วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

ใครว่า พระไตรปิฎกน่าเบื่อ - นิทานอิงธรรมบท เรื่องพระนางสามาวดี ตอนที่ ๕

images10มาพิสูจน์กันครับว่า พระไตรปิฎกน่าเบื่อหรือไม่

ก่อนอื่นขอขมาพระรัตนตรัยกันไว้ก่อน

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง ฯสัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ

ความตอนที่แล้ว มาถึงตอนที่ยอดชายนายโกเด้งถึงมรณาเพราะเจี้ยะเจ๊ง ท้องอืดตาย แล้วก็เข้าไปเกิดในท้องแม่สุนัข

ครั้น ๖ - ๗ เดือนให้หลังแม่สุนัขคลอดลูกออกมาตัวหนึ่ง นายโคบาลก็เอานมของแม่โค ให้ลูกสุนัขกิน พอโตขึ้นหน่อย พระปัจเจกพุทธเจ้าเวลาฉันข้าว จะโยนข้าวก้อนหนึ่งให้ลูกหมานั้น เพราะอาศัยก้อนข้าว ลูกสุนัขก็รักพระปัจเจกพุทธเจ้ายิ่งนัก พอโตขึ้น ก็เป็นสุนัขที่แสนรู้เป็นอันมาก (เพราะรู้ภาษาคน) โดยปกติแล้ว นายโคบาลจะไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า วันละ ๒ เวลาเช้าเย็น เมื่อไปถึงบริเวณพุ่มไม้ที่มีสัตว์ร้าย ก็เอาไม้ตี ร้อง "ชิ่ว ๆ" ๓ ครั้ง สัตว์ร้ายก็หนีไป อยู่มาวันหนึ่ง ก็กล่าวกับพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า "หากวันใด กระผมไม่ว่างมานิมนต์ด้วยตนเอง ขอประทานอนุญาต ส่งสุนัขตัวนี้มา เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการนิมนต์นะขอรับ" พระปัจเจกพุทธเจ้าก็อนุญาตตามประสงค์ แต่นั้นมา คราใดที่นายโคบาลไม่ว่าง ก็จะส่งสุนัขไปแทน ด้วยคำสั่งเดียว สุนัขนั้นก็จะไปจัดการตามต้องการ เมื่อไปถึงพุ่มไม้ที่มีสัตว์ร้าย ก็เห่าขึ้น ๓ ครั้ง สัตว์ร้ายก็หนีไป พอไปถึงที่พำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เห่าขึ้น ๓ ครั้ง ให้ท่านทราบว่า ตนมาแล้ว จากนั้นไปหมอบ กระดิกหาง อยู่ข้างหนึ่ง ครั้นพอพระปัจเจกพุทธเจ้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็ออกนำหน้า นำทางแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ท่านอยากจะลองความแสนรู้ของเจ้าหมาน้อย เลยลองเดินออกนอกเส้นทาง คุณน้องหมาก็รีบวิ่งไปขวาง ยืนเห่าอยู่ จึงได้ชื่นชมความแสนรู้ของมัน ครั้นต่อมาในกาลอื่น อยากทดสอบอีก ก็ลองเดินออกนอกเส้นทางอีก ครั้งนี้แม้คุณน้องหมา ไปยืนขวางเห่าอยู่ก็ไม่สน เดินต่อไปอีก คราวนี้คุณน้องหมาเลยคาบ "ผ้านุ่ง" ลากให้กลับมาในทางเลย (พระปัจเจกฯ จำต้องยอมตาม ไม่งั้นก็โป๊ซิจ๊ะ งับจีวรนี่ยังพอทำเนา งับผ้านุ่งนี่หมดสิทธิ์ขัดขืนเลย) พระปัจเจกฯ ได้สรรเสริญความแสนรู้ของสุนัข กับนายโคบาลเจ้าของแล้ว ยังความระริกระรี้ หูตก หางกระดิก ให้แก่หมาน้อยเป็นอันมาก

ต่อมา ผ้าจีวรของพระปัจเจกฯ เก่าเต็มที นายโคบาลจึงถวายผ้าสำหรับทำจีวร พระปัจเจกฯจึงกล่าวแก่นายโคบาลว่า "ดูก่อน ผู้มีอายุ การทำจีวรนั้น ต้องทำกันหลายคน อาตมาขอลาไปสู่ที่สมควร แล้วจึงทำ"

นายโคบาลจึงนิมนต์ให้อยู่ทำ ณ ที่นั้น แต่เป็นที่ไม่สะดวก สุดวิสัยจริง ๆ นายโคบาลจึงกล่าวว่า "ท่านอย่าไปนานนัก" ครั้นนายโคบาลคล้อยหลังแล้ว พระปัจเจกฯก็เหาะขึ้นในอากาศ บ่ายหน้าสู่ภูเขาคันธมาทน์ (ภูเขาลูกนี้ พระปัจเจกฯเยอะจริง ๆ) หมาน้อยนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อฟังเขาคุยกันอยู่ เห็นพระปัจเจกฯเหาะขึ้น ก็วิ่งพลาง เห่าพลาง วิ่งตามสุดชีวิต จนพระปัจเจกฯลับสายตา หมาน้อยก็หัวใจสลายตาย ชาก แหง็ก ๆ ๆ ๆ (คาดว่า หัวใจวายเพราะวิ่งไปเห่าไป หายใจไม่ทัน)

ภาพหมาน้อยตอนแหงนมองพระปัจเจกพุทธเจ้า

ครั้นหมาน้อยเสวยดนตรีร็อค เมกก้าเดธ เรียบร้อยแล้ว พลันไปจุติเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีนางอัปสร ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร เทพบุตรนี้กระซิบที่หูใคร ก็ดังไกลไป ๑๖ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร) หัวเราะทีก็ดังสนั่นไปทั้งดาวดึงส์ ไกลประมาณหมื่นโยชน์ จึงได้ชื่อว่า "โฆสกเทพบุตร" (น่าจะเป็นที่มาของคำว่า "โฆษก" หรือ พิธีกร ในปัจจุบัน) ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ได้เห่าพระปัจเจกฯด้วยความรัก จนขาดใจตาย

ความเห็นส่วนตัว *มีคนเป็นจำนวนไม่น้อย คิดว่า สัตว์เดรัจฉานเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่ามนุษย์ คิดไม่ได้เหมือนมนุษย์ เพราะมีศักยภาพสมองที่ต่ำกว่า บ้างก็คิดว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อเป็นอาหารให้มนุษย์ ฉะนั้น การฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารไม่บาป เช่นนั้นเป็นความคิดที่ฟั่นเฝือเกินไป หากสัตว์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์จริง เวลาเราจะไปฆ่ามัน มันย่อมดีอกชกใจ รี่เข้ามาหาปังตอ รีบสับคอฉันสิ ๆ แต่ความจริงก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ สัตว์ทั้งหลาย แม้กระทั่งมด เวลาเราจะบี้มัน มันยังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ทุกชีวิตล้วนรักชีวิตของตน ไม่อยากให้ใครมาทำลาย และที่ว่าสัตว์ทั้งหลายต่ำกว่ามนุษย์นั้น ก็จริงโดยส่วนเดียว คุณธรรมของสัตว์บางประเภท ดีกว่ามนุษย์เสียอีก เช่น ไม่ฆ่าสัตว์อื่น ไม่ขโมยของใคร ผัวเดียวเมียเดียว ไม่โกหกใคร ไม่กินเหล้า และของมึนเมาอื่น ๆ สัตว์ทั้งหลาย ไม่สามารถเข้าใจศีล ก็จริงอยู่ เพราะสัตว์ทั้งหลายยังจัดอยู่ในอบายภูมิ แต่สัตว์บางชนิดที่เกิดมาแล้ว ได้รับความเอ็นดูจากมนุษย์ อยู่ใกล้มนุษย์ นั่นเขาก็ใกล้จะพ้นอบายภูมิแล้ว ซึ่งก็ได้แก่ สุนัข แมว และสัตว์เลี้ยง น่ารัก ๆ อื่น ๆ บางทีเขาเหล่านั้นจบชาตินี้แล้ว ขึ้นไปเป็นเทพบุตร เทพธิดา ก็มี เช่น โฆสกเทพบุตร เป็นต้น อีกประการหนึ่ง ธรรมดาของการเปลี่ยนภพชาติ ถ้าระหว่างภพชาติไม่ยาวนานเกินไปนัก ก็จะจำความในชาติก่อนได้ เช่น จากคน เกิดเป็นคน ก็จะระลึกชาติได้ ๑ ชาติ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ หรือ จากคนเป็นหมา ก็จะเข้าใจภาษาคน เป็นต้น แต่ถ้าในระหว่าง ไปเกิดในภพภูมิที่อายุแสนนานมาก ๆ หลุดขึ้นมาได้ จะลืมเรื่องราวเดิมไปหมดสิ้น เช่น เกิดเป็นคน แล้วตกนรก (อายุนรกอย่างต่ำ ๆ ก็ ๙ ล้านปี) ขึ้นจากนรกได้ต้องมาเป็นเปรต จากเปรตเป็นอสุรกาย จากอสุรกายจึงจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เวลายาวนานขนาดนั้น ขึ้นมาก็ลืมหมด จึงไม่แปลกใจที่สัตว์ทั้งหลายจะไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ จบจากภูมิของสัตว์เดรัจฉานจึงจะมาเกิดเป็นคน จึงไม่แปลกใจอีกเหมือนกัน ที่คนบางคนนิสัยเหมือนสัตว์ ก็เป็นเพราะเขาได้ใช้โทษกรรมในอบายภูมิของเขาจนสิ้นแล้ว หรือบังเอิญไปเกิดเป็นสัตว์ที่รักษาศีล ๕ ได้เป็นปกติ จึงได้มาเกิดเป็นคน เข้าใจหรือยังว่า การได้เกิดเป็นคน ทำไมเขาถึงว่า มันยากหนักหนา ตัวอย่างในพระไตรปิฎกก็มี ตอนเมียคนที่ ๔ ของพระอินทร์ ชื่อนางสุชาดา ไปเกิดเป็นนกยาง ต้องจับปลากิน นี่คือโดยภูมิเขา ต้องทำปาณาติบาตเป็นปกติ สิ้นชาติเป็นอันมากกว่าจะพ้นจากจุดนั้น คือจบจากชาติที่เป็นนกยาง ก็ต้องไปเกิดเป็นปลา เพื่อใช้โทษกรรม เช่นนี้ไปเรื่อย จนไปเป็นสัตว์ที่มีศีล ๕ เป็นปกติ พระอินทร์อดรนทนรอไม่ไหว เลยไปบอกนกยาง ให้รักษาศีล ๕ เสีย โชคดีที่นกยางเชื่อฟังผัวเก่า หาแต่ปลาตายกิน ครั้นหาไม่ได้ก็อดมื้อกินมื้อ ที่สุดก็เป็นโรคมาเรีย ฟรานซ์ตาย(ผอมตาย) จบจากชาตินั้นก็ไปเกิดเป็นลูกสาวของนายช่างหม้อ นี่ละอานิสงส์แห่งศีล*

จบตอน ๕

by Dhammasarokikku

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons