ถาวรในตัวมนุษย์ พุทธศาสนาถือว่า “มนุษย์” แต่ละคนนั้นประกอบด้วย ”รูปและนาม” หรือการรวมกันเข้าของรูปกับนาม จึงมีชื่อเรียกว่ามนุษย์ สภาพที่แท้จริงของมนุษย์คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
ทรรศนะของปรัชญาปัจจุบันกล่าวว่า ชีวิตนับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่พึงศึกษาเพราะหากรู้เรื่องอื่นๆ มากมายแต่ไม่รู้เรื่องชีวิตของตนเองแล้วก็นับว่ายังไม่สมบูรณ์ เพราะจะมีอะไรเล่าจะสำคัญเท่ากับชีวิต ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่า มนุษย์เกิดมาจากการตั้งครรภ์ของมารดา ซึ่งเกิดจากการผสมกันระหว่างอสุจิและไข่ จากนั้นก็จะวิวัฒนาการไปตามลำดับจนกลายเป็นตัวทารก ซึ่งทรรศนะทางวิทยาศาสตร์ก็เห็นตามที่ได้ทดลองมา ซึ่งเชื่อว่าอสุจิเป็นเซลล์สืบพันธ์ของบุรุษที่เกิดมีขึ้นในต่อมเพศ เมื่อมีการร่วมเพศกันอสุจิจะถูกฉีดเข้าไปในช่องคลอดของเพศหญิงครั้งหนึ่งๆประมาณ ๒๐๐–๔๐๐ ล้านตัว แต่มีอสุจิเพียงตัวเดียวเท่านั้น จะมีโอกาสผสมกับไข่ อสุจิมีขนาดเล็กมากโดยมีขนาดประมาณ ๐.๐๐๓ มิลลิเมตรเท่านั้นไข่ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธ์ของผู้หญิงเป็นเซลล์ๆเดียวและมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๐.๑๕ มิลลิเมตรใหญ่กว่าเซลล์ของเพศชาย ประมาณ ๑๙๕,๐๐๐ เท่า
การปฏิสนธิเกิดขึ้นโดยส่วนหัวของอสุจิเจาะผ่านเยื่อหุ้มรังไข่เข้าไปผสมกับไข่แล้วก็จะรวมกับนิวเคลียสเดียว ไข่ก็จะเกิดเป็นเซลล์ใหม่ เซลล์ใหม่จะเจริญเติบโตขึ้นแล้วแบ่งตัวออกแบบทวีคูณคือจาก ๑ เป็น ๒ จาก ๒ เป็น ๔ จาก ๔ เป็น ๘ จาก ๘ เป็น ๑๖ ...ไปเรื่อยๆ หลังจากตั้งครรภ์ได้ ๒-๓ วัน เซลล์กำเนิดจะเจริญเติบโต แล้วแบ่งตัวออกจนกลายเป็นกลุ่มเซลล์เล็กๆที่เชื่อมโยงกันอย่างหลวมๆ กลุ่มเซลล์จะค่อยๆ เคลื่อนลงไปทางหลอดมดลูกของมารดา และฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกแล้วเยื่อบางๆหรือรกก็จะเกิดขึ้น ต่อจากนั้นก็จะกลายเป็นตัวอ่อนในครรภ์และได้รับอาหารจากมารดา โดยผ่านทางรกเข้าไปทางสายสะดือ เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตนานพอสมควร ปกตินานประมาณ ๙ เดือน ก็จะคลอดออกมาเป็นทารกแล้วเจริญเติบโตเป็นเด็ก และเป็นผู้ใหญ่ต่อไป
เพลง1.วัดแดนปฏิบัติธรรม - นพคุณ อรุณรุ่ง