ค้างไว้ถึงคัมภีร์ลึกลับที่ส่งทอดต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น ในคัมภีร์บรรจุวิทยายุทธ์ขั้นสุดยอดของศาสตร์ทุกแขนง ใครได้เข้าถึงคัมภีร์นี้ แม้ต้องการเป็นจอมจักรพรรดิก็ย่อมเป็นได้ และสมมุติฐานของข้าพเจ้าเป็นจริง ครับ มีคัมภีร์มหัศจรรย์นี้อยู่จริง ๆ ส่งต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า วันนี้ข้าพเจ้าจักได้เริ่มสาธยายความในคัมภีร์ ครับ ในนั้นมีเรื่องของ "ความเฮง" เขียนอยู่ด้วย
แม้ข้าพเจ้า มิได้ลองค้นหาพิสูจน์ความจริงด้วยตนเองมาก่อนบ้าง ข้าพเจ้าก็คงมองรหัสไม่ออก และคงไม่คิดว่า ข้อความในคัมภีร์จะเป็นเรื่องจริงเรื่องจัง นำไปใช้กระไรในธุรกิจได้
สมัยที่ยังไม่เป็นมนุษย์ (แปลว่าผู้มีใจสูง) ยังเป็นคน (แปลว่ายุ่ง) วุ่นวายอยู่กับโลก ได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ ครับ ในการทำธุรกิจ ด้วยความที่ "คน" นั้น ไม่มีศีล ไม่มีธรรม แค่ศีล ๕ ข้อ ยังรักษาไม่ได้ ครั้นได้เข้าวัด ปฏิบัติธรรม รักษาศีล ๘ เป็นครั้งคราว ตอนกลับมาเริ่มงานใหม่ ๆ รู้สึกการงานมันคล่องตัวมาก และในส่วนที่ต้องใช้ดวง เช่น ลูกค้าประเภทวอล์คอิน หรือส้มหล่น จะเฟื่องฟูเป็นพิเศษ แต่ครั้นถูกผองเพื่อนลากตัวไปร่ำสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร แม้เพียงชั่วข้ามคืน การงานก็จะติดขัด ปัญหารุมเร้า และ "ความเฮง" ก็เลือนไป
เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครับ จนสามารถตั้งข้อสังเกตได้
แม้สังเกตได้แล้ว ก็ไม่ใคร่เชื่อข้อสังเกตนั้น ครับ บ่อยครั้งที่กิเลสตัณหา พาไปลุ่มหลงอยู่กับแสงสี ยิ่งศีลขาดมากข้อเท่าไหร่ ความหายนะก็รุนแรงเท่านั้น ขั้นสุดท้ายนี้เหลือเพียงข้อเดียว คือ ปาณาติบาต หากหมดข้อนี้ไป คงไม่มีสิ่งใดรักษาให้วันนี้ข้าพเจ้ามานั่งอัพบล็อกธรรมะอยู่ได้ คงจุติไปเรียบร้อยแล้ว
พอได้มาพบคัมภีร์เล่มนั้นในผ้าเหลือง มีเขียนไว้ชัดเจนเลย ครับว่า ศีลเป็นปัจจัยของความสุข ศีลรักษาผู้รักษาศีล เฮ้ย... อะไรมันจะตรงขนาดนั้น ข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อในบัดนั้น ถึงปฐมวรยุทธ์ในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มีศีล ๕ ไว้ก่อน ครับ (ซึ่งข้าพเจ้าสมัยเป็นฆราวาส ไม่เคยทำได้เลย และนี่เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ขาดไป นอกจากสรรพวิทยายุทธ์ทางโลก ทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความเจริญก้าวหน้าในสาขาอาชีพ) ข้าพเจ้าได้พบความจริงว่า ศีล ๕ สามารถป้องกันวิบากกรรม (ผลของการกระทำ) ที่เป็นอกุศล ได้มากในระดับหนึ่งทีเดียว และศีล ๕ นั่นเอง เป็นกุญแจไขประตูหลักสู่อภิมหาขุมทรัพย์ยิ่งกว่า สมบัติอัศวินเทมปลาร์ และศีล ๕ นั่นเอง ที่คนทั่วไปไม่เห็นค่า คิดว่า ไม่มีความสำคัญ
กว่าจะซาบซึ้ง ก็โดนไปซะน่วม ดังนั้นแล้ว ใครที่อยากรวย แต่แค่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ ไม่ต้องมาคุยกันเลย ครับ ไม่มีทางรวยได้ รวยก็รวยแบบไม่มีความสุข มีทรัพย์มากแบบถูกด่าไปทั้งชาติ หาประเทศอยู่ไม่ได้ อย่างนั้นอย่าไปรวยเลย ครับ รวยต้องรวยแบบมือสะอาด ไม่ต้องมีทรัพย์มาก แต่มีความสุข ดีกว่า
มาถึงตรงนี้ คงพอจะเดากันได้แล้วว่า คัมภีร์สุดยอดเล่มนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร
มีปราชญ์เคยว่าไว้ ครับ ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ซ่อนที่ปลอดภัยที่สุด
คัมภีร์ลึกลับเล่มนั้น มีวางขายกลาดเกลื่อนในท้องตลาด ครับ แต่กลับเป็นคัมภีร์ที่ลึกลับ เพราะอะไร ครับ?
ที่ลึก คือ ลึกซึ้ง ครับ ที่ลับ เพราะไม่มีใครอ่าน ครับ แม้คนนับถือศาสนาพุทธเอง จ้างให้บางทียังไม่อ่านเลย ครับ เห็นว่า ศาสตร์อย่างอื่น สำคัญกว่า ทำเงินได้มากกว่า สนุกสนานกว่า แม้ข้าพเจ้าเอง หากมิได้บวชก็คงไม่ได้อ่านเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่า ท่านซ่อนปริศนาลายแทงขุมทรัพย์ไว้ในคัมภีร์โบราณชื่อ พระไตรปิฎก ทั้ง ๔๕ เล่ม ท่านเข้ารหัส (encode) ไว้ด้วยภาษาโบราณ ทำให้ผู้อ่านง่วงนอน เลิกอ่านไปก่อนจักได้พบข้อความสำคัญ และวันนี้ข้าพเจ้าจักนำความบางส่วน มาเผยให้รู้ทั่วกัน
"ความเฮง" ที่สุดของการทำธุรกิจ
ขอยกความในคัมภีร์มาสาธยายให้เห็นภาพสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน ฉากของเรื่องจะถูกบิดเบือน จากการถอดรหัสลับ ลอร์ดบุดด้าโค้ด ไปนิโหน่ยนะ ครับ
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีสาวสวยโฉมสะคราญนางหนึ่ง เกิดในตระกูลธนเศรษฐี สมัยที่ความเอ๊าะ ความสาวแตกมัน ดังเปรี๊ยะ ๆ อย่างกับกะทิคั่ว เธอก็ส่งสายตายั่วยวนใจชายหนุ่มทั้งหลาย ทั่วไปตามท้องถนน แต่ป๊าม๊าของเธอ มีเรด้าร์ตรวจจับปริมาณความแรดของเธอได้ ครับ เลยเอาเธอไปเลี้ยงดูปูเสื่อรักษาไว้ ณ คอนโดระฟ้ากลางเมือง ไม่มีลิฟท์
แต่ความหื่นไม่เข้าใครออกใคร ครับ สุดท้ายเธอก็ฉึ่ง ๆ โป๊ะ กับบริกรหนุ่ม หุ่นนายแบบอาร์มานี่ (ก็ปีนเอาอาหารวิ่งขึ้นไปเสิร์ฟตั้งสูงลิ่ว อาหารก็ไม่ค่อยได้กิน ตามประสาเด็กรับใช้ กล้ามก็ขึ้นเป็นมัดสิ ครับ ล่ำซะขนาดนั้น ใครจะไปอดใจไหว) ครั้นความสยิวกิ๊วคลายตัวลงแล้ว ความรู้ผิดชอบชั่วดี ก็กลับมา ครับ (หน้ามืดไปหน่อย) ชิ๊กหายล่ะสิ ขืนป๊าม๊ารู้ความเข้า เราทั้งคู่คงตายอยู่กลางสวนลอยฟ้า เหมือนเรื่องโรมิโอ กับจูเลียส อย่ากระนั้นเลย เราทั้งสองแอบหนีไปกันดีกว่า
และแล้วทั้งสองก็วิวาห์เหาะ หนีตามกันไป มาสร้างเพิงอยู่ตามชานเมือง ตื๊ดกันไป ตื๊ดกันมา ก็ติดลูก ครับ
ก็ธรรมดาละ ครับ ประสาคนท้องมือใหม่ กริ่งเกรงว่า คุณฝาละผัวของเรา จักดูแลเราได้ดีเพียงไร จักสู้อยู่กับญาติพ่อแม่พี่น้อง คงไม่ได้ ไอ้ตัวเราลำบาก คงไม่เท่าไหร่ แต่สัญชาตญาณความเป็นแม่ ยอมให้ลูกลำบากไม่ได้ ครับ จึงคิดบากหน้ากลับบ้าน คิดว่า ป๊าม๊าเห็นเราท้องโย้กลับไป คงไม่ใจไม้ไส้ระกำขับไล่ไสส่งเป็นแน่แท้ คิดได้แล้วก็คุยกับบริกรชายคุณผัวหล่อล่ำว่า เรากลับบ้านกันเถิด ไปคลอดบุตรที่บ้าน คงมีความสบายกว่าที่นี่มาก ที่นี่หมอผดุงครรภ์ก็ไม่มี จะไปเข้า รพ.กรุงเทพรึ ก็แพงเหลือหลาย
ชายหนุ่มมิได้เห็นเช่นนั้น ครับ เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นเล็กน้อย พลางคิดว่า ขืนพาลูกสาวเขาท้องโย้เข้าไปหาพ่อตาแม่ยาย มีหวังได้ถูกเจื๋อนไอ้จ้อนให้เป็ดกิน ไม่ก็ได้กินลูกตะกั่วเป็นกับข้าวมื้อเย็น ชีวิตคงไม่เหลือกลับมาแน่ เลยทำทีเออออห่อหมก เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ผัดไปเรื่อย พรุ่งนี้น่า ๆ
บ่อยเข้าคุณแม่มือใหม่ก็จับไต๋ได้ ครับ ว่าคุณผัวของเราคงไม่คิดพาเราไปคืนบ้านพ่อแม่ เลยหนีไปเวลาที่สามีขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานที่สีลม ไปได้ครึ่งทาง ปวดขี้ ครับ แวะนั่งแอบ ๆ ขี้ข้างทาง ปุ๊ด!!! นึกว่า ตด ที่ไหนได้ ลูกชายคนแรกออกมากองที่พื้น เลยตั้งชื่อให้ว่า "ปันถก" ด้วยความที่เกิดระหว่างทาง
ฝ่ายผัวนอกสมรส กลับมาบ้าน มิเห็นภรรเมียแสนสวย และไฮโซ ก็ถามคนข้างบ้าน ได้ความแล้วก็ออกติดตาม ไถสเก็ตบอร์ดไปด้วยความเร็วแสง กระหืดกระหอบมาพบเธอ และลูกที่กลางทาง จึงชวนกันกลับบ้าน สาวเจ้าคิดว่า การคลอดลูกต้องอาศัยหมอทำคลอด มิคิดว่า จะง่ายเหมือนตดเช่นนี้ ธุระที่ต้องอาศัยหมอไม่มีอีก จึงพาลูกขึ้นซ้อนสเก็ตบอร์ดผัว กลับบ้านไป
กาลต่อมา ก็สยึ๋มกึ๋ยกันต่อไป ครับ ก็บอกแล้ว ความหื่นไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งช่วงมดลูกเข้าอู่นี่ ติดลูกง่ายยิ่งกว่าฮิตาชิเปิดปุ๊บติดปั๊บ ก็เลยโย้ท้องที่สอง เหตุการณ์เหมือนท้องแรกทุกประการ ไปคลอดลูกระหว่างทางอีกแระ จะตั้งชื่อให้ว่า ปันถก จูเนียร์ ก็ใช่ที่ ครับ ไม่ได้อินเตอร์ขนาดนั้น เลยตั้งชื่อแบบโบ ๆ ให้ว่า จูฬปันถก แปลว่า ปันถกเล็ก ส่วนพี่ชายให้ชื่อใหม่ว่า มหาปันถก
ครั้นเด็กโตขึ้น เห็นเพื่อนบ้านเขามีตามียาย มีญาติพี่น้อง ก็เซ้าซี้ถามหม่าม้า ทำไมเราไม่มีคุณตาคุณยาย ไว้อ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน เหมือนคนข้างบ้าน สาวเจ้าก็ได้แต่ทำเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ ฝ่ายเด็กน้อยเห็นคุณแม่อ้ำอึ้ง เหมือนตอนไปเดินพารากอน ขอให้แม่ซื้อของเล่น แล้วแม่ไม่ยอมซื้อให้ เลยใช้มุขเดียวกัน ครับ ลงไปดิ้นกองกับพื้น ร้องว่า "จาอาวคูณตา จาอาวคูณยาย ๆ กรี๊ด ๆ"
คุณแม่มือใหม่ ทนความเล้าหลือของลูก ๆ ไม่ไหว ครับ เลยพาเด็กทั้งสองเข้ากรุง ได้พบป๊าม๊าแล้ว ป๊าม๊าไม่รับกลับเข้าบ้่าน ครับ ท่านว่า เรื่องบัดสีที่ลูกทำ มันเกินรับได้ ป๊าม๊ามิอาจต้านทาน คำครหานินทาของเพื่อนบ้านได้ ขอจงเอาทรัพย์นี้ไปช็อปปิ้งอยู่กับทาสสวาทหนุ่มให้หนำใจ ส่วนหลานทั้งสอง เอามานี่ ให้อยู่กับตากับยายจะเหมาะกว่า อยู่กับยัยตัวร้ายคุณแม่จอมหื่น
แต่หนีออกจากอ้อมอกป๊าม้ามา เธอก็ห่างเหินไปจากห้างเมก้าสโตร์ทั้งหลายมานมนาน กระเป๋าปราดา ฟูรากาโม่ ออกใหม่ไปหลายรุ่นแล้ว เห็นทรัพย์ประมาณซื้อพารากอน กับดิสคัฟเวอรี่รวมกันได้เกินสิบห้าง ก็ตาโตเท่่าไข่นกกระจอกเทศ ทนไม่ได้ ครับ เลือดสาวนักช็อปมันสูบฉีด อีกทั้งถ้าเลี้ยงลูกกันเองตามประสาวัยสะรุ่น ลูกของเธอคงจักไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เหมือนเพื่อนบ้านแถวนั้น เรื่องไม่ได้ช็อป พอทนได้ค่ะ แต่เรื่องน้อยหน้าเพื่อนบ้านนี่ ไม่ย๊อมไม่ยอม ก็เลยปลงใจ ให้ลูกทั้งสอง อยู่กับตายาย ส่วนตัวเองไประเริงช็อปปิ้งกับผัวขาที่พารีส จี๊ดหมอง จี๊ดหมอง
ตายายของเด็กทั้งสอง เป็นคนธรรมะธัมโม ก็หนีบลิงทั้งสองตัว ไปฟังเทศน์ด้วย ครับ ตอนนั้นจูฬปันถกยังเล็กมาก ส่วนมหาปันถกพอจะรู้ความแล้ว ฟังพระธรรมเทศนาจากสมเด็จพระทศพลแล้วก็เกิดศรัทธา ขอตาไปบวช ตาก็อนุญาต บวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตตผลในเวลาไม่นาน
อ๊ะ... บ้าน้ำลายมาก เรื่องชักยาว ขอเล่าลัด ๆ ก็แล้วกัน
พระมหาปันถกพึงใจอยู่กับความสุขที่ได้รับจากมรรคผลนิพพาน ระลึกถึงจูฬปันถกน้องชายว่า น่าจักได้มามีความสุขอย่างท่านบ้าง จึงชวนน้องชายมาบวชบ้าง แต่จูฬปันถก บวชแล้วกลายเป็นคนโง่ ท่องคาถาเดียว ๔ เดือนไม่สำเร็จ ด้วยในอดีตชาติ เคยไปหัวเราะเยาะพระภิกษุเขลารูปหนึ่ง จนเธออายเลิกเรียนปริยัติไป
พระพี่ชายเอือมระอา เห็นว่า พระน้องชายคงหาความเจริญในศาสนานี้ไม่ได้ จึงไล่ออกไปจากสำนัก
พระจูฬปันถกโซแซด กิวตี้เหลือหลาย โอ้ย... ก็ข้อยบ่ได้อยากโง่นิ มันโง่ของมันเองนิ แต่ด้วยอาลัยในเพศสมณะ ก็ทู่ซี้อยู่ต่อไป มาวันหนึ่ง หมอชีวกโกมารภัจจ์มานิมนต์พระไปฉัน และจักถวายข้าวของเป็นอันมาก แด่พระ ๕๐๐ รูป พระมหาปันถกเป็นภัตตุทเทศก์ หรือผู้แจกภัต ภาษาปัจจุบันเรียกว่า ออแกไนเซอร์คอยแจกงานให้เพื่อนพระภิกษุว่างั้นเหอะ ท่านนิมนต์พระทุกรูป เว้นพระจูฬปันถกรูปเดียว
พระน้องชายก็มีน้อยใจอีหลีในกาลนั้น ว่าแล้วก็งอนตุ๊ปั๊ดตุ๊ป่องออกจากสำนัก จะไปสึก พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิต จึงเสด็จมาทรงแกล้งเดินจงกรมอยู่รอท่า เจรจาพาที ได้ความแล้ว ตรัสห้ามอย่าสึกเลย แล้วก็ให้ผ้าขาวผืนหนึ่งไปลูบ พร้อมกับให้บริกรรมว่า "ระโชหะระณัง ระโชหะระณัง" (ผ้าเช็ดธุลี ๆ)
พระจูฬปันถก ลูบผ้าบริกรรมอยู่ไม่นาน ผ้าขาวก็หมอง จิตจับอสุภสัญญาว่า ผ้าขาว ๆ เรี่ยมเร้ มาถูกเข้ากับร่างกายอันสกปรก ผ้าก็เศร้าหมองไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ แยกรูปนาม ขึ้นสู่วิปัสสนา ได้บรรลุอรหัตตผล พร้อมปฏิสัมภิทา และทรงพระไตรปิฎก ในบัดนั้น
เมื่อได้เวลาถวายภัต พระพุทธองค์ตรัสให้ยับยั้งอยู่ ด้วยมีพระอีกรูปอยู่ในวิหาร (ซึ่งก็คือพระจูฬปันถก ที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว) พระมหาปันถกทูลว่า ไม่มีภิกษุอยู่ในวิหารแล้ว พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ยืนยันว่า "มี" แล้วให้ชีวกไปนิมนต์
ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทา พระจูฬปันถกทราบแล้วว่า พระพี่ชายบอก "ภิกษุในวิหารไม่มี" จำเราต้องประกาศให้ท่านทราบว่า มีภิกษุอยู่ในวิหาร แล้วจึงเนรมิตตนขึ้นอีก พันหนึ่ง ด้วยฤทธิ์ ทำกิริยาอาการต่าง ๆ กันอยู่ ที่สุดจึงเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า พระจูฬปันถก ผู้ซึ่งท่องคาถาเดียวสี่เดือนไม่ได้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณแล้ว
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงอารัมภบทก่อนเข้าสู่ "ความเฮงศาสตร์" ครับ ยังไม่เข้าสู่ส่วนของรายละเอียดกลไกการทำงานของมัน ความเฮงศาสตร์นั้น ถูกเข้ารหัส ซ่อนตัวอยู่ในตอนต่อไป ซึ่งเป็นบุพกรรมของพระจูฬปันถก ขืนนำมาถอดรหัสในตอนนี้ จักยาวเกินไป ปวดลูกกะตา ขอเลื่อนไปดีโค้ดปริศนาลายแทงขุมทรัพย์กันต่อในตอนหน้า นะจ๊ะ
จบตอน ๒