วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

ใครว่า พระไตรปิฎกน่าเบื่อ - นิทานอิงธรรมบท เรื่องพระนางสามาวดี ตอนที่ ๓

images5มาพิสูจน์กันครับว่า พระไตรปิฎกน่าเบื่อหรือไม่

อนึ่ง การนำพระไตรปิฎกมาล้อเล่น เดี๋ยวข้าพเจ้าจะได้ไปนั่งแคะขี้มูกให้พระเทวทัต ข้างล่างนั่นก็แน่นเอียดแทบจะขี่คอกันอยู่แล้ว ต้องขอขมาพระรัตนตรัยไว้ก่อน

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

ข้าพเจ้าไม่มีเจตนา จะปรามาสเรื่องราวใด ๆ ในพระไตรปิฎกเลยขอรับ เพียงแต่อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง ในเวอร์ชั่นไม่ซีเรียสนัก ได้ข้อคิดนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ข้าพเจ้าขออนุญาต นำเรื่องในพระไตรปิฎกมาดัดแปลงชื่อตัวละครใหม่ แต่คงพล็อตเรื่องไว้ ใครใคร่เชื่อก็เชื่อครับ ใครใคร่อ่านเป็นนิทานก็ตามสบายครับ

ความตอนที่แล้ว มาถึงตอนที่พระเจ้าบาเครัตตะสวรรคต และพระเทวีอยากให้ราชบุตรของนาง ขึ้นครองราชย์ต่อ แทนพระราชบิดา ครั้งนั้น พระเจ้าอัลปาก้าก็รับปากเป็นมั่นเหมาะว่า จะทำให้ราชบุตรของพระนาง ขึ้นเสวยราชย์ให้จงได้

วันรุ่งขึ้น พระเจ้าอัลปาก้า ก็เรียกเด็กชายอุเทนถวายมา รับสั่งว่า เจ้าจงเรียนมนต์สามบทนี้ และนำพิณนี้ไป ฝึกเรียกช้าง ไล่ช้าง ให้ช่ำชอง สิ้นวันที่ ๒ เด็กชายอุเทนถวายก็เรียนรู้มนต์จนหมดสิ้น พระเจ้าอัลปาก้าก็บอกพระเทวี บุตรของเจ้า สำเร็จวิชา ฟ่งหวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า เรียบร้อยแล้ว จงให้เขาไปจากที่นี่ แล้วเขาจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน

"โอ้ลูกรัก พระบิดาของเจ้า เป็นกษัตริย์ครองอาณาจักรแห่งหนึ่งชื่อมาบุญครอง(โกสัมพี) อาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรแห่งโทรศัพท์มือถือ และอื่น ๆ อีกจิปาถะ บัดนี้พระบิดาของเจ้า ได้สวรรคตเสียแล้ว ชาวนครช่างกลปทุมวัน คงคิดเหิมเกริม ตั้งตัวเป็นขบถเป็นแน่ เจ้าจงไป บอกแก่ชาวเมือง แลขุนนางว่า เจ้าเป็นราชบุตรของกษัตริย์แห่งมาบุญครองนคร หากแม้เขาเหล่านั้นไม่เชื่อ เจ้าจงจำ แลบอกชื่อเสนาบดี แลขุนนางคนอื่น ๆ แลผู้บริหารห้าง ให้แม่นยำ แม้เขายังไม่เชื่ออีก ให้เอาผ้ากัมพลสีแดง ยี่ห้อ ปราดา แหวนธำมรงค์ประดับเพชรฮาวาเอี้ยนบลูไดมอนด์ ของพระบิดาเจ้า และโทรศัพท์โนเกียรุ่นล่าสุด เอ็นเป็นกล้าม แสดงให้พวกเขาดู" พระเทวีบอกลูกรักด้วยน้ำเสียงแสนสิเหน่หา

เด็กชายอุเทนถวายได้แต่อึ้ง ๆ อยู่ ก็นี่เราเพิ่งอายุไม่กี่ขวบ จะทำการใหญ่ ชิงราชสมบัติได้อย่างไร ไพร่พลก็ไม่มี วิชาความรู้ก็มีแต่เพียงวิชาดีดพิณ ไฉนเลยท่านแม่ถึงเสือกไสไล่ส่งเราเช่นนี้ กระนั้น ก็มิคิดย่อท้อ กราบเท้าเรียนถามพระเจ้าอัลปาก้า พระบิดาใหม่ว่า "จะให้หม่อมฉันทำเช่นไร"

พระเจ้าอัลปาก้าสั่งว่า "เจ้าจงนั่งหลังช้างนายฝูงไป จงไปยึดเอาราชสมบัติ"

เด็กชายอุเทนอึ้งกิมกี่นึกในใจ "แค่เนี้ยะ... จะไปยึดราชสมบัติได้อย่างไร" ด้วยความที่มีเลือดขัตติยะกษัตริย์ แม้ท่านสั่งแล้ว ก็ต้องทำตาม จึงถวายบังคมพระราชบิดา พระราชมารดาแล้ว ทรงทำตามนั้น ขึ้นนั่งบนหลังช้างจ่าฝูง กระซิบที่หูช้างว่า "ท่านพญาช้างผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าบาเครัตตะแห่งมาบุญครองนคร ขอท่านโปรดช่วยยึดเอาราชสมบัติอันเป็นของบิดาให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด นายของข้า" พญาช้างไม่เคยได้ยินคำขอร้องอย่างอ่อนโยนจากมนุษย์ใดมาก่อน มีแต่มนุษย์มาสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ไม่ทำก็เอาขอเหล็กจิกเนื้อ ได้ฟังมธุรสวาจา ก็ฮึกเหิมเต็มใจช่วยขัตติยกุมารให้ได้เศวตฉัตรมาครอง บัดนั้นก็ประกาศก้องเป็นภาษาช้างว่า "ช้างทั้งหลาย จงมารวมกัน" ช้างหลายพันก็มารวมตัวกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน สร้างความตะลึงพรึงเพริดแก่เด็กชายอุเทนเป็นอันมาก แล้วสั่งว่า "ช้างแก่ ๆ จงถอยไป" ช้างแก่ ๆ ถอยไปแล้ว ก็สั่งอีกว่า "ช้างตัวเล็ก ๆ จงกลับไป" ครั้งนั้นจึงเหลือแต่ช้างนักรบหลายพันเชือก สร้างความฮึกเหิมแก่เด็กชายอุเทนเป็นกำลัง ครั้นแล้วจึงเดินทัพไปสู่ปลายแดน ประกาศก้องว่า "เราเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดิน ผู้ที่ปรารถนาสมบัติ จงมากับเรา" ผู้คนได้เห็นแสนยานุภาพแล้ว ต่างพากันเลื่อมใส ออกติดตามกองทัพทุกผู้ ตั้งทัพล้อมนครไว้

"หวังเฉา หม่าฮั่น" อุเทนถวายราชกุมารสั่งสมุนซ้ายขวา "จงนำสาส์นของเราไป แจ้งแก่ชาวมาบุญครองนครว่า จะรบ หรือ จะให้ราชสมบัติ"

ชาวมาบุญครองนครได้รับสาส์นแล้วประกาศก้อง "เราจักไม่ให้ทั้ง ๒ อย่าง จริงแล้ว แม้พระเจ้าบาเครัตตะจะสวรรคตไปแล้ว ท่านยังมีรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ คือพระราชบุตรในพระครรภ์ของพระราชเทวี เพลานี้พระราชเทวีซึ่งทรงพระครรภ์แก่ ถูกนกไพราโนดอนจับไป เป็นตายร้ายดีมิอาจทราบ ตราบเท่าที่เรายังไม่ทราบความเป็นไปของพระราชเทวี ตราบนั้น เราจะไม่ให้ทั้งการรบ และราชสมบัติ" (โห...ชาวเมืองเขาสัตย์ซื่อดีนะ ไม่มีใครคิดสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์เลย)

"ฉันเป็นบุตรของพระนาง" อุเทนถวายราชบุตรประกาศมั่ง แล้วอ้างชื่อเสนาบดี ขุนนางทั้งหลาย

"โธ่ท่าน อันชื่อเสนาบดี หรือขุนนาง ใครก็รู้ได้ หากมีหลักฐานเพียงเท่านี้ก็ครองแผ่นดินได้ คงมีกษัตริย์เต็มเมืองเป็นแน่แท้" ชาวเมืองตอบ

"แล้วสิ่งนี้เล่า" เด็กชายอุเทนสะบัดผ้ากัมพลยี่ห้อปราดา หนึ่งเดียวในนคร และพระธำมรงค์ประดับเพชรฮาวาเอี้ยนบลูไดมอนด์ ซึ่งผู้ครอบครองเพชรเม็ดนี้ ต้องเป็นผู้ที่ทำยอดขายนูสกินได้เกินสิบล้าน เท่านั้น นั่นคือ พระเจ้าบาเครัตตะพระองค์เดียว กระนั้นชาวนครก็ยังลังเลอยู่ เหตุเพราะผู้ที่จะมีบุญบารมีครองนครได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับโองการจากสวรรค์เท่านั้น บัดนั้นเด็กชายอุเทนเห็นชาวเมืองลังเลอยู่จึงควักโองการจากสวรรค์ โทรศัพท์โนเกียรุ่นล่าสุด เอ็นเป็นกล้าม ขึ้นโชว์ เรียกเสียงฮือฮาแก่ชาวนครเป็นอันมาก เพราะยังไม่มีวางจำหน่ายที่ใด ต้องเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการเท่านั้น

ชาวนครหมอบคารวะลงพร้อมกัน "พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าน้อยมีตา หามีแววไม่ ข้าน้อยสมควรตาย"

"ลุกขึ้นเถิด" เด็กชายอุเทนกล่าวด้วยน้ำเสียงมีเมตตา

ชาวเมืองก็โห่ร้อง เปิดประตูเมือง รับเอาอุเทนถวายราชกุมาร ขึ้นเถลิงราชสมบัติ อภิเษกราชบุตรไว้ใต้ร่มเศวตฉัตร แต่นั้นมา

จบตอน ๓ (ตอน ๓ แล้ว นางเอกยังไม่โผล่เลย)

อุทาหรณ์สอนใจให้รู้ว่า อันอ้อยตาลหวานลิ้น แล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหู มิรู้หาย แม้ช้างเป็นสัตว์เดรัจฉาน ยังพอใจฟังคำมธุรส ฉะนั้นเวลาเราต้องการใช้ใคร สมควรใช้วาจาที่นิ่มนวล ไพเราะ อย่าลุแก่อำนาจ คิดว่า เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเรา ต้องเชื่อฟังเรา การงานบางอย่าง ก็ไม่สามารถสำเร็จได้ ถ้าไม่ใช้ "ใจ" ทำ ปิยวาจา เป็นสิ่งที่ไม่ต้องลงทุนสักบาท แต่ให้ผลอเนกอนันต์ แม้คนถูกใช้ ก็ทำด้วยความเต็มใจ คนเรายิ่งสูงก็ต้องยิ่งทำตัวเสมือนเป็นผู้รับใช้ จึงจะได้รับการยกย่อง และชนะใจคน

by Dhammasarokikku

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons