รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ถูกหรือไม่ในการปฏิบัติ - มุมมือใหม่ คำถามมีว่า
...รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ถูกหรือไม่ในการปฏิบัติ เช่น กำลังหั่นผัก ก็รู้ว่ากำลังหั่นผัก กำัลังเดิน ก็รู้ว่ากำลังเดิน กำลังนั่งก็รู้ว่ากำลังนั่ง และอื่น ๆ อีก เป็นต้น ...
คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีและละเอียดอ่อนมากครับ และ เป็นสิ่งที่พาคนฝึกใหม่หลงเข้าป่าไปมากต่อมาก จากที่ผมได้อยู่ในแวดวงกรรมฐานมานาน ผมพบว่า มีหลายสำนัก หลายอาจารย์ที่สอนกันอย่างในคำถามทุกประการ โดยการยกนำเอาพระไตรปิฏก สติปัฏฐานสูตร หมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในเรื่อง อิริยาบทบรรพ มาเป็นข้ออ้างอิง
ผมเขียนอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผมกำลังโต้แย้งคำสอน โต้แย้งพระไตรปิฏก ผมไม่ได้โต้แย้งครับ ผมเห็นด้วยทุกประการ แต่ผมกำลังจะบอกท่านมือใหม่ว่า ถ้าท่านเข้าใจเรื่องนี้ไม่ตรง ท่านจะปฏิบัติผิดทันทีครับ
มันจะผิดเหมือนกับ superman ที่ใส่กางเกงในไว้ข้างนอก แต่คนทั่วไปใส่กางเกงในไว้ข้างใน ถ้าดูตามเสื้อผ้า มีครบเหมือนกัน คือ มีทั้งกางเกงในและกางเกงนอก แต่ผิดที่ sequence ของการใส่กางเกงครับ
ขอให้ท่านมือใหม่ ลองดูอย่างนี้ก่อนก็ได้ครับ
ถ้าท่านมือใหม่หั่นผักอยู่ และรู้ว่ากำลังหั่นผัก ท่านมือใหม่จะหั่นผักไม่ได้ดีเลย เพราะมันไม่เป็นธรรมชาติครับ เช่นเดียวกัน ถ้าคุณมือใหม่กำลังเดิน แล้วรู้ว่ากำลังเดิน คุณมือใหม่จะเดินอย่างไม่เป็นธรรมชาติและจะมีการเกร็งขึ้นทันที
ขอให้คุณมือใหม่โปรดเข้าใจด้วยครับ การปฏิบัติธรรม ถ้าต้องไปทำอะไรที่ผิดธรรมชาติของคุณแล้วละก็ มันไม่ใช่ทางที่ตรงแน่นอนครับ
ผมจะขอกล่าวในแง่การปฏิบัติให้คุณมือใหม่ได้เห็นภาพครับ
ถ้าคุณมือใหม่กำลังทำอะไรอยู่ เช่น หั่นผัก เดิน อาบน้ำ ขอให้ทำด้วยความรู้สึกตัวก็พอครับ .... ไม่ต้องเกินเลยไปที่ว่า ... ให้รู้ว่า กำลังหั่นผัก ให้รู้ว่ากำลังเดิน ให้รู้ว่ากำลังอาบน้ำ นี่เกินเลยไปแล้ว มันไม่เป็นธรรมชาติเลยครบ และจะกลายเป็นพยายามที่จะไปจ้องการกระทำนั้นๆ อยู่
ทีนี้ คุณมือใหม่ก็อาจสงสัยต่อไปแล้ว ถ้ามันไม่เป็นธรรมชาติ แล้วทำไมในพระไตรปิฏก หรือ สำนักต่าง ๆ สอนกันอย่างนั้นละ
เรื่องนี้ ผมจะบอกคุณมือใหม่ว่า เมื่อคุณมือใหม่ฝึกฝนอยู่ ให้ฝึกฝนอย่างเป็นธรมชาติก็พอครับ แต่เมื่อคุณมือใหม่ฝึกฝนอย่างเป็นธรรมชาติไปมาก ๆ เข้า จะมีขบวนการเกิดขึ้นทางจิตใจ กล่าวคือ จิตรู้ เขาจะมีกำลังและแยกตัวออกมาจากสิ่งทีถูกรู้ ซึ่งอาการแยกตัวนี้ในตอนนี้คุณมือใหม่ยังไม่เกิดอาการนี้ขึ้นครับ
ทีนี้พอจิตรู้เขาแยกตัวออกมาได้จากสิ่งที่ถูกรู้แล้ว เจ้าจิตรู้นี้แหละครับ บางครั้ง (เป็นบางครั้งครับ ไม่ใช่เป็นทุกครั้ง ) เขาจะไปจ้องดูการกระทำของร่างกายเอง โดยที่คุณมือใหม่ไม่ได้สั่งเลย เมือร่างกายคุณมือใหม่ทำอะไร เช่น กำลังหั่นผัก กำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังอาบน้ำอยุ่ จิตรู้นี้จะไปจ้องมองการกระทำของร่างกายเองโดยอัตโนมัติ ซึงการที่จิตรู้เขาดำเนินไปเองเช่นนี้ ก็จะตรงกับสิ่งทีกล่าวในคำสอน และในพระไตรปิฏครับที่ว่า เมื่อทำอะไรอยู่ให้รู้ว่ากำลังทำสิ่งนั้น ๆ อยู่
เมื่อจิตรู้ เขาดำเนินการรู้เอง โดยที่คุณมือใหม่ไม่ได้ต้องการ ไม่ได้สั่ง มันจะเป็นธรรมชาติของจิตรู้เอง
...รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ถูกหรือไม่ในการปฏิบัติ เช่น กำลังหั่นผัก ก็รู้ว่ากำลังหั่นผัก กำัลังเดิน ก็รู้ว่ากำลังเดิน กำลังนั่งก็รู้ว่ากำลังนั่ง และอื่น ๆ อีก เป็นต้น ...
คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีและละเอียดอ่อนมากครับ และ เป็นสิ่งที่พาคนฝึกใหม่หลงเข้าป่าไปมากต่อมาก จากที่ผมได้อยู่ในแวดวงกรรมฐานมานาน ผมพบว่า มีหลายสำนัก หลายอาจารย์ที่สอนกันอย่างในคำถามทุกประการ โดยการยกนำเอาพระไตรปิฏก สติปัฏฐานสูตร หมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในเรื่อง อิริยาบทบรรพ มาเป็นข้ออ้างอิง
ผมเขียนอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผมกำลังโต้แย้งคำสอน โต้แย้งพระไตรปิฏก ผมไม่ได้โต้แย้งครับ ผมเห็นด้วยทุกประการ แต่ผมกำลังจะบอกท่านมือใหม่ว่า ถ้าท่านเข้าใจเรื่องนี้ไม่ตรง ท่านจะปฏิบัติผิดทันทีครับ
มันจะผิดเหมือนกับ superman ที่ใส่กางเกงในไว้ข้างนอก แต่คนทั่วไปใส่กางเกงในไว้ข้างใน ถ้าดูตามเสื้อผ้า มีครบเหมือนกัน คือ มีทั้งกางเกงในและกางเกงนอก แต่ผิดที่ sequence ของการใส่กางเกงครับ
ขอให้ท่านมือใหม่ ลองดูอย่างนี้ก่อนก็ได้ครับ
ถ้าท่านมือใหม่หั่นผักอยู่ และรู้ว่ากำลังหั่นผัก ท่านมือใหม่จะหั่นผักไม่ได้ดีเลย เพราะมันไม่เป็นธรรมชาติครับ เช่นเดียวกัน ถ้าคุณมือใหม่กำลังเดิน แล้วรู้ว่ากำลังเดิน คุณมือใหม่จะเดินอย่างไม่เป็นธรรมชาติและจะมีการเกร็งขึ้นทันที
ขอให้คุณมือใหม่โปรดเข้าใจด้วยครับ การปฏิบัติธรรม ถ้าต้องไปทำอะไรที่ผิดธรรมชาติของคุณแล้วละก็ มันไม่ใช่ทางที่ตรงแน่นอนครับ
ผมจะขอกล่าวในแง่การปฏิบัติให้คุณมือใหม่ได้เห็นภาพครับ
ถ้าคุณมือใหม่กำลังทำอะไรอยู่ เช่น หั่นผัก เดิน อาบน้ำ ขอให้ทำด้วยความรู้สึกตัวก็พอครับ .... ไม่ต้องเกินเลยไปที่ว่า ... ให้รู้ว่า กำลังหั่นผัก ให้รู้ว่ากำลังเดิน ให้รู้ว่ากำลังอาบน้ำ นี่เกินเลยไปแล้ว มันไม่เป็นธรรมชาติเลยครบ และจะกลายเป็นพยายามที่จะไปจ้องการกระทำนั้นๆ อยู่
ทีนี้ คุณมือใหม่ก็อาจสงสัยต่อไปแล้ว ถ้ามันไม่เป็นธรรมชาติ แล้วทำไมในพระไตรปิฏก หรือ สำนักต่าง ๆ สอนกันอย่างนั้นละ
เรื่องนี้ ผมจะบอกคุณมือใหม่ว่า เมื่อคุณมือใหม่ฝึกฝนอยู่ ให้ฝึกฝนอย่างเป็นธรมชาติก็พอครับ แต่เมื่อคุณมือใหม่ฝึกฝนอย่างเป็นธรรมชาติไปมาก ๆ เข้า จะมีขบวนการเกิดขึ้นทางจิตใจ กล่าวคือ จิตรู้ เขาจะมีกำลังและแยกตัวออกมาจากสิ่งทีถูกรู้ ซึ่งอาการแยกตัวนี้ในตอนนี้คุณมือใหม่ยังไม่เกิดอาการนี้ขึ้นครับ
ทีนี้พอจิตรู้เขาแยกตัวออกมาได้จากสิ่งที่ถูกรู้แล้ว เจ้าจิตรู้นี้แหละครับ บางครั้ง (เป็นบางครั้งครับ ไม่ใช่เป็นทุกครั้ง ) เขาจะไปจ้องดูการกระทำของร่างกายเอง โดยที่คุณมือใหม่ไม่ได้สั่งเลย เมือร่างกายคุณมือใหม่ทำอะไร เช่น กำลังหั่นผัก กำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังอาบน้ำอยุ่ จิตรู้นี้จะไปจ้องมองการกระทำของร่างกายเองโดยอัตโนมัติ ซึงการที่จิตรู้เขาดำเนินไปเองเช่นนี้ ก็จะตรงกับสิ่งทีกล่าวในคำสอน และในพระไตรปิฏครับที่ว่า เมื่อทำอะไรอยู่ให้รู้ว่ากำลังทำสิ่งนั้น ๆ อยู่
เมื่อจิตรู้ เขาดำเนินการรู้เอง โดยที่คุณมือใหม่ไม่ได้ต้องการ ไม่ได้สั่ง มันจะเป็นธรรมชาติของจิตรู้เอง