วัวแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้า แล้วชำเลืองดูลูกน้อย (วิธีภาวนาทำอย่างไร)
หลวงพ่อโพธินันทะ ได้กล่าวถีงพระไตรปิฏกเล่มที 12 การปฏิบัติตามอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
โดยอุปมาถีง โคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้าแล้วชำเลืองดูลูกน้อย
ในบทนี้ ผมจะได้เขียนถีงวิธีการปฏิบัติ
1..คุณสมบัติของนักภาวนาทีจะปฏิบัติได้
พระสูตรนี้ ไม่ใช่สำหรับมือใหม่ในการภาวนา แต่ต้องเป็นมือเก่าทีมีความสามารถในการภาวนามาได้ในระดับหนี่งทีสามารถเห็น **ความคิด**ของตนเองได้แล้ว
2..ขบวนการทำงานของความคิด
ตัวจิตนั้น จะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนทีเป็นสภาวะรู้ และ ส่วนทีเป็นตัวจิตทีจะแปรไปเป็นจิตปรุงแต่งได้เมื่อมีเหตุและปัจจัยเข้ามากระทบทีจิต
เมื่อมีเหตุและปัจจัยเข้ามกระทบทีตัวจิต ตัวจิตจะเกิดการไหวตัว ซี่งในการไหวตัวนี้จะออกมาเป็นพลังงานทีสั่นไหว ที่ผมจะเรียกว่า ความคิด
เมื่อนักภาวนาทีผ่านการภาวนามาได้ในระดับหนี่งมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิพอสมควร เมื่อจิตไหวตัวเป็นความคิด **สภาวะรู้ของจิตจะไปเห็นความคิด** นี้ได้
พอสภาวะรู้ไปเห็นความคิด ความคิดจะดับไปเอง เพราะนี่ธรรมชาติของความคิดทีมันเป็นไตรลักษณ์ จะเป็นแบบนี้
เมื่อนักภาวนาเห็นความคิดได้หลาย ๆ ครั้ง จะรู้เองว่า ตัวจิตทีเป็นส่วนทีจะแปรไปเป็นความคิด นั่นอยู่ทีใด แล้วจะไปดูความคิดด้วยสภาวะรู้ได้อย่างไร
3..วิธีการภาวนาแบบโคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้าแล้วชำเลืองดูลูกน้อย
เมื่อนักภาวนารู้ว่า จิตทีจะแปรเป็นความคิดได้อยู่ทีใด และ การดูความคิดด้วยสภาวะรู้ทำอย่างไร
วิธีการปฏิบัติก็คือ เมื่อนีกขึ้นมาได้ว่า ให้มองไปทีความคิด ก็มองไปทีความคิดทันทีแว๊บเดียวสั้น ๆ เพียงเสี้ยววินาที เมื่อมองไป นักภาวนาจะพบว่า จิตส่วนทีจะเป็นความคิดนั้นจะเป็นความว่างเปล่า ไม่มีความคิดอยู่
เมื่อหยุดมองความคิด นักภาวนาจะพบเองว่า สภาวะรู้ของจิตยังคงเห็นจิตส่วนทีจะแปรเป็นความคิดต่อไปได้เองโดยเห็นเป็นความว่างเปล่า โดยทีนักภาวนาไม่ได้ไปมองตรง ๆ เลย สภาวะนี้จะเรียกว่า คือ การชำเลืองมอง ซึ่งจะเป็นไปเองหลังจากทีมองตรง ๆ ไปแว๊บหนี่ง
แต่การชำเลืองมองนี้ จะค่อย ๆ สลายไปเอง แล้วจะมองไม่เห็นความว่างทีอยู่ตรงทีความคิดเคยเกิด พอนักภาวนานีกขึ้นมาได้อีกครั้งหนี่ง ก็ให้มองไปทีความคิดอีกแว๊บหนี่ง แล้วสภาวะแห่งการชำเลืองมองจะกลับมาอีก แล้วก็จางหายไปอีกเมือ่เวลาผ่านไปสักระยะหนี่ง
ให้นักภาวนาวนทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กล่าวคือ พอนีกขึ้นมาได้ ก็มองไปทีความคิดแว๊บหนี่งก็พอแล้วปล่อยให้สภาวะของการชำเลืองมองทำงานต่อไปเอง
เมื่อฝีกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นักภาวนาจะพบเองว่า สภาวะแห่งการชำเลืองมองจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้เอง