วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อิสระที่แท้จริงby Dhammasarokikku

376368_338915689517027_1084699089_n

นักปราชญ์เอกของโลก ก็สามารถคิดได้ครับว่า "เพราะคิด เราจึงมีอยู่" แต่จักมีสักกี่คนที่เห็นว่า "เพราะคิด เราจึงทุกข์" หรือ สัพเพสังขารา ทุกขา ความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย เป็นทุกข์ นักคิดทั้งหลายคิดมาได้ถึงแค่นี้ครับว่า ตัวตนของเราเกิดจากความคิด เข้าใจว่า การมีตัวตน คือความสุข (จักเห็นได้จากการบอกโลกว่า "ฉันมีตัวตน" ผ่านโซเชี่ยลเน็ทเวิร์ค อย่าง twitter facebook blog ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น เพราะเราทั้งหลายต่างเข้าใจว่า การมีผู้รับรู้มาก ๆ ว่าฉันมีตัวตนคือความสุข) นักคิดทั้งหลายก็เลยคิดมาจบแค่นี้ แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้น อยู่เลยไปอีก พระองค์ทรงมีพระปัญญาเห็นว่า การมีตัวตนนั่นแลคือความทุกข์ ความปรุงแต่งทั้งหลายนั่นแลคือความทุกข์ และทรงตรัสรู้วิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากทุกข์เหล่านั้นด้วย

ผู้นำทางความคิดความเชื่อทั้งหลายทั่วโลก ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถคิดค้นจนรู้เองได้ครับว่า คนเราทุกข์เพราะความคิด เพราะฉะนั้นวิธีแก้ทุกข์ เราก็หันไปคิดถึงสิ่งดี ๆ สิ่งที่เป็นกุศล แทนที่จักกำหินก้อนนั้นในมือเธอ ก็เปลี่ยนไปคว้าเอาลูกแก้วมากำแทน ไม่เจ็บมือ หรือหันมีดด้านที่ไม่คมมากำ ก็จักมีความสุข (ความจริงก็ยังทุกข์อยู่ ยังหนักอยู่ เพราะยังกำอยู่ แค่ทุกข์น้อยลงนิดหน่อย คนทั่วไปก็รู้สึกเป็นสุขแล้ว) ท่านทั้งหลายเหล่านั้นคิดค้นมาได้แค่นี้ครับ พยายามไม่คิดถึงสิ่งไม่ดี เปลี่ยนมาคิดถึงสิ่งดี ๆ แต่จักให้หยุดทุกข์ถาวรไปเลยนั้น ทำไม่ได้

ถ้าเราไม่ได้ศึกษาสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ พอคิดมาได้ถึงตรงนี้ว่า โอ๊ะ.... นี่เราทุกข์เพราะเราคิดนี่เอง ก็จักหาทางให้หยุดคิดครับ คนในโลกเกิดและตายไปก่อนเรามากมายไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ก็มาจบที่ตรงนี้ครับ ตรงที่ทำอย่างไรถึงจักหยุดคิดได้

ไม่ฉลาดที่สุดก็ไปกินเหล้า เสพยาเสพติด อัพยาบ้าบอไปตามเรื่องครับ นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่คือการหนีปัญหา ช่วงที่เมาเหล้าเมายาช่างมีความสุขครับ เพราะ "ไม่ได้คิด" ถึงเรื่องไม่น่ารักไม่น่าพอใจนั้น ไปเพลินอยู่กับสิ่งอื่น คิดเรื่องอื่น หรือความคิดมันเบลอ ๆ เพี้ยน ๆ ไป แต่พอหมดฤทธิ์ยาก็กลับมาทุกข์ดังเดิม หรือมากกว่าเดิม เพราะเริ่มคิดใหม่ หยุดความคิดไม่ได้ เลยต้องไปวิ่งหายาใหม่ นี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ครับ เป็นทางเพิ่มทุกข์ ทุกข์ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือต้องไปหายามาเสพ หาเหล้ามากิน

กลาง ๆ ก็ไปหากระไรทำเพลิน ๆ เช่น ดูหนัง ดูละคร ฉลาดหน่อยก็ไปเข้าวัด ทำบุญให้สบายใจ หรือไปทำสิ่งที่เป็นกุศลอื่น ๆ

ฉลาดที่สุดเท่าที่มนุษย์ปุถุชนคิดได้เอง ทำได้เอง ก็คือไปทำสมาธิ สวดมนต์ภาวนา เอาใจไปจดจ่อกับบทสวดมนต์ (แม้กระทั่งด้วยความเชื่อที่หลอกตัวเองไปวัน ๆ ว่า สวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจักทำให้สมหวัง ยิ่งทำให้รับความผิดหวังไม่ได้ และห่างจากโลกแห่งความจริง) ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นการเอาใจไปแปะไว้กับกุศลอย่างยิ่ง ก็มีความสุข หรือทำสมาธิถึงขั้นหนึ่ง ก็หยุดความคิดตัวเองได้ พอหยุดความคิดได้เข้าถึงความสุขอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเจอมาก่อน บ้างก็ว่านี่คือแดนสุขาวดี แดนแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนใหญ่ก็ไปติดเอาความสุขจากการหยุดคิดนี้อีก

577665_297298763688494_44917008_n ทว่าความคิดมันหยุดได้ไม่นานครับ เพราะ "จิตมีสภาพคิด" เราไม่สามารถหยุดคิดถาวรได้ พอสมาธิถอย ฌานเสื่อม ก็กลับมาคิดอีก สำนักปฏิบัติหลายสำนักที่เข้าใจว่า จุดนี้คือนิพพาน ก็มาจบแค่นี้ ตลอดชีวิตเลยทำได้แค่ สงบ กับฟุ้งซ่าน สลับกันไป การปฏิบัติเพื่อหยุดความคิดทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสมถกรรมฐานครับ กดความคิดไว้ชั่วคราว ไม่สามารถละกิเลสได้จริง บุราณาจารย์กล่าวเปรียบไว้ประหนึ่งหินทับหญ้า มีหินทับอยู่หญ้าก็เฉา พอเอาหินออก หญ้าหรือความคิดฟุ้งซ่าน ก็เฟื่องฟูดังเดิม ศาสนาที่มีมาก่อนศาสนาพุทธเป็นพันเป็นหมื่นปีก็ไม่พ้นทุกข์ถาวร ทำได้แค่เอาหินทับหญ้า หรือใช้สมาธิกดความคิด กดกิเลสไว้ การที่มิได้เรียนรู้คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้นึกเอาเองว่า หากเข้าฌานสมาบัตินานไปถึงจุดหนึ่ง ก็จักหมดกิเลสไปเอง ก็ยิ่งพยายามฝึกสมาธิให้เข้มยิ่งขึ้น เข้าสมาธิกันเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปีก็มี บ้างก็เข้าใจว่า ตนหมดกิเลสแล้ว ที่ไหนได้ กำลังทรงฌานอยู่ พอฌานเสื่อมกิเลสก็เต็มหัวใจดังเดิม

นักปฏิบัติที่ไปผิดทางนี้มีให้เห็นดาษดื่นครับ สุดโต่งไปทรมานตนจนเจียนตายแล้วก็ยังไม่พ้นทุกข์เสียที ที่อินเดียตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีเพียบครับ พระบรมศาสดาของเราก็ทรงได้ทั้งสมาธิขั้นสูงสุด ทั้งเคยกระทำทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี ก็ไม่เห็นได้กระไรขึ้นมา

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางสว่างให้สรรพสัตว์ด้วยพระปัญญาอันยิ่งครับ ไม่มีทางที่เราจักนึก ๆ ฝัน ๆ หาวิธีหยุดความคิด หักสังสารวัฏได้เอง วิธีปฏิบัติง่าย ๆ สั้น ๆ ที่ทรงประกาศก็คือ

"รู้"

ใครจักไปนึกได้ครับว่า วิธีพ้นทุกข์มันจักง่ายดายถึงเพียงนี้ แค่ "รู้" ก็พ้นทุกข์ได้ ส่วนใหญ่ต้องไปหากระไรยาก ๆ ทำ ต้องยากมันถึงจักดูคลู ดูเจ๋ง ดูเท่ ดูไม่ธรรมดา ดูเป็นนักปฏิบัติมือฉกาจ ชั้นนี่นะ ทำอย่างนี้ อย่างนั้น ทำตั้งขนาดนั้น ขนาดนี้ เพื่อความพ้นทุกข์ แต่ก็ไม่พ้น เพราะยังมี "ชั้น" อยู่

การ "รู้" ที่พระพุทธองค์ตรัสนั้น มิใช่เข้าใจง่ายดายอย่างที่เรารู้ ๆ กันมา เรียนกันมาแต่เด็ก ต้องทำความเข้าใจกันนานเลยทีเดียว แต่ถ้าเข้าใจแล้ว บร๊ะ... ไมแม่มง่ายอย่างนี้เนาะ!!! และไม่วายต้องอุทานออกมาว่า "หลงโง่อยู่ตั้งนาน"

รู้ ที่ว่าเข้าใจยากนั้น ก็คือ รู้เฉพาะหน้า "อย่างเป็นกลาง" หรือ "อย่างไม่ยินดียินร้าย" ที่เราเจอกันส่วนใหญ่คือ เวลามีความสุขก็เพลินไปกับความสุข หลงไปกับความสุข ช่วงนี้ไม่รู้กระไรเลย หรือรู้แล้วหลงไปยินดี พอช่วงมีความทุกข์ ก็รู้สึกตัวขึ้นมานิดส์โหน่ย เช็ดดด... ทำไมมันทุกข์อย่างนี้ฟระ??? ทำไงให้พ้นทุกข์ดีฟระ???... รีบไปขวนขวายทำยังไงให้พ้นไป นี่ครับ รู้แล้ว แต่ไม่เป็นกลาง ไป "ยินร้าย" กับความทุกข์ และทางพ้นทุกข์ที่คิดได้ก็คือ หาทาง "หนี" ไปจากทุกข์ด้วยการไปหากระไรเพลิน ๆ ทำ หรือไปคิดกระไรอย่างอื่นเพลิน ๆ หนีอย่างไรก็ไม่พ้นทุกข์ครับ ทางพ้นทุกข์แท้จริงคือแค่ "รู้" อย่างไม่ยินดียินร้าย ซัดกับทุกข์มันตรง ๆ เลย ไม่ต้องไปหาทางหนีไปไหน

อาจรู้สึกว่า "แล้วใครจักไปทำได้ครับ การ "รู้" เฉย ๆ แบบไม่ยินดียินร้าย ไม่ชอบแล้วก็ไม่เกลียด สภาวะทุกข์นั้น ๆ??๋?" ทำได้ครับ แต่ต้องอาศัยสมถกรรมฐานช่วย ทำสมาธิจนจิตตั้งมั่นแล้ว การ "รู้" เฉย ๆ ทำได้ไม่ยาก

ตามรู้ไปเรื่อย ๆ จนที่สุด ทุกข์ก็ดับไปเอง คราวหน้าทุกข์มาอีก ก็ดูอีก ทำซ้ำ ๆ จนที่สุดเกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาว่า "เชี่ยะเอ้ยยย... ทุกข์แค่ไหน เดี๋ยวแม่มก็ผ่านไป" คราวนี้เจอทุกข์กี่ครั้งก็ใช้ความรู้อัตโนมัตินี่ละครับ "เดี๋ยวแม่มก็ผ่านไป" ถ้าร้องเป็นเพลงป๋าเบิร์ดก็ต้องร้องว่า "สิ่งดี เลวร้ายเพียงไร ผ่านมาาาาา แล้วก็ต้องไป" ไม่มีกระไรอยู่กับเราถาวร ตรงนี้ต่างหากที่พาให้พ้นทุกข์ได้จริง มิใช่การนั่งทำสมาธิตัวแข็งทื่อเป็นชั่วโมง ๆ พูดง่าย ๆ คือ "ปลง" ด้วยปัญญา (ปัญญา คือ ไตรลักษณ์)

ความจริงทุกข์นี่เป็นของดีนะครับ ทุกข์เสียให้หนำใจ ถึงจักเกิดความเพียรในการค้นหาทางออกจากทุกข์อย่างแรงกล้า จักได้มีแรง ตามรู้ตามดูไปเรื่อย แม้สุขเข้ามาก็ไม่ประมาท ทุกข์เข้ามาก็เห็นว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทำความเพียรมันเรื่อยไป

คนเราล่วงทุกข์ด้วยความเพียรครับ ไม่ใช่อย่างอื่น!!!

รักเอยไม่สมหวังละหรือ? บางคนเขาแนะให้ปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ปุโถววว์... นั่นก็คือ "ผล" เช่นกันครับ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราได้รับคำแนะนำฉลาด ๆ กันแทบทุกวัน แต่ก็ไม่เคยทำใจได้ อยากพ้นจากทุกข์จริง ต้องใส่ใจ "วิธีปฏิบัติ" ครับ และลองลงมือปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง ปฏิบัติถึงแล้ว จิตมันปล่อยวางเองละครับ ไม่ต้องไปคาดคั้นให้มันวาง ง่าย ๆ ก็ลองเริ่มจากหาที่สงบ ๆ แล้วอยู่กับตัวเองให้มาก ๆ ตามรู้ตามดูอารมณ์จิตของเราไปเรื่อย ๆ

หรือถ้าการปฏิบัติธรรมมันยากเกินไป ก็ควรดับที่เหตุ ทุกข์เพราะผิดหวัง ก็เลิกหวังเสียสิ ก็จักไม่ผิดหวังตลอดกาล หรือแม้มีหวังเข้ามา ก็อย่าไปหวังกระไรให้มากนัก เผื่อใจไว้บ้าง รู้แล้วนี่ว่า ความหวังมันมาพร้อมกับความผิดหวัง ไม่ให้หวังไม่ได้ละหรือ? ก็เลิกรักเสียสิ! เลิกไม่ได้ก็รักให้มันน้อย ๆ หน่อย เพราะที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์ รักมากก็ทุกข์มาก รักน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่รักเลย ก็ไม่ทุกข์เลย นั่นละ... อิสระที่แท้จริง!!!!

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

แด่ทุกท่านที่ผิดหวังในความรักครับ UndecidedUndecidedUndecided

ปล.๑ พุทโธ แปลว่า "รู้" ครับ

ปล.๒ การตามรู้ เรียกเป็นภาษาแขกว่า "จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน"

ปล.๓ สงสัยไหมหล่ะครับว่า ทำไมแม้คนใกล้ชิดอย่างพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเอง ยังโปรดไม่ได้ เพราะหินก้อนนั้นเธอกำเองครับ ไม่มีใครไปแงะมือเธอให้เลิกกำหินได้นอกจากตัวเธอเอง เธอต้องวางเอง ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้บอกวิธีวางเท่านั้น เชื่อหรือไม่ วางได้หรือไม่ เธอต้องเป็นคนทำของเธอเอง

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons