วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

สั่งสมประสบการณ์ (ตอน ๓)by Dhammasarokikku

imagesCAH271JAวันที่ ๒ เขาออกไปบิณฑบาตกันหมด มีอาตมากับหลวงพี่เอหุงข้าวในบาตรกันอยู่ ๒ รูปตั้งแต่ตี ๔ ก็ได้ซุปข้าวข้น กึ่งข้าวสวยกึ่งข้าวต้มมาฉันกัน การบิณฑบาตก็เป็นไปดังคาด ไม่มีใครได้อะไรกลับมากันเลย (ตำราเขาว่าไว้ว่า บิณฑบาตกับต้นไม้นี่มี ๒ แบบ อย่างแรกคือให้เจริญ อัปปมัญญาสมาบัติ (การแผ่เมตตาไปโดยทั่วจักรวาล ไม่เจาะจงผู้รับ) ให้อารมณ์ทรงตัวตลอด ๓ วัน อย่างหลังคือให้ไปแขวนบาตร ไว้ที่ต้นไม้ แล้วเจาะจงแผ่เมตตา ให้รุกขเทวดาที่อยู่กับต้นไม้ต้นนี้ พอได้ยินเสียงคล้ายฝาบาตรหล่น เป็นอันใช้ได้ อาตมาไม่เอากับเขาด้วยเพราะ บารมี ยังไม่ถึง(บารมีกำลังใจ) และเห็นว่าเรามากันคณะใหญ่ เกิดเดี้ยงขึ้นมา จะเป็นภาระของคนอื่น คนเราย่อมรู้ศักยภาพตัวเองจริงไหม) อีก ๒ รูปที่มาด้วยกันฮึด อดข้าวตามพระอาจารย์ ส่วนอีก ๒ รูปที่มากับพระอาจารย์ กลับเปิดบาตรรับบิณฑบาตแฮะ รวมมีพระอดข้าวทั้งหมด ๔ รูป

การเดินป่าในวันนี้ก็ไปเรื่อย ๆ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฉันเช้า ก็มีช็อคโกแล็ตดำ กับน้ำตาลทรายแดง ฉันประทังชีวิต (๒ อย่างนี้ประเคนแล้วฉันได้ ๗ วัน) เดินไปสักพักก็ลุถึงทางถนน ซึ่งคงไม่มีรถวิ่งมานานแล้ว มีไม้ไผ่ป่า ถูกโน้มหักลงมาตลอดเส้นทาง หนามเพียบ เกี่ยวกันเลือดสาด ได้แผลกันถ้วนหน้า เดินไปก็พบขี้ไปตลอดทาง ยิ่งเดินความสดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จากขี้แห้ง ๆ ก็เริ่มเปียกขึ้นเปียกขึ้น จะตัวอะไรเล่า ก็ไอ้ตัวที่มันโน้มไม้ไผ่ ลงมากินนั่นแหละ ดูจากปริมาณขี้แล้ว มันคงมากันเป็นโขลง ถ้ามาตัวเดียวมันคงเป็นช้างท้องเสีย เพราะขี้บ่อยเหลือเกิน รอยเท้าสัตว์ที่พบตามทาง ก็ใหญ่โตโอฬาร ชวนให้นึกฝันไปไกลว่า น่ากลัวพวกสัตว์ เขาเดินมาทะเลาะกันแถวนี้ รอยเท้าถึงยุ่บไปหมด เดินไปจนหอบฮั่กแล้วก็มายุติที่ชายน้ำแห่งหนึ่ง โลเกชั่นกิ๊บเก๋มาก เป็นลานป่าไผ่ริมแม่น้ำ อาตมาเพลียจากการไม่ได้นอนเมื่อคืน พอปูผ้าพลาสติก ได้เอนหลังปุ๊บ ก็เข้างีบสมาบัติปั๊บ (มีความคล่องแคล่ว ในสมาบัติชนิดนี้เป็นกรณีพิเศษ) พอตื่นมาสรงน้ำ แล้วก็กางกลด เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนกัน หลวงพี่เอจึงไม่ทราบว่า เปลนอนของท่านถูกลืมไว้ที่วัดปากลำฯ เขาขยับจะเสวนาธรรมกันต่อ แต่อาตมาปลีกวิเวก ไปเข้านอนแต่หัวค่ำเลย

วันที่ ๓ ตื่นมาตี ๔ ชะโงกหัวออกไปข้างนอกกลด น้ำตาแทบไหล เห็นหลวงพี่เอนั่งเติมไฟ ตากน้ำค้าง อยู่รูปเดียวข้างนอก พลางนึกถึงความที่ในหลวง ทรงเคยถามหลวงพ่อว่า จาคะ (การสละ, บริจาค) ตัวเดียวถึงพระนิพพานไหม แล้วหลวงพ่อวินิจฉัยว่า ถ้าทำทานจนเป็น สังขารุเปกขาญาณ ทานตัวเดียว ก็ถึงพระนิพพานได้ นี่กระมังสังขารุเปกขาญาณที่หลวงพ่อว่า (สังขารุเปกขาญาณ = ความวางเฉย ในกองสังขาร) ก็นี่หลวงพี่ท่านเสียสละแทนทั้งคณะ นอนตากน้ำค้างเติมไฟ กันสัตว์ป่าอยู่รูปเดียว โดยไม่สนใจว่าร่างกายท่าน จะลำบากเช่นไร คิดแล้วก็พบว่าเรายังเลวอยู่มากนะนี่ ความเห็นแก่ตัว ยังมีอยู่บานเลย พอเหนื่อยเข้าหน่อย ก็ไม่สนใจคนรอบข้าง พอได้ที่นอนก็ล้มแหมะหลับเลย ครั้นแล้ว ก็ไปหุงข้าวเช่นเคย คราวนี้อาตมาก็ลงมือบรรเลงทำข้าวต้ม ใส่เครื่องเคราที่มีลงไปทั้งหมด มีน้ำพริกแมงดา ปลาทูน่ากระป๋อง กากหมู เป็นต้นแล้วก็ กวน ๆ คน ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ติดก้นบาตร ออกมาเป็นข้าวต้มเครื่อง ที่ดูคล้าย ๆ อ้วก นึกไม่ถึงเลยว่ารูปอื่นเขาจะฉันไม่ได้กัน ก็เช่นเคย เขาบิณฑบาตไม่ได้อะไรกันเหมือนเดิม พระที่มาด้วยกันเปิดบาตรรับเพิ่มอีก ๑ รูป เหลือพระที่ยังไม่ได้ฉันอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน ๓ รูป วันนี้ก็ยังคง เดินทั้งวันเช่นเคย

ไปตามทางถนน สังเกตดูเอ๊ะ...ทำไมพระที่มากับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ถือย่ามบาตร ๒ ใบ ถามดูจึงทราบว่า พระอาจารย์ท่านแบกต่อไม่ไหว เพราะไม่ได้ฉันอะไรทั้งวัน ท่านเลยอาสาแบกให้ (ท่านก็ไม่ได้ฉันอะไรเหมือนกัน แต่แข็งแรงมาก เป็นทหารเก่า) แม้จะเป็นการเดินไปตามทาง ไม่ใช่บุกป่าฝ่าดง แต่ก็สร้างความเหน็ดเหนื่อย ให้ไม่น้อย อากาศตอนกลางคืนถึงเช้า จะเย็นจนหนาว พอแดดออกก็จะร้อน หลวงพี่เอออกนำหน้า พบกวางตัวใหญ่มั่ก ๆ ๒ ตัว พวกเดินตามไม่ได้เจออะไรหรอก ทีมที่ฉันข้าวมีแรง ก็ล่วงหน้าขึ้นไปก่อน ที่แล้วมาก็ไม่เคยขึ้นหน้า เลยไม่รู้สึกว่าต้องกลัวอะไร พอมาเดินนำเขา มันไม่ใช่เดินนำแบบเห็นกันลิบๆ นะ นำโด่งชนิดเหมือนกับ เดินอยู่รูปเดียวเลย ใจมันประหวัดคิดว่า นี่ถ้าเผอิญจ๊ะเอ๋กับแมวเหมียว เมี๊ยว ๆ หง่าวกำลังเดินข้ามถนน แล้วมันตกใจโจนเข้าใส่ จะทำอย่างไร นั่นแหละถึงได้เข้าใจ มรณานุสสติ (การพิจารณาความตายเป็นอารมณ์) เพลานั้นคิดอยู่ว่า เราจะยอมตายเพื่อรักษาความดี จะยอมให้มันกัด ขย้ำแต่โดยดี ไม่ต่อสู้ (เพราะรู้ว่าสู้ก็สู้มันไม่ได้ แพ้ดีกว่าเป็นพระ ชนะไม่ดีเป็นมาร) และเมื่อตาย จะขอไปนิพพานแห่งเดียว ทุกข์โทษภัยอาบัติทั้งหลาย ที่เคยละเมิดมา (เช่น สะสมอาหารมาฉันในป่า เป็นต้น) จะไม่นึกถึงเลย จะนึกอยู่แต่ว่าขณะนี้มาเดินป่าเพื่อหาทางหลุดพ้น แม้ตายขณะนี้ ก็ถือว่าตายในขณะทำความดี ขอไปสู่สุคติ ถ้าพลาดจากพระนิพพาน ก็ขอไปเป็นพรหม ถ้าพลาดจากพรหม ก็ขอไปสวรรค์ ถ้าพลาดจากสวรรค์ ก็จะขอเป็นมนุษย์ดังเดิม จะไม่ขอลงอบายภูมิเด็ดขาด

ก็คิดวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น อารมณ์แบบนี้กระมัง ที่พระพุทธเจ้า เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า แม้ตถาคต ยังคิดถึงความตาย อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ข้อความเหล่านี้ หลวงพ่อบอกเป็นประจำ เวลาเจริญพระกรรมฐาน แต่พอมาเจอสถานการณ์จริงนี่ มันคนละเรื่องเดียวกันเลย (ตรงนี้ขอแนะนำ ใครที่มีทุกข์ทางโลกรุมเร้ามาก จนคิดจะปลิดชีพตนเอง เข้ามาตายในป่ากันดีกว่า ปฏิบัติให้มันตายกันไปเลย จะได้ไม่เสียที ที่มีโอกาส เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ยิงตัวตาย แขวนคอตาย โดดน้ำตาย โดดตึกตาย กรีดเส้นเลือดใหญ่ตาย ให้รถชนตาย กินยานอนหลับตาย เมาตาย มันตาย อย่างคนขี้ขลาด มีอบายภูมิเป็นที่ไป สู้มาปฏิบัติจนตายนี่ อาจหาญกว่าเยอะ เพราะได้ก้าวลงสู่ความตาย อย่างมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ใจเด็ดมาก ๆ ส่วนใหญ่ผู้ที่ฆ่าตัวตาย ประชดชีวิต ประชดรัก ประชดสังคม หนีหนี้ หนีปัญหา ฯลฯ มักจะทำอะไรบางอย่าง ให้สติสัมปชัญญะมันแย่ลง ให้มันเบลอ ๆ มึน ๆ ย้อมใจเสียก่อน ไม่แมนเลย)

เดินไปจนราวบ่ายสองกว่า ๆ ก็ถึงสถานีป่าไม้มดน้อย หรือมดแดงน้อย อะไรนี่แหละจำชื่อไม่ชัด หลวงพี่เอเคยบอก ให้กำลังใจว่า ที่สถานีนี้น่าจะมีโยมเจ้าหน้าที่อยู่ ๔-๕ คน พระที่อดข้าวจะได้มีคนประเคน ไม่ต้องอดต่อ แต่ภาพที่ปรากฏ ตรงหน้าคือ สถานีร้าง หญ้าขึ้นสูงเท่าสะเอว เหมือนไม่มีคนอยู่มาหลายเดือนแล้ว เข้าไปสำรวจ มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ขาดอย่างเดียวคือไม่มีคนประเคน ประการแรกเมื่อถึงที่พักก็ต้องต้มน้ำ เพราะน้ำในป่า มีเชื้อมาลาเรียแทบทั้งนั้น สำรองไว้สำหรับหุงข้าว และเอาไว้ฉันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ บางทีอาจจะต้องไปค้างระหว่างทาง ไม่มีแหล่งน้ำ และทางข้างหน้าจะต้องขึ้นเขา หลวงพี่เอส่งสัญญาณบอกว่า พรุ่งนี้เป็นของจริง ด้วยการประกาศสละสัมภาระ ที่เป็นอาหารทั้งหมดไว้ที่สถานีนี้ ซึ่งเมื่อตรวจดู สิ่งที่ท่านแบกมา ก็ต้องร้องโอ้โฮ แบกเข้าไปได้อย่างไรนี่ ข้าวกว่า ๕ กิโล ปลาทูน่ากระป๋อง ๒๔ กระป๋อง น้ำตาลอีก ๑ กิโล โอวัลติน กาแฟ และสัมภาระส่วนตัว อีกต่างหาก หลังสถานีเป็นลำธารใหญ่ มีรอยช้างนอนด้วย น้ำที่ต้มแล้วมีรสแปลก ๆ แสบ ๆ คอชอบกล พวกเราร่วมกันหุง “ข้าวสวย” (น่ากลัวจะเข็ดข้าวต้มอ้วก ที่อาตมาทำให้ฉัน) เช็ดน้ำแล้วก็ได้ข้าวสวยจริง ๆ เสียด้วย หลังสถานีมีต้นมะละกออยู่ เลยขอบิณฑบาตเสีย ๒ ลูก เอามาปอกหั่นแล้วต้มสำหรับพรุ่งนี้เช้า

 

หน้าตาลำธารที่อยู่หลังที่อยู่หลังสถานี ฝั่งตรงข้ามเป็นหาดทราย รอยเท้าสัตว์เพียบ

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons