ถึงเราจะเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์
ที่เขาลือกันว่าเป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้า
เป็นมหาโพธิสัตว์ หรือ องค์คุณใดๆ เป็นนั้นนู้นนี้
ในที่สุดแล้วความดีหรือผลของท่านก็เป็น..
ความดีหรือผลของท่าน
ความดีหรือผลของท่าน
ไม่ใช่ความดีหรือผลของเรา
ฉะนั้น ..
การที่ได้เข้าใกล้อาจารย์เพียงอย่างเดียว
ยังไม่เพียงพอ
การที่ได้เข้าใกล้อาจารย์เพียงอย่างเดียว
ยังไม่เพียงพอ
ที่จะช่วยให้จิตใจพ้นไปจากสมมุติจากใจเรา
ขึ้นมาได้ มันคือการคลายจากสิ่งยึดถือ
มันอยู่ที่เราเองแต่ละคน
ขึ้นมาได้ มันคือการคลายจากสิ่งยึดถือ
มันอยู่ที่เราเองแต่ละคน
ท่านก็เป็นแต่ผู้ชี้บอก ให้หลุดพ้น
แต่ในที่สุดแล้วตัวเราเองต้องเป็น
ผู้พายเรือทวนกระแสแห่งสังสารวัฎ
แต่ในที่สุดแล้วตัวเราเองต้องเป็น
ผู้พายเรือทวนกระแสแห่งสังสารวัฎ
แม้นแต่พระพุทธเจ้าท่านเพียงชี้ให้ พาใครไปไม่ได้
เพราะสุดท้ายสุด ผู้ชี้ทาง ทั้งเรือ และผู้พายก็ไม่มี
ติดครู ติดเป็นศิษย์ ติดศรัทธา ติดความดี
ล้วนเป็นกระแสยึดเหนี่ยว ผูกพัน มิอาจหลุดพ้นได้
เพราะสุดท้ายสุด ผู้ชี้ทาง ทั้งเรือ และผู้พายก็ไม่มี
ติดครู ติดเป็นศิษย์ ติดศรัทธา ติดความดี
ล้วนเป็นกระแสยึดเหนี่ยว ผูกพัน มิอาจหลุดพ้นได้
***หรือ ต่อให้เกาะชายจีวรของพระพุทธเจ้า***
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้ว่าภิกษุจับชายสังฆาฏิตามหลัง
ย่างเท้าตามทุกก้าว
ภิกษุนั้น ก็ยังอยู่ไกลเราโดยแท้
และเราก็อยู่ไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม ผู้ไม่เห็นธรรม
ย่อมไม่เห็นเรา"
ถ้าแม้ว่าภิกษุจับชายสังฆาฏิตามหลัง
ย่างเท้าตามทุกก้าว
ภิกษุนั้น ก็ยังอยู่ไกลเราโดยแท้
และเราก็อยู่ไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม ผู้ไม่เห็นธรรม
ย่อมไม่เห็นเรา"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้ว่าภิกษุนั้น อยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์
ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าอยู่ใกล้เราโดยแท้
และเราก็อยู่ใกล้ภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะภิกษุนั้นเห็นธรรม ผู้เห็นธรรม ย่อมเห็นเรา"
ถ้าแม้ว่าภิกษุนั้น อยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์
ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าอยู่ใกล้เราโดยแท้
และเราก็อยู่ใกล้ภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะภิกษุนั้นเห็นธรรม ผู้เห็นธรรม ย่อมเห็นเรา"
"ผู้ใดเห็นเราด้วยรูป วอนเราด้วยเสียง
ผู้นั้นดำเนินมิจฉาวิถี มิเห็นด้วยตถาคต"
ผู้นั้นดำเนินมิจฉาวิถี มิเห็นด้วยตถาคต"
"ใดใดที่วาจาว่าไว้ ล้วนมิใช่ความหมายตัวแท้"
"ที่กล่าวอ้างได้มิใช่ธรรมะ ที่กล่าวนามได้มิใช่นามจริง"
"ที่กล่าวอ้างได้มิใช่ธรรมะ ที่กล่าวนามได้มิใช่นามจริง"
"รูปเสียงอันสามารถแปรเปลี่ยนใจคนได้
นั่นคือปลายเหตุ ธรรมะซึ่งฟ้าค้ำจุนไว้
ปราศจากเสียง ปราศจากกลิ่น
เป็นที่สุดแห่งรูปนามทั้งปวง"
นั่นคือปลายเหตุ ธรรมะซึ่งฟ้าค้ำจุนไว้
ปราศจากเสียง ปราศจากกลิ่น
เป็นที่สุดแห่งรูปนามทั้งปวง"
"ไม่มีผู้เห็น หรือ ผู้ถูกเห็น ไม่มีผู้พูด หรือ สิ่งที่ถูกพูด
รูปกายและพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นเพียงปรากฎการณ์ของจิต
ผู้ใดเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง หาได้เห็นตคาถตไม่
เช่นเดียวกันกับ ผู้ที่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง
" ผู้ที่เห็นตถาคตได้ จะมีแต่ผู้ที่ล่วงพ้นการดำรงอยู่ "
( ลังกาวตารสูตร พระสูตร )
รูปกายและพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นเพียงปรากฎการณ์ของจิต
ผู้ใดเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง หาได้เห็นตคาถตไม่
เช่นเดียวกันกับ ผู้ที่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง
" ผู้ที่เห็นตถาคตได้ จะมีแต่ผู้ที่ล่วงพ้นการดำรงอยู่ "
( ลังกาวตารสูตร พระสูตร )
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า
" ธรรมะที่ตถาคตแสดงนั้นมิใช่ธรรมะ
แม้ว่าตถาคตจะตรัส แต่ก็มิมีสิ่งใดที่ถูกแสดง "
" ธรรมะที่ตถาคตแสดงนั้นมิใช่ธรรมะ
แม้ว่าตถาคตจะตรัส แต่ก็มิมีสิ่งใดที่ถูกแสดง "