วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม ๘. ดินแดนสัปปายะ

20140413_135226

บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม

๘. ดินแดนสัปปายะ

หลังจากธุดงค์ที่แก่งคอย ก็เลาะเลียบมาตามอรัญแนวป่า ถึง ปากช่อง ดินแดนที่เคยปกคลุมที่ดงพญาไฟ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น ดงพญาเย็น ดินแดนแห่งนี้ แต่เดิมนั้นเป็นที่สัญจรของพระอริยเจ้า จนถึงพระธุดงค์ที่กำลังแสวงหาความหลุดพ้น บางรูปก็มามรณภาพ ในดงนี้ เนื่องจากไข้ป่าบ้าง หรือดับขันธ์ไปตามกาลเวลาบ้าง จึงมีจิต วิญญาณที่เป็นทิพย์ท่องเที่ยวอยู่เป็นอันมาก

เมื่อไปปักกลดอยู่ริมน้ำลำตะคอง ใต้กอไผ่ ก็ได้พบพรอริยเจ้า ผู้ชราภาพมาแวะเยี่ยมเยียน บอกอุบายธรรมที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น แสดงว่าจิตวิญญาณอันเป็นอมตะธาตุ ทรงกุศลกรรม มิได้สูญหายไป ไหน ยังมีครูบาอาจารย์ที่มรณภาพไปนานแสนนาน คอยปรากฏกายให้ผู้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ได้เกิดความเชื่อมั่น เกิดปัญญาอยู่เสมอ

เราเดินทางกันต่อไป จนแยกทางเข้าด่านขุนทด ตัดออกชัยภูมิ จนถึงอำเภอภูเขียว ซึ่งมีป่าเขาลำเนาไพรมากขึ้น และเต็มไปด้วยหมอก ขาว ปกคลุมไปทุกหย่อมหญ้า เนื่องจากเป็นฤดูหนาว

ชาวนากำลังระดมกันเก็บเกี่ยวข้าว แต่ชาวบ้านที่พานพบนั้น มี ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาน้อยมาก แต่เขายินดีถวายทาน บิณฑบาต ให้พอดำเนินชีวิตท่องธุดงค์ต่อไปได้

ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บเช่นนี้ เราก็พากันเข้าไปบำเพ็ญ ภาวนาอยู่ในถ้ำ ที่ให้ความอบอุ่นดีกว่ากลางแจ้ง เราไม่ได้กำหนดว่า ถ้ำ นั้นชาวบ้านเขาเรียกว่าอย่างไร สักแต่ว่าเป็นถ้ำ มีช่องอากาศถ่ายเทได้ ไม่ อับชื้น ป้องกันหมอกหรือน้ำค้าง และให้ความอบอุ่นได้ ก็เป็นอันพอใจ

แม้กระนั้น พอเวลาใกล้ค่ำ อาตมาซึ่งเป็นสามเณรก็เที่ยวไปหา ไม้แห้งอันมีอยู่มากมาย ทั้งท่อนเล็กและท่อนใหญ่ เข้ามาเก็บสะสมไว้ ในถ้ำ พอค่ำลงก็จัดการก่อไฟ ใกล้ที่ปักกลดอยู่ในถ้ำชั้นในไว้กองหนึ่ง ก่อไว้ที่ข้างกลดอาตมา ซึ่งอยู่ใกล้ปากถ้ำอีกกองหนึ่ง เพื่อความอบอุ่นเพิ่มขึ้น

สำหรับที่กางกลดนั้น แม้จะเป็นในถ้ำ ก็ต้องแอบไปข้างใดข้างหนึ่ง อย่าไปกางปิดปากถ้ำและขวางทางเดิน เพราะตามทางเดินนั้น ย่อมมีจิต วิญญาณหรือโอปปาติกะ เดินเข้าเดินออกอยู่เสมอ

ตอนย่างเข้าสู่บริเวณหน้าถ้ำ ก็ได้เห็นเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ อารักขเทวา มายืนเรียงรายกันอยู่หลายท่าน และยิ้มแย้มด้วยเมตตา แสดงอาการ ต้อนรับ เมื่อตาเห็นยังไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง ต่อมาสำรวมใจ ก็รู้ขึ้นมาเองว่า องค์นั้นองค์นี้เป็นใคร เห็นหลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านหยุดยืนสงบอยู่ ท่าน คงเห็นอย่างอาตมา จึงได้หยุดด้วย แล้วแผ่เมตตาธรรมก่อน เสร็จแล้ว ก็ส่งจิตบอกว่า ที่มานี้ไม่ได้มุ่งหวังสมบัติพัสถานสิ่งใดที่อาจมีอยู่ ณ สถานที่นี้ แต่ต้องการจะมาหาความวิเวก บำเพ็ญภาวนาเพื่อแสวงหา ธรรม อันเป็นทางหลุดพ้น เห็นทุกองค์พากันยิ้มพยักหน้า จึงพากันเดิน เข้าไปสู่ภายในถ้ำ

เมื่อลึกเข้าไป ก็ได้เห็นแสงสว่างเป็นลำยาว ผ่านช่องหินบนยอด เขาลงมา ทำให้เกิดแสงระยิบระยับ เป็นประกายจากหินย้อยที่ห้อยระย้า เป็นช่อชั้นหลืบกั้น ดังวิสูตรม่านอันงดงาม และมีพระพุทธรูป ขนาด หน้าตักกว้าง ๓ ศอก เป็นองค์ประธาน สีทองงดงามด้วยพุทธลักษณะ

นอกนั้นก็มีพระพุทธรูปองค์เล็กองค์น้อย เรียงรายลดหลั่นกันเป็น ระเบียบ บางองค์ก็เป็นพระสัมฤทธิ์ บางองค์ก็เป็นพระเงินขาวผ่อง บางองค์ก็เป็นทองคำสุกปลั่ง บางองค์ก็แกะด้วยไม่โพธิ์ ประมาณเกือบ ร้อยองค์ มีบาตรลูกหนึ่ง บรรจุเต็มด้วยพระเครื่อง ทำด้วยผงว่านสีน้ำตาล อ่อน ก็ได้แต่ดูด้วยตา แสดงว่าถ้ำนี้ เคยเป็นที่กราบไหว้บูชามาแต่โบราณ ควรเลื่อมใสศรัทธาจรรโลงใจให้เบิกบานยิ่งนัก หลวงพ่อท่านเรียกถ้ำ แห่งนี้ว่า "ถ้ำพระ" และบอกว่า เคยมาปฏิบัติอยู่ที่นี่เป็นเวลาเดือน กว่า จึงไม่ใช่ผู้แปลกหน้าสำหรับผู้อารักขาที่นี่

ที่ถ้ำแห่งนี้ เป็นที่สงบสงัดควรแก่การเจริญภาวนายิ่งนัก เดินจาก ถ้ำไปทางทิศตะวันออก ประมาณ ๒ กิโลเมตร ก็จะพบหมู่บ้านประมาณ ๓๐ หลังคาเรือน

ทราบมาว่าบรรพบุรุษของเขา ได้พากันอพยพจากเวียงจันทน์ มาตั้ง รกรากอยู่ เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว ประกอบอาชีพทำนาทำสวน พอได้อาศัย ดำรงชีวิตอยู่ ไม่มากมายอะไรนัก เพราะพื้นที่จำกัด มีเขาล้อมรอบเป็น ส่วนมาก แต่ชาวบ้านก็ดูมีความสุขสบาย พอใจในความเป็นอยู่ของตน

เวลาบิณฑบาต พวกชาวบ้านก็ทำบุญใส่บาตรให้ โดยเฉพาะเขา ใส่แต่ข้าวเหนียวเปล่า และมีชาวบ้านผู้ชายอายุประมาณ ๕๐-๖๐ ปี สองคน ช่วยกันรับกับข้าวของกินจากชาวบ้าน หาบตามมาส่งถึงถ้ำ ชาวบ้าน เหล่านี้คุ้นเคยกับท่านอาจารย์มาก่อน จึงนับว่าถ้ำแห่งนี้เป็นที่สัปปายะ พอสมควร…

ตกตอนเย็นประมาณ ๕ โมง ชาวบ้านหญิงชายส่วนมากมีอายุ มากแล้ว จะมีหนุ่มสาวก็ ๒-๓ คนตามมาด้วย รวมกันประมาณ ๒๐ กว่าคน เข้ารับศีลและฟังธรรมจากท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์อุปัชฌาย์ถามว่า "เป็นอย่างไรโยม ยังปฏิบัติทำสมาธิ กันอยู่หรือเปล่า"

"ตั้งแต่หลวงพ่อจากไปเมื่อปีก่อน ก็ปฏิบัติกันมาไม่ขาด ลูกหลาน บางคนเขาก็พากันปฏิบัติด้วย"

"ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไรล่ะโยม"

"จิตใจมันก็สงบเย็น อิ่มเอิบ บ่ค่อยมีเรื่องยุ่งยากเดือดร้อน ลูก หลานก็เป็นคนดี ว่านอนสอนง่าย เอาแฮงเฮ็ดการงานดีอยู่ ฝนฟ้าก็ดี ทำ นาทำไร่บ่อดบ่อยากอย่างแต่ก่อน…หลวงพ่อมาเยี่ยมมายามก็อบอุ่นใจหลาย"

"ปฏิบัติกันแค่นี้ก็ดีอยู่ แต่ยังบ่พอนะโยม ต่อไปก็ให้ปฏิบัติให้ มากขึ้น เพราะจิตใจนั้น มันมีกิเลสเข้ามารบกวนหลาย ต้องคอยชำระ สะสางให้มันมั่นคงบริสุทธิ์ให้มากขึ้น ให้ถึงมรรคถึงผล ให้พ้นความทุกข์ จริงๆ หมู่โยมอย่าพากันประมาท ความตายจะมาถึงยามใดก็บ่ฮู้ ต้อง เอาสวรรค์นิพพานให้ได้ก่อนตาย จึงจะดีจะชอบ ตั้งหน้าปฏิบัติต่อไป เถอะ พระพุทธเจ้าท่านย่อมคุ้มครอง บ่ให้อดให้อยากหรอก"

ชาวบ้านป่าที่นี่ นับว่ารู้เรื่องศีลธรรมดีพอสมควร ท่านอาจารย์ เคยธุดงค์มาสั่งสอนเมื่อปีก่อนๆ อาศัยที่เขาเป็นคนซื่อ มีศรัทธา มีความ เชื่อถือ สอนอย่างไรเขาก็ทำตาม

ระหว่างที่พักอยู่ที่ถ้ำนี้ ตกเย็นชาวบ้านหญิงชายจะมาฟังธรรม เสร็จแล้วก็แยกย้ายไปนั่งสมาธิ บางวันก็มาน้อย บางวันก็มามาก แล้ว แต่เขาจะมีธุระอื่นหรือไม่ ถ้าเป็นวันพระ ก็มามากเป็นพิเศษ พอตกค่ำก็ พากันกลับ จุดใต้ส่องทางไปเป็นแถว ท่านอาจารย์และอาตมาจึงมีเวลา ปฏิบัติมากพอสมควร และจิตใจได้รับความสงบเยือกเย็นเป็นอันมาก

เหตุที่พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านยินดีในการแสวงวิเวกอยู่ตาม ป่าเขานั้น ก็เพราะธรรมชาติของป่าเขา มีความสงบอยู่ครึ่งหนึ่งแล้ว ใน ป่าเขาไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่มีสิ่งเย้ายวนล่อตาล่อใจ นอก จากเสียงจักจั่นเรไร เสียงน้ำไหลในลำห้วย เสียงกระรอก กระแตและ นกร้อง จึงมีแต่ความสงัดเงียบ

บางทีเสียงธรรมชาติเหล่านี้ เราก็หยุดนิ่ง จนจิตของเราสงบไปเอง ยิ่งตอนกลางคืนแล้ว สงบจนรู้สึกว่ากายเบาและจิตเบาไปหมด แม้แต่ ร่างกายที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ มันก็เหมือนไม่มี มีแต่ตัวรู้คือสติเท่านั้น

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons