พระอาจารย์ทอง อาภากโร
วัดสนามใน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์
หลวงพ่อกับ พระอาจารย์ทอง อาภากโร, หลวงพ่อเพียร อตฺตปุญฺโญ, พระอาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ และพระอาจารย์บุญธรรม อุตฺตมธมฺโม
อาตมาเป็นพระบ้านนอก พ่อแม่เป็นชาวไร่ชาวนา ก่อนบวชก็ได้ทำบุญให้ทาน เข้าวัดตามประเพณีที่พ่อแม่เคยทำมา การปฏิบัติก็ยังไม่ได้ทำอะไรในขณะนั้น อาตมาบวชเมื่ออายุ 22 ย่าง 23 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2504 อาตมาก็บวชเรียนอยู่วัดธรรมดา บวชมหานิกาย ที่จังหวัดอุดรธานี ได้ทำสมาธิกรรมฐานบ้าง แต่ก็ไม่เข้าใจ พอดีปีนั้น พ.ศ. 2510 อาตมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านพรม อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ออกพรรษาแล้วก็ไปเรียนเทศน์ แต่ก่อน การจะเป็นพระนักเทศน์ต้องเรียนจากครูบาอาจารย์
บังเอิญมีโยมคนหนึ่งมาจากเมืองเลย เขามาเยี่ยมญาติที่นี่ เขาไปได้ยินหลวงพ่อเทียนพูดธรรมะกับท่านมหาบัวทอง เพราะท่านมหาบัวทองเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียน เขานิมนต์มาแสดงธรรมะให้ญาติโยมฟัง แกก็คุยให้อาตมาฟัง คุยกันไปคุยกันมา อาตมาก็สะดุดใจว่าเป็นโยมก็พูดธรรมะได้ เราบวชมาตั้ง 7 ปียังไม่รู้ ไม่เข้าใจธรรมะ ก็ชักสงสัย คิดอาย ๆ เหมือนกัน เราเรียนคัมภีร์ เรียนตำรามาแล้วมันอยู่ที่ไหน พระมหาบัวทองได้มหาเปรียญแล้ว ก็ยังไปเรียนธรรมะไปปฏิบัติธรรม แล้วธรรมะมันอยู่ที่ไหน ถ้าเราอยู่เป็นพระบวชไปนาน ๆ เวลาไปแสดงธรรมะกับพระกรรมฐาน บางทีอาจจะติดเขาก็ไอ้ อาจจะเทศน์แล้วอายเขาก็ได้ ก็เลยคิดในใจว่า ปีนี้เราต้องไปปฏิบัติธรรม ต้องไปศึกษาธรรมะกับหลวงพ่อเทียน ให้มันรู้ ให้มันเข้าใจก่อน เรื่องเทศน์เรื่องอะไร ค่อยมาว่ากันทีหลัง
ตอนนั้นอาตมาคิดฝันไปว่า เมื่อไปปฏิบัติธรรมแล้วมันคงจะมีฤทธิ์มีเดช ดำดิน ล่องหน หายตัว อะไรอย่างนั้นได้ เพราะเรียนมาในตำราเขาว่า -ปฏิบัติธรรมะจะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เราก็นึกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะเข้าท่าดี ก็เลยตัดสินใจไปหาอาจารย์ มันมีอะไรอย่างหนึ่ง ตั้งความคิดไว้สูงมาก เป็นแรงผลักดันพาไป
อาตมาไปหาหลวงพ่อเทียนที่ป่าพุทธยาน จังหวัดเลย ไปถึงที่นั่นตอนเย็น ไปถามหาหลวงพ่อ ก็รู้ว่าท่านไปเปิดอบรมธรรมะให้ญาติโยมอยู่ที่บ้านบุฮม อาตมาก็จะตามไป ตอนนั้นอาตมามีศรัทธาแรงกล้ามาก อยากจะเห็นว่าหลวงพ่อเทียนหน้าตาเป็นอย่างไร แต่พระที่วัดให้นอนค้างคืนก่อน พรุ่งนี้เราจะพาไปส่ง อาตมาก็ตกลงค้างคืนหนึ่ง ก็ได้คุยกับท่านมหาบัวทองแต่ใจยังคิดอยู่อยากพบหลวงพ่อเทียน
พอรุ่งเช้าก็ออกเดินทางไปหาหลวงพ่อเทียนที่บ้านบุฮม ไปถึงที่นั่นประมาณ 4 โมงกว่า ๆ ยังไม่เพล ไปกราบท่าน
ท่านถามว่ามาจากไหน ?
ก็บอกท่านว่า ผมบวชที่จังหวัดอุดรธานีบ้านเกิดเมืองนอน พ่อแม่อยู่ที่อุดรฯ ผมบวชแล้วก็ไปเรื่อย ๆ ศึกษาตามหนังสือหนังหาไปเรื่อย ๆ ผมบวชมาก็ 7 ปีแล้ว มาจำพรรษาที่ชัยภูมิ ออกพรรษาแล้วก็ไปฝึกเทศน์ที่อำเภอหนองบัวแดง พอดีได้ยินโยมพูดคุยธรรมะ แล้วสงสัย ยังไม่เข้าใจ ผมก็เลยถามที่อยู่ของหลวงพ่อ เขาก็บอกแนะนำมา ผมก็เลยอยากจะมาศึกษาธรรมะกับหลวงพ่อ อยากจะปฏิบัติธรรมะกับหลวงพ่อ
ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ท่านก็ถามว่า สนใจจริง ๆ หรือ
อาตมาก็บอกว่าสนใจจริง ๆ
ท่านถามว่าจะปฏิบัติจริงหรือ
ก็บอกท่านว่า จริง
ท่านว่าการปฏิบัติธรรมะนี่ทำง่ายไม่มีอะไรเป็นพิธีรีตอง
อาตมาก็ชอบอยู่แล้ว เพราะตั้งใจทีเดียวว่าถ้าให้ทำยุบหนอ-พองหนอจะไม่ทำ เพราะได้ยินเด็ก ๆ คนทั่ว ๆ ไปพูดหนอ ๆ นี่ อาย ๆ นะ พอดีท่านพูดให้ฟังว่า ทำง่าย ๆ ทำสบาย ๆ ทำวิธีเคลื่อนไหว ไม่ต้องหลับตาในขณะนั่ง นั่งยกมือขึ้น เอามือลง ทำวิธีเคลื่อนไหว เอ๊ะ ! ไม่เห็นจะมีอะไร ท่าจะทำง่าย
ท่านก็ทำให้เราดู เราก็ทำตาม พอทำเป็น ท่านก็ปล่อยให้เราทำคนเดียว ใหม่ ๆ ก็อายนะ อาตมาเป็นคนขี้อาย ท่านให้ไปอยู่กุฏิคนเดียว อาตมาปฏิบัติอยู่คนเดียว. ปฏิบัติอยู่ที่บ้านบุฮม วัดที่ท่านอยู่ นาน 15 วัน ก็ยังไม่เข้าใจ
ต่อมาก็ลงมาปฏิบัติที่วัดป่าพุทธยาน ปฎิบัติอยู่นานประมาณ 1 เดือน ระหว่างปฏิบัติ ท่านก็มาหาวันละ 2-3 ครั้ง ท่านก็ถามคำสองคำ เข้าใจหรือไม่ อาตมาก็ไม่เข้าใจ
วันหนึ่งต่อมา หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จก็เลยนั่งคุยกันกับหลวงพ่อและมหาบัวทอง อาตมาก็บอกกับท่านว่า ถ้าผมปฏิบัติแบบนี้คงไม่เข้าใจคงไม่รู้ บวชมาก็ตั้ง 6-7 ปีแล้วยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ตำราก็เรียนมาแล้วท่านพูดอะไรให้ฟัง เข้าใจรูป เข้าใจนามแล้วหรือยัง เราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อายุก็แก่แล้วทำไมยังไม่เข้าใจ
อาตมาก็เลยบอกกับท่านว่า ผมจะขอเก็บตัวสักระยะหนึ่ง ตอนนี้ผมจะไม่ออกมาทำวัตร บิณฑบาต จะขอเก็บตัวปฏิบัติคนเดียวอยู่ในห้อง หลวงพ่อจะอนุญาตหรือไม่
ท่านก็บอกว่า เอ...ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ท่านก็คิดพูดคุยกัน ตกลงกัน ให้ก็ให้ ก็ตัดสินใจเลยทีเดียว เรื่อข้าวเรื่องน้ำก็แล้วแต่หลวงพ่อจะจัดญาติโยมไปส่งให้
อาตมาไปอยู่ได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ก็เข้าใจ แต่เข้าใจพื้น ๆ นะ เข้าใจแรก ๆ ไม่เห็นรูป ไม่เห็นนาม ต่อมาเมื่อมาเห็นรูป เห็นนาม มาเข้าใจรูป เข้าใจนาม รวมเวลาประมาณ 1 เดือน จึงรู้จักการบวช ทั้ง ๆ ที่เราบวชมา 7 ปีไม่รู้เลย เราเรียนหนังสือตามตำรา ตามหลักวิชาการก็เรียนมา ไม่รู้ว่าเราได้บวชได้เรียนอะไร คล้าย ๆ กับเราไม่มีอะไรเลย โกนหัวก็โกน ห่มผ้าเหลืองก็ห่ม แต่มันไม่เข้าใจในการบวช
ตอนที่เข้าใจ อาตมาก็นั่งสร้างจังหวะ นั่งยกมือ ทำความรู้สึกตัวมันรู้ขึ้นเลย รู้โดยไม่มีใครบอก รู้โดยไม่เคยได้ยินได้ฟัง รู้โดยไม่ได้อ่านตำรับตำรามาเลย มันรู้มันเข้าใจเอง มันเห็นรูป เห็นนาม เห็นรูปธรรม นามธรรม เห็นรูปโรค นามโรค เห็นสมมุติ เห็นอนิจจัง เห็นทุกขัง เห็นอนัตตา เห็นบาป เห็นบุญ เห็นศาสนา เห็นพุทธศาสนา จนจบเลย รู้แล้วมันรู้จนจบไปเลย รู้ในขณะเดียวเลย อันนี้เป็นอารมณ์เบื้องต้น
รู้เมื่อหลังจากเก็บตัวได้ 7 วัน แต่รวมทั้งหมดหนึ่งเดือนพอดี เราจึงรู้ รูป-นาม รู้อะไรหลาย ๆ อย่าง รู้สารพัดอย่าง มันเป็นความรู้ของ วิปัสสนู เป็นความรู้ของจินตญาณ แต่หลวงพ่อท่านก็มีวิธีสอนเรา แต่เราก็ไม่รู้หรอก แม้เมื่อเดินจงกรมมันก็ยังมีอะไร ๆ อยู่ อาตมานึกถึงพ่อ อาตมาเป็นทำพร้าตั้งแต่เด็ก ๆ อายุราว ๆ 5-6 ขวบ โยมแม่เลี้ยงมาตลอด ก็นึกถึงพ่อ โอ้..พ่อเราเกิดมาเป็นคนไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาทำไม ไม่รู้ตัวเอง ไม่เห็นตัวเอง ถ้าเป็นสิ่งที่ปั้นได้เหมือนกับดิน เหมือนกับอิฐ เหมือนกับปูน จะไปเอามาปั้นแล้วก็เอามาทำใหม่ให้ดีเลย ตอนนั้นอาตมาคิด นึกถึงพ่อแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ช่วยได้แต่เฉพาะตัวเราเท่านั้นเอง
ตามหลักจริง ๆ แล้วช่วยไม่ได้ เสียชีวิตไปแล้วมันก็แล้วกันไป แต่สิ่งที่เราทำมันก็ได้กับเรา การบวชให้พ่อให้แม่นี่เป็นประเพณี แต่พูดถึงการปฏิบัติธรรมแล้วมันไม่เกี่ยวกันเลย
เมื่ออาตมารู้อย่างนี้แล้ว พอได้อรุณรุ่ง หลวงพ่อก็ให้อาตมาออกมาเลย กลัวจะเป็นตัวอย่างกับคนอื่น บางทีคนอื่นมาขอแล้วท่านไม่ให้มันจะไม่ยุติธรรม ไม่ดี ท่านว่าอย่างนั้น เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน มีแต่ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ อยู่กับท่านทำการทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่มีการเก็บอารมณ์ ท่านให้ออกมาก็ออก แต่ใจจริงยังอยากปฏิบัติคนเดียว ท่านให้ออกก็ออก เพราะเราเคารพท่าน ท่านว่าอย่างไรก็ต้องทำตาม ท่านให้ออกมาทำการทำงาน ตอนปฏิบัติธรรมะใหม่ ๆ ท่านยังไม่ให้ดูความคิด หลังจากออกมาได้ 4-5 วัน ตอนนั้นกำลังพุ่ง กำลังแรง กำลังเป็นจินตญาณเป็นปีติ มันกล้า อยากจะอยู่คนเดียว เรื่องเทศน์ เรื่องอะไร ไม่ว่าใครจะจบอะไรมา จบกระไตรปิฎก หรือได้เปรียญ 9 ประโยคมา อาตมาไม่กลัวใคร อาตมารู้รูป-นามอย่างดี ไม่เคยได้ประสบการณ์อย่างนี้ในชีวิต มันเป็นอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการบวช มันอยู่ที่นี่เอง ถึงจะได้บวชเรียนมานาน ถ้ายังไม่ได้ทำอันนี้ ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ อันนี้ ถือว่าบวชนอกพุทธศาสนา เมื่อก่อนเราเรียนในตำรานึกว่ามีแต่ครั้งพุทธกาล มีแต่ในประเทศอินเดีย
หลวงพ่อได้ถามอาตมาว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้กลับบ้านได้ไหม
บอกท่านว่า “กลับได้ กล้าพูดกับอาจารย์แล้ว”
อาจารย์ของอาตมาบวชมานาน 10 กว่าปีแล้ว แกไปเรียนบาลีมา ได้เป็นอุปัชฌาย์ เป็นเจ้าคณะตำบล มีความรู้ทางวิชาการ ปริยัติ หลวงพ่ออยากให้ไปสอน
อาตมารู้สึกคล้าย ๆ ว่าตอนนั้นมันยังไม่จบลง เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ทำไมหลวงพ่อท่านพูดอย่างนั้น ท่านคงมีเหตุผล หลวงพ่อท่านอยากให้ไปพูดคุยกับโยมพ่อโยมแม่ และญาติ ๆ พูดอะไร ๆให้ฟัง อยากให้เอาประสบการณ์ อยากให้เอาธรรมะนี่ไปพูดให้คนฟัง สมัยก่อนเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ท่านก็เปลี่ยนอีกอย่างหนึ่ง
แต่อาตมาไม่เหมือนคนอื่น ถ้าคนอื่นหลวงพ่อยุไปเลย ตอนนั้นอาตมาบวชได้ 7 ปีพอดี ท่านมหาบัวทองนี้เป็นรุ่นแรก ๆ ต่อมาก็มีอาจารย์คำเขียน อาจารย์บุญธรรม อาจารย์สมหมาย รุ่นนี้ไล่ ๆ กัน
หลังจากนั้นหลวงพ่อท่านให้ดูความคิด ปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ ถ้ารู้รูป-นาม เข้าใจรูปเข้าใจนามแล้ว เกือบทุกคนจะเป็นจินตญาณ บางคนมีปีติแรง บางคนไม่แรง ถ้าเป็นอย่างนั้น หลวงพ่อท่านไม่ให้ดูความคิด ท่านให้ทำการทำงาน บางคนให้อยู่เฉย ๆ แต่ความคิดท่านไม่ให้สนใจมัน ปล่อยมันไป มันคิดแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น คิดไปเรื่องอดีตบ้าง อนาคตบ้างอะไรต่ออะไรที่จะไปสอนนั่นแหละ มันคิดขึ้นมา แต่หลวงพ่อท่านไม่ให้คิด ท่านว่าให้มันค่อย ๆ เย็นลง ๆ ให้มันสงบ หลวงพ่อท่านก็มีจิตวิทยาในการสอนเหมือนกัน ท่านมีวิธีดูจิต ดูผู้คนที่จะมาปฏิบัติ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร จิตดีหรือไม่ คล้ายว่ามีอะไรหรือไม่ เหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าจิตของเรามีสภาพแบบนั้น คล้าย ๆ ไม่มีอะไร เดี๋ยวนี้ไม่รู้เห็นอะไรทั้งนั้น ท่านจึงจะให้ดูความคิด
พระพุทธเจ้าตรัสรู้บำเพ็ญเพียรทางจิต เอาสติดูจิต ดูตรงนี้ ท่านก็มาแนะให้ดูตรงนี้ ท่านบอกว่า “คิดให้รู้ แล้วก็ปล่อยรู้”
ท่านก็ให้ยกมือสล้างจังหวะ เคลื่อนไหวให้รู้สึกตัว ให้ดูความคิด ให้เห็นความคิด เท่านั้น ท่านก็หนีไปเลย
ตอนนั้นอาตมาดูความคิดอยู่ 9 วัน ได้มาเห็นปรมัตถ์ เห็นวัตถุ เห็นอาการ ตอนเย็น มาเห็นตอนนี้ จิตใจมันเปลี่ยนแปลง ตอนเห็นรูป-นาม จิตใจก็เปลี่ยนแปลงอีกแบบ ตอนมาเห็นปรมัตถ์ จิตใจก็เปลี่ยนอีกแบบ ตอนนี้อาตมากล้าแล้ว เอ้อ ! เราเป็นพระได้แล้ว เป็นเทวดาได้ พระมันอยู่ตรงนี้เอง มันไม่ได้อยู่ตรงหัวโล้น ห่มผ้าเหลือง มันอย่างนี้เอง มันเห็น
หลวงพ่อท่านสอน ใครมาปฏิบัติธรรม ก็ให้ดูจิตดูใจ ดูความคิดต่าง ๆ ถ้าจิตใจเปลี่ยนแปลงแล้วต้องรู้ต้องเห็นทุกคน อันนี้เป็นวิธีสอนเป็นวิธีถามผู้ปฏิบัติที่รู้ ที่เห็น ที่เข้าใจ ท่านถามเรา เราเป็นผู้บอกท่านเองว่าเราเข้าใจปรมัตถ์ เข้าใจวัตถุ เข้าใจอะไรก็ตาม เห็นอะไรก็ตาม ก่อนนั้นเข้าใจว่า ใครเป็นพระก็ได้ โกนหัวนุ่งห่มผ้าเหลืองมาอยู่วัด พอดีตอนนี้อ้อ ! พระยังไงก็ได้ จะเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็ได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ได้ เป็นคนชาติอะไรก็ได้ ภาษาไหนก็ได้ หรือถือศาสนาไหนก็ได้ ตอนได้รูป-นามยังไม่ชัด เข้าใจแต่ยังไม่ชัด พอดีมาเข้าใจปรมัตถ์ รู้สึกมันชัดขึ้น เห็นเข้าใจอะไรละเอียดดีขึ้น
อาตมาดูความคิด จนเข้าใจปรมัตถ์ เข้าใจวัตถุ เข้าใจอะไรต่าง ๆ พอเห็นแล้ว หลวงพ่อก็แนะให้ดูความคิด ให้ดูข้ามปรมัตถ์ วัตถุอะไรต่าง ๆ มันจะมีอารมณ์เปลี่ยนอีก มีอารมณ์รับรู้เปลี่ยนอีก เราจะเห็น เห็นโลภะ เห็นโทสะ เห็นโมหะ หลังจากนั้นมันเปลี่ยนไปเลย มันรู้ มันเห็น มันเข้าใจไปตามขั้นตอนของมัน เรื่องเจ็บ เรื่องตาย เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องทำบุญ ทำดี ทำแล้วเป็นอะไร ทำบุญด้วยกาย ด้วยวาจา แต่อาตมาไม่ได้รู้ไปแบบหลวงพ่อท่านรู้ บางทีหลวงพ่อท่านรู้เป็นขั้นเป็นตอนไป แต่อาตมาเข้าใจอีกแบบ
ตอนจิตใจเปลี่ยนครั้งที่สามนี้ไม่นาน มันเปลี่ยนไปเลย พอเห็นปรมัตถ์ เห็นวัตถุ เห็นอาการ ในขณะนั้นเห็น โมหะ โลภะ โทสะ แล้วก็เห็นไปเรื่อย ๆ เห็นศีล เห็นพวกกาม เห็นไปเรื่อย ๆ จนรู้หมด จึงไปเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร อาตมาอยู่คนเดียว ทำอยู่คนเดียว ไม่พูด ไม่คุย
มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อท่านอบรม ท่านพูดไปตั้งแต่ต้น เรานั่งฟังเอ๊ะ ! ทำไมมันไปตรงกับที่เราเห็น เมื่ออบรมเสร็จ อาตมาก็เข้าไปคุยกับหลวงพ่อไม่กี่คำหรอก.
ตั้งแต่นั้น สำหรับอาตมาใครจะพูดอะไร จะว่าอะไร ใครจะสอนอะไร อาตมามั่นใจว่า วิธีการที่ทำกับหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อสอน เป็นวิธีที่ลัด เป็นวิธีที่ตรง เป็นวิธีที่ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีรีตองอะไร คนจะได้ในสิ่งที่เขาได้ มันไม่ได้เกี่ยวกัน มาปฏิบัติอย่างนี้ เรื่องมรรคผล นิพพานที่เรากำลังสงสัย ที่เรากำลังวิ่งวุ่นแสวงหา กำลังขวนขวายหากันอยู่นี่ มันไม่ได้เกี่ยวกับการเรียน เรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้ อันนี้มันคนละอย่าง อาตมาก็เลยมั่นใจ
นับตั้งแต่แยกไปปฏิบัติคนเดียว รวมระยะเวลาแล้วประมาณ 1 เดือนกับ 20 วัน จากเปลือกถึงแก่น ในวันสุดท้ายนี้ อาตมากำลังนั่ง ส่วนใหญ่อาตมานั่ง เดินก็มีบ้าง นั่งสร้างจังหวะคล้าย ๆ กับตัวเรานี่มันหมด มันอะไรไป แต่สติเรายังดี เรายังมีความรู้สึกอยู่ อาตมาคิดคนเดียวนะ
เราบ้าหรือเปล่า
เออ ! คงไม่เป็นหรอกน่า ตาเราก็ยังดู หูเราก็ยังได้ยิน การไปการมาเราก็ยังรู้ เราไม่เป็นบ้าหรอกนะ ทำไมเป็นอย่างนี้นะ
ตอนนั้นมันยังไม่รู้ พอรู้แล้ว เอ้อ...อันนี้มันไม่ผิด พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้จริง ๆ
ก็ไปคุยกับหลวงพ่อ ท่านบอก เอ้อ...อย่างนั้น ๆ แล้วท่านก็บอกว่าชาติสิ้น ภพสิ้น พรหมจรรย์จบแล้ว
เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยพูด พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียว พระพุทธเจ้าฆ่าคน แต่เราส่วนใหญ่ไม่เข้าใจบุคลาธิษฐาน รู้ว่าตัดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าตัดอะไร แต่พอเรามีประสบการณ์ จึงว่า อ้อ...อันนี้มันเป็นอย่างนี้เอง อันนั้นมันเป็นอีกอย่าง คุยกับหลวงพ่อก็ไม่ได้คุยอะไรมาก พอรู้อย่างนี้ท่านก็ปล่อยเลย
ในช่วงสุดท้ายนี่อาตมาดูความคิด ดูความคิดดูจิตใจของเรามันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เป็นพัก เป็นพัก เป็นขั้นเป็นตอน แต่มันต้องมีอารมณ์รับรู้ ถ้าเรารู้โดยไม่มีอารมณ์รับรู้ รู้ลอย ๆ แสดงว่ามันไม่ถูกต้องยังผิด ต้องมีอารมณ์รับรู้ไปเรื่อย ๆ เห็นไปเรื่อย ๆ เรื่องศีลสิกขาอะไรนี่ มันรู้มันเข้าใจไปหมด อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เรื่องทุกอย่างมันรู้ไปหมด แต่อาตมาพูดอย่างหลวงพ่อไม่เป็น หลวงพ่อท่านพูดต้องเป็นอย่างนั้น ๆ แต่อาตมาเห็นคล้าย ๆ ว่ามันหลุดไปเลย แต่หลวงพ่อท่านก็เป็นอีกแบบ เป็นตอน เป็นตอนไป อาตมาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ทั้งหมดจิตใจเปลี่ยน 5 ครั้ง มันเร็ว มันเห็น พอดีไปถึงสุดท้าย ไปรู้ อาการเกิด-ดับ ที่หลวงพ่อเคยพูด ที่เขาพูดว่า ตามันเห็นรูป มันเกิด มันดับ มันได้ยินเสียง มันเกิด มันดับ กายสัมผัสแล้วมันเกิด มันดับ อันนั้นมันในตำรา ใคร ๆ ก็พูดได้ อันนี้มันไม่เกี่ยว มันอีกแบบหนึ่ง
อาตมาจึงกล้ายืนยัน ถ้าหลวงพ่อเสียไป อาตมาก็กล้ายืนยันว่า หลักการของท่าน วิธีการของท่าน ถ้าเราทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ จะเป็นใครก็ได้ บวชก็ได้ ไม่บวชก็ได้ ไม่เกี่ยวกับบารมี ไม่เกี่ยวกับวาสนา ไม่เกี่ยวกับอะไรทุกอย่างเลย มันคนละเรื่องกันเลย มันเป็นอย่างนี้เอง
a8a8a8a8a8a8a8a8a8a
การฝึกแบบอุกฤษฏ์ ให้รู้สึกตัวนี้เป็นเพียงคำพูด มันเป็นการเก็บตัว ไม่พูดไม่จา ไม่พูดคุยกับใคร อยู่คนเดียวในกุฏิ การทำความรู้สึกตัวจึงจะต่อเนื่อง อันนั้นเป็นการปฏิบัติภายนอกให้คนมองเห็น แต่ว่าความรู้สึกภายในจริง ๆ แล้ว ถ้ามันต่อเนื่อง ถึงจะไม่ได้อยู่คนเดียว มันก็เป็นอุกฤษฏ์เหมือนกันนะ แต่มันก็ยากเหมือนกันนะ ทำให้ติดต่อกันตลอดอย่างนี้มันอาจจะเป็นได้ยาก แต่ถ้ามันเป็นได้ มันก็เป็นอุกฤษฏ์เหมือนกัน แต่ผู้ที่ทำไม่ยาก มันก็เป็นไม่ยาก อยู่ไหนก็ได้ ใน 100 คน อาจจะมีสักคนหรือ 10 คนก็ได้ ตอนทำใหม่ ๆ นี่ลำบากเหมือนกัน ความรู้สึกนี้มันก็ยังจับไม่ได้ ความคิดมันมาก มันยังสู้ความคิดไม่ได้ ความรู้สึกนี้มันน้อย พอทำไปนาน ๆ แล้ว ความรู้สึกมันก็ค่อยมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ใหม่ ๆ บางทีมันถอยเลย ความรู้สึกตัวเกิดยาก
ตอนที่ฝึกกับหลวงพ่อตอนแรกนั้น ก็ออกมาเดินนอกกุฏิบ้างเหมือนกัน พอตอนช่วงท้าย ๆ ตอนมาเก็บอารมณ์คนเดียวนั้น ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในห้องกุฏิ ไม่ออกมา การฝึกก็ใช้อิริยาบถเดินมากกว่านั่ง วันหนึ่งในขณะที่นั่งทำความรู้สึก นั่งทำความเคลื่อนไหว นั่งกำหนดอยู่ ในขณะนั้นคล้าย ๆ ว่า มันเร็วมาก คล้าย ๆ มันเพียงแว่บเดียว มันไว เหมือนกับฟ้าแลบลงมา สมมติถ้าเอาคำพูดของหลวงพ่อมาพูด ก็เรียกว่า ธรรมะอึดใจเดียว
ในช่วงนั้นคล้าย ๆ เรามีอะไรหนัก ๆ อยู่นี่ แล้วเราถอดออกไป เราโยนทิ้งออกไป ตัวของเรามันเบา เรารู้ว่ามันเบา เพราะเราไม่เคยสัมผัสมาก่อน เราไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน เรารู้สึกว่ามันแตกต่างกัน แต่สติมันมี ตัวสติมันอยู่ มันไม่ออกไป มันรู้เลยว่าเบาไป สติอันนี้ก็จะคงที่อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งการหลับก็รู้
การเจริญสติ อันนี้ ถ้าสมบูรณ์ดีแล้ว ความฝันเวลาหลับก็จะน้อยลง ๆ หรือบางทีอาจจะไม่มีเลยก็ได้ ธรรมดาคนเราความคิดมันมาก แต่ถ้าเราเจริญสติไป ๆ ความคิดมันก็น้อยลง ๆ ในตำราเขาว่า พระอริยเจ้าหรือผู้รู้ผู้มีสติปัญญาแล้วไม่ฝัน เขาว่า อันนี้เราเอาตำรามาพูด เหมือนกับกลางวันฝันกลางคืนคิด ในฝันนั้นก็รู้ คือคล้าย ๆ กับความคิดนี่ เรารู้เราเห็น เราเข้าใจอันนี้เราจึงรู้ในขณะที่มันฝัน
การเจริญสติโดยการยกมือไปมานี้ ถ้าเราไม่สะดวกที่จะยกมือ เราก็จับการเคลื่อนไหวอย่างอื่น เช่นพริบตา หายใจ อะไรก็ได้ มันทำได้หลายวิธี มันเป็นสากล เอาไปประยุกต์ใช้กับหน้าที่การงานได้ แต่ที่สำคัญคือให้รู้ รู้ในขณะนั้น รู้ในตัวเรานี้เอง เราเคลื่อนไหว เราจะจับเอาที่ไหน จะจับอะไรให้รู้อย่างนั้น เราต้องเอาที่ใดที่หนึ่ง จุดใดจุดหนึ่ง ถ้าเราไม่มีจุดใดจุดหนึ่ง มันจับไม่ถูก ไอ้ตัวรู้นี้สำคัญที่สุด ถ้าจับที่ใดที่หนึ่งแล้ว ส่วนอื่นเคลื่อนไหวก็ต้องรู้อยู่ดี เพราะมันสัมพันธ์กัน หากเกิดภายใน ถ้าทำงานแล้วมันรู้ ถ้าเป็นไฟฟ้าเปิดแล้วมันก็พรึ่บไปเลย มันทำงานพร้อมกันไปเลย มันโยงกันนะ คล้าย ๆ เชือก ถ้าเราตัดอันนี้ มันกระตุกหมดเลย
เราควรฝึกจิตของเราให้อยู่กับความรู้สึก ดูความคิดของเรา มันจะคิดก็ช่างมัน ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด คิด แต่ก็ต้องให้ดูมันนะ เป็นผู้ดูอย่างเดียว ให้เราดูไปเรื่อย ๆ แล้วก็ปล่อย พยายามฝึกอย่างนี้ไป มันจะค่อย ๆ เลื่อนไป ๆ จนถึงจุดนั้น
อันธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด จะเกิดก็เพราะเหตุ จะดับก็เพราะเหตุ พระเราก็สอนกัน แต่เราไม่รู้เหตุของมันเลย พระท่านสอนกัน “เหตุปจฺจโย อารมณปจฺจโย อธิปติปจฺจโย” มันหมดเหตุ หมดปัจจัย ไปไหนก็ไม่รู้ ไม่มีใครตามเห็นสักคน รู้ก็ตามไม่เห็น ไม่รู้ก็ตามไม่เห็น ตรงนี้ถ้าเราบอกว่าจบ อันนี้ไม่ได้นะ คนไม่รู้เลย อันนี้คล้าย ๆ กับเป็นการส่งเสริมให้คนทำชั่วมากขึ้น เป็นการทำความเข้าใจผิดให้กับบุคคลที่ยังไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นอีก ฉะนั้นอุบายในการสอนนี้มันจึงแยบคาย อย่างที่เราคุยกัน
หลวงพ่อท่านพูดว่า ไม่มีการไป ไม่มีการมา ก็พูดได้แค่นี้แหละ เราจะบอกว่าตายแล้วไม่เกิด มันหมดเรื่องกันเท่านั้นเอง คนก็ไม่ทำอะไรเท่านั้นเอง เขาว่ามันเป็นมิจฉาทิฐิ คนทำดีไม่ได้ดี ทำบุญไม่ได้บุญ นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี เป็นคำสอนผิด ไม่มีการไป ไม่มีการมา ให้คิดเอาเอง คิดได้ก็ได้ คิดไม่ได้ก็ไม่ได้ หรือศึกษาเอาเอง ให้รู้เองเป็นเอง หรือว่าให้รู้เอง เห็นเองจะดีกว่า คนอื่นเขาจะพูดอะไรก็ช่างเขา แต่ให้เรารู้เองเป็นเองดีกว่า สบายใจ
เรามีอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ เราก็สบาย เขาอยากไปเกิดก็ให้เขาไปเกิดกัน เราไม่ไปไหนมาไหน เราอยู่ที่นี่ จริง ๆ แล้วคนเราถ้าเข้าใจเรื่องการจะหมดชีวิตจริง ๆ แล้วมันสบาย ทุกอย่างมันทำง่าย สบาย
แต่เดี๋ยวนี้คนเรานี้ ไม่เข้าใจ ก็ทำด้วยความไม่เข้าใจ ทำแบบไม่รู้ ถ้าทำแบบผู้รู้ก็ทำอีกแบบหนึ่ง ผู้รู้มันมี แต่ผู้ที่ไม่รู้ ถึงทำอยู่ก็ยังไม่รู้ ทำอยู่ก็ยังไม่แน่ใจ แล้วก็ไม่มั่นใจอีกด้วย แต่ผู้รู้แล้วยังไงก็มั่นใจ ทำก็มั่นใจ ไม่ทำก็มั่นใจ เพราะรู้แล้วนี่ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ มันง่าย ๆ
จริงแล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้ทำง่าย ๆ ถ้าเราไปถึงจุดนั้นจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนง่าย ๆ จนไม่มีอะไรที่จะพูดเลย หรือจนไม่มีอะไรที่จะสอนกันเลย จะให้เอาอะไร ไม่มีอะไรที่จะเอา พูดง่าย ๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้หยุดใช่ไหม ท่านสอนคน สอนให้หยุดนี่ แต่คนเราไม่หยุด ไม่ยอมหยุด ถ้าหยุดแล้วมันก็หมด ไม่มีอะไร แต่ร่างกายก็ยังไปได้อยู่ ยังทานอาหาร ยังทำหน้าที่ปฏิบัติอะไรต่ออะไรได้อยู่ ร่างกายก็ยังเคลื่อนไหว แต่ภายในมันนิ่งอยู่ มันไม่เอาแล้วใช่ไหม มันเย็นแล้ว มันหยุดแล้ว มันพอแล้ว เราจะบอกว่ามรรคผลนิพพานก็ได้ อะไรก็ได้ ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการไป ไม่มีการมา มันเป็นคำสมมุติคำพูดมันกว้างออก ขยายออกไป
ฉะนั้นขอให้พวกเราทั้งหลายจงฝึกให้เป็น เตรียมพร้อมไว้ก่อน พยายามทำสิ่งที่มันมีอยู่แล้วให้ปรากฏออกมาเสียก่อน เมื่อถึงเวลาที่มันจะหมดลมหายใจจริง ๆ มันก็จะง่ายจริง ๆ