ถ้าใครในชีวิต ไม่เคยรักษาศีล ๘ ในวันพระเลย รู้จักศีลทุกข้อ ทำได้เกือบทุกข้อ ยกเว้น การอดข้าวเย็น ไม่ยากครับ ก็จัดการหม่ำข้าวเย็น เสียก่อนเลย ห้าโมง หกโมง ใช่ไหม อิ่มแปล้แล้ว คราวนี้ ก็มาตั้งใจ บูชาพระ สมาทานศีล ๘ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อะฮ้า....ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด หลับไป ตื่นมา ได้แล้วครับ ๑ คืน ง่ายมะ มาดูอานิสงส์ของการรักษาศีล ๘ แค่คืนเดียว
อานิสงส์ของการรักษาอุโบสถศีล ครึ่งวัน
“..เรื่อง “รุกขเทวดา” ในสมัยพระพุทธเจ้า เวลานั้นมีมหาเศรษฐีท่านหนึ่งมีนามว่า “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” บ้านนี้เวลาวันพระทุกคนในบ้านต้องรักษาอุโบสถ ปรากฏว่าวันพระวันหนึ่ง มีคนจนคนหนึ่งเข้ามาขอเป็นลูกจ้างของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านก็ถามว่า “เธอทำงานอะไรได้บ้าง” เขาก็ตอบว่า “ทำทุกอย่างตามที่ท่านจะใช้” ท่านก็บอกว่า “งานอย่างอื่นก็มีเจ้าหน้าที่เต็มหมดแล้ว ที่ยังมีพร่องอยู่ก็คือคนตัดฟืน” (เพราะที่บ้านนี้ต้องเลี้ยงพระมาก เลี้ยงคนมาก) เธอก็ยอมรับทำ หลังจากนั้นเธอกินข้าวเช้าเสร็จก็ถือขวานเข้าป่าไปตัดฟืน แล้วกลับมาตอนเย็น พอมาถึงปรากฏว่าคนที่บ้านนั้นเงียบสงัด ไม่มีเสียง ฉันขอข้าว ฉันขอแกง ฉันต้องการอย่างนั้น อย่างนี้ เหมือนตอนเช้า เธอก็เข้าไปที่โรงครัว แม่ครัวก็จัดอาหารเฉพาะเธอ เธอจึงถามว่า “วันนี้ทุกคนในบ้านเขากินข้าวกันหมดแล้วหรือ เห็นเงียบไป” แม่ครัวก็บอกว่า “วันนี้เป็นวันพระ ที่บ้านนี้หมดทุกคน วันพระต้องรักษาอุโบสถแม้แต่เด็กที่กำลังกินนมอยู่ ท่านมหาเศรษฐียังให้บ้วนปาก และกินนํ้าผึ้ง หรือนมใส นมข้นแทน” ชายตัดฟืนก็ถามว่า “อุโบสถเป็นอย่างไร” แม่ครัวตอบว่า “ถ้าอยากจะรู้ก็ไปถามท่านมหาเศรษฐีก็แล้วกัน ทุกคนทำตามคำสั่ง แต่ความรู้ไม่มี” ชายผู้นี้ก็เข้าไปหาท่านมหาเศรษฐี ท่านก็แนะนำว่า “อุโบสถศีลก็คือศีล ๘ แต่รักษาวันหนึ่ง กับคืนหนึ่งเขาเรียกว่า อุโบสถศีล”
ชายผู้นี้ก็ถามต่อว่า “ตอนเช้ามืด ไม่ได้สมาทานอุโบสถศีล ตอนเย็นจะสมาทานได้ไหม” ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า “ถ้ารักษาเต็มวันไม่ได้ รักษาครึ่งวันก็ใช้ได้” เขาก็สมาทานอุโบสถศีลกับท่านมหาเศรษฐี และท่านก็แนะนำอุโบสถศีลมี ๘ ข้อตามศีล ๘
หลังจากนั้นเมื่อสมาทานศีลแล้ว เขาก็ไม่ได้กินข้าวเย็น เขากินแต่ข้าวเช้า และข้าวกลางวันที่ห่อไป งานตัดฟืนมันก็หนัก และไม่ได้กินข้าวเย็น พอตกดึกเข้า ลมดันขึ้นมา มีอาการจุกเสียดมาก มีคนมารายงานท่านมหาเศรษฐี ท่านก็ไปแนะนำ และนำอาหารที่มีรสเลิศ ๕ อย่าง ไปให้กินบอกว่า “กินเสียเถอะ วันนี้ไม่เป็นไร ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่วันอื่นยังรักษาได้” ชายผู้นี้ก็ใจเด็ดบอกว่า “ความดีเต็มวันผมทำไม่ได้ แต่ผมรักษาได้แค่ครึ่งวัน ถ้าผมจะตายเพราะความดีครึ่งวัน ผมยอมตาย” ท่านมหาเศรษฐีจะแค่นเท่าไร เขาก็ไม่ยอมกินอาหาร
พอวันรุ่งขึ้นเขาก็ตาย ตายเพราะกำลังใจที่พอใจในอุโบสถศีล เป็นอันว่าเขามีโอกาสได้ทำบุญคราวนั้น คราวเดียว เมื่อตายจากความเป็นคน ก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา
ในเวลานั้นมีฤๅษี ๖๐ ท่าน ตั้งใจจะไปบ้านท่านโฆษกเศรษฐี ซึ่งอาราธนาไว้ว่า ถ้าเวลาหน้าแล้ง ขอให้ไปรับภัตตาหารที่บ้านเขา แต่ท่านฤๅษี ๖๐ ท่านไม่ได้อภิญญา พอไปถึงต้นไม้ใหญ่ มีพุ่มใหญ่ ก็คิดว่า ต้นไม้นี่ มีพุ่มใหญ่ มีร่มเงาดี เรานั่งพักสักครู่หนึ่งดีกว่า พอนั่งพักไปสักครู่หนึ่ง หัวหน้าฤๅษีก็มีความรู้สึก คือท่านไม่ได้ทิพย์จักขุญาณ แต่มีความรู้สึกคิดว่า ต้นไม้นี้อาจจะมีรุกขเทวดาที่มีบุญมาก เพราะต้นไม้มีพุ่มใหญ่เหลือเกิน จึงนึกในใจว่า “เวลานี้เราเดินมาเหนื่อยมีความกระหายนํ้า ถ้าหากว่ารุกขเทวดาจะเมตตาเรา บันดาลนํ้าที่ใสสะอาดให้เรากินก็จะดี” เทวดาก็บันดาลนํ้าให้กิน
ต่อมาเธอก็คิดว่า “เรากินนํ้าแล้ว และก็หิวข้าว หิวลูกไม้ ถ้าเทวดาบันดาลอาหารให้เรากินได้ก็จะดี” เทวดาก็บันดาลให้กิน
ต่อมาเธอก็คิดว่า “เราเดินมาไกลมันร้อน ถ้ามีสระอาบน้ำได้ก็ดี” เทวดาก็บันดาลสระอาบน้ำให้อาบ เมื่อความประสงค์ของท่านฤๅษี เป็นไปตามประสงค์ ท่านก็คิดว่า “เทวดาองค์นี้ ต้องมีอานุภาพมาก” ดังนั้นจึงขอร้องด้วยวาจาว่า “ขอเทวดาผู้มีคุณ ได้โปรดสำแดงตนให้ปรากฏ” เทวดาก็สำแดงตนให้ปรากฏ ท่านฤๅษีก็บอกว่า “ท่านรุกขเทวดา ท่านมีบุญญานุภาพมาก ข้าพเจ้าต้องการอะไร ท่านก็บันดาลให้ได้ทุกอย่าง และเวลานี้ก็เห็นวิมานท่านใหญ่โต มโหฬาร สวยสดงดงาม ตัวท่านก็มีความสง่า มีเครื่องประดับสวยมีแสงสว่างออกจากกาย อยากจะทราบว่าในสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านทำบุญอะไรไว้”
พอท่านฤๅษีถามอย่างนี้ ท่านเทวดาก็อายบอกว่า “อย่าถามผมเลยขอรับ ผมอายเหลือเกินเพราะบุญผมน้อย” ในเมื่อท่านฤๅษีคะยั้นคะยอหนักเข้า ขอร้องมากขึ้น เทวดาก็ยอมตอบว่า “ผมมีบุญน้อย เป็นรุกขเทวดาเพราะรักษาอุโบสถศีลครึ่งวัน”
ก็เป็นอันว่า รักษาอุโบสถศีลเพียงครึ่งวัน ครั้งเดียวในชีวิต ตายจากคนไปเกิดเป็นรุกขเทวดา มีบุญญาธิการมาก ฉะนั้นถ้าหากว่า เทวดา หรือนางฟ้าองค์ใด ที่ท่านอาศัยต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง และมีบุญญาธิการมาก อย่างเทวดาองค์นี้ ต้นไม้ต้นนั้นถ้านำมาเป็นเสา หรือนำมาเป็นพรึง หรือนำมาเป็นตง หรือคาน ก็ตาม คงจะตกนํ้ามันเหมือนกัน เพราะมีอานุภาพมาก..”
คัดมาจากเว็บนี้ครับ http://www.thaisquare.com/Dhamma
ความต่อจากนี้เป็นฉันใด อ่านต่อได้ใน ใครว่า พระไตรปิฎกน่าเบื่อ - นิทานอิงธรรมบท เรื่องพระนางสามาวดี ตอนที่ ๒๖
เป็นไงครับ กำไรเละเทะ คุณคนตัดฟืนคนนั้น เขาทนหิวข้าวจนตาย แต่ของเรา ถ้าซวยตายไปคืนนั้น อิ่มตายครับ เหอ เหอ สบายกว่ากันเยอะเลย แต่ต้องรักษาจริง ๆ จัง ๆ นะครับ ไม่ใช่ลุกขึ้นมากลางดึก หิว ออกไปหาข้าวในเซเว่นกิน อย่างนั้นใช้ไม่ได้นะครับ ถ้าเผอิญตื่นขึ้นมา ก็ต้องใช้กำลังใจ แบบเดียวกับคนตัดฟืนนี่ละครับ
ทีนี้ ถ้าอ่านแล้ว เฮอะ...คืนเดียว กระจอกไป เดี๋ยวจะรักษาอุโบสถศีล ๑ วัน ให้ดู ลองไปดูอานิสงส์ของคนที่รักษาอุโบสถศีล ๑วัน ๑ ครั้งในชีวิตกันครับ
ผลแห่งการรักษาอุโบสถศีลครั้งเดียว
ในพระนครพันธุมดี มีพระบรมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพันธุมา
ในวันเพ็ญ ท้าวเธอทรงรักษาอุโบสถศีล
สมัยนั้น ดิฉันเป็นนางกุมภทาสีในพระนครพันธุมดีนั้น เห็นเสนาพร้อมด้วยพระมหากษัตริย์ จึงคิดอย่างนี้ ในครั้งนั้นว่า แม้พระมหากษัตริย์ ก็ยังทรงละราชกิจมารักษาอุโบสถศีล กรรมนั้นต้องมีผลแน่นอน หมู่มหาชนจึงพากันเบิกบานใจ
ดิฉันพิจารณาเห็นทุคติ และความเป็นคนยากไร้โดยแยบคาย ทำให้จิตใจร่าเริงแล้ว รักษาอุโบสถศีล ดิฉันรักษาอุโบสถศีล ในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น ดิฉันได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วิมานที่บุญกรรมสร้างให้ดิฉันอย่างสวยงามในดาวดึงส์นั้น สูงโยชน์หนึ่ง ประกอบด้วยเรือนยอด มีที่นั่งใหญ่โต ประดับแล้วอย่างดี นางอัปสรแสนนาง ต่างบำรุงบำเรอดิฉันอยู่ทุกเมื่อ
ดิฉันงามเกินนางเทพอัปสรอื่นๆ ในกาลทั้งปวง
ดิฉันได้เป็นพระอัครมเหสีของท้าวสักรินทเทวราช ๖๔ พระองค์
ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๖๓ พระองค์
ดิฉันเป็นผู้มีผิวพรรณปานดังทองคำ ท่องเที่ยวอยู่ในภพทั้งหลาย
ดิฉันเป็นผู้ประเสริฐในที่ทุกสถาน นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล
ดิฉันย่อมได้ยานช้าง ยานม้า และยานรถ แม้ทุกอย่าง มากมาย
นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล ภาชนะสำเร็จด้วยทองเงินแก้วผลึก และแก้วปทุมราช
ดิฉันได้ทุกอย่าง ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้ายและผ้าที่มี ราคาสูงๆ
ดิฉันก็ได้ทุกสิ่ง ข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า เสนาสนะ
ดิฉันได้ทุกอย่าง นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล
เครื่องหอมชนิดดี ดอกไม้ จุรณ์สำหรับลูบไล้ ดิฉันก็ได้ทุกประการ
นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล เรือนยอด ปราสาท มณฑป เรือนโล้น และถ้ำ
ดิฉันก็ได้ถ้วนทุกสิ่ง นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล
พอดิฉันอายุได้ ๗ ขวบก็ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต
ได้บรรลุอรหัตเมื่อยังไม่ทันจะถึงครึ่งเดือน
ดิฉันมีอาสวะสิ้นไปหมดแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้
ดิฉันได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น
ดิฉันไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว...พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระเอกุโปสถิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
คัดมาจากเว็บนี้แล http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=4306&Z=4339&pagebreak=0
โอ้โฮ...อะไรจะปานนั้น แต่นี้คือเรื่องจริงครับ มียืนยันในพระไตรปิฎก เข้าใจหรือยังครับว่า ทำไมทำทานเท่าไหร่ ก็สู้รักษาศีลไม่ได้ รักษาศีลเท่าไหร่ ก็สู้เจริญสมถะวิปัสสนาไม่ได้ ยุคนี้ มีแต่คนยุให้ไปทำทาน แต่หารู้ไม่ว่า บุญที่ไม่ต้องใช้ตังค์สักบาท ทำแล้วได้อานิสงส์มากมายมหาศาลกว่าตั้งเยอะ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ ปล.ใครไม่รู้จักศีล ๘ ไม่รู้วิธีสมาทาน ลองเข้าไปดูที่นี่ครับ มีทั้งให้อ่าน ให้ฟัง http://www.geocities.com/buddhamontra/page002.htm
by Dhammasarokikku