วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

สามาวดีตอนที่ 6

samaมาพิสูจน์กันครับว่า พระไตรปิฎกน่าเบื่อหรือไม่ ก่อนอื่นขอขมาพระรัตนตรัยกันไว้ก่อน

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง ฯสัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ

ความตอนที่แล้ว มาถึงตอนที่สุนัขแสนรู้ หัวใจสลายตายแล้ว ไปจุติบนสวรรค์ชื่อว่า "โฆสกเทพบุตร" เสวยทิพยวิมานอยู่ได้ไม่นานก็เคลื่อน ด้วยความสิ้นอาหาร เพราะมัวแต่บริโภคกามคุณอยู่

ในเทวโลกนั้น ก็มีการตายอยู่เช่นกัน แต่เขาไม่เรียกว่า ตาย เขาเรียกว่า เคลื่อน หรือ จุติ ก็เหตุแห่งการเคลื่อนจากเทวโลกนั้น มี ๔ ประการ ดังนี้

๑. ด้วยความสิ้นอายุ คือ เทพบุตรองค์ใดทำบุญไว้มาก ครั้นเสวยผลบุญอย่างหนึ่งสิ้นแล้ว ก็ไปจุติในเทวโลกชั้นสูง ๆ ขึ้นไป เช่นนี้เรียกว่า เคลื่อนด้วยความสิ้นอายุ

๒. ด้วยความสิ้นบุญ คือ เทพบุตรองค์ใด ทำบุญไว้น้อย ครั้นเสวยผลบุญที่ได้ทำไว้จนสิ้นแล้ว ก็ต้องลงมาเสวยผลกรรมอื่นที่เคยทำไว้ จุติเป็นมนุษย์บ้าง สัตว์ในอบายภูมิบ้าง

๓. ด้วยความสิ้นอาหาร คือ เทพบุตรองค์ใด มักมากในกามคุณ จนลืมกินอาหาร ไม่มีสติ มีกายอ่อนล้า ที่สุดก็เคลื่อน เพราะความสิ้นอาหาร

๔. ด้วยความโกรธ คือ เทพบุตรองค์ใด ไม่ตั้งอยู่ในคุณธรรม หิริ โอตตัปปะ ขึ้งโกรธ อิจฉา ริษยา เทพบุตรอื่น ที่มีเทวสมบัติยิ่งกว่าตน เทพบุตรนั้นก็เคลื่อนแล้วด้วยความโกรธ

ความเห็นส่วนตัว *นี่เองสิ่งอัศจรรย์ของศาสนาพุทธ ท่านแจงไว้ว่า แม้ตายจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว กิจของเราก็ยังไม่จบ ยังต้องสั่งสมบุญกุศล ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ส่วนศาสนาอื่น มักเชื่อว่า จบจากภูมิมนุษย์แล้ว ก็ถือว่า จบกิจแล้ว ไปเสวยสุขกับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ถ้าทำความดี หรือ เสวยทุกข์ในนรกชั่วนิรันดร์ ถ้าทำความชั่ว ความเชื่ออย่างมิจฉาทิฏฐิเช่นนี้ เมื่อตายไป เขาก็พบสิ่งที่เขาเชื่อนั่นแหละ คือขึ้นสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้า หรือศาสดาของเขา (บนสมมุติฐานว่า คนที่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ย่อมไม่ทำความชั่ว ให้เกินความดี) แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ "ความไม่ประมาท" พอเขาพบความสุข ที่ยิ่งกว่าความสุขบนโลกมนุษย์ ชนิดเทียบกันไม่ได้เลย ก็หลงระเริงอยู่กับความเป็นทิพย์ ไม่มีใครมาบอกว่า ความเป็นทิพย์นี้ไม่ได้มีอยู่ชั่วกาลปาวสานหรอกนะ เขาไม่ทราบ ก็ไม่สนใจฟังธรรม ก็ไม่สนใจสร้างบุญสร้างกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้น นั่นเองคือ "ความประมาท" ปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย เช่นนี้ ก็อาจกล่าวได้อีกนัยว่า ความประมาทเป็นหนทางแห่งความเคลื่อนจากเทวโลก บางคนเชื่อว่า เป็นเทวดา ทำบุญไม่ได้ ต้องลงมาทำบุญที่โลกมนุษย์เท่านั้น ซึ่งความจริง เขาจะมีการแสดงธรรมกันทุกวันพระ ที่เทวสภา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็การฟังธรรมนั้นเอง เป็นบุญ เป็นกุศล หรืออย่างในพระไตรปิฎก ก็มีตัวอย่างอยู่หลายตอน เช่น ตอนพระอินทร์ปลอมลงเป็นคนแก่ยากจนเข็ญใจ มาใส่บาตร พระมหากัสสัปปะ ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ เป็นต้น ที่เขาว่า โลกมนุษย์น่าอิจฉานั้น เป็นเพราะ ภูมิมนุษย์นั้น ทำบุญน้อย แต่ได้บุญมาก ส่วนภูมิอื่น ๆ นั้น ไม่ได้บุญมากเท่าในภูมิมนุษย์ แต่หาใช่ว่า เป็นเทวดาแล้ว จะทำบุญไม่ได้เลย แม้โมทนาบุญที่เหล่ามนุษย์ได้กระทำ ก็ได้บุญเช่นกัน กรณีของโฆสกเทพบุตรนี้ เคลื่อนเพราะความมักมากในกามคุณ มัวแต่เสพกาม ลืมกินอาหาร (ทั้งที่ในเทวโลก แค่นึกว่าจะกิน ก็อิ่มแล้ว ด้วยความเป็นทิพย์) นั่นแสดงถึงหลักฐานอีกอันหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยตรัสตอบไว้ สมัยที่เหล่าสาวกมาทูลถาม เรื่องจริยาอันไม่เรียบร้อยของพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เมื่อเดินมาเจอลำรางเล็ก ๆ แทนที่จะถกสบงขึ้นพองาม แล้วเดินข้ามไป กลับขัดเขมรโดดข้ามไปเลย ปกติสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้สำรวมในอินทรีย์ เหตุไฉนพระอัครสาวกจึงมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า พระสารีบุตรนี้ เคยเกิดเป็นลิงอยู่หลายชาติ จึงติดนิสสัยในอดีตชาติมา มีเพียงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ละนิสสัยได้ และอีกตอนหนึ่ง ได้ทรงตอบข้อสงสัยของเหล่าภิกษุ ที่ไม่พอใจพระปิลินทวัจฉะ ผู้เป็นเอตทัคคะ ด้านเป็นที่รักใคร่ของเทพยดา ว่าเหตุใดท่านจึงชอบเรียกผู้อื่นว่า วสละ ซึ่งแปลว่า คนถ่อย พระพุทธเจ้าทรงวิสัชชนาว่า พระปิลินทวัจฉะนี้ เคยเกิดเป็นพราหมณ์สูงชาติอยู่ ๕๐๐ ชาติ จึงติดนิสสัยเรียกคนอื่นด้วยอาการดูถูกเช่นนั้น เจตนาท่านไม่มี โฆสกเทพบุตรนี้ เมื่อสมัยเป็นคน ก็กินข้าวมูมมามตะกละตะกราม จนเป็นเหตุให้ท้องอืดตาย ครั้นมาจุติเป็นเทพบุตรแล้ว ก็ยังไม่ละนิสสัยนั้น เฝ้าเสพกามจนลืมกินอาหาร จนต้องเคลื่อน ดังนี้เอง*

ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว โฆสกเทพบุตรก็ไปปฏิสนธิในท้องแห่งหญิงงามเมือง(ปัจจุบัน คือ โสเภณีนั่นละ) ในมาบุญครองซิตี้(กรุงโกสัมพี) เป็นธรรมดาที่ตระกูลหญิงงามเมืองนั้น จะไม่เลี้ยงลูกชาย เพราะหาประโยชน์อะไรมิได้ แม่ของเธอจึงสั่งให้หญิงรับใช้ เอาเธอไปทิ้งข้างทาง ให้นก กา สุนัข จิกกินเสีย สัตว์ทั้งหลายยืนรุมดูเธออยู่ เดชะบุญของเด็กชายโฆสก อำนาจแห่งบุญที่เคยเห่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความรัก บัดนี้ทำให้สัตว์ทั้งหลายไม่สามารถทำอันตรายแก่เธอได้ ชายผู้หนึ่งเห็นนกกาสุนัขจับกลุ่มรุมดูอะไรอยู่ เลยเข้าไปดู พอเห็นเด็ก ก็เกิดความหลงรักขึ้นทันที เก็บเด็กไปเลี้ยง อุทานว่า "เราได้ลูกชายแล้ว"

1_displayความเห็นส่วนตัว *เด็กชายโฆสกมาจุติในท้องของหญิงงามเมือง (หญิงงามเมืองสมัยก่อน เป็นอาชีพที่ได้รับการนับหน้าถือตามาก ไม่เหมือนสมัยนี้ ร่ำรวยมาก ต้องรับแขกบ้านแขกเมือง บางทีค่าตัวสูงถึง ๑,๐๐๐ กหาปนะ หรือ ๑,๐๐๐ ตำลึง) และถูกแม่เอาไปทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ก็ผลจากที่เธอเคยทิ้งลูกไว้ในอดีตชาติ โชคยังดี ที่ชาติถัดมา เธอไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน (ถ้าตายแบบปกตินี่ ไปนรกก่อนชัวร์) ได้ทำกุศลกรรมใหญ่ (คือการเห่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความรัก) กุศลกรรมนั้นได้ติดตามช่วยเหลือไปทุกชาติ นี่ละ ที่เขาว่ากันว่า ให้ทำบุญละลายบาป ความจริงแล้ว อกุศลกรรมที่ทำแล้ว ไม่สามารถลบล้างได้ ทำกรรมชั่ว ก็ต้องได้รับกรรมชั่วตอบแทน จะทำกรรมดีมาชดใช้ หักล้างกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทำบุญไว้เรื่อย ๆ เวลาผลกรรมชั่วมาสนอง ก็จะทุเลาลง ดังจะได้สาธยายต่อไป*

ครั้งนั้นเศรษฐีในมาบุญครองนคร เดินอาด ๆ จะเข้าไปในวังอย่างพ่วงพี พบปุโรหิต หรือหมอดูฟันธง ประจำสำนักพระราชวัง เห็นได้โอกาสไม่ต้องกด ๑๙๐๐ ให้เสียตังค์ฟังเทพธิดาพยากรณ์ นาทีนึงตั้ง ๙ บาท เลยโบกไม้โบกมือเซย์ฮัลโหล แล้วแกล้งถามว่า "ท่านอาจารย์ วันนี้ท่านได้ตรวจดูดวงดาวนักษัตรดีแล้วหรือ"

หมอดูมือเก๋าฟังแล้วก็ทราบได้ทันทีว่า นี่คงจะมาหลอกดูดวงฟรีละสิท่า หลิ่วตานิดนึง แล้วตอบไปว่า "ดูเรียบร้อยแล้วท่าน วันนี้ไม่มีอะไร นอกจากเด็กที่เกิดวันนี้ ภายภาคหน้า จะได้เป็นเศรษฐีผู้ประเสริฐในเมืองนี้ ท่านมีอะไรจะปรึกษาก็..." หมอดูว่าดังนี้แล้ว เตรียมจะเสนอราคาค่าดูดวง

ฝ่ายเศรษฐีได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง ตาโต ไม่สนใจใยดีในหมอดูแม่น ๆ ที่กำลังควักไพ่ยิบซีขึ้นมา จะเสนอราคา หมุนตัวกลับหลังหัน ร้อยแปดสิบองศา เดินจ้ำอ้าวกลับบ้านทันที ครั้นถึงเรือนแล้ว ก็ให้คนใช้รีบไปดูภรรยาซึ่งครรภ์แก่ "เธอคลอดหรือยัง" เศรษฐีสั่ง เมื่อได้ความว่ายังไม่คลอด สมองกลอิเล็คทรอนิกส์ควบคุมด้วยไมโครโปรเซสเซอร์อัจฉริยะของเศรษฐี ก็ทำงานต่อทันที "ไม่ได้การ" แล้วเรียกหาคนใช้ชื่อกาลีมา แล้วให้เงินไป ๑,๐๐๐ กหาปนะ สั่งว่า "เจ้าจงไป ตรวจดูว่า มีเด็กคนใดเกิดวันนี้ แล้วซื้อเด็กนั่นมาด้วยเงิน ๑,๐๐๐ นี่" นางกาลีออกสืบทราบไป ก็ไปพบบ้านเด็กชายโฆสก ด้วยวิสัยคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ไม่อยากให้เจ้านายเสียตังค์เยอะ จึงเข้าขอซื้อเด็กด้วยราคา ๑ กหาปนะ (เทียบกับปัจจุบันคงราว ๆ ๔-๕พันบาท) ชายหนุ่มหลงรักเด็กทารกเสียแล้ว ด้วยเงินเพียงแค่นี้จะพรากเด็กน้อยไป ก็ปฏิเสธ นางกาลีจึงเพิ่มเงินให้เป็น ๑๐ กหาปนะ ๑๐๐ กหาปนะ และสุดท้าย ๑,๐๐๐ กหาปนะ ชายหนุ่มก็สบถว่า "money talk" (ใช่ซี้...เงินซื้ออะไรก็ได้นี่) แล้วก็ยื่นเด็กน้อยให้นางกาลีไปแล้วรับเงินมาอย่างเสียไม่ได้

เศรษฐีรับเด็กน้อยมาเลี้ยงในเรือนแล้ว คิดว่า "ถ้าลูกของเรา เกิดมาเป็นหญิง เราก็จะจับคู่ตุนาหงันเสีย เรือล่มในหนอง เงินทองนั้นจะไปไหน หากมาดแม้นลูกเราเกิดเป็นชาย เราจะส่งเด็กเวลล์นี่ไปเป็นอาหารจระเข้ซะ" ต่อมาภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย ผ่านไป ๒-๓ วัน เมื่องานรับขวัญลูกเสร็จสิ้น ก็มาคิดว่า "ถ้าไม่มีไอ้เด็กเวลล์นี่ ตำแหน่งเศรษฐีต้องตกเป็นของลูกเราอย่างไม่ต้องสงสัย" (สมัยก่อน ตำแหน่งเศรษฐี จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระราชา) ครั้นแล้วก็เรียกนางกาลีเข้ามาสั่งว่า "เจ้าจงเอาเด็กนี่ไปวางไว้หน้าคอกวัวเวลาเช้า ให้แม่วัวเหยียบมันเสียให้ตาย เจ้าจงดูให้แน่ใจว่ามันตายแน่ แล้วกลับมารายงาน" นางกาลีไปจัดการตามที่สั่ง พอนายโคบาลเปิดประตูคอก โคอุสภะ จ่าฝูงซึ่งปกติจะออกทีหลังเขา เดินนำหน้าออกมาก่อน ยืนคร่อมทารกไว้ โคทั้งหลายก็เบียดเสียดออกไปทางด้านข้างของโคอุสภะนั้น นายโคบาลเห็นแล้วก็คิดสงสัยอยู่ ก็เดินไปดูเห็นเด็กนอนอยู่ใต้ท้องโค เก็บขึ้นมาดู บังเกิดความรักขึ้นอย่างจับใจ นำกลับเรือนไป อุทานว่า "เราได้ลูกชายแล้ว" นางกาลีนำเหตุการณ์กลับไปรายงาน เศรษฐีให้เงินมาอีกพันหนึ่ง ให้ไปซื้อเด็กนั่นกลับมา นางกาลีก็ทำตามคำสั่ง

จบตอน ๖

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons