วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

ใครว่า พระไตรปิฎกน่าเบื่อ - นิทานอิงธรรมบท เรื่องพระนางสามาวดี ตอนที่ ๒ by Dhammasarokikku

samaมาพิสูจน์กันครับว่า พระไตรปิฎกน่าเบื่อหรือไม่

อนึ่ง การนำพระไตรปิฎกมาล้อเล่น เดี๋ยวข้าพเจ้าจะได้ไปนั่งแคะขี้มูกให้พระเทวทัต ข้างล่างนั่นก็แน่นเอียดแทบจะขี่คอกันอยู่แล้ว ต้องขอขมาพระรัตนตรัยไว้ก่อน

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

ข้าพเจ้าไม่มีเจตนา จะปรามาสเรื่องราวใด ๆ ในพระไตรปิฎกเลยขอรับ เพียงแต่อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง ในเวอร์ชั่นไม่ซีเรียสนัก ได้ข้อคิดนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ข้าพเจ้าขออนุญาต นำเรื่องในพระไตรปิฎกมาดัดแปลงชื่อตัวละครใหม่ แต่คงพล็อตเรื่องไว้ ใครใคร่เชื่อก็เชื่อครับ ใครใคร่อ่านเป็นนิทานก็ตามสบายครับ

เนื้อความตอนที่แล้วมาถึงตอนที่ พระราชเทวี คลอดบุตรเมื่อรุ่งเช้า จึงตั้งชื่อให้พระราชบุตรว่า "อุเทน"

ฝ่ายอัลปาก้าดาบสมีที่พำนักอยู่แถวนั้น ปกติถ้าฝนตก จะไม่เข้าไปหาอาหารในป่า เพราะอากาศในป่าจะเย็นจัด จึงเวียนมาหาเศษกระดูกที่นกไพราโนดอนกินเนื้อแล้วเหลือทิ้งไว้ เก็บไปต้มก็จะได้ซุปโอชารสยิ่งกว่า ต้มด้วยซุปก้อนคนอร์ ได้ยินเสียงทารกร้องอยู่ แหงนหน้ามอง เลยเห็นพระราชเทวียิ้มเผล่อยู่ จึงถามว่า "ท่านเป็นใคร" พระนางกล่าวว่า "ข้าพเจ้า เป็นหญิงมนุษย์"

อัลปาก้าดาบสนึกในใจ "เออ...รู้แล้วโว้ย ตาไม่ได้บอด" ทำเสียงเป็นปกติ (เดี๋ยวจะเสียเชิงสมณะ) แล้วถามต่อ "แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"

"นกหัสดีลิงค์นำข้าพเจ้ามา" พระเทวีตอบ

ดาบสบอก "งั้นท่านจงลงมา"

พระเทวีกรีดเสียงปากแหลม "โอ้ว...ม่าย...ไม่ได้หรอก ทำเช่นนั้นได้อย่างไร อันเราเป็นสาวเป็นแส้ ทั้งยังตระกูลสูงศักดิ์ ท่านมาเรียกเราลงไปเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ข้าพเจ้ามิอาจทำให้ชาติกำเนิดของข้าพเจ้าแปดเปื้อนได้" (ดูสิ...จะอดตายอยู่แล้ว ยังถือเนื้อถือตัว ขัตติยมานะนี่ แม้ตายก็ไม่ยอมเสียเกียรติ)

ดาบสทำหน้าเซ็ง ๆ แล้วถาม "แล้วท่านเป็นใคร"

พระเทวีเชิ่ดหน้าใส่แล้วว่า "อันเรานั้น เป็นหน่อเนื้อกษัตริย์"

ดาบสกระแอมเล็กน้อยเก็กเสียงหล่อแล้วว่า "แม้เราก็เป็นกษัตริย์"

พระเทวีคิดในใจ "ชิชะเชอะ หน้าตาอย่างท่านหรือ เป็นกษัตริย์" แล้วกล่าวว่า "เช่นนั้น ท่านจงแสดงหลักฐาน"

ดาบส เอาตราตั้งหยกเขียว "ฟ่งหวิ๋น" ขึ้นแสดง

พระเทวีตกใจก้มลงคารวะ "พระอาญามิพ้นเกล้า... ข้าน้อยบังอาจล่วงเกินท่าน ข้าน้อยสมควรตาย"

ดาบส "มิเป็นไร ๆ ลุกขึ้นเถิด เจ้าไม่รู้ ย่อมไม่มีความผิด"

พระเทวี "ขอท่านจงขึ้นมานำทารกลงไปเถิดเพคะ แม้ข้าน้อยมิอาจลงไปเองได้เพคะ"

อัลปาก้าดาบส ก็เอาไม้พาดทำเป็นบันได ปีนขึ้นไปรับลูกของนาง "อย่าถูกต้องตัวข้า" พระเทวีประกาศ (ดูซี ยังถือตัวไม่ลดราวาศอก) ดาบสก็ระวังไม่ถูกต้องตัวนางเลย พระนางก็ตามดาบสลงมา แล้วตามดาบสไปสู่อาศรม

ครั้นถึงอาศรมแล้ว พ่อดาบสก็บำรุงพระนางอย่างดี นำน้ำผึ้งอย่างดีมาให้ นำข้าวสาลีมาให้ บำรุงเลี้ยงดู ราวกับเป็นโรงแรมสปากลางป่า อยู่มาได้ระยะหนึ่ง พระนางก็ฉลาดใช่ธรรมดาเสียที่ไหน ดูอย่างตอนถูกนกไพราโนดอนจับมาซี ยังมีสติคิดเอาตัวรอดได้ ก็มาเพลานี้ พิจารณาแล้ว ดู ๆ ไป พ่อดาบสก็หล่อดี น้ำใจก็งาม ตระกูลก็เป็นกษัตริย์เสมอกัน ถ้าเราขืนยังเล่นบทพ่อแง่แม่งอนอย่างละครช่อง ๗ เช่นนี้ต่อไป นานเข้า พ่อดาบสเบื่อแหนงหน่ายขึ้นมา มิพากันตายทั้งแม่ลูกฤๅ จำเราจะต้องผูกมัดดาบสไว้ให้แน่นหนา คิดได้แล้ว จึงเงยหน้า ทำปากเผยอ มองดาบสด้วยหางตา ทำสายตากรุ้มกริ่ม ดาบสคิด เฮ้ย...วันนี้จะมาไม้ไหนวะนี่ วันก่อนแค่ต้องตัวยังไม่ยอม วันนี้กลับมาทำตาเยิ้มกระริ้มกระเหรี่ย พระนางเห็นท่าดาบสแคลงใจ เฮ้ย...มุกนางแบบสุดเอ็กซ์ไม่เวิร์ค จึงแกล้งทำผ้าผ่อนหลุดแบบนางร้าย จ้องจะจับพระเอกในละครช่อง ๓ ศีลของดาบสก็ถึงกาลพินาศไปในคราวนั้น

a245-200อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าอัลปาก้า(ตอนนี้มิใช่ดาบสเสียแล้ว) เล็งดูนักษัตรบนท้องฟ้า เห็นดาวประจำตัวของ พระเจ้าบาเครัตตะหม่นหมองอยู่ จึงตรัสแก่ภรรเมียใหม่ว่า "ดูท่า พระเจ้าบาเครัตตะจะถึงกาลสวรรคตเสียแล้ว"

"พระผู้เป็นเจ้าของหม่อมฉัน เหตุไฉนจึงพูดไม่เป็นมงคลเช่นนั้นเล่า ท่านโกรธแค้นเคืองโกรธโทษฉันใด พระเจ้าบาเครัตตะทำ อะไรให้เธอ เคืองขุ่น" พระนางกล่าวอย่างใจคอไม่ดี

"หามิได้ น้องยาใจวัยหวาน อันพี่นี้ตรวจดูดวงดาวบนท้องฟ้าแล้ว เห็นดาวประจำตัวของพระเจ้าบาเครัตตะ หม่นหมองอยู่ จึงกล่าวเช่นนั้น" พระเจ้าอัลปาก้ากล่าวด้วยสีหน้าปกติ

ไม่พูดพร่ำทำเพลง พระนางก็ปล่อยโฮใหญ่ ยังความมึนงงให้แก่ พระเจ้าอัลปาก้าเป็นอันมาก เอ๊ะ...นี่เราพูดอะไรผิดไปรึ แล้วถามน้องยาว่า "เหตุไรน้องน้อยของพี่ ถึงร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจเล่า"

"ฮั่ก ๆ... ฮือ ๆ.... ก็พระเจ้าบาเครัตตะนั่น ฮั่ก ๆ... เป็นผัวเก่า เอ้ย...พระสวามีเก่าของหม่อมฉันเพคะ ตอนนี้แม้จะมีสถานะเป็นเพียงกิ๊กเก่า แต่หม่อมฉันก็ยังอาลัยรักอยู่" พระนางพูดพลางสะอื้นพลาง

"โถ ๆ ๆ มานี่สิจ๊ะ น้องจ๋า มาพี่จะเช็ดน้ำตา(แบบอีตาแบ็งค์วงแคลช)ให้ อย่าเสียใจไปเลย คนเราเกิดแล้ว ก็ย่อมตายเป็นธรรมดา" พระเจ้าอัลปาก้าปลอบ

"ข้อนั้นหม่อมฉันทราบเพคะ ที่หม่อมฉันโศกยิ่งกว่าเศร้า ก็เพราะลูกน้อยเบบี๋ "อุเทนถวาย" ของหม่อมฉันสิเพคะ หากมาดแม้นเขาอยู่ที่เมืองนั้น เขาย่อมยกเศวตฉัตรขึ้นเป็นกษัตริย์มาบุญครองเป็นแน่แท้ นี่พวกช่างกลปทุมวันคงจะยิ้มเยาะกันให้ครื้นเครงเทียว" พระนางรำพัน

"โห...น้องคิดไปถึงนั่น (คิดเยอะไปป่าว) อย่ามัวเศร้าโศกไปเลย พี่ไม่เคยบอกน้องหรือว่า มีเพียงดาวกับเดือนเท่านั้น ที่พี่หามาให้น้องไม่ได้ มา...ถ้าน้องต้องการเช่นนั้น พี่จะทำให้น้องสมปรารถนา" พระเจ้าอัลปาก้าตรัสแล้ว ก็พาพระเทวีไปพักผ่อน

จบตอน ๒

by Dhammasarokikku

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons