วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๓ - ความเฮงศาสตร์

t-395738802มาถอดรหัส(ไม่)ลับ ลอร์ดบุดด้า โค้ดกันต่อไป ครับ ตอนที่แล้วว่ากันมาถึงตอนที่พระจูฬปันถก พิสูจน์ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ด้วยการเนรมิตร่างตนขึ้นเป็นพันร่าง เมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ถวายภัตต์แล้ว ยังได้อนุโมทนาด้วยความในพระไตรปิฎกอย่างคล่องแคล่ว ราวกับผู้เชี่ยวชาญ สร้างความอึงหมี่ให้หมู่พระภิกษุอย่างล้นหลาม นี่หรือ? คือพระที่เมื่อเช้า ท่องคาถาบทเดียวสี่เดือนไม่ได้

ตกเย็นพระภิกษุก็จับเข่าคุยกัน ถึงความเป็นธรรมราชา ขององค์สมเ้ด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาปันถก สั่งสอน พระน้องชาย ๔ เดือน ไม่เห็นผล พระองค์ประทานความเป็นอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทา และทรงพระไตรปิฎก แก่พระจูฬปันถก สำเร็จแค่เพียงชั่วมื้ออาหาร น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงทราบความแล้วด้วยทิพพโสต จึงเสด็จไปในที่ชุมนุมสงฆ์ ตรัสถามตามแบบประเพณี แล้วจึงว่า พระจูฬปันถกมิได้โง่แต่ในชาตินี้ แม้ในกาลก่อนก็เคยโง่ และพระองค์ก็เคยช่วยเธอให้ร่ำรวยโลกียทรัพย์มาแล้ว มาบัดนี้จึงได้ช่วยเธอให้ถึงโลกุตตรทรัพย์ ดังนี้

เฮง เฮ่ง เฮ้งบ่อกี้ มาแว้ว

อารัมภะไปเสียสองตอนยาว ๆ มาแล้วครับ รหัสลับ ความเฮงศาสตร์ อ่านเนื้อความบุพกรรมของพระจูฬปันถกให้ดีเถิด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (คราวนี้นานจริง ๆ) มีหนุ่มน้อยชาวนครพาราณสี ไปเรียนศิลปวิทยาการ ณ เมืองตักกสิลา (สมัยก่อนคงเหมือนไปเรียนที่ยุโรป) ไปขอเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อเรียนศิลปะ ในเหล่ามาณพ ๕๐๐ ไม่มีใครจักช่วยเหลือการงานทุกอย่าง แม้กระทั่งนวดเท้า ได้เกินศิษย์ผู้นี้ อาจารย์เอ็นดูเขาอย่างมาก จึงให้การศึกษาแก่เขาเป็นพิเศษ แต่ด้วยความ dumb and dumber โง่ไม่มีที่ติ สอนอย่างไรก็สอนไม่สำเร็จ เธอจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

พยายามอยู่นานจนสิ้นหนทาง แม้คาถาเดียวก็จำไม่ได้ จึงขออำลาผู้อาจารย์ โอ๊ะ... ศิษย์รักจักลากลับบ้านไปมือเปล่า แม้เราก็ปรารถนาให้เธอเป็นบัณฑิต ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จำเราต้องแทนความดีของศิษย์ ด้วยการผูกมนต์ให้เขาสักบทหนึ่ง ว่าแล้วก็ชวนศิษย์เข้าป่า เล็งดูฤกษ์ยามนักษัตรแล้ว ผูกมนต์นี้ว่า "ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ?, อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ" (แปลว่า เจ้าพยายามไปเถิด พยายามไปเถิด, เจ้าพยายามเพื่ออะไร? เรารู้ เรารู้ความพยายามของเจ้า) ให้เขาทบทวนอยู่กลับไปกลับมาหลายร้อยครั้งจนจำได้ขึ้นใจ ให้เสบียงแล้วสั่งว่า "เธอ จงไป, อาศัยมนต์นี้เลี้ยงชีพเถิด, เธอจงท่องจำไว้เนือง ๆ อย่าให้ลืมเทียว"

ครั้นกลับถึงกรุงพาราณสี หม่ามี๊ก็จัดฉลองใหญ่ ลูกชายจบศิลปะจากนอก เจ้าข้าเอ้ย...

ฝ่ายพระเจ้าพาราณสี ก็ประสากษัตริย์ที่เอาใจใส่ประชาชนของตนทั่วไป ใคร่อยากรู้ว่า ประชาชนจักเห็นดีเห็นงามกับการปกครองบ้านเมืองของพระองค์ สมัยก่อนมิได้มีอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ไปทั่วทุกหัวระแหงเช่นปัจจุบัน อยากทราบว่า ชาวบ้านมีความคิดเห็นอย่างไร ส่งสปายออกไปสืบ คงได้แต่ข่าวโคมลอย ประจบประแจงกลับมา จึงต้องแอบเสด็จแบบลับ ๆ ด้วยพระองค์เอง

เวลานั้นมีพวกโจร หากินทางขุดอุโมงค์ (ขอมดำดินอะป่าวฟระ) กำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดอุโมงค์เพื่อเข้าไปโผล่ภายในบ้าน (เดี๋ยวนี้เขาแอ๊ดวานซ์กว่า เข้าทางหลังคาบ้านกันแล้วจ้ะเทอ) จักได้กวาดทรัพย์ของเหยื่อให้สิ้นเนื้อประดาตัว พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงแอบซุ่มดูอยู่ในเงาเรือน

พอเหล่าขุนโจรดำดินขุดทะลุเข้าไปในบ้านได้ กำลังตรวจดูทรัพย์สินอยู่ พอยอดชายมาณพน้อยงัวเงียตื่นขึ้น ด้วยความที่กลัวจะลืมมนต์ที่อาจารย์กำชับมา ก็กึ่งท่อง กึ่งละเมอ อย่างสะลืมสะลือ "ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ? อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ" เสียงดังลั่นบ้าน

กระเจิงสิ ครับ อุส่าห์ย่องเบามาเงียบ ๆ จู่ ๆ ก็มีคนลุกขึ้นมา ตะโกนว่า "... เรารู้นะ ตะเองคิดอะไรอยู่ พยายามทำอะไรอยู่ เรารู้นะ กุปิ๊ กุปิ๊"

ได้ยินดังนั้น เหล่าโจรก็ตกใจใส่เกียร์หมา วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิต แม้ผ้าผ่อนก็ลืมเสียสิ้น เกรงเจ้านี่จะจำหน้าได้ จักพากันชิ๊กหายยกแก๊งค์

พระราชาเห็นความเป็นไปแล้ว ก็อึ้งทึ่งเสียว ในความเก่งกาจของหนุ่มน้อย รีบเสด็จกลับวัง สืบสาวว่า มาณพน้อยผู้นี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร มีวิทยายุทธ์กระไรดี จึงสามารถขับไล่เหล่าโจรไปได้ด้วยตัวผู้เดียว แถมเหล่าโจรยังหนีไปไม่คิดชีวิตอีกต่างหาก ได้ความว่า เป็นเด็กเพิ่งจบนอกกลับมา ชะช้า... เห็นทีต้องขอเรียนมนต์จากนอกเสียหน่อย เพลาเช้า ให้มหาดเล็ก ไปเรียกชายหนุ่มมาณพน้อยดีกรีนอก(เขตเทศบาล) มาเข้าเฝ้า

"เธอคือมาณพน้อยที่เพิ่งเรียนจบศิลปศาสตร์บัณฑิตใหม่จากตักกสิลาที่เขาร่ำลือกันหรือ?" พระราชาตรัสถาม

"พระเจ้าข้า พระอาญามิพ้นเกล้า" มาณพน้อยทูลตอบ

"เธอจักสอนศิลปะให้ฉันบ้างได้หรือ" พระราชาใคร่อยากรู้วิทยายุทธ์จากตักกสิลาเป็นนักหนา

"ย่อมได้ พระเจ้าข้า ขอพระองค์ประทับบนอาสนะที่เสมอกันแล้วเรียนเถิด"

พระราชาทรงทำตามคำขอ แล้วเรียนมนต์จากมาณพน้อย สำเร็จแล้ว ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่เขา ดำรัสว่า "นี่ เป็นส่วนบูชาอาจารย์ของท่าน" (พันหนึ่งสมัยก่อน ถือว่า มากพอสมควร)

ในกาลต่อมา เสนาบดีคบคิดกับนายภูษามาลาของพระเจ้าแผ่นดิน หรือ ช่างตัดผมนั่นแล ให้ทรัพย์แก่เขาพันหนึ่งแล้วว่า ให้ทำทีเป็นจะแต่งพระมัสสุ หรือโกนหนวด ของในหลวง แล้วสบัดมีดโกนให้คมกริบ ตัดก้านพระศอ หรือตัดคอพระเจ้าอยู่หัวเสีย เจ้าจักได้เป็นเสนาบดี ส่วนข้าจักได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน (สมัยก่อนเขาเป็นในหลวงกันง่ายจังฮิ) นายภูษามาลาคิดถึงหนี้ธกส. หนี้บัตรเครดิตเทสโก้โลตัส และหนี้เพอร์ซันนัลโลนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาจ่าย จึงรับคำอย่างง่ายดาย

พอถึงวันแต่งพระมัสสุถวายในหลวง เอาน้ำหอมสระสรงพระมัสสุจนเปียกชุ่ม สบัดมีดโกน จับที่ชายพระนลาฏ(หน้าผาก) คิดในใจว่า มีดอาจไม่คมพอ เราควรตัดก้านพระศอโดยฉับเดียวเท่านั้น กลืนน้ำลายที่เหนียวหนับด้วยความตื่นเต้น แล้วยื่นมือออกสบัดมีดโกนอีก

พระราชามิได้ทันระวังตัว กำลังนอนคิดอะไรเพลิน ๆ นึกเห่อมนต์ที่เพิ่งได้เรียนมาใหม่ ก็รำพึงถึงมนต์ใหม่ว่า "ฆะเฎสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ? อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ"

เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่หน้านายภูษามาลา เม็ดแล้วเม็ดเล่า ตัวสั่นเทากริ่งเกรงในพระราชอาชญา คิดในใจว่า "ในหลวงทราบความเสียแล้ว" จึงโยนมีดโกนทิ้ง แล้วหมอบกราบแทบพระบาท

พระราชาผู้ฉลาด สังเกตเห็นอากัปกิริยาแปลก ๆ ของนายภูษามาลา คิดว่า เรื่องนี้คงมีเบื้องหลัง จึงตวาดด้วยเสียงอันดัง "เฮ้ย... เจ้าภูษามาลาใจร้าย เอ็งคิดว่า ข้าไม่รู้รึ?"

นายภูษามาลาคิดว่า ชีวิตคงดับดิ้นโดนประหารในครานี้เป็นแน่แท้ ทำอะไรไม่ถูก ครางเสียงอ่อยว่า "พระอาชญามิพ้นเกล้า ข้าน้อยผิดไปแล้ว ๆ ขอพระองค์โปรดพระราชทานอภัยแก่ข้าพระองค์เถิด พระเ้จ้าข้า"

พระราชาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ตรัสต่อด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา "ช่างเถอะ อย่ากลัวเลย บอกมาเถิด ข้าจักให้อภัย" (เจอค่ายกลในหลวงเข้าให้แล้ว)

นายภูษามาลาก็สารภาพจนหมดเปลือก พระราชาทรงดำริว่า เกือบได้เป็นผีหัวขาดแล้วตรู นี่เราได้ชีวิตก็อาศัยอาจารย์แท้ ๆ สั่งให้หาเสนาบดีมาเข้าเฝ้า ตรัสสั่งเนรเทศเธอออกจากพระนคร (โทษเบานะเนี่ย เป็นสามก๊กได้หัวขาดไปเฝ้าพระยายมแล้ว) แล้วรับสั่งให้มาณพผู้อาจารย์มาเข้าเฝ้า ตรัสว่า "ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ชีวิตเพราะอาศัยท่าน" ดังนี้แล้ว ทำสักการะใหญ่ ตั้งเธอไว้ในตำแหน่งเสนาบดี มาณพในครั้งนั้น ได้เป็นจูฬปันถก, พระศาสดาเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์

จบอดีตนิทานแล้ว พระศาสดาตรัสคาถาว่า

"ผู้มีปรีชาเห็นประจักษ์ ย่อมตั้งตนด้วยทุนทรัพย์แม้น้อย

เหมือนคนก่อไฟกองน้อยให้ลุกเป็นกองใหญ่ได้ฉะนั้น"

ต่อมาอีกวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายสนทนากันอยู่ในธรรมสภาว่า "ผู้มีอายุ พระจูฬปันถก แม้ไม่สามารถจะเรียนคาถา ๔ บทใน ๔ เดือนได้ ก็ไม่ละความเพียร ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้"

พระศาสดาเล็งเห็นประโยชน์แก่การแสดงธรรม จึงเสด็จมาท่ามกลางหมู่สงฆ์ ตรัสถามตามธรรมเนียม แล้วตรัสคาถาว่า

"ผู้มีปัญญา พึงทำเกาะ (ที่พึ่ง) ที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้

ด้วยความหมั่น ด้วยความไม่ประมาท

ด้วยความระวัง และด้วยความฝึก"

ได้อะไรบ้างจากอดีตนิทานของพระจูฬปันถก ครับ อ่านแล้วรู้สึกว่า มาณพน้อย "เฮง" เหลือหลาย ใช่หรือไม่ รู้คาถาสั้น ๆ แค่คาถาเดียว สามารถได้เป็นถึงเสนาบดี สมัยเรานี้เรียนกันหัวแทบแตก แค่จะเป็นมนุษย์เงินเดือนให้พอกินพอใช้ ยังยากเย็นเข็ญใจ

อะ... มาถอดรหัส "ความเฮงศาสตร์" กัน ครับ

พิจารณาดูให้ดี ความเฮงสาดดดด ของมาณพน้อยอยู่ที่ไหนกันแน่ ลองถอยกันไปอีกนิด ความเฮง อาจจะไม่ได้มาจากมาณพน้อย แต่มาจากการที่อาจารย์ทิศาปาโมกข์ช่างเก่งกาจ ผูกมนต์ได้อารามบอยสก๊อยเกิร์ลมากก็ได้ อะไรกันเล่า ที่มาของความเฮง

เล็งดูจะรู้ว่า "ความเฮง" ไม่มีในศาสนาพุทธ ครับ ความฟลุ๊ค ความบังเอิญ ที่เขาบัญญัติกัน เอาไว้อธิบายเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ด้วยความรู้ของคนปกติเท่านั้น ถ้าเรามีความรู้พิเศษ หรือที่เรียกว่า "ญาณ" เช่น อตีตังสญาณ-หยั่งรู้อดีต ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ-หยั่งรู้อดีตชาติ จะทราบได้ไม่ยาก ครับว่า การที่มาณพน้อย มาพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มิใช่เรื่องบังเอิญ

แต่เอาละ เราทั้งหลายไม่มีญาณอย่างว่านั้น มาพิจารณาถอดรหัสกันด้วยตาเนื้อ ด้วยปัญญาพื้น ๆ ชาวบ้าน ๆ นี่ละ ต้นเหตุความเฮงสาดดดด ของมาณพน้อย มาจากการที่เขาเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ครับ รู้จักการอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์ จนครูบาอาจารย์มีเมตตาชี้ทางทำธุรกิจให้ จากคาถาบทเดียว

ย้อนกลับมาดูตัวเรา ครับ ผู้ที่คิดอยากรวย คิดอยากมีทรัพย์มาก อยากเป็นคนมีอันจะกิน เคยอุปัฏฐากรับใช้ ครูบาอาจารย์บ้างหรือไม่ ถ้าไม่เคย ท่านก็สอบตกวิทยายุทธ์ที่สอง บันไดแห่งความมีทรัพย์มากไปแล้วอย่างน่าเสียดาย ครับ เพราะคนเรามักได้ดีจากการอุปถัมภ์ของครูบาอาจารย์

ตายละ... แล้วเราจักไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนอุปัฏฐากละเนี่ยะ กว่าจะคิดได้ ครูบาอาจารย์สมัย ม.ต้น มัธยมปลาย ก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ไม่เป็นไร ครับ เรายังมีครูบาอาจารย์ที่หาได้ง่ายที่สุด ดีที่สุด เริ่ดที่สุด และเป็นครูบาอาจารย์คนแรกของเรา รออยู่ที่บ้าน ใช่แล้ว ครับ คุณพ่อคุณแม่นั่นเอง ถ้าไม่เคยรับใช้ท่าน ได้แต่ให้ท่านรับใช้เรา ก็เริ่มเสียวันนี้เลย ครับ ยังไม่สาย เอ้า... ความจนเริ่มหายไปหนึ่งกระบิแล้ว

ผู้ที่ยังด่าพ่อล่อแม่ ดูถูกเหยียดหยามครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐเลิศที่สุดในชีวิตเราอยู่ ท่านก็ควรพอใจในชีวิตจน ๆ ของท่านต่อไป เพราะคนที่ดูถูกพ่อแม่ ทำกระไรก็เจริญยาก ครับ ตรงข้ามผู้ที่เอาใจใส่รับใช้ดูแลพ่อแม่ ต่อให้ซวยยังไง ก็ไม่อับจนหนทาง ครับ

ถ้าเรารับใช้แทนคุณป๊าม๊าอย่างดีอยู่แล้วเล่า ทำไมยังไม่เห็นรุ่งโรจน์ มีแต่รุ่งริ่ง อ๊ะ... มีวิทยายุทธ์ขั้นต่อไป ครับ ค้นหา "อาจารย์ทิศาปาโมกข์" ให้เจอ

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่อาจารย์ธรรมดา ๆ หาได้ดาษดื่นทั่วไป ครับ แต่เป็นอาจารย์ที่มีความรู้พิเศษ อย่างในนิทานที่ยกมา ท่านมีความรู้พิเศษด้านดูนักษัตร ครับ ซึ่งความรู้พิเศษในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกินความเป็นพระอรหันต์ ครับ

ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง เขาชอบคุยถึงความร่ำรวยของคุณลุงของเขา ท่านได้เป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่บุดดา ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ครับ ภายหลังได้ทำงานเกี่ยวกับสัมปทานการโทรคมนาคม จนรวยเละเทะ เขาว่า นี่คืออานิสงส์ของการได้อุปัฏฐากพระอรหันต์

ข้าพเจ้าก็สังเกตดู ก็อาจจะมีส่วนจริงอยู่ ครับ ไปเล็งดูพระอรหันต์องค์อื่น ๆ ส่วนใหญ่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ก็มักรวยล้นฟ้ากันทั้งนั้น แต่บางหน่ออุปัฏฐากตั้งแต่หนุ่มจนเฒ่า ก็ยังจนติดดิน แสดงว่า ต้องมีเคล็ดลับ ครับ

เคล็ด(ไม่)ลับในศาสนาพุทธนี้ เหมือนกันหมด ครับ ไม่ว่าทางโลก หรือทางธรรม หากไปอุปัฏฐากพระคุณเจ้าด้วยหวังรวย อย่างไรก็ไม่มีทางรวย ครับ ปฏิบัติธรรมเพราะอยากบรรลุ ก็ไม่บรรลุเช่นกัน เป็นเรื่องน่าแปลก แต่จริง

เอาละ ครับ วันนี้ถอดรหัสกันพอหอมปากหอมคอ ยาวพอควรแล้ว เดี๋ยวตอนหน้า จักถอดรหัสให้ลึก และเข้มข้นยิ่งขึ้น

จบตอน ๓

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons