วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

หลักสูตรการศึกษาหาทางพ้นทุกข์อยู่ ๔ แผนกใหญ่by Dhammasarokikku

imagesCAVZH7SIในศาสนาพุทธนี้มีหลักสูตรการศึกษาหาทางพ้นทุกข์อยู่ ๔ แผนกใหญ่ ๆ ได้แก่

๑. แผนกตาบอดหูหนวก เรียกว่า "สุกขวิปัสสโก" แปลว่า บรรลุธรรมแบบแห้งแล้ง คือ ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติยันบรรลุธรรม มิได้เห็นสิ่งที่เกินจากตามนุษย์ปุถุชนเห็น พระพุทธเจ้าว่า นรกสวรรค์มีจริง นิพพานมีจริง เหล่าผู้ที่เลือกเรียนแผนกนี้ไม่มีโอกาสได้เห็น อาศัย "ศรัทธา" และ "ปัญญา" เป็นตัวตัดกิเลสไปเรื่อย ๆ จนบรรลุธรรม

๒. แผนกตาดี เรียกว่า "วิชชา ๓" หรือ "เตวิชโช" คงคุ้น ๆ กันมาบ้าง เพราะพระโคดมพุทธเจ้าของเรา เป็นพระอรหันตพุทธเจ้าวิชชา ๓ ท่านทั้งหลายที่เรียนแผนกนี้ตอนจบหลักสูตร จักสำเร็จวิชชาพิเศษ ๓ วิชชา ได้แก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ, จุตูปปาตญาณ และ อาสวักขยญาณ ซึ่งคงทราบกันแล้วว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณนั้นคือ ปรีชาหยั่งรู้อดีตชาติของตนและผู้อื่น อันนี้ต่างกันระหว่างพระพุทธเจ้า กับสาวก คือพระพุทธเจ้าพระองค์ระลึกชาติได้ไม่จำกัด ส่วนเหล่าสาวกระลึกได้ไม่เท่่าพระองค์

จุตูปปาตญาณ คือ ปรีชาหยั่งรู้ที่มาที่ไปของสัตวโลก ส่วนญาณสุดท้ายคืออาสวักขยญาณ คือปรีชาหยั่งรู้ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป สำหรับแผนกวิชชา ๓ นี้ หากยังไม่หมดกิเลส ยังเป็นฌานปุถุชน หรือโลกียฌานอยู่ จักเรียกว่า วิชชา ๒ ใน วิชชา ๓ คือขาดตัวสุดท้ายปรีชาหยั่งรู้ำอาสวะกิเลสให้สิ้นไปนั่นเอง

๓. แผนกเก่งไปหมด เรียกว่า "อภิญญา ๖" หรือ "ฉฬภิญโญ" แผนกนี้แสดงฤทธิ์ได้ทุกประเภท สิ่งที่ท่านได้เห็นในหนังยอดมนุษย์หลาย ๆ เรื่อง หากจบหลักสูตรอภิญญา ๖ นี้ ทำได้ยิ่งกว่าเหล่ายอดมนุษย์หลายเรื่องรวมกันเสียอีก เหาะแบบซุปเปอร์แมนก็ได้ เทเลพ็อตแบบมนุษย์แมลงวันก็ได้ ยกของหนักโดยไม่ต้องใช้มือแบบดาร์คเวเดอร์หรือแมกนีโต้ก็ได้ (อิทธิวิธี) แม้พ่นไฟหรือพ่นน้ำแข็งออกจากมือแบบ x-mens ไม่ได้ (และให้มีเล็บเหล็กยื่นออกมาจากมือแบบวูฟวารีนก็ไม่ได้เช่นกัน) แต่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ (กสิณไฟ) เรียกฝนไล่ฝนแบบสตอร์มได้ (กสิณน้ำ) ทำน้ำให้แข็งได้ (กสิณดิน) ทำหินให้อ่อนได้ (กสิณน้ำ) อ่านใจคน (เจโตปริยญาณ) หรือรู้เหตุการณ์ในปัจจุบันแม้เกิดที่อื่นแบบครอบครัวพระเอก vampires eclipse ได้ (ปัจจุปันนังสญาณ) โดยไม่ต้องทำกระไรมากไปกว่า แค่นึก หรือพูด สิ่งที่เหนือธรรมชาติในสายตาคนทั่วไป ก็จักเป็นไปตามที่นึก หรือพูด แผนกนี้หากยังไม่ถึงโลกุตตระ (เหนือโลก) หรือยังไม่เป็นพระอริยเจ้า เรียกว่า อภิญญา ๕ ในอภิญญา ๖ (ขาดญาณตัวสุดท้ายคือ อาสวักขยญาณ ปรีชาหยั่งรู้ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป เหมือนแผนกวิชชา ๓) แผนกเก่งไปหมดนี้ แม้ดูอลังการงานสร้างแค่ไหน หากยังไม่ได้ญาณตัวสุดท้าย ก็ยังไม่พ้นนรก มีพระเทวทัตให้ดูเป็นตัวอย่าง แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง สุดท้ายก็ไปอยู่อเวจีมหานรก

imagesCAH271JA

จริยาของท่านผู้ฝึกอภิญญาทั้งที่ยังไม่สำเร็จ และสำเร็จแล้ว จักแปลกกว่าปุถุชนทั่วไป บางทีดูเวิกว๊ากหยาบคายจนดูไม่น่าเลื่อมใส แต่สำหรับท่านที่สำเร็จแล้ว จิตจักผ่องแผ้ว จริยาของท่านทำไปโดยปราศจากเจตนา หากแต่เป็นนิสสัยที่สั่งสมมาในการบำเพ็ญบารมีแต่ละชาติ (กรณี "นิสสัย" ที่ละไม่ได้นี้มีพระสารีบุตรให้ดูเป็นตัวอย่าง ครั้งหนึ่งท่านเดินผ่านลำรางเล็ก ๆ แทนที่จักถกสบงขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินข้ามไปอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยสมกับเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ท่านกลับถกเขมรกระโดดแผล่วข้ามไป จนพระภิกษุที่ไม่เข้าใจไปทูลฟ้องพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสเฉลยว่า นี่เป็น "นิสสัย" ที่ละไม่ได้ เพราะพระสารีบุตรเกิดเป็นลิงเสียหลายชาติ มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ละ "นิสสัย" เดิมได้) พระที่ท่านได้อภิญญา ๖ แล้ว จึงมักเข้าป่า เพราะหากอยู่ในเมืองจักพาคนตกนรกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้ไม่เข้าใจจริยา อาจไปปรามาสท่าน ซึ่งเป็น ๑ ในพระรัตนตรัยเข้า

 

๔. แผนกเมพขริง ๆ เรียกว่า "ปฏิสัมภิทา" หรือ "ปฏิสัมภิทปัตโต" รวมเอาความสามารถของทุกแผนก แล้วแถมความสามารถพิเศษอีก ๔ อย่าง มีความเข้าใจภาษาสัตว์ หรือภาษาต่างชาติ โดยไม่ต้องใช้วุ้นแปลภาษาของโดราเอมอน เป็นต้น

วุ้นแปลภาษา

เอาละครับ ได้ข้อมูลเพิ่มเติมกันแล้ว มาลองพิจารณาคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหอยกันต่อ สมมุติว่า ญาณวิเศษหยั่งรู้กรรมของท่านเป็นของจริง (มีชื่อเฉพาะว่า ยถากัมมุตาญาณ ๑ ใน ญาณ ๘ เป็นชื่อของการรู้ผลกรรม คือรู้ว่าใครที่มีความสุขความทุกข์อยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นผลกรรมอะไร ตั้งแต่ชาติใด จะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด) ก็แสดงว่า ท่านอาจอยู่ในแผนกที่ ๒ หรือที่ ๓ (จริยาของผู้ฝึกแผนก ๒ และ ๓ ก็ดังที่กล่าวไปข้างต้น)

ในพระไตรปิฎกมีเขียนไว้ครับว่า ผู้ที่ปรามาสพระรัตนตรัย เมื่อแตกดับจากอัตภาพนี้แล้ว จักเข้าถึงวินิบาตนรก พระรัตนตรัยนั้นประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ กลับกันผู้ที่ทำบุญด้วยบูชาพระรัตนตรัยนั้น มีอานิสงส์ไม่มีประมาณ พระพุทธ พระธรรม นั้นเราคงทราบกันดีอยู่แล้ว พระอริยสงฆ์เล่า หน้าตาเป็นเยี่ยงไร?

พระอริยสงฆ์นั้นคือผู้ที่ละกิเลส ตัดสังโยชน์ (เครื่องร้อยรัดสัตวโลกไว้ในสงสารมี ๑๐ ประการ) ได้ไปตามลำดับ มีพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ เป็นที่สุด ไม่ขึ้นกับเพศ ชายก็เป็นได้ หญิงก็เป็นได้ เด็กก็เป็นได้ ผู้ใหญ่ก็เป็นได้ คนชราก็เป็นได้ ขอให้ละกิเลสตัดสังโยชน์ได้เหอะ เป็นพระอริยเจ้าได้ทั้งนั้น ฉะนั้นถามว่า อุบาสิกาคนนั้นสามารถเป็น "พระสงฆ์" ในพระพุทธศาสนาได้หรือไม่ ตอบได้เลยว่า "ได้" ครับ

ทีนี้ท่านใช่พระอริยะหรือเปล่า?

อันนี้ไม่สามารถทราบได้ครับ เพราะคนที่คุณธรรมต่ำกว่า จักไม่สามารถรู้คุณธรรมของคนที่มีคุณธรรมสูงกว่าได้ ยกเว้นว่า ท่านผู้อ่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา หรือเหนือกว่า ก็จักสามารถรู้คุณธรรมของอุบาสิกาท่านนี้ได้ว่า ท่า่นเป็นพระอริยะหรือไม่?

แล้วเราผู้ซึ่งยังไม่รู้ความจริง ศีล ๕ ก็ยังรักษาได้ไม่ครบ สมควรไปปรามาสท่านหรือไม่?

ไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง พระพุทธเจ้าทรงให้ปัจฉิมโอวาทซึ่งเป็นบทสรุปของพระธรรมคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ไว้ว่า หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิโว ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า วะยะธัมมา สังขารา สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลาย

จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด!!!

คำที่คนโบราณกล่าวไว้ว่า "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" นั้น ก็มีปัจฉิมโอวาทนี่แล เป็นประมาณ คือจักไปทราบได้อย่างไรว่า ท่านทรงคุณธรรมขั้นไหน หากท่านทรงคุณธรรมขั้นสูง ไปปรามาสท่านเข้า ก็มีสิทธิ์ลงนรกได้ไม่รู้ตัว สมัยหลวงตามหาบัวให้ความเห็นเกี่ยวกับการเมือง มีคนปรามาสท่านเยอะ แต่ที่สุดแล้ว "อัฐิธาตุ" เป็นตัวยืนยันครับว่า ท่านจบกิจหรือไม่ และถ้าท่านจบกิจแล้ว ก็มีคนไปเที่ยวนรกกันเพียบเลย ฉะนั้น ไม่ประมาทกันดีกว่าครับ ดูโทษของตัวเองดีกว่า อย่าไปดูโทษของคนอื่นกันเลย

ตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งเพิ่งผ่านไปเร็ว ๆ นี้ก็คือเรื่องของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชฺโช ปัจจุบันท่านแก้ข้อกล่าวหาได้ทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีสื่อแขนงใดแก้มลทินให้ท่าน ทั้งที่ตอนถูกกล่าวหาเขียนข่าวโจมตีกันให้สนุกมือ ซึ่งท่านเองก็ไม่ได้เดือดร้อน ดีเสียอีก ท่านจักได้เหนื่อยน้อยลง มีแต่คนที่ไปปรามาสท่านนั่นแล จักเดือดร้อนเองโดยไม่รู้ตัว (ปัจจุบันผู้กล่าวหาท่าน อยู่เมืองไทยไม่ได้ หนีไปอยู่เมืองนอกแล้ว และคอยดูเถิด กรรมที่ทำนั้นเป็นกรรมหนัก ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก ไม่นานเกินรอ ต้องได้เห็นผลอย่างชัดเจนเป็นแน่)

เรื่องลงวินิบาตนรกนี้ หลายปีก่อนก็มีพระนักปราชญ์ออกหนังสือปรามาสพระพุทธโฆษาจารย์ผู้รจนา "วิสุทธิมรรค" คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาโบราณเก่าแก่กว่าพันปีว่า เป็นเดียร์ถีย์ปลอมบวช ดัดแปลงคำสอนจนทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมไปจากประเทศอินเดีย ปัจจุบันท่านก็ได้ทดสอบสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นจริงเพียงไร

เรื่อง "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" นี่อ่านไม่ดี อาจกลายเป็นว่า "ช่างแม่ม" ไปให้หมดทุกเรื่องที่เกี่ยวกับชี เกี่ยวกับสงฆ์ ความจริงแล้ว ท่านมิได้ให้ละเลยครับ เราพุทธบริษัท ๔ ต้องคอยช่วยเหลือกัน เป็นหูเป็นตาให้พระศาสนา เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท มิใช่กระไร ๆ ก็วางเฉย ปล่อยวางกับละเลยนี่ไม่เหมือนกันนะครับ ปล่อยวางนี่ทำตามหน้าที่ แล้วก็ปล่อยวาง ละเลยนี่ไม่ทำตามหน้าที่ ไม่ทำกระไรเลย แล้วก็มาบอกว่า ฉันปล่อยวางแล้ว ฉะนั้นคำว่า "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" นี่ คืออย่าไปปรามาสท่านโดยตรงครับ หากสงสัยก็ตั้งคำถาม แจ้งผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องให้มาตรวจสอบ เมื่อผลการตรวจสอบเป็นเช่นไร เราก็ปล่อยวางว่า "กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ไม่ต้องไปแจมช่วยกันด่าทับถมให้จมธรณี นี่คือการทำหน้าที่ของพุทธบริษัทที่ดี

images2เอาละครับ ในฐานะที่ข้าพเจ้ามีโอกาสพบครูบาอาจารย์มากกว่าใครหลายคน มีข้อมูลดิบพอสมควร ทราบมาว่า ท่านผู้ตกเป็นข่าวนี้ทำบุญครั้งใดก็อธิษฐานว่า ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าทำนี้ำ ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตกาล ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนี้มีชื่อเฉพาะว่า "ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ" ส่วนผู้ที่ปรารถนาบรรลุธรรมตามคำสอนของผู้อื่นเรียกว่า "สาวกภูมิ"

ผู้ที่ปรารถนา "พุทธภูมิ" นี้ จักไม่สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ ได้ เว้นแต่ลาความปรารถนาในอดีตเสีย ซึ่งก็ตรงกับที่วิเคราะห์จากการดูคลิปไปหลายคลิปว่า บางครั้งคำพยากรณ์ก็ชัดเจน บางครั้งก็ไม่ เป็นเรื่องปกติของโลกียฌาน ฉะนั้นจึงสบายใจไปเปลาะหนึ่งว่า คงไม่ใช่พระอริยเจ้า

กระนั้นในทักขิณาวิภังค์สูตร แม้ไม่ได้ระบุถึงอานิสงส์แห่งทานที่ถวายแด่พระโพธิสัตว์ แต่ก็ได้กล่าวถึงผลของทักขิณาทานที่ให้เฉพาะแก่บุคคล ชื่อว่า ปาฏิปุคคลิกทาน ไว้ว่า ทำทานให้นักบวช "นอกศาสนา" ที่ได้อภิญญาสมาบัติ มีอานิสงส์เป็นรองจาก ทานที่ถวายแด่ผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน เหนือกว่าทานที่ให้แก่คนมีศีลเสียอีก

ลองกลับข้างกัน ไปปรามาสท่านผู้ได้อภิญญาสมาบัติ (ถ้าเธอได้จริง) ก็อาจมีผลเป็นรองแค่ปรามาสผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ก็เป็นได้

ทั้งนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ครับว่า อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก ข้าพเจ้าเป็นเพียงสาวกของพระองค์ ก็คงต้องว่าตามว่า ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ส่วนใครจักไปเชื่ออย่างไร ตัดสินใจทำอย่างไรกับชีวิต ก็เชิญตามอัธยาศัยครับ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ให้ข้อมูลประกอบการพิจารณา

คุ้มกันไหมหล่ะครับ? ถ้าท่านไม่ได้คุณธรรมจริง เป็นคนลวงโลก ปรามาสท่านก็ได้แค่สนุกปากไม่กี่ประโยคแล้วก็เสมอตัว แต่ถ้าท่านคือของจริง การสนุกปากแค่ไม่กี่ประโยค กลับกลายเป็นทุกข์เวทนาไปแสนยาวนาน เรื่องนี้ไม่อยากให้จบแค่นี้ด้วย อยากให้ดูเป็นอุทาหรณ์กับข่าวทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น (ไม่ด่วนเชื่อหรือสรุปกระไรง่าย ๆ โดยมิได้พิจารณา หรือมีข้อมูลจำกัด) โดยเฉพาะข่าวที่เกี่ยวกับพุทธบริษัท ๔

ก็แค่ไม่อยากให้ประมาทกันเท่านั้นเอง

เอวังด้วยประการฉะนี้ ฯ

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons