วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม ๒๐. เปิดประตูนรก

20130919_121133

บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม

๒๐. เปิดประตูนรก

เคยมีท่านเจ้าอาวาสหลายแห่ง ได้มาถามข้อสงสัยในความแตกต่าง ระหว่างวัดของท่าน กับวัดที่อาตมาอยู่ ก็ได้ให้ข้อคิดไปว่า การที่วัดของ ท่านขัดสนกันดาร ไม่ค่อยมีผู้สนใจเข้าไปทำบุญให้ทาน ทั้งที่เป็นวัด เหมือนกัน มีภิกษุสามเณรอยู่เช่นกัน สาเหตุก็ขึ้นอยู่กับตัวท่าน และ ภิกษุสามเณรเอง มักจะย่อหย่อนในธรรมวินัย ไม่ยึดถือศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักปฏิบัติ อยู่กันแบบหลวงตาเฝ้าวัด จึงไม่ทำให้ชาวบ้านเขาเกิด ศรัทธาเลื่อมใส พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ธรรมย่อมรักษาคุ้มครอง ผู้ปฏิบัติธรรม สาวกของพระตถาคต เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่ ย่อมไม่ประสบ ความอดอยาก ดังนั้นทางที่ถูกที่ควร จึงต้องพากันปฏิบัติธรรม พระธรรม ก็จะเลี้ยงดูเรา

ตอนแรกหลวงพ่ออาจารย์ได้กล่าวว่า

“การเป็นสมณะเพียงการอุปสมบท นุ่งเหลืองห่มเหลือง ท่องเจ็ด ตำนาน สิบสองตำนานได้ ให้ศีล อ่านใบลานแล้วเทศน์ให้โยมเขาฟัง จะได้ ชื่อว่าเป็นสมณะก็หาไม่ จะต้องปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เคร่งครัดอยู่ใน พระธรรมวินัยด้วย ต้องรู้จักรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต้องเจริญสมาธิให้ จิตตั้งมั่น มีสติ เพื่อเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมด้วย จึงจะได้ชื่อ ว่าเป็นสมณะ เป็นเนื้อนาบุญของชาวบ้านอย่างแท้จริง

การอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น อย่าคิดว่าบวชตาม ประเพณี จะได้บุญ ได้ขึ้นสวรรค์เพียงเท่านั้น ถ้าบวชแล้วมิได้ปฏิบัติ ตามธรรมวินัย มิได้เจริญสมาธิเพื่อแสวงหาความหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็เท่ากับเราอยู่ในความประมาท มีโอกาสจะลงนรกได้ง่ายนัก ศีล ๕ ที่ท่านเคยให้ชาวบ้านสมาทานนั้น ถ้าเราทำผิดเสียเอง ละเมิดเสียเอง จะเป็นบาปสักแค่ไหน ขอให้รู้ว่า บุญบาปมีจริง นรกสวรรค์มีจริง ทำ กรรมสิ่งใดไว้ ย่อมจะได้รับผลของกรรมนั้น พระพุทธศาสนาของเรา ถือกรรมเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มีการกระทำ ก็จะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น

การเทศน์ธรรมให้ชาวบ้านฟัง หรือตามที่เขานิมนต์ไป ท่านถือว่า เป็นการให้ธรรมเป็นทาน สืบต่อพระประสงค์ของพระบรมศาสดา ท่านจึง ใช้คำว่าโปรดสัตว์ ช่วยผู้อื่นให้เห็นความจริง ไม่มัวเมาอยู่ในกิเลสตัณหา เมื่อโปรดสัตว์ก็ไปหวังผลอะไรไม่ได้ ใครไปหวังโลภอยากได้ เครื่อง กัณฑ์บูชาธรรมของเขา ก็เป็นบาปถึงตกนรก ไปได้รับทุกข์ทรมานแสน สาหัส ท่านเชื่อไหมว่านรกสวรรค์มีจริง”

หลวงพ่ออาจารย์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วหันมาทางอาตมาบอกว่า

“คุณช่วยเปิดนรก ให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายเห็นหน่อยซิ เอา แค่พระเทศน์เพื่อหวังลาภ จะได้รับผลอย่างไรก็พอ”

เจ้าอาวาสทุกวัดหันมามองอาตมาด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าจะเปิด นรกอย่างไร จึงได้เรียนกับท่านว่า

“พระคุณเจ้า…นิมนต์นั่งในท่าสมาธิ หลับตาลง ทำจิตให้สงบ อย่านึกอย่าคิดอะไรทั้งสิ้น ประเดี๋ยวผมจะเปิดนรกให้ดู”

พระคุณเจ้าทั้งหมด พากันกระทำตาม เมื่อพิจารณาวารจิตของ แต่ละรูปว่า จิตสงบดีแล้ว อาตมาก็เริ่มเปิดนรก ทำให้มโนภาพของ พระคุณเจ้าเหล่านั้น เป็นภาพขึ้น

แดนนรกนั้น เป็นสถานที่อันกว้างใหญ่ มองไปทางไหน ก็เห็นแต่ เปลวไฟ แลบเลียอยู่ทั่วไป จนรู้ได้ถึงความร้อนแรงกว่าไฟใดๆ ที่มีอยู่ ในมนุษย์โลกนี้ ควันไฟกระจายไปทั่ว ประดุจหมอกดำและขาวปกคลุม ออกไปเป็นระยะไกล ไม่สามารถจะมองเห็นได้ทั่วถึง นอกจากจะเข้าไป ใกล้ๆ

ทันใดนั้น ก็เกิดภาพที่ชัดเจนปรากฏเฉพาะหน้า เป็นภาพภิกษุ รูปหนึ่งครองจีวรเรียบร้อย ท่าทางสำรวม นั่งอยู่บนธรรมาสน์ปิดทอง ประดับด้วยกระจกสีต่างๆ แวววาวน่าเลื่อมใส ในมือทั้งสองประคอง ใบลานเทศน์ อยู่ในระดับหน้าอก ปากก็เทศน์ส่งเสียงก้องกังวาน

เพียงชั่วขณะหนึ่ง กลับมีไฟติดพรึ่บขึ้นที่ใบลานธรรม ไหม้จน ใบลานธรรมมอดลง แล้วลุกลามไปที่ปาก ที่ตัว ไฟยิ่งลุกโพลงขึ้นจนท่วม แล้วร่างภิกษุนักเทศน์ก็ไหม้ดำ กลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่ง เป็นที่น่าสังเวช สลดใจยิ่งนัก

สักพักหนึ่งกองขี้เถ้า ก็กลับเป็นรูปร่างอย่างเดิมขึ้นมาใหม่ แล้วไฟ ก็ติดใบลานอีก เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า นับเป็นหมื่นครั้ง ทุกข์ ทรมานสาหัสเพราะไฟลวกเผาให้ปวดแสบ เพราะความโลภในเครื่อง กัณฑ์เทศน์ คิดแต่จะให้เขาถวายปัจจัยมากๆ พยายามเทศน์ให้ถูก ใจคนฟัง

เพียงความโลภอยากได้กัณฑ์เทศน์ มีผลเห็นปานนี้ ก็ที่พวกอ้าง ว่าเป็นอุบาสกอุบาสิกา พากันกระทำผิดคิดมิชอบ เช่น ยักยอกเอาเงิน ที่เขาอุทิศถวาย สร้างโบสถ์ศาลาไปใช้ส่วนตัว หยิบฉวยเอาของวัดที่ไม่ ได้รับอนุญาต และอีกมากมาย จะได้รับผลกรรมสักเพียงไหน

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า”

ก็ด้วยเหตุนี้ ผลบาปนี้มันน่าสะพรึงกลัวสยดสยองจริงหนอ เรามา บวชแล้ว กินของอันชาวบ้านเขาถวาย หมายจะส่งเสริมให้มีโอกาสปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบ เพื่อเป็นเนื้อนาบุญของเขาแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ จะบาปกรรม สักแค่ไหน เราเป็นผู้ประมาทโดยแท้ ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะทรงเมตตา ก็ คงช่วยเราไม่ได้ เพราะเราไม่ช่วยตัวเอง

“พระคุณเจ้า ออกจากสมาธิลืมตาได้แล้ว”

อาตมาบอกด้วยเสียงเรียบๆ อ่อนโยน พร้อมกันนั้นหลวงพ่ออาจารย์ ได้ถามขึ้นว่า

“พระคุณเจ้า…รู้สึกอย่างไรบ้าง นรกมีจริงไหม นี่เป็นเพียงเปิด ทางให้เห็นเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าท่านพากเพียรปฏิบัติกรรมฐาน ด้วยตนเอง ก็จะเห็นด้วยตนเองชัดเจนยิ่งกว่านี้”

ท่านเจ้าอาวาสทุกรูปต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นนั่งคุกเข่า กราบหลวงพ่อ อาจารย์ แล้วหันมาพร้อมกับพนมมือให้อาตมา พูดเหมือนนัดกันว่า

“ต่อไปนี้ กระผมจะขอปฏิบัติพระกรรมฐาน ตั้งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเคร่งครัด กินข้าวสุกชาวบ้านเปล่าๆ มานานแล้ว บาป คงจะเกาะอยู่เต็มตัว ของหลวงพ่อและท่านอาจารย์ จงสั่งสอนให้พระ กรรมฐานแก่กระผมด้วย”

เป็นอันว่า เจ้าอาวาสทุกวัดภายในตำบล ได้พากันหันมาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ฝึกสมาธิกันจริงจัง ตามความคิดที่ได้คิดกันไว้ อันการปฏิบัติ ธรรมนี้ ไม่เหมือนวิชาความรู้ที่กำหนดเป็นชั้น เป็นเวลา ชั้นประถมจะ สำเร็จในกี่ปี มัธยมจะสำเร็จในกี่ปี มหาวิทยาลัยจะสำเร็จในกี่ปี จะได้ รับประกาศนียบัตรหรือปริญญา แสดงว่าเรียนจบแล้ว

การปฏิบัติธรรมย่อมขึ้นอยู่กับความเพียรพยายาม ความมานะ อดทน และวาสนาบารมีที่สร้างสมมาในอดีตชาติ หรือสร้างขึ้นใหม่ใน ปัจจุบันชาติ บางท่านปฏิบัติวันเดียว หรือ ๗ วัน ๗ ปีจึงสำเร็จ แต่ที่ แน่นอน เมื่อปฏิบัติไปโดยติดต่อสืบเนื่อง กล้าเสียสละแม้แต่ชีวิต จะเป็น จะตายก็ไม่ย่อท้อ ไม่เสียดายอาลัยในชีวิต จะช้าหรือเร็วก็ต้องบรรลุผล แน่นอน

พระพุทธเจ้าของเรา ท่านทรงสร้างสมบารมีมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ แม้ในชาติสุดท้าย จะได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณ ก็ต้องใช้เวลาถึง ๖ ปี ยากที่ ใครจะทำได้ และไม่มีใครทำมาก่อนเลย แล้วเราจะมาเหยาะแหยะ ไม่เอา จริง จะสำเร็จได้อย่างไร

และเมื่อสำเร็จแล้ว ก็รู้ได้เฉพาะตน จะมาเอายศ เอาเกียรติ เอา โด่งดังก็ไม่ได้อย่างชาวโลก ถ้าเรามีเมตตาปรารถนาจะช่วยเพื่อนร่วมโลก ที่อยู่ในกองทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ก็เพียงแต่เอาคำสั่งสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ทรงกล่าวไง้ดีแล้ว และเราได้รู้เห็น มาบอก แก่ชาวโลกเท่านั้น

คำสอนนั้นเป็นแต่วิธีการปฏิบัติเพื่อถึงความพ้นทุกข์ ส่วนใครจะ เชื่อถือปฏิบัติตามหรือไม่ ก็สุดแต่ตัวเขา เราไม่มีอำนาจใดๆ จะไป บังคับหรือหยิบยื่นผลการปฏิบัติให้แก่เขาได้ การขยายเผยแพร่ธรรมปฏิบัติ จึงต้องการเวลา

ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะแห่งอัตตะโน นาโถ คือ ต้อง พึ่งตนของตนเอง ช่วยตัวเอง ไม่มีพระเจ้าองค์ใดจะช่วยได้ ไม่ว่าจะจุด ธูปเทียนถวายดอกไม้สักการะจนเสียงแหบแห้ง หรือหัวใจจะแตกสลาย จนสายเลือดแทบจะนองแผ่นดิน

ท่านทั้งหลายเอ๋ย…ขึ้นชื่อว่าทุกข์นั้น บางทีเราก็มองไม่เห็นว่าเป็น ทุกข์ จงพิจารณาการดำเนินชีวิตของตน ให้เห็นเสียก่อนว่า มันเป็น ทุกข์อย่างไร น่าเหน็ดเหนื่อยเบื่อหน่ายแค่ไหน ทรมานจิตใจเพียงใด

แม้เห็นแล้ว เรามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทนต่อทุกข์นั้นได้ เราก็คงจะ ขวนขวายที่จะหาทางขจัดทุกข์ หรือหนีทุกข์ให้พ้นได้ เพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันครอบงำให้เห็นเป็นเช่นนั้น

ดังนั้นจะต้องทำจิตให้สงบ ตั้งมั่น ทำจิตให้ว่างเปล่า ให้อยู่เหนือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ขันธ์ ๕ ให้ได้เสียก่อน นั่นแหละ จึงจะเห็น ว่า กองทุกข์นั้นใหญ่เท่าภูเขาหลวง เราจะกวาดมันออกไปได้อย่างไร?

การเปิดนรกสวรรค์ ทำให้พระคุณเจ้าของวัดต่างๆ ในตำบล ได้ ตระหนักถึงผลบุญผลบาป แล้วน้อมนำให้ท่านเหล่านั้นหันมาปฏิบัติธรรม สมาธิอย่างจริงใจ

วิธีนี้อาตมาจึงเห็นว่า น่าจะเป็นวิธีที่จะเผยแพร่กับคนที่ยังมีจิต หยาบ ไม่เชื่อถือ ให้เขาเชื่อถือได้ อาตมาจึงได้นำมาใช้กับคนอื่นๆ ตามความเหมาะสม

ดังนั้นเมื่อจะชักจูงจิตใจให้เขาเป็นผลแห่งคุณความดี ยินดีในทาน ในศีล ก็ให้เขาได้เห็นภาพสวรรค์วิมาน เทพยดานางฟ้าที่ได้ไปเสวยสุข เพราะเหตุนั้นๆ

แต่เมื่อจะทรมานคนที่มีจิตใจหยาบ ไม่เชื่อถือพระพุทธศาสนา ถือว่า เป็นมิจฉาทิฐิ เห็นว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบาปก็ไม่เกิดผล ตายแล้ว ไม่ไปเกิดอีก ก็จะแสดงนรกให้เขาเห็นผลกรรมที่เขาได้กระทำขึ้น ก็จะ ได้รับผลดีตามสมควร

ที่ว่าตามสมควรนั้น ก็เพราะว่าในชาติก่อน บางคนไม่ได้สะสมบุญ วาสนามาเลย เป็นสัตว์นรกเพิ่งพ้นโทษมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในชาตินี้ จิตยังมืดมน ไม่รู้ถูกรู้ผิด ถึงจะแนะนำอย่างไร เขาก็ไม่ยอมรับความเชื่อ เรื่องบุญบาปได้โดยง่าย

ทั้งนี้ก็เหมือนเรือที่สร้างด้วยไม้ เอาเกลือบรรทุกไปจนเต็มลำ ไม้ก็ ไม่รู้จักว่ารสเกลือเป็นอย่างไร เป็นพวกมามืดไปมืด เป็นดอกบัวที่อยู่ใน โคลนตม นับแต่จะเป็นเหยื่อของเต่า ปู ปลา อย่างเดียว

บางคนพ้นโทษทุกข์จากนรก จากในอดีตชาติมาแล้ว มีบุญหนุน ส่งอยู่บ้าง ก็พอรู้ดีรู้ชั่ว แบบหลับๆ ตื่นๆ พอจะสอดแทรกความผิดถูก เข้าไปได้บ้าง

บางคนมีวาสนาบารมีทำไว้จากอดีตชาติดีพอสมควร แต่ยังไม่เต็ม เปี่ยม เพียงสะกิดให้รู้ก็ยินดีในการปฏิบัติ

บางคนไม่ต้องมีใครสะกิดให้รู้ แต่เมื่อถึงเวลา เขาก็เข้าหาธรรม ปฏิบิติได้เอง

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons