสูติ)

พระโพธิสัตว์จะทรงเลือกประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจดี มีประชากรหนาแน่น มีนักปราชญ์ เจ้าสำนัก เป็นที่รวมของการศึกษาและศิลปวิทยามากมาย มีผู้มีคุณธรรมมากมาย จะสามารถเผยแพร่ธรรมให้รุ่งเรือง มีคนรู้มากได้

4. ตระกูล (ตระกูลที่จะประสูติ)

พระโพธิสัตว์ทรงเลือกได้ระหว่าง ตระกูลกษัตริย์ กับ ตระกูลพราหมณ์ ว่าในช่วงเวลานั้นตระกูลใดเจริญมากกว่ากัน ได้รับการยอมรับมากกว่ากัน ใน ๔ อสงไขยแสนมหากัปล่าสุดนี้ มีพระพุทธเจ้าจากตระกูลกษัตริย์มากกว่า แต่ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้าจากตระกูลพราหมณ์มากกว่า (พระกกุสันธะ พระโกนาคมณ์ พระกัสสปะ และพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า) มีเพียงพระโคตมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่มาจากตระกูลกษัตริย์

พระโพธิสัตว์ผู้ได้มาจุติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ทรงเลือกตระกูลศากยโคตมวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์นคร เพราะได้รับความนับถือมาก และบริสุทธิ์มา ๗ รุ่นแล้ว ถ้าไม่บริสุทธิ์แล้วจุติลงมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็ยากที่จะได้รับการนับถือ สาเหตุที่เลือกตระกูลกษัตริย์เพราะในช่วงเวลานั้นมีการแบ่งชนชั้นวรรณะกัน และวรรณะกษัตริย์เป็นวรรณะที่มีคนนับถือมากที่สุด จึงทรงเลือกวรรณะกษัตริย์

5. มารดา (มารดาผู้ให้กำเนิดและกำหนดอายุของพระมารดาหลังประสูติ)

พระโพธิสัตว์จะทรงเลือกหญิงจากตระกูลกษัตริย์หรือพราหมณ์ที่รักษาศีล รักษาธรรมได้ดีที่สุด บริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ ไม่ดื่มสุรา ไม่หลงในอบายมุข ไม่โลเลในบุรุษ และทรงกำหนดอายุของพระมารดาว่ามีประมาณเท่าใด เพราะพระครรภ์ที่ประทับแห่งพระโพธิสัตว์ผู้จะได้เสด็จอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เปรียบประดุจพระคันธกุฎีแห่งพระบรมศาสดา ไม่สมควรแก่ผู้อื่น

พระบรมโพธิสัตว์ทรงเลือกพระมารดาที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนมลทินโทษ มิฉะนั้นจะยากแก่การเผยแผ่ศาสนา เพราะจะถูกโจมตีว่ามารดาของพระศาสดาไม่บริสุทธิ์ พระนางสิริมหามายาได้อธิษฐานเป็นพระพุทธมารดามาแต่อดีตกาล เมื่อประสูติพระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ ๗ วันก็เสด็จทิวงคต ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสถิตในดุสิตเทวโลก ตามประเพณี พระพุทธมารดาไม่ได้เป็นหญิงอย่างเก่า ที่เกิดเป็นหญิงเพราะอธิษฐานขอเป็นมารดาพระพุทธเจ้า

บารมีของพระพุทธเจ้า

ในพระไตรปิฎกจำแนกพระพุทธเจ้าตามวิธีการสร้างบารมี ดังนี้

1. ปัญญาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๔ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัป

2. ศรัทธาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๘ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัป

3. วิริยะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ความเพียรเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๑๖ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัป

พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในคัมภีร์อนาคตวงศ์นั้น ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอนาคตได้ระบุว่าจะมีทั้งสิ้น ๑๐ พระองค์ ดังนี้

· พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ พระอชิตเถระ ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนม์ ๘ หมื่นพรรษา พระกายสูง ๘๐ ศอก

· พระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ อุตมรามราช ตรัสรู้ที่ไม้แก่นจันทน์แดง พระชนม์ ๙ หมื่นพรรษา พระกายสูง ๘๐ ศอก

· พระธรรมราชสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลคือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนม์ ๕ หมื่นพรรษา พระกายสูง ๑๖ ศอก

· พระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ อภิภูเทวราช ตรัสรู้ที่ไม้รังใหญ่ พระชนม์ ๑ แสนพรรษา พระกายสูง ๘๐ ศอก

· พระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ อสุรินทราหู ตรัสรู้ที่ไม้แก่นจันทน์แดง พระชนม์ ๑ หมื่นพรรษา พระกายสูง ๒๐ ศอก

· พระรังสีมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ จังกีพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้ดีปลีใหญ่หรือไม้เลียบ พระชนม์ ๕ พันพรรษา พระกายสูง ๖๐ ศอก

· พระเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ สุภพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้จำปา พระชนม์ ๘ หมื่นพรรษา พระกายสูง ๘๐ ศอก

· พระสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ โตเทยยพราหมณ์ ตรัสรู้ที่ไม้แคฝอย พระชนม์ ๘๐ พรรษา พระกายสูง ๖๐ ศอก

· พระติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ ช้างนาฬาคีรี ตรัสรู้ที่ไม้ไทร พระชนม์ ๘ หมื่นพรรษา พระกายสูง ๘๐ ศอก

· พระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือ ช้างปาลิไลยกะ ตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง พระชนม์ ๑ แสนพรรษา พระกายสูง ๖๐ ศอก

ที่มา

http://www.larnbuddhism.com/puttaprawat/

http://www.onab.go.th/buddhism_buddha.htm

http://th.wikipedia.org/

ภาพประกอบ

http://www.learntripitaka.com/History/Buddhist.html

www.rmutphysics.com/.../index/indexpic54.htm

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๖ - ที่สุดแห่งความเฮง

391674379ว่าไว้ถึงวรยุทธ์ที่สาม บ่อเกิดความเฮงในการทำธุรกิจ ถ้าใครได้เรียนบริหารธุรกิจมา จักพอทราบ ครับว่า ธุรกิจนั้นมี ๔ ประเภท ได้แก่

๑. ธุรกิจ ประเภท High risk, high return เสี่ยงสูง, ผลตอบแทนสูง ได้แก่ ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงมาก มีความเสียงสูงมาก แล้วก็ได้ผลตอบแทนสูงมากเช่นกัน เช่น ธุรกิจการปล่อยสินเชื่อนอกระบบ (ได้ข่าวว่า ขนาดเอาโฉนดไปค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ย ยังร้อยละสองต่อเดือนทีเดียว) ธุรกิจขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจอุปกรณ์ไฮเทค ดาวเทียมสื่อสาร เป็นต้น

๒. ธุรกิจ ประเภท High risk, low return เสี่ยงสูง, ผลตอบแทนต่ำ (มีด้วยเหรอฟระ) ได้แก่ ธุรกิจขายเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ธุรกิจสัมปทานระยะยาว เป็นต้น

๓. ธุรกิจ ประเภท Low risk, high return เสี่ยงต่ำ, ผลตอบแทนสูง เป็นธุรกิจสุดปรารถนาของนักลงทุนเลยเชียวหล่ะ ได้แก่ ธุรกิจประกันภัย สินค้า MLM ขายตรง นายหน้า เป็นต้น

๔. ธุรกิจ ประเภท Low risk, low return เสี่ยงต่ำ, ผลตอบแทนต่ำ แม้ไม่ค่อยน่าสนใจนัก แต่มีไว้ไม่เสียหลาย ครับ เช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ยธนาคาร, ซื้อพันธบัตรรัฐบาล, ขายแรงงาน เป็นต้น

ซึ่งเวลาเรียนหน่ะ มันง่าย ครับ เป็นเรื่องคอมม่อนเซ้นส์ แต่พอจักลงมือทำจริง บางทีก็เสล่อไปเลือกธุรกิจประเภท เสี่ยงสูง ผลตอบแทนต่ำ มาทำ ด้วยความชอบส่วนบุคคล หรือเห็นเขาแห่แหนไปทำตาม ๆ กัน

ยังมีเหลือวิทยายุทธ์สุดเฮงส่งท้าย อีก ๑ กระบวนท่า ครับ ได้แก่

"ผู้มีปัญญา พึงทำเกาะ (ที่พึ่ง) ที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้

ด้วยความหมั่น ด้วยความไม่ประมาท

ด้วยความระวัง และด้วยความฝึก"

ความเฮงกระบวนท่านี้ นักธุรกิจที่ล้มเหลวหลายท่าน มักลืมไป ครับ อะไรคือเกาะ ที่น้ำท่วมไม่ถึง ครับ? ในทางธุรกิจ ก็คือ ทางหนีทีไล่ แผนสำรอง หรือ แผน B ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็กล่าวไว้ ครับ มันคือภูมิคุ้มกัน หรือ กันชน ครับ

กันชนทางเศรษฐกิจ คือ อะไร ครับ ง่าย ๆ เลย ก็คือ เงินเก็บนั่นแล มีเงินแสน มิใช่เอาไปลงทุนทั้งแสน หรือไปกู้เพิ่มมาอีก นั่นเป็นความเสี่ยงสุดเหวี่ยง ยกเว้นว่า เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ท่านมั่นใจสุดลิ่ม ทิ่มประตู

แต่ระวังนะ ครับ พวกมั่นใจสุดลิ่ม บางทีลิ่มก็กลับมาทิ่มประตูหลังตัวเองตายเสียก็เยอะ ทางที่ดี เพลย์เซฟดีกว่า ครับ มีแสนก็ลงสักห้าหมื่น อีกห้าหมื่นเป็นกันชน เป็นเกาะที่น้ำท่วมไม่ถึง เผื่ออะไร ๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาด

ความหมายแท้จริง ของเกาะที่น้ำท่วมไม่ถึง มิได้หมายเพียงแค่กันชนเท่านั้น มันหมายถึงอิสระทางการเงิน หรือ การเกษียณตัวเอง พร้อมกับแผนการเงินที่ท่านจักไม่ต้องกังวลอีกเลยชั่วชีวิต

มีด้วยเรอะ? ไอ้อิสระทางการเงิน หรือการเกษียณตัวเองก่อนกำหนดอย่างว่า ฟังดูเหมือนมีแต่ในทฤษฎี ตำราเรียน หรือในห้องดับจิตของสินค้าเอ็มแอลเอ็ม แทบทุกประเภท

มันเป็นสิ่งที่หาไม่ได้โดยง่ายหน่ะซี ท่านถึงให้ข้อปฏิบัติมาถึง ๔ ข้อ จำไว้เลย อิสระทางการเงิน มิได้มาจากการหาขาเพิ่มเพียง ๒ ขา ให้มาสมัครสมาชิก ไม่ต้องขายสินค้าใด ๆ แบบระบบไบนารี่ หรือการลงทุนซื้อเครื่องสำอางราคาเป็นหมื่น ทั้งที่ชีวิตนี้ ไม่เคยคิดจักซื้อมาใช้ แต่ควักกระเป๋าจ่าย เพียงเพราะคำลวงโลกว่า "นี่คือการลงทุน ที่คุ้มที่สุดในโลก" หรือ "นี่คือการลงทุน เพื่ออิสระทางการเงินอย่างแท้จริง" หรือ "... ดูคนนั้น คนนี้ สิ เขาคือผู้ที่ทำสำเร็จแล้ว ในองค์กรขายสินค้าเอ็มแอลเอ็มของเรา" นั่นมันคำไว้อาลัยให้เหยื่ออันโอชะ ที่กำลังวิ่งเข้ามาชนปังตอต่างหาก

อิสระทางการเงิน มาจาก

๑. ความหมั่น การทำงานอย่างหนัก หรือ ความขยัน

๒. ความไม่ประมาท

๓. ความระแวดระวัง คิดทบทวนอย่างถ้วนถี่ และ

๔. ด้วยการฝึกฝนในการงานนั้น จนชำนิชำนาญ

ท่านไม่เคยบอกสักนิดว่า อิสระทางการเงิน มาจากการทำงานเล็กน้อย ลงทุนนิดหน่อย แล้วก็นอนตีพุง ขึ้นอืดอยู่บ้าน รอให้เงินทำงาน อันนั้นมันปลายทางแล้ว ครับ

ท่านใช้คำว่า "ผู้มีปัญญา" นะ ครับ จึงจักมองเห็นว่า ๔ สิ่งข้างต้น เป็นที่มาของอิสระทางการเงิน หรือเกาะอันน้ำท่วมทับไม่ได้ มหัศจรรย์ไหม ครับ ลายแทงขุมทรัพย์ "ลอร์ดบุดด้า โค้ด" นั้นมีอายุกว่าสองพันห้าร้อยปี แต่ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบัน

ความหมายอีกอย่างของ "เกาะมหาสมบัติ" อันน้ำท่วมไม่ถึง ก็คือ สถานที่อันพ้นโลก พ้นจากทุกข์ของโลก จักเข้าถึงได้ด้วย ๔ สิ่งนี้เหมือนกัน ได้แก่

๑. ความหมั่น ก็คือ ความเพียร ดังบาลีว่า วิริเยนะ ทุกขะวิมัจเจติ คนเราจักล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร

๒. ความไม่ประมาท ก็คือ การมีสติสัมปชัญญะ

๓. ความระวัง ก็คือ อินทรียสังวรศีล หรือ การสำรวมกายวาจาใจ และ

๔. ความฝึก ก็คือ ฝึกฝนอินทรีย์ให้แก่กล้า ฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็ง สามารถเอาชนะกิเลสได้

ถ้าท่านมีหลักปฏิบัติในชีวิต ครบทั้ง ๔ ประการ ปัจจัยทุกอย่างบริบูรณ์ ไม่ว่า ความเฮงทางโลก คือ เป็นอิสระพ้นจากความกังวลเรื่องการเงิน หรือความเฮงทางธรรม พ้นจากโอฆะ ถึงเกาะพระนิพพาน อันน้ำกิเลสท่วมไม่ถึง ก็อยู่แค่เอื้อม ครับ

และการถอดรหัสความเฮงทั้งหมดนี้ คงเป็นไปไม่ได้เลย หากข้าพเจ้า มิได้พบความยุ่งยากในชีวิต อันพาให้ข้าพเจ้า มาพบคัมภีร์ลึกลับเล่มนี้ ถ้าท่านเป็นคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังยุ่งยากสับสน บางทีท่านอาจจะกำลังก้าวมาพบคัมภีร์ลึกลับที่ซ่อนลายแทงอริยทรัพย์เล่มนี้ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าในอดีต ก็เป็นได้ อย่าเพิ่งท้อถอยกับชีวิต ครับ

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยากเหลือเกิน ครับ

จบการถอดรหัส ลอร์ดบุดด้า โค้ด ความเฮงศาสตร์ อย่างสมบูรณ์ ฯ by Dhammasarokikku

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๕ - ความเฮงในปัจจุบัน

391674378มีน้องคนหนึ่งชื่อน้อง ลูกเป็ด มาเม้นท์ให้กำลังใจไว้เสียลอยเหนือพื้นไปฟุตหนึ่ง ขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ครับ สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนมิได้ดีเด่กระไรปานนั้น ครับ เพียงแต่มันเขียนด้วยเลือดเนื้อ และชีวิตของข้าพเจ้าเอง ทุกสิ่งที่เขียนไป มิใช่ว่า สักแต่ว่าเรียน สักแต่ว่าจำเขาเอามาเขียน ตัวหนังสือแต่ละตัว เป็นตัวแทนประสบการณ์ชีวิตที่ได้มาจากการทดลองด้วยตนเอง สมัยก่อนไม่เคยเชื่อ ครับว่า ศีลเป็นปัจจัยของความสุข มีทฤษฎีเป็นของตนเอง ท่านกิเลสเป็นผู้ตั้งทฤษฎีให้ แอบนอกใจแฟนไม่ผิดหรอก ก็ไม่ได้ปิดบัง และก็พอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย กินเหล้า ไม่ผิดหรอก ไม่ได้ไปต่อยกับใคร ไม่ได้ไปขอเงินใครมาซื้อ แต่ทฤษฎีกิเลสนี้ มันไปไม่รอด ครับ ชีวิตรุ่มร้อนขึ้นทุกวันโดยไม่รู้ตัว จนดูเหมือนไม่มีทางออก ที่สุดได้มาพบคัมภีร์ลึกลับเล่มนี้ ชีวิตข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไปอย่างมากมาย สงบเย็น สุขอย่างเหลือเชื่อ จึงขออุทิศชีวิต เลือดเนื้อ และประสบการณ์ ไว้เป็นธรรมทาน บูชาเจ้าของคัมภีร์เล่มนี้ ผ่านตัวหนังสือทั้งหลาย ที่พิสูจน์แล้วจากชีวิตจริง เพื่อให้ท่านทั้งหลายที่ได้อ่าน จักได้ไม่ต้องมาประสบวิบากกรรม ทนทรมานเช่นข้าพเจ้า

ตอนที่แล้วแค่ข้ามขั้นไปนิดส์นึง โผล่ไปพบอภิมหามหึมาอริยทรัพย์เลย บางคนรับไม่ได้ค่ะ มีทัศนคติว่า อริยทรัพย์มันรวยเกินไป โธ่หลวงพี่ ข้าวจะกรอกหม้อ ยังจะไม่มีเลย ให้ไปปฏิบัติธรรม ใครจักมีกระใจไปปฏิบัติเล่า อริยทรัพย์มันกินบ่ได้

ความจริง จนรวย ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ ครับ คนจนก็ปฏิบัติได้ คนรวยก็ปฏิบัติได้ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น ที่ใช้งานได้จริง ต้องหลอมรวมเข้ากับชีวิตประจำวัน ฉะนั้นความจนความรวย จึงไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ในเมื่อเขาอ้างเช่นนั้น เอ้า... เรามาพิจารณาลายแทงขุมทรัพย์หาโลกียทรัพย์กันต่อไป

ขุมทรัพย์ขุมถัดไป อยู่ในพระพุทธพจน์ตอนท้ายเรื่องว่า

"ผู้มีปรีชาเห็นประจักษ์ ย่อมตั้งตนด้วยทุนทรัพย์แม้น้อย

เหมือนคนก่อไฟกองน้อยให้ลุกเป็นกองใหญ่ได้ฉะนั้น"

เป็นไงเล่า... ใครว่าพระพุทธเจ้าสอนแต่ธรรมะเพื่อการหลุดพ้น ธรรมะเพื่อการเป็นเจ้าของกิจการก็มีอยู่ ครับ ความข้างต้นถอดรหัสแล้ว ได้ความว่า ผู้มีปัญญา ย่อมมองธุรกิจออก แม้ลงทุนด้วยทรัพย์อันน้อยนิด ความเฮงในปัจจุบัน ก็คือ ความเป็นผู้มีปัญญานั่นเอง ดังนั้นผู้ที่มองธุรกิจออก โอ้เขาสำเร็จอย่างนี้อย่างนั้น เพราะเขามีทุนทรัพย์มาก เขาจึงทำได้ ก็เป็นคนมีปัญญาเหมือนกัน ครับ แต่มีน้อยไปนิดส์นึง

ผู้มีปัญญา จักแอบซุ่มตัวอยู่เงียบ ๆ ครับ คอยสังเกตการณ์ หาจังหวะที่เหมาะสม ในการเริ่มทำธุรกิจ บางคนเห็นช้างขี้จะขี้ตามช้าง ครับ เห็นเจ้านายทำกิจการใหญ่โต ไม่เห็นใช้ความสามารถกระไร วัน ๆ นั่งกระดิกนิ้วเท้าอยู่ในห้องหรู ใช้ลูกน้องทำงาน แล้วก็ประชุมทั้งวัน เราก็คงทำได้กระมัง ว่าแล้วเก็บตังค์ได้ก้อนหนึ่ง เก็บข้อมูลลูกค้าได้จำนวนหนึ่ง ก็ลาออก ไปตั้งบริษัทของตัวเอง แล้วบอกว่า นี่ละ การเป็นเจ้าของกิจการ นี่ละ เจ้าของ SMEs พุทโธ๋ว์.... เห็นเจ๊งมานักต่อนักแล้ว

โอกาสแบบทั่ว ๆ ไปหน่ะ มีอยู่ดาษดื่น ครับ แต่โอกาสประเภท "ตั้งตัวได้แม้ทุนทรัพย์เพียงน้อยนิด" นั่นมิได้หาได้ง่าย ๆ เลย ผู้มีปัญญาเท่านั้น ถึงจะพบ ท่านต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้านทีเดียว มิใช่ว่า เห็นเขาทำกันได้ สำเร็จด้วย แต่ใช้ทรัพย์มหาศาล แล้วก็ไปทำตามเขา

ท่านเปรียบไว้เหมือนก่อกองไฟกองน้อย ให้ลุกเป็นกองใหญ่ได้ ก็หมายถึงธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง หรือเรียกว่า เงินต่อเงิน ทางบริหารธุรกิจนี่เขาเรียกว่า low risk, high return หรือธุรกิจประเภทเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง

พาให้ข้าพเจ้าคิดไปถึงธุรกิจแบบ MLM แม้ว่า ธุรกิจประเภทนี้จักเอาเปรียบลูกข่ายไปนิดก็เถอะ อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับในความเซียน ก็คือ "ต้นสาย" และคนที่ริเริ่มระบบนี้ ครับ เขาเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย แต่ขยายตัวได้ไม่สิ้นสุด ช่วงหลัง ๆ มาก็ขยายตัวได้อย่างรวดเร็วเสียด้วย สำหรับ "ต้นสาย" หรือ คนริเริ่ม นั้น ตรงกับคำจำกัดความของผู้มีปัญญา ที่ท่านว่าไว้ทีเดียว เราก็สามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับเหล่าต้นสาย เหล่าผู้ริเริ่มเหล่านั้นได้ ครับ มีตัวอย่างแล้วนี่ ก็แค่ทำตัวเป็นคนช่างสังเกต และนิ่ง รอจังหวะที่เหมาะสม

โดยสรุปจากการไขลายแทงขุมทรัพย์ วิทยายุทธ์ที่สาม คือ ผู้มีปัญญาต้องสามารถเห็นโอกาสทางธุรกิจ ที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินมาก และธุรกิจนั้นสามารถขยายตัวได้มาก ในนิทานตัวอย่างที่ยกขึ้นมา อาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นคนมองธุรกิจขาด ครับ แล้วจึงผูกมนต์หัวใจของการทำธุรกิจ ให้มาณพน้อยไปทำ หากเราไม่สามารถหาครูบาอาจารย์ที่เก่งกาจขนาดนั้นได้ ก็ต้องค้นหาโอกาสนั้น ด้วยตนเอง ครับ

ประโยชน์จากวิทยายุทธ์กระบวนท่าที่สาม คือ ช่วยให้ท่านสกรีน หรือคัดกรอง พวกธุรกิจทำเงิน ความเสี่ยงต่ำ ออกจากธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ใช้เงินลงทุนมาก เช่นสมมุติว่า มีคนมาชวนท่านไปขายสินค้า MLM ให้ไปฟังสัมมนาสวยหรู แต่พอถึงขั้นที่จักต้องลงทุน (รับรองได้ ครับว่า เจอแน่ ๆ มีตั้งแต่ไม่กี่พันบาท ไปจนถึงเรือนหมื่น) ท่านจงคิดถึงวรยุทธ์อันล้ำเลิศนี้ ครับ โอกาสทางธุรกิจที่แท้จริง ต้องไม่ใช้เงินมากมายขนาดนี้ ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าสตางค์เดินจากห้องสัมมนา หรือห้องดับจิต กับดักความโลภออกมาอย่างสง่าผ่าเผย

ตอนหน้าก็จักพาท่านไปพบวิทยายุทธ์ที่สี่ สุดยอดไม้ตายแห่งความเฮงสะท้านบู๊ลิ้มต่อไป วันนี้ขอลาไปก่อน ขอความเฮงจงสถิตย์อยู่กับท่านผู้ติดตามบล็อกธรรมะลุ่ม ๆ ดอน ๆ นี้ ทุกกาล ทุกเมื่อ เทอญ ฯ

จบตอน ๕

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๔ - มาเป็นคนเฮงกัน

t-395738821มาสวมวิญญาณศาตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน ไขความลับปริศนาลายแทงขุมทรัพย์ ลอร์ดบุดด้า กันต่อไป ครับ ตอนที่แล้ว ว่ามาถึงการตามหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ของแต่ละคน แล้วให้การอุปัฏฐากท่าน ประหนึ่งท่านเป็นกุญแจสำคัญ สำหรับไขความลับปริศนาลายแทง อาจจะมีคนไม่เห็นด้วย เนื่องเพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งเหตุผล ความร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์ มันไปเกี่ยวกับการอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ได้อย่างไร เรื่องนี้ขอแปะไว้ก่อน ครับ จักอธิบายเหตุและผลต่อไปในกาลข้างหน้า

เพลานี้มาเจาะลึก ความเฮงสาดดดด ขั้นต่อไปก่อน สมมุติว่า ท่านเชื่อสิ่งข้าพเจ้าสาธยายมาทั้งหมด แต่พระเจ้าจอร์จ จะไปหาพระอรหันต์ที่ไหนมาเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ส่วนตั๊วส่วนตัวกันละ ครับ นี่เลยยุคมิลเลนเนี่ยมไปแปดปีแล้ว พระอรหันต์จักยังมีตัวตนอยู่หรือ? ปกติแค่วัดยังไม่ค่อยได้เหยียบเข้าไปเลย จักไปเจอพระอรหันต์ตัวเป็น ๆ ได้อย่างไร? หรือแม้เดินเข้าออกวัดแทบทุกวัน แต่ไม่รู้จริยาพระอรหันต์ จักไปรู้ได้อย่างไร ครับว่า รูปนี้รูปนั้นเป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้พระอรหันต์เถื่อน ๆ เต็มเมือง ภาวนาวูบ ๆ วาบ ๆ ลืมเนื้อลืมตัวไป เจออาการประหลาด ๆ ทางกาย ก็คิดว่า ตนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ประกาศตนกันเสียโจ่งครึ่ม ทั้งที่กิเลสยังท่วมใจ มีให้เห็นเกลื่อนกลาด จักแยกอรหันต์แท้ ออกจากอรหันต์เทียมได้อย่างไร ครับ

คำว่า "อรหันต์" หรือ "อรหัง" แปลว่า ผู้ห่างไกลจากกิเลส ครับ เท่าที่เจอมา เห็นมีแต่ ผู้แน่นแฟ้นกับกิเลส และกิเลสมันเกิดในใจ จะไปนั่งรู้ใจท่านได้อย่างไรว่า หมดกิเลสแล้วหรือยัง ใครจะไปโชคดีแบบมาณพน้อย

อันนี้นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า "ความเฮง" บางคนทราบความที่ข้าพเจ้าสาธยายไป มาตั้งแต่ไก่โห่ ออกเที่ยวเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เจอแต่พระกังหัน พระหมูหัน พระหันซ้ายหันขวา หลอกให้เสียเงินเสียทอง เสียความรู้สึก หมดศรัทธาไปก็มาก ทว่าบางคนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกระไรเลย ไม่ได้ศึกษากระไรเท่าไหร่ด้วย บ้านดันอยู่ข้างวัดที่มีพระอรหันต์ ครับ เผอิญได้ใส่บาตรท่านทุกวัน และไม่รู้เสียด้วยว่า พระที่ใส่บาตรทุกวัน เป็นพระอรหันต์ เจตนาการทำบุญก็บริสุทธิ์ ยิ่งพระท่านมีเมตตา เข้าผลสมาบัติ หรือนิโรธสมาบัติ (สมาธิขั้นลึกแบบหนึ่ง ผู้ทำบุญกับท่านจักได้อานิสงส์มาก) มาก่อนออกบิณฑบาต ก็มีอันได้ร่ำรวยทันตาเห็น

แต่ก็อย่างที่เกริ่นไปแล้ว "ความเฮง" "ความฟลุ๊ค" "ความบังเอิญ" ไม่มีในศาสนาพุทธ ครับ ความเฮงในศาสนาพุทธนี่เขาเรียกว่า ปุพเพกตปุญญตา ครับ ความเป็นผู้ทำบุญไว้ดีแล้ว ในกาลก่อน หนึ่งในมงคล ๓๘ ซึ่งจักได้เรียนกันตอนเปรียญธรรม ๔ ประโยค ก็หมายถึงว่า การที่เผอิญได้ใส่บาตร ได้อุปัฏฐากพระอรหันต์ เป็นเพราะบุญที่ได้ทำมาแล้วในอดีตชาติ ครับ (บุญต่อบุญ)

พิเคราะห์ให้ชัดลงไปอีก การที่มาณพน้อย ได้มาพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจาก "กฏแห่งกรรม" ซึ่งก็หมายถึง ทั้งสองอาจเคยร่วมบุญกันมาก่อนแต่ในอดีตชาติ

ม่าย ๆ ๆ มันไม่น่าเชื่อใช่ไหม ครับ ก็เป็นเพราะข้าพเจ้า และท่านทั้งหลาย ไม่อาจมีญาณวิเศษหยั่งรู้อดีตหน่ะซี เรื่องราวจึงดูไม่น่าเชื่อ เกิดท่านได้ญาณวิเศษหยั่งรู้อดีตมา เชื่อขนมกินได้เลยว่า ท่านจักต้องพบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพิเคราะห์มาจริงแท้แน่นอน

เอาละ ถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าถอดรหัสออกมา จักเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายมันก็คือกรรมเก่า ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และจะมาเขียนวิเคราะห์ทำพระแสงกระไร ในเมื่อมันไม่เห็นมีประโยชน์ มันก็เหมือนกับพูดว่า ที่เจ้าสัวเขารวย หรือเฮง ก็เป็นเพราะกรรมเก่าเขาทำมาดี

ประโยชน์ของบทความนี้ จักเกิดต่อเมื่อท่านเริ่มต้นทำกรรมปัจจุบัน ครับ ในเมื่อท่านทราบแล้วว่า "ความเฮง" มีกลไกการทำงานอย่างไร ท่านก็มาสร้างความเฮงด้วยตัวท่านเองแต่บัดนี้ซี ซึ่งก็คือการเริ่มทำบุญกับพระอรหันต์แต่ชาตินี้ บางทีชาติหน้าก็อาจได้ผลลัพท์ที่คาดไม่ถึง และบางทีก็ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า เห็นผลในปัจจุบันเลย

ปัญหา คือ หาพระอรหันต์ไม่เจอ ครับ เพราะปุพเพกตปุญญตา ไม่เคยทำบุญกับท่านมาในปางก่อน ชาตินี้จึงไม่มีโอกาสเจอพระอรหันต์ ไม่ยาก ครับ ขอแนะนำนวตกรรมล่าสุด "เนื้อนาบุญกึ่งสำเร็จรูป"

มาณพน้อยได้อุปัฏฐากอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ซึ่งเป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้า สมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระโพธิญาณเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ยังได้รับอานิสงส์มากขนาดนี้ เราเองความรู้มากกว่ามาณพน้อยเยอะ ครับ แถมเกิดในยุคสมัยที่มหาบุรุษอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะไปมัวแช่แฟ๊บควานหาพระอรหันต์อยู่ให้โง่ทำไม ไปอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ากันเลย ครับ เขียนไปแล้วในเอ็นทรี่ใกล้สอบแร้ววว... ไปอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ากัน

เนื้อความโดยย่อ คือ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยตรัสไว้ ครับว่า หากภิกษุใดต้องการอุปัฏฐากตถาคต จงอุปัฏฐากภิกษุอาพาธเถิด น่าน... ง่ายขึ้นเยอะไหมเล่า คิดว่า ภิกษุอาพาธ หรือภิกษุป่วย หรือ "เนื้อนาบุญกึ่งสำเร็จรูป" ของเรา คงหาได้ไม่ยากกระมัง แถวบ้านก็น่าจะมี หรือถ้าหายากนัก ลองไปหาแถว ๆ รพ.สงฆ์ น่าจะพอหาได้

เอ้า... วิเคราะห์เจาะลึกลายแทงขุมทรัพย์กันให้ขนาดนี้แล้ว ยังทำไม่ได้อีก ความเพียรน้อยขนาดนี้ คงรวยยากละ ครับ แต่เอาละ ยังมีวิธีง่ายกว่านั้นอีก ครับ สำหรับผู้ที่มีอุปสรรคในการออกไปหาพระนอกบ้าน เรียกว่า "เนื้อนาบุญดิลิเวอรี่"

หาพระอรหันต์จะอุปัฏฐากท่านไม่เจอ หาภิกษุอาพาธก็ยังไม่ได้ ก็ทำบุญตรงกับพระผู้มีพระภาคเจ้าไปเลย ครับ พระองค์อยู่กับเราเสมอทุกที่ทุกเวลานั่นแล

วิธีทำบุญกับสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา พระองค์ตรัสไว้เมื่อก่อนปรินิพพานว่า ท่านไม่นิยมอามิสบูชา หรือ การบูชาท่านด้วยสิ่งของ ครับ ท่านนิยม "ปฏิบัติบูชา" หรือ บูชาพระองค์ด้วยการ "ปฏิบัติธรรม" ครับ การปฏิบัติธรรม ทำที่ไหนก็ได้ ครับ ไม่จำเป็นต้องไปที่วัด จะสวดมนต์ ทำวัตรเช้าเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ รู้ลมหายใจ เจริญสติ ภาวนา ทำที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทำงานก็ได้ทั้งสิ้น แค่ระลึกถึงพระองค์ แล้วตั้งใจมั่นว่า จักปฏิบัติบูชาพระองค์ นี่ละ "เนื้อนาบุญดิลิเวอรี่" มีบุญมาให้ทำถึงที่ ง่ายขนาดนี้ยังไม่คิดเป็นคนเฮง ๆ กันอีกหรือ?

ขยันทำเข้า แม้ท่านมิได้รวยโลกียทรัพย์ในชาตินี้ ท่านก็จะรวยอริยทรัพย์ทันทีที่เริ่มปฏิบัติแน่นอน ครับ

จบตอน ๔

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๓ - ความเฮงศาสตร์

t-395738802มาถอดรหัส(ไม่)ลับ ลอร์ดบุดด้า โค้ดกันต่อไป ครับ ตอนที่แล้วว่ากันมาถึงตอนที่พระจูฬปันถก พิสูจน์ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ด้วยการเนรมิตร่างตนขึ้นเป็นพันร่าง เมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ถวายภัตต์แล้ว ยังได้อนุโมทนาด้วยความในพระไตรปิฎกอย่างคล่องแคล่ว ราวกับผู้เชี่ยวชาญ สร้างความอึงหมี่ให้หมู่พระภิกษุอย่างล้นหลาม นี่หรือ? คือพระที่เมื่อเช้า ท่องคาถาบทเดียวสี่เดือนไม่ได้

ตกเย็นพระภิกษุก็จับเข่าคุยกัน ถึงความเป็นธรรมราชา ขององค์สมเ้ด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาปันถก สั่งสอน พระน้องชาย ๔ เดือน ไม่เห็นผล พระองค์ประทานความเป็นอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทา และทรงพระไตรปิฎก แก่พระจูฬปันถก สำเร็จแค่เพียงชั่วมื้ออาหาร น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงทราบความแล้วด้วยทิพพโสต จึงเสด็จไปในที่ชุมนุมสงฆ์ ตรัสถามตามแบบประเพณี แล้วจึงว่า พระจูฬปันถกมิได้โง่แต่ในชาตินี้ แม้ในกาลก่อนก็เคยโง่ และพระองค์ก็เคยช่วยเธอให้ร่ำรวยโลกียทรัพย์มาแล้ว มาบัดนี้จึงได้ช่วยเธอให้ถึงโลกุตตรทรัพย์ ดังนี้

เฮง เฮ่ง เฮ้งบ่อกี้ มาแว้ว

อารัมภะไปเสียสองตอนยาว ๆ มาแล้วครับ รหัสลับ ความเฮงศาสตร์ อ่านเนื้อความบุพกรรมของพระจูฬปันถกให้ดีเถิด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (คราวนี้นานจริง ๆ) มีหนุ่มน้อยชาวนครพาราณสี ไปเรียนศิลปวิทยาการ ณ เมืองตักกสิลา (สมัยก่อนคงเหมือนไปเรียนที่ยุโรป) ไปขอเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อเรียนศิลปะ ในเหล่ามาณพ ๕๐๐ ไม่มีใครจักช่วยเหลือการงานทุกอย่าง แม้กระทั่งนวดเท้า ได้เกินศิษย์ผู้นี้ อาจารย์เอ็นดูเขาอย่างมาก จึงให้การศึกษาแก่เขาเป็นพิเศษ แต่ด้วยความ dumb and dumber โง่ไม่มีที่ติ สอนอย่างไรก็สอนไม่สำเร็จ เธอจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

พยายามอยู่นานจนสิ้นหนทาง แม้คาถาเดียวก็จำไม่ได้ จึงขออำลาผู้อาจารย์ โอ๊ะ... ศิษย์รักจักลากลับบ้านไปมือเปล่า แม้เราก็ปรารถนาให้เธอเป็นบัณฑิต ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จำเราต้องแทนความดีของศิษย์ ด้วยการผูกมนต์ให้เขาสักบทหนึ่ง ว่าแล้วก็ชวนศิษย์เข้าป่า เล็งดูฤกษ์ยามนักษัตรแล้ว ผูกมนต์นี้ว่า "ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ?, อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ" (แปลว่า เจ้าพยายามไปเถิด พยายามไปเถิด, เจ้าพยายามเพื่ออะไร? เรารู้ เรารู้ความพยายามของเจ้า) ให้เขาทบทวนอยู่กลับไปกลับมาหลายร้อยครั้งจนจำได้ขึ้นใจ ให้เสบียงแล้วสั่งว่า "เธอ จงไป, อาศัยมนต์นี้เลี้ยงชีพเถิด, เธอจงท่องจำไว้เนือง ๆ อย่าให้ลืมเทียว"

ครั้นกลับถึงกรุงพาราณสี หม่ามี๊ก็จัดฉลองใหญ่ ลูกชายจบศิลปะจากนอก เจ้าข้าเอ้ย...

ฝ่ายพระเจ้าพาราณสี ก็ประสากษัตริย์ที่เอาใจใส่ประชาชนของตนทั่วไป ใคร่อยากรู้ว่า ประชาชนจักเห็นดีเห็นงามกับการปกครองบ้านเมืองของพระองค์ สมัยก่อนมิได้มีอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ไปทั่วทุกหัวระแหงเช่นปัจจุบัน อยากทราบว่า ชาวบ้านมีความคิดเห็นอย่างไร ส่งสปายออกไปสืบ คงได้แต่ข่าวโคมลอย ประจบประแจงกลับมา จึงต้องแอบเสด็จแบบลับ ๆ ด้วยพระองค์เอง

เวลานั้นมีพวกโจร หากินทางขุดอุโมงค์ (ขอมดำดินอะป่าวฟระ) กำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดอุโมงค์เพื่อเข้าไปโผล่ภายในบ้าน (เดี๋ยวนี้เขาแอ๊ดวานซ์กว่า เข้าทางหลังคาบ้านกันแล้วจ้ะเทอ) จักได้กวาดทรัพย์ของเหยื่อให้สิ้นเนื้อประดาตัว พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงแอบซุ่มดูอยู่ในเงาเรือน

พอเหล่าขุนโจรดำดินขุดทะลุเข้าไปในบ้านได้ กำลังตรวจดูทรัพย์สินอยู่ พอยอดชายมาณพน้อยงัวเงียตื่นขึ้น ด้วยความที่กลัวจะลืมมนต์ที่อาจารย์กำชับมา ก็กึ่งท่อง กึ่งละเมอ อย่างสะลืมสะลือ "ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ? อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ" เสียงดังลั่นบ้าน

กระเจิงสิ ครับ อุส่าห์ย่องเบามาเงียบ ๆ จู่ ๆ ก็มีคนลุกขึ้นมา ตะโกนว่า "... เรารู้นะ ตะเองคิดอะไรอยู่ พยายามทำอะไรอยู่ เรารู้นะ กุปิ๊ กุปิ๊"

ได้ยินดังนั้น เหล่าโจรก็ตกใจใส่เกียร์หมา วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิต แม้ผ้าผ่อนก็ลืมเสียสิ้น เกรงเจ้านี่จะจำหน้าได้ จักพากันชิ๊กหายยกแก๊งค์

พระราชาเห็นความเป็นไปแล้ว ก็อึ้งทึ่งเสียว ในความเก่งกาจของหนุ่มน้อย รีบเสด็จกลับวัง สืบสาวว่า มาณพน้อยผู้นี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร มีวิทยายุทธ์กระไรดี จึงสามารถขับไล่เหล่าโจรไปได้ด้วยตัวผู้เดียว แถมเหล่าโจรยังหนีไปไม่คิดชีวิตอีกต่างหาก ได้ความว่า เป็นเด็กเพิ่งจบนอกกลับมา ชะช้า... เห็นทีต้องขอเรียนมนต์จากนอกเสียหน่อย เพลาเช้า ให้มหาดเล็ก ไปเรียกชายหนุ่มมาณพน้อยดีกรีนอก(เขตเทศบาล) มาเข้าเฝ้า

"เธอคือมาณพน้อยที่เพิ่งเรียนจบศิลปศาสตร์บัณฑิตใหม่จากตักกสิลาที่เขาร่ำลือกันหรือ?" พระราชาตรัสถาม

"พระเจ้าข้า พระอาญามิพ้นเกล้า" มาณพน้อยทูลตอบ

"เธอจักสอนศิลปะให้ฉันบ้างได้หรือ" พระราชาใคร่อยากรู้วิทยายุทธ์จากตักกสิลาเป็นนักหนา

"ย่อมได้ พระเจ้าข้า ขอพระองค์ประทับบนอาสนะที่เสมอกันแล้วเรียนเถิด"

พระราชาทรงทำตามคำขอ แล้วเรียนมนต์จากมาณพน้อย สำเร็จแล้ว ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่เขา ดำรัสว่า "นี่ เป็นส่วนบูชาอาจารย์ของท่าน" (พันหนึ่งสมัยก่อน ถือว่า มากพอสมควร)

ในกาลต่อมา เสนาบดีคบคิดกับนายภูษามาลาของพระเจ้าแผ่นดิน หรือ ช่างตัดผมนั่นแล ให้ทรัพย์แก่เขาพันหนึ่งแล้วว่า ให้ทำทีเป็นจะแต่งพระมัสสุ หรือโกนหนวด ของในหลวง แล้วสบัดมีดโกนให้คมกริบ ตัดก้านพระศอ หรือตัดคอพระเจ้าอยู่หัวเสีย เจ้าจักได้เป็นเสนาบดี ส่วนข้าจักได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน (สมัยก่อนเขาเป็นในหลวงกันง่ายจังฮิ) นายภูษามาลาคิดถึงหนี้ธกส. หนี้บัตรเครดิตเทสโก้โลตัส และหนี้เพอร์ซันนัลโลนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาจ่าย จึงรับคำอย่างง่ายดาย

พอถึงวันแต่งพระมัสสุถวายในหลวง เอาน้ำหอมสระสรงพระมัสสุจนเปียกชุ่ม สบัดมีดโกน จับที่ชายพระนลาฏ(หน้าผาก) คิดในใจว่า มีดอาจไม่คมพอ เราควรตัดก้านพระศอโดยฉับเดียวเท่านั้น กลืนน้ำลายที่เหนียวหนับด้วยความตื่นเต้น แล้วยื่นมือออกสบัดมีดโกนอีก

พระราชามิได้ทันระวังตัว กำลังนอนคิดอะไรเพลิน ๆ นึกเห่อมนต์ที่เพิ่งได้เรียนมาใหม่ ก็รำพึงถึงมนต์ใหม่ว่า "ฆะเฎสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ? อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ"

เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่หน้านายภูษามาลา เม็ดแล้วเม็ดเล่า ตัวสั่นเทากริ่งเกรงในพระราชอาชญา คิดในใจว่า "ในหลวงทราบความเสียแล้ว" จึงโยนมีดโกนทิ้ง แล้วหมอบกราบแทบพระบาท

พระราชาผู้ฉลาด สังเกตเห็นอากัปกิริยาแปลก ๆ ของนายภูษามาลา คิดว่า เรื่องนี้คงมีเบื้องหลัง จึงตวาดด้วยเสียงอันดัง "เฮ้ย... เจ้าภูษามาลาใจร้าย เอ็งคิดว่า ข้าไม่รู้รึ?"

นายภูษามาลาคิดว่า ชีวิตคงดับดิ้นโดนประหารในครานี้เป็นแน่แท้ ทำอะไรไม่ถูก ครางเสียงอ่อยว่า "พระอาชญามิพ้นเกล้า ข้าน้อยผิดไปแล้ว ๆ ขอพระองค์โปรดพระราชทานอภัยแก่ข้าพระองค์เถิด พระเ้จ้าข้า"

พระราชาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ตรัสต่อด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา "ช่างเถอะ อย่ากลัวเลย บอกมาเถิด ข้าจักให้อภัย" (เจอค่ายกลในหลวงเข้าให้แล้ว)

นายภูษามาลาก็สารภาพจนหมดเปลือก พระราชาทรงดำริว่า เกือบได้เป็นผีหัวขาดแล้วตรู นี่เราได้ชีวิตก็อาศัยอาจารย์แท้ ๆ สั่งให้หาเสนาบดีมาเข้าเฝ้า ตรัสสั่งเนรเทศเธอออกจากพระนคร (โทษเบานะเนี่ย เป็นสามก๊กได้หัวขาดไปเฝ้าพระยายมแล้ว) แล้วรับสั่งให้มาณพผู้อาจารย์มาเข้าเฝ้า ตรัสว่า "ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ชีวิตเพราะอาศัยท่าน" ดังนี้แล้ว ทำสักการะใหญ่ ตั้งเธอไว้ในตำแหน่งเสนาบดี มาณพในครั้งนั้น ได้เป็นจูฬปันถก, พระศาสดาเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์

จบอดีตนิทานแล้ว พระศาสดาตรัสคาถาว่า

"ผู้มีปรีชาเห็นประจักษ์ ย่อมตั้งตนด้วยทุนทรัพย์แม้น้อย

เหมือนคนก่อไฟกองน้อยให้ลุกเป็นกองใหญ่ได้ฉะนั้น"

ต่อมาอีกวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายสนทนากันอยู่ในธรรมสภาว่า "ผู้มีอายุ พระจูฬปันถก แม้ไม่สามารถจะเรียนคาถา ๔ บทใน ๔ เดือนได้ ก็ไม่ละความเพียร ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้"

พระศาสดาเล็งเห็นประโยชน์แก่การแสดงธรรม จึงเสด็จมาท่ามกลางหมู่สงฆ์ ตรัสถามตามธรรมเนียม แล้วตรัสคาถาว่า

"ผู้มีปัญญา พึงทำเกาะ (ที่พึ่ง) ที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้

ด้วยความหมั่น ด้วยความไม่ประมาท

ด้วยความระวัง และด้วยความฝึก"

ได้อะไรบ้างจากอดีตนิทานของพระจูฬปันถก ครับ อ่านแล้วรู้สึกว่า มาณพน้อย "เฮง" เหลือหลาย ใช่หรือไม่ รู้คาถาสั้น ๆ แค่คาถาเดียว สามารถได้เป็นถึงเสนาบดี สมัยเรานี้เรียนกันหัวแทบแตก แค่จะเป็นมนุษย์เงินเดือนให้พอกินพอใช้ ยังยากเย็นเข็ญใจ

อะ... มาถอดรหัส "ความเฮงศาสตร์" กัน ครับ

พิจารณาดูให้ดี ความเฮงสาดดดด ของมาณพน้อยอยู่ที่ไหนกันแน่ ลองถอยกันไปอีกนิด ความเฮง อาจจะไม่ได้มาจากมาณพน้อย แต่มาจากการที่อาจารย์ทิศาปาโมกข์ช่างเก่งกาจ ผูกมนต์ได้อารามบอยสก๊อยเกิร์ลมากก็ได้ อะไรกันเล่า ที่มาของความเฮง

เล็งดูจะรู้ว่า "ความเฮง" ไม่มีในศาสนาพุทธ ครับ ความฟลุ๊ค ความบังเอิญ ที่เขาบัญญัติกัน เอาไว้อธิบายเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ด้วยความรู้ของคนปกติเท่านั้น ถ้าเรามีความรู้พิเศษ หรือที่เรียกว่า "ญาณ" เช่น อตีตังสญาณ-หยั่งรู้อดีต ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ-หยั่งรู้อดีตชาติ จะทราบได้ไม่ยาก ครับว่า การที่มาณพน้อย มาพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มิใช่เรื่องบังเอิญ

แต่เอาละ เราทั้งหลายไม่มีญาณอย่างว่านั้น มาพิจารณาถอดรหัสกันด้วยตาเนื้อ ด้วยปัญญาพื้น ๆ ชาวบ้าน ๆ นี่ละ ต้นเหตุความเฮงสาดดดด ของมาณพน้อย มาจากการที่เขาเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ครับ รู้จักการอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์ จนครูบาอาจารย์มีเมตตาชี้ทางทำธุรกิจให้ จากคาถาบทเดียว

ย้อนกลับมาดูตัวเรา ครับ ผู้ที่คิดอยากรวย คิดอยากมีทรัพย์มาก อยากเป็นคนมีอันจะกิน เคยอุปัฏฐากรับใช้ ครูบาอาจารย์บ้างหรือไม่ ถ้าไม่เคย ท่านก็สอบตกวิทยายุทธ์ที่สอง บันไดแห่งความมีทรัพย์มากไปแล้วอย่างน่าเสียดาย ครับ เพราะคนเรามักได้ดีจากการอุปถัมภ์ของครูบาอาจารย์

ตายละ... แล้วเราจักไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนอุปัฏฐากละเนี่ยะ กว่าจะคิดได้ ครูบาอาจารย์สมัย ม.ต้น มัธยมปลาย ก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ไม่เป็นไร ครับ เรายังมีครูบาอาจารย์ที่หาได้ง่ายที่สุด ดีที่สุด เริ่ดที่สุด และเป็นครูบาอาจารย์คนแรกของเรา รออยู่ที่บ้าน ใช่แล้ว ครับ คุณพ่อคุณแม่นั่นเอง ถ้าไม่เคยรับใช้ท่าน ได้แต่ให้ท่านรับใช้เรา ก็เริ่มเสียวันนี้เลย ครับ ยังไม่สาย เอ้า... ความจนเริ่มหายไปหนึ่งกระบิแล้ว

ผู้ที่ยังด่าพ่อล่อแม่ ดูถูกเหยียดหยามครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐเลิศที่สุดในชีวิตเราอยู่ ท่านก็ควรพอใจในชีวิตจน ๆ ของท่านต่อไป เพราะคนที่ดูถูกพ่อแม่ ทำกระไรก็เจริญยาก ครับ ตรงข้ามผู้ที่เอาใจใส่รับใช้ดูแลพ่อแม่ ต่อให้ซวยยังไง ก็ไม่อับจนหนทาง ครับ

ถ้าเรารับใช้แทนคุณป๊าม๊าอย่างดีอยู่แล้วเล่า ทำไมยังไม่เห็นรุ่งโรจน์ มีแต่รุ่งริ่ง อ๊ะ... มีวิทยายุทธ์ขั้นต่อไป ครับ ค้นหา "อาจารย์ทิศาปาโมกข์" ให้เจอ

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่อาจารย์ธรรมดา ๆ หาได้ดาษดื่นทั่วไป ครับ แต่เป็นอาจารย์ที่มีความรู้พิเศษ อย่างในนิทานที่ยกมา ท่านมีความรู้พิเศษด้านดูนักษัตร ครับ ซึ่งความรู้พิเศษในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกินความเป็นพระอรหันต์ ครับ

ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง เขาชอบคุยถึงความร่ำรวยของคุณลุงของเขา ท่านได้เป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่บุดดา ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ครับ ภายหลังได้ทำงานเกี่ยวกับสัมปทานการโทรคมนาคม จนรวยเละเทะ เขาว่า นี่คืออานิสงส์ของการได้อุปัฏฐากพระอรหันต์

ข้าพเจ้าก็สังเกตดู ก็อาจจะมีส่วนจริงอยู่ ครับ ไปเล็งดูพระอรหันต์องค์อื่น ๆ ส่วนใหญ่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ก็มักรวยล้นฟ้ากันทั้งนั้น แต่บางหน่ออุปัฏฐากตั้งแต่หนุ่มจนเฒ่า ก็ยังจนติดดิน แสดงว่า ต้องมีเคล็ดลับ ครับ

เคล็ด(ไม่)ลับในศาสนาพุทธนี้ เหมือนกันหมด ครับ ไม่ว่าทางโลก หรือทางธรรม หากไปอุปัฏฐากพระคุณเจ้าด้วยหวังรวย อย่างไรก็ไม่มีทางรวย ครับ ปฏิบัติธรรมเพราะอยากบรรลุ ก็ไม่บรรลุเช่นกัน เป็นเรื่องน่าแปลก แต่จริง

เอาละ ครับ วันนี้ถอดรหัสกันพอหอมปากหอมคอ ยาวพอควรแล้ว เดี๋ยวตอนหน้า จักถอดรหัสให้ลึก และเข้มข้นยิ่งขึ้น

จบตอน ๓

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๒ - ความเฮงที่สร้างได้

77065_208213809315989_422373200_n

ค้างไว้ถึงคัมภีร์ลึกลับที่ส่งทอดต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น ในคัมภีร์บรรจุวิทยายุทธ์ขั้นสุดยอดของศาสตร์ทุกแขนง ใครได้เข้าถึงคัมภีร์นี้ แม้ต้องการเป็นจอมจักรพรรดิก็ย่อมเป็นได้ และสมมุติฐานของข้าพเจ้าเป็นจริง ครับ มีคัมภีร์มหัศจรรย์นี้อยู่จริง ๆ ส่งต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า วันนี้ข้าพเจ้าจักได้เริ่มสาธยายความในคัมภีร์ ครับ ในนั้นมีเรื่องของ "ความเฮง" เขียนอยู่ด้วย

แม้ข้าพเจ้า มิได้ลองค้นหาพิสูจน์ความจริงด้วยตนเองมาก่อนบ้าง ข้าพเจ้าก็คงมองรหัสไม่ออก และคงไม่คิดว่า ข้อความในคัมภีร์จะเป็นเรื่องจริงเรื่องจัง นำไปใช้กระไรในธุรกิจได้

สมัยที่ยังไม่เป็นมนุษย์ (แปลว่าผู้มีใจสูง) ยังเป็นคน (แปลว่ายุ่ง) วุ่นวายอยู่กับโลก ได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ ครับ ในการทำธุรกิจ ด้วยความที่ "คน" นั้น ไม่มีศีล ไม่มีธรรม แค่ศีล ๕ ข้อ ยังรักษาไม่ได้ ครั้นได้เข้าวัด ปฏิบัติธรรม รักษาศีล ๘ เป็นครั้งคราว ตอนกลับมาเริ่มงานใหม่ ๆ รู้สึกการงานมันคล่องตัวมาก และในส่วนที่ต้องใช้ดวง เช่น ลูกค้าประเภทวอล์คอิน หรือส้มหล่น จะเฟื่องฟูเป็นพิเศษ แต่ครั้นถูกผองเพื่อนลากตัวไปร่ำสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร แม้เพียงชั่วข้ามคืน การงานก็จะติดขัด ปัญหารุมเร้า และ "ความเฮง" ก็เลือนไป

เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครับ จนสามารถตั้งข้อสังเกตได้

แม้สังเกตได้แล้ว ก็ไม่ใคร่เชื่อข้อสังเกตนั้น ครับ บ่อยครั้งที่กิเลสตัณหา พาไปลุ่มหลงอยู่กับแสงสี ยิ่งศีลขาดมากข้อเท่าไหร่ ความหายนะก็รุนแรงเท่านั้น ขั้นสุดท้ายนี้เหลือเพียงข้อเดียว คือ ปาณาติบาต หากหมดข้อนี้ไป คงไม่มีสิ่งใดรักษาให้วันนี้ข้าพเจ้ามานั่งอัพบล็อกธรรมะอยู่ได้ คงจุติไปเรียบร้อยแล้ว

พอได้มาพบคัมภีร์เล่มนั้นในผ้าเหลือง มีเขียนไว้ชัดเจนเลย ครับว่า ศีลเป็นปัจจัยของความสุข ศีลรักษาผู้รักษาศีล เฮ้ย... อะไรมันจะตรงขนาดนั้น ข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อในบัดนั้น ถึงปฐมวรยุทธ์ในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มีศีล ๕ ไว้ก่อน ครับ (ซึ่งข้าพเจ้าสมัยเป็นฆราวาส ไม่เคยทำได้เลย และนี่เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ขาดไป นอกจากสรรพวิทยายุทธ์ทางโลก ทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความเจริญก้าวหน้าในสาขาอาชีพ) ข้าพเจ้าได้พบความจริงว่า ศีล ๕ สามารถป้องกันวิบากกรรม (ผลของการกระทำ) ที่เป็นอกุศล ได้มากในระดับหนึ่งทีเดียว และศีล ๕ นั่นเอง เป็นกุญแจไขประตูหลักสู่อภิมหาขุมทรัพย์ยิ่งกว่า สมบัติอัศวินเทมปลาร์ และศีล ๕ นั่นเอง ที่คนทั่วไปไม่เห็นค่า คิดว่า ไม่มีความสำคัญ

กว่าจะซาบซึ้ง ก็โดนไปซะน่วม ดังนั้นแล้ว ใครที่อยากรวย แต่แค่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ ไม่ต้องมาคุยกันเลย ครับ ไม่มีทางรวยได้ รวยก็รวยแบบไม่มีความสุข มีทรัพย์มากแบบถูกด่าไปทั้งชาติ หาประเทศอยู่ไม่ได้ อย่างนั้นอย่าไปรวยเลย ครับ รวยต้องรวยแบบมือสะอาด ไม่ต้องมีทรัพย์มาก แต่มีความสุข ดีกว่า

มาถึงตรงนี้ คงพอจะเดากันได้แล้วว่า คัมภีร์สุดยอดเล่มนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร

มีปราชญ์เคยว่าไว้ ครับ ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ซ่อนที่ปลอดภัยที่สุด

คัมภีร์ลึกลับเล่มนั้น มีวางขายกลาดเกลื่อนในท้องตลาด ครับ แต่กลับเป็นคัมภีร์ที่ลึกลับ เพราะอะไร ครับ?

ที่ลึก คือ ลึกซึ้ง ครับ ที่ลับ เพราะไม่มีใครอ่าน ครับ แม้คนนับถือศาสนาพุทธเอง จ้างให้บางทียังไม่อ่านเลย ครับ เห็นว่า ศาสตร์อย่างอื่น สำคัญกว่า ทำเงินได้มากกว่า สนุกสนานกว่า แม้ข้าพเจ้าเอง หากมิได้บวชก็คงไม่ได้อ่านเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่า ท่านซ่อนปริศนาลายแทงขุมทรัพย์ไว้ในคัมภีร์โบราณชื่อ พระไตรปิฎก ทั้ง ๔๕ เล่ม ท่านเข้ารหัส (encode) ไว้ด้วยภาษาโบราณ ทำให้ผู้อ่านง่วงนอน เลิกอ่านไปก่อนจักได้พบข้อความสำคัญ และวันนี้ข้าพเจ้าจักนำความบางส่วน มาเผยให้รู้ทั่วกัน

"ความเฮง" ที่สุดของการทำธุรกิจ

ขอยกความในคัมภีร์มาสาธยายให้เห็นภาพสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน ฉากของเรื่องจะถูกบิดเบือน จากการถอดรหัสลับ ลอร์ดบุดด้าโค้ด ไปนิโหน่ยนะ ครับ

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีสาวสวยโฉมสะคราญนางหนึ่ง เกิดในตระกูลธนเศรษฐี สมัยที่ความเอ๊าะ ความสาวแตกมัน ดังเปรี๊ยะ ๆ อย่างกับกะทิคั่ว เธอก็ส่งสายตายั่วยวนใจชายหนุ่มทั้งหลาย ทั่วไปตามท้องถนน แต่ป๊าม๊าของเธอ มีเรด้าร์ตรวจจับปริมาณความแรดของเธอได้ ครับ เลยเอาเธอไปเลี้ยงดูปูเสื่อรักษาไว้ ณ คอนโดระฟ้ากลางเมือง ไม่มีลิฟท์

แต่ความหื่นไม่เข้าใครออกใคร ครับ สุดท้ายเธอก็ฉึ่ง ๆ โป๊ะ กับบริกรหนุ่ม หุ่นนายแบบอาร์มานี่ (ก็ปีนเอาอาหารวิ่งขึ้นไปเสิร์ฟตั้งสูงลิ่ว อาหารก็ไม่ค่อยได้กิน ตามประสาเด็กรับใช้ กล้ามก็ขึ้นเป็นมัดสิ ครับ ล่ำซะขนาดนั้น ใครจะไปอดใจไหว) ครั้นความสยิวกิ๊วคลายตัวลงแล้ว ความรู้ผิดชอบชั่วดี ก็กลับมา ครับ (หน้ามืดไปหน่อย) ชิ๊กหายล่ะสิ ขืนป๊าม๊ารู้ความเข้า เราทั้งคู่คงตายอยู่กลางสวนลอยฟ้า เหมือนเรื่องโรมิโอ กับจูเลียส อย่ากระนั้นเลย เราทั้งสองแอบหนีไปกันดีกว่า

และแล้วทั้งสองก็วิวาห์เหาะ หนีตามกันไป มาสร้างเพิงอยู่ตามชานเมือง ตื๊ดกันไป ตื๊ดกันมา ก็ติดลูก ครับ

ก็ธรรมดาละ ครับ ประสาคนท้องมือใหม่ กริ่งเกรงว่า คุณฝาละผัวของเรา จักดูแลเราได้ดีเพียงไร จักสู้อยู่กับญาติพ่อแม่พี่น้อง คงไม่ได้ ไอ้ตัวเราลำบาก คงไม่เท่าไหร่ แต่สัญชาตญาณความเป็นแม่ ยอมให้ลูกลำบากไม่ได้ ครับ จึงคิดบากหน้ากลับบ้าน คิดว่า ป๊าม๊าเห็นเราท้องโย้กลับไป คงไม่ใจไม้ไส้ระกำขับไล่ไสส่งเป็นแน่แท้ คิดได้แล้วก็คุยกับบริกรชายคุณผัวหล่อล่ำว่า เรากลับบ้านกันเถิด ไปคลอดบุตรที่บ้าน คงมีความสบายกว่าที่นี่มาก ที่นี่หมอผดุงครรภ์ก็ไม่มี จะไปเข้า รพ.กรุงเทพรึ ก็แพงเหลือหลาย

ชายหนุ่มมิได้เห็นเช่นนั้น ครับ เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นเล็กน้อย พลางคิดว่า ขืนพาลูกสาวเขาท้องโย้เข้าไปหาพ่อตาแม่ยาย มีหวังได้ถูกเจื๋อนไอ้จ้อนให้เป็ดกิน ไม่ก็ได้กินลูกตะกั่วเป็นกับข้าวมื้อเย็น ชีวิตคงไม่เหลือกลับมาแน่ เลยทำทีเออออห่อหมก เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ผัดไปเรื่อย พรุ่งนี้น่า ๆ

บ่อยเข้าคุณแม่มือใหม่ก็จับไต๋ได้ ครับ ว่าคุณผัวของเราคงไม่คิดพาเราไปคืนบ้านพ่อแม่ เลยหนีไปเวลาที่สามีขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานที่สีลม ไปได้ครึ่งทาง ปวดขี้ ครับ แวะนั่งแอบ ๆ ขี้ข้างทาง ปุ๊ด!!! นึกว่า ตด ที่ไหนได้ ลูกชายคนแรกออกมากองที่พื้น เลยตั้งชื่อให้ว่า "ปันถก" ด้วยความที่เกิดระหว่างทาง

ฝ่ายผัวนอกสมรส กลับมาบ้าน มิเห็นภรรเมียแสนสวย และไฮโซ ก็ถามคนข้างบ้าน ได้ความแล้วก็ออกติดตาม ไถสเก็ตบอร์ดไปด้วยความเร็วแสง กระหืดกระหอบมาพบเธอ และลูกที่กลางทาง จึงชวนกันกลับบ้าน สาวเจ้าคิดว่า การคลอดลูกต้องอาศัยหมอทำคลอด มิคิดว่า จะง่ายเหมือนตดเช่นนี้ ธุระที่ต้องอาศัยหมอไม่มีอีก จึงพาลูกขึ้นซ้อนสเก็ตบอร์ดผัว กลับบ้านไป

กาลต่อมา ก็สยึ๋มกึ๋ยกันต่อไป ครับ ก็บอกแล้ว ความหื่นไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งช่วงมดลูกเข้าอู่นี่ ติดลูกง่ายยิ่งกว่าฮิตาชิเปิดปุ๊บติดปั๊บ ก็เลยโย้ท้องที่สอง เหตุการณ์เหมือนท้องแรกทุกประการ ไปคลอดลูกระหว่างทางอีกแระ จะตั้งชื่อให้ว่า ปันถก จูเนียร์ ก็ใช่ที่ ครับ ไม่ได้อินเตอร์ขนาดนั้น เลยตั้งชื่อแบบโบ ๆ ให้ว่า จูฬปันถก แปลว่า ปันถกเล็ก ส่วนพี่ชายให้ชื่อใหม่ว่า มหาปันถก

ครั้นเด็กโตขึ้น เห็นเพื่อนบ้านเขามีตามียาย มีญาติพี่น้อง ก็เซ้าซี้ถามหม่าม้า ทำไมเราไม่มีคุณตาคุณยาย ไว้อ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน เหมือนคนข้างบ้าน สาวเจ้าก็ได้แต่ทำเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ ฝ่ายเด็กน้อยเห็นคุณแม่อ้ำอึ้ง เหมือนตอนไปเดินพารากอน ขอให้แม่ซื้อของเล่น แล้วแม่ไม่ยอมซื้อให้ เลยใช้มุขเดียวกัน ครับ ลงไปดิ้นกองกับพื้น ร้องว่า "จาอาวคูณตา จาอาวคูณยาย ๆ กรี๊ด ๆ"

คุณแม่มือใหม่ ทนความเล้าหลือของลูก ๆ ไม่ไหว ครับ เลยพาเด็กทั้งสองเข้ากรุง ได้พบป๊าม๊าแล้ว ป๊าม๊าไม่รับกลับเข้าบ้่าน ครับ ท่านว่า เรื่องบัดสีที่ลูกทำ มันเกินรับได้ ป๊าม๊ามิอาจต้านทาน คำครหานินทาของเพื่อนบ้านได้ ขอจงเอาทรัพย์นี้ไปช็อปปิ้งอยู่กับทาสสวาทหนุ่มให้หนำใจ ส่วนหลานทั้งสอง เอามานี่ ให้อยู่กับตากับยายจะเหมาะกว่า อยู่กับยัยตัวร้ายคุณแม่จอมหื่น

แต่หนีออกจากอ้อมอกป๊าม้ามา เธอก็ห่างเหินไปจากห้างเมก้าสโตร์ทั้งหลายมานมนาน กระเป๋าปราดา ฟูรากาโม่ ออกใหม่ไปหลายรุ่นแล้ว เห็นทรัพย์ประมาณซื้อพารากอน กับดิสคัฟเวอรี่รวมกันได้เกินสิบห้าง ก็ตาโตเท่่าไข่นกกระจอกเทศ ทนไม่ได้ ครับ เลือดสาวนักช็อปมันสูบฉีด อีกทั้งถ้าเลี้ยงลูกกันเองตามประสาวัยสะรุ่น ลูกของเธอคงจักไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เหมือนเพื่อนบ้านแถวนั้น เรื่องไม่ได้ช็อป พอทนได้ค่ะ แต่เรื่องน้อยหน้าเพื่อนบ้านนี่ ไม่ย๊อมไม่ยอม ก็เลยปลงใจ ให้ลูกทั้งสอง อยู่กับตายาย ส่วนตัวเองไประเริงช็อปปิ้งกับผัวขาที่พารีส จี๊ดหมอง จี๊ดหมอง

ตายายของเด็กทั้งสอง เป็นคนธรรมะธัมโม ก็หนีบลิงทั้งสองตัว ไปฟังเทศน์ด้วย ครับ ตอนนั้นจูฬปันถกยังเล็กมาก ส่วนมหาปันถกพอจะรู้ความแล้ว ฟังพระธรรมเทศนาจากสมเด็จพระทศพลแล้วก็เกิดศรัทธา ขอตาไปบวช ตาก็อนุญาต บวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตตผลในเวลาไม่นาน

309304_208872062583497_2046960215_nอ๊ะ... บ้าน้ำลายมาก เรื่องชักยาว ขอเล่าลัด ๆ ก็แล้วกัน

พระมหาปันถกพึงใจอยู่กับความสุขที่ได้รับจากมรรคผลนิพพาน ระลึกถึงจูฬปันถกน้องชายว่า น่าจักได้มามีความสุขอย่างท่านบ้าง จึงชวนน้องชายมาบวชบ้าง แต่จูฬปันถก บวชแล้วกลายเป็นคนโง่ ท่องคาถาเดียว ๔ เดือนไม่สำเร็จ ด้วยในอดีตชาติ เคยไปหัวเราะเยาะพระภิกษุเขลารูปหนึ่ง จนเธออายเลิกเรียนปริยัติไป

พระพี่ชายเอือมระอา เห็นว่า พระน้องชายคงหาความเจริญในศาสนานี้ไม่ได้ จึงไล่ออกไปจากสำนัก

พระจูฬปันถกโซแซด กิวตี้เหลือหลาย โอ้ย... ก็ข้อยบ่ได้อยากโง่นิ มันโง่ของมันเองนิ แต่ด้วยอาลัยในเพศสมณะ ก็ทู่ซี้อยู่ต่อไป มาวันหนึ่ง หมอชีวกโกมารภัจจ์มานิมนต์พระไปฉัน และจักถวายข้าวของเป็นอันมาก แด่พระ ๕๐๐ รูป พระมหาปันถกเป็นภัตตุทเทศก์ หรือผู้แจกภัต ภาษาปัจจุบันเรียกว่า ออแกไนเซอร์คอยแจกงานให้เพื่อนพระภิกษุว่างั้นเหอะ ท่านนิมนต์พระทุกรูป เว้นพระจูฬปันถกรูปเดียว

พระน้องชายก็มีน้อยใจอีหลีในกาลนั้น ว่าแล้วก็งอนตุ๊ปั๊ดตุ๊ป่องออกจากสำนัก จะไปสึก พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิต จึงเสด็จมาทรงแกล้งเดินจงกรมอยู่รอท่า เจรจาพาที ได้ความแล้ว ตรัสห้ามอย่าสึกเลย แล้วก็ให้ผ้าขาวผืนหนึ่งไปลูบ พร้อมกับให้บริกรรมว่า "ระโชหะระณัง ระโชหะระณัง" (ผ้าเช็ดธุลี ๆ)

พระจูฬปันถก ลูบผ้าบริกรรมอยู่ไม่นาน ผ้าขาวก็หมอง จิตจับอสุภสัญญาว่า ผ้าขาว ๆ เรี่ยมเร้ มาถูกเข้ากับร่างกายอันสกปรก ผ้าก็เศร้าหมองไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ แยกรูปนาม ขึ้นสู่วิปัสสนา ได้บรรลุอรหัตตผล พร้อมปฏิสัมภิทา และทรงพระไตรปิฎก ในบัดนั้น

เมื่อได้เวลาถวายภัต พระพุทธองค์ตรัสให้ยับยั้งอยู่ ด้วยมีพระอีกรูปอยู่ในวิหาร (ซึ่งก็คือพระจูฬปันถก ที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว) พระมหาปันถกทูลว่า ไม่มีภิกษุอยู่ในวิหารแล้ว พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ยืนยันว่า "มี" แล้วให้ชีวกไปนิมนต์

ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทา พระจูฬปันถกทราบแล้วว่า พระพี่ชายบอก "ภิกษุในวิหารไม่มี" จำเราต้องประกาศให้ท่านทราบว่า มีภิกษุอยู่ในวิหาร แล้วจึงเนรมิตตนขึ้นอีก พันหนึ่ง ด้วยฤทธิ์ ทำกิริยาอาการต่าง ๆ กันอยู่ ที่สุดจึงเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า พระจูฬปันถก ผู้ซึ่งท่องคาถาเดียวสี่เดือนไม่ได้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณแล้ว

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงอารัมภบทก่อนเข้าสู่ "ความเฮงศาสตร์" ครับ ยังไม่เข้าสู่ส่วนของรายละเอียดกลไกการทำงานของมัน ความเฮงศาสตร์นั้น ถูกเข้ารหัส ซ่อนตัวอยู่ในตอนต่อไป ซึ่งเป็นบุพกรรมของพระจูฬปันถก ขืนนำมาถอดรหัสในตอนนี้ จักยาวเกินไป ปวดลูกกะตา ขอเลื่อนไปดีโค้ดปริศนาลายแทงขุมทรัพย์กันต่อในตอนหน้า นะจ๊ะ

จบตอน ๒

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons