เรื่องการให้ทานนี่มีให้เขียนเรื่อย ๆ จริง ๆคืออย่างนี้ ครับ ข้าพเจ้าเองก็เคยนึกสงสัยว่า เหตุใดหนอ คนเราจึงทำธุรกิจได้ยากเย็นนัก ทั้งที่บางทีก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง ทำไมหนอ แม่ค้าหมูปิ้ง อาซิ้มร้านโชว์ห่วย หรืออาเจ้ร้านขายขนมในโรงอาหารสมัย ม.ปลาย มิได้มีความรู้กระไรเป็นพิเศษ เธอทั้งหลายจึงทำธุรกิจได้ดี รุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ สามารถส่งลูกจนเรียนจบเมืองนอกเมืองนาได้ตั้งหลายคน
บางคนหาเงินได้ยาก จนต้องอุทานว่า เหมือนแคะเงินออกจากหิน ทั้งที่ฝีไม้ลายมือในการทำธุรกิจ ก็พอตัว ความเก่งกาจในวิชาชีพก็พร้อมพรั่ง
บางคนก็มีโชคช่วย ลาภลอย ดวงโคตรเฮง ไปถูกชะตาใครสักคน หรือดวงได้รับการอุปถัมภ์ เข้ามาสนับสนุน จนได้ดิบได้ดี ทั้งที่ก็ไม่ได้มีความรู้ พื้นฐานครอบครัว หรือแนวคิดกระไรดีนักหนา
สมัยหนึ่ง ข้าพเจ้าอยู่กับความวิเวกวังเวงในถ้ำที่วัดหลวงตาพวง คิดพิจารณาชีวิตของตัวเองไปเรื่อยเปื่อย ก็เคยปิ๊งกับกฏแห่งกรรมมาครั้งหนึ่งว่า การที่ข้าพเจ้าไม่สามารถประกอบสัมมาอาชีพได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือไม่รุ่งเท่าที่ควร (คนเราหนอ ยอดขายเดือนละล้าน ต่อพนักงาน ๓ คน ก็ยังไม่พอนะเนี่ยะ แหะ ๆ ) แท้จริงมันก็มาจากกฏแห่งกรรมนี่แล ชาติที่แล้วเราเป็นอย่างไร หาคำตอบได้ไม่ยาก ไม่ต้องมีญาณหยั่งรู้วิเศษกระไรดอก ก็ดูจากอุปนิสัยของเราตอนเด็ก ๆ ก็พอจักทราบได้ไม่ยาก สมัยนั้นข้าพเจ้า "งก" เหลือกำลัง ครับ สลึงหนึ่งก็ไม่ให้กระเด็น แสดงว่า ชาติก่อน ๆ เราก็คงสะสมความตึ๋งหนืดไว้พะเรอเกวียน พอปิ๊งได้เช่นนี้ ก็ทำทานกันหามรุ่งหามค่ำ มิได้หยุดมิได้หย่อน อาศัยคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ว่า ความตระหนี่นี่ละได้ด้วยการให้ทาน ให้ไปเรื่อย ๆ ความ "งก" มันก็ลดลงจริง ๆ
วันนี้ระหว่างนั่งรอฉันเพลเพลิน ๆ เรื่องราวของเพื่อนสหธรรมมิกผู้หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว มันแทบไม่ต่างกระไรจากสิ่งที่ข้าพเจ้าไปปิ๊งในถ้ำเมื่อสามปีก่อน
เพื่อนคนนี้ "งก" ขั้นเทพ ครับ ถ้าเทียบกันเม็ดต่อเม็ด ช่อตต่อช่อต ข้าพเจ้าชิดซ้ายละเลียดเฉียดลงคอห่านไปเลยทีเดียว แม้ชีวิตของเขากับข้าพเจ้าจักแตกต่างกันในหลาย ๆ แง่ แต่เขาก็เคยปรารภเช่นเดียวกัน ถึงเรื่องที่เขาต้องหาเงินเองทุกเม็ด ไม่มีหรอก เรื่องใครจักมาช่วย (กระทั่งพ่อแม่ของเขาเองซึ่งพอมีฐานะ) หรือพวกลาบไร้น้ำหนัก (ลาภลอย) ไม่ต่างกระไรจากข้าพเจ้า
เพื่อนสหธรรมมิกผู้นี้ บัดนี้มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานเป็นอันมาก จากการทำงานด้วยมือของตนเอง ผ่านความเพียรอย่างยิ่งยวด ผ่านอุปสรรคนานาประการ และด้วยความร่วมมือจากเหล่าผู้ร่วมอุดมการณ์อีกหลายชีวิต
จากความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความสามารถของเขาเอง ทำให้เขามีแนวโน้มจักเชื่อในเรื่องอภินิหาร หรือชะตาฟ้าลิขิตน้อย ทุกอย่างเขาต้องทำเอง ชีวิตต้องลิขิตเอง ทำสิ่งไร จักสำเร็จก็ด้วยความเพียร
และด้วยความงกในเยาว์วัย กอปรกับการที่เงินทองนั้นได้มายาก ทำให้เวลาเขาจักทำบุญทำทานครั้งหนึ่ง เขาต้องมั่นใจว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ของเขาได้ถึงค่าประสิทธิผลสูงสุด
ผิดกับบางคนที่คาบช้อนทองมาเกิด เงินทองได้มาสะดวกสบายยิ่งนัก เวลาทำบุญทำทาน จึงไม่ต้องคิดกระไรมาก ทำตามความพอใจ
ผลแห่งการเป็นผู้พินิจพิจารณา รอบคอบมากเกินไปในการทำบุญนี่เอง ที่ข้าพเจ้าเห็นว่า ผลของการกระทำนี้ ก็ส่งผลให้เขาเป็นผู้แห้งแล้งไปด้วยลาภลอย หรือโชคช่วย
และผลแห่งการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบอีกนั่นแหละ ที่วันนี้ส่งผลให้เขาเป็นผู้ร่ำรวยมหาศาล แต่ต้องผ่านความเพียรอย่างหนักในตอนต้น และที่สุด รวยอย่างยั่งยืน
ลองเทียบกับคนที่พ่อแม่รวย หรือหาเงินมาได้ง่าย ๆ การทำบุญของเขา มิได้ต้องคำนึงถึงสิ่งไรมากมาย ไม่ต้องคิดว่า เงินทองนี้ได้มายากเย็นแค่ไหน แล้วคนที่ได้รับ เขาจักเอาไปทำกระไร พอใจทำ ก็ทำ ทำเพื่อสงเคราะห์ ทำด้วยใจบริสุทธิ์ เกิดมาชาติหน้า ก็มีคนอุปถัมภ์โดยมิต้องขวนขวายมากมาย แต่บางทีก็รวยแบบฉาบฉวย ไม่นานก็จน เนื่องด้วยขาดการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ
เรื่องนี้ไม่ต้องรอพิสูจน์กันชาติหน้าหรอก พิสูจน์กันได้ชาตินี้เลย น้องชายของเพื่อนสหธรรมมิกคนนี้ ก็เป็นหลักฐานอย่างดี ไม่ต้องทำกระไรมากมายในชีวิต ก็มีคนอุปถัมภ์ค้ำจุน มีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงาน
สาระแห่งการเขียนเรื่องนี้ ก็อยากชี้ให้เห็นถึง "วน" หรือ วัฏฏะ
วนนั้นมีอยู่ ๓ วน คือ วนกิเลส วนกรรม และวนวิบาก หมุนกันไปไม่หยุดหย่อน ลองยกตัวอย่างเป็นเพื่อนสหธรรมมิกคนนี้
วนกิเลส ก็คือ วนงก วนตระหนี่ วนกรรม ก็คือ ทำบุญทำทานแต่ละที ทำยาก คิดมาก (แต่ไม่ใช่ไม่ทำ) วนวิบาก ก็คือ ผลของกรรมนี้ ชาติต่อ ๆ ไป ก็ทำมาหากินได้ยากเย็นยิ่งนัก
ผลของการทำมาหากินได้ยากเย็น ก็ทำให้เป็นคนที่มีความรอบคอบในการใช้เงิน ทำบุญแต่ละที ก็ต้องให้เกิดประโยชน์มาก ต้องคุ้มค่าเหลือจักกล่าวกระไรเทือกนั้น ซึ่งก็ทำให้ชาติต่อ ๆ ไปเป็นผู้มีทรัพย์มาก แต่ก่อนจักเป็นผู้มีทรัพย์มาก ก็ต้องผ่านความยากเข็ญของชีวิต วนไปไม่รู้จบ
ส่วนผู้ที่ทำบุญได้ง่าย ๆ ไม่คิดกระไรมาก ก็ส่งผลให้กลายเป็นผู้ที่ได้โภคทรัพย์มาง่าย ๆ ง่ายจนบางทีกลายเป็นการเพาะนิสัยจับจด ทำกระไรก็ไม่สำเร็จ เพราะมีคนช่วย คนหนุนอยู่ตลอดกาล จนยืนเองไม่เป็น หรือมีทรัพย์มากในช่วงต้นชีวิต แล้วกลับหมดทรัพย์เพราะขาดความรอบคอบในการใช้ทรัพย์ที่มีอยู่
ทีนี้ถ้าคนที่มีทรัพย์มากมาแต่ต้น ไม่ต้องหาเอง เขาก็ทำบุญทำทานได้ง่าย ๆ เหมือนกัน หากเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ หมั่นทำบุญสร้างกุศลไว้เรื่อย ๆ ทานที่เขาทำก็มีอานิสงส์ ส่งผลให้ชาติต่อไป เขาก็ได้กระไรมาง่าย ๆ เช่นเดิม วนเป็นผู้มีอันจักกินอยู่อย่างนี้ สั่งสมความไม่ต้องทำกระไรเองไปเรื่อย จนที่สุดทำกระไรเองแทบไม่เป็น ตัวอย่างของผู้ที่มี "วนบุญ" จนถึงที่สุด คือ พระอนุรุทธราชกุมาร เชื่อไหมว่าก่อนท่านบวช ท่านไม่รู้จักกระทั่ง "วิธีปลูกข้าว" (เพราะเกิดมาก็เห็นมันอยู่ในจานข้าวมาตลอด เลยนึกว่า มันเกิดขึ้นมาเอง อยู่ในจานข้าว) และไม่รู้จักคำว่า "ไม่มี" ด้วยแรงอธิษฐานในอดีตชาติ ส่งผลให้ท่านได้มีโอกาสเวียนทำบุญสั่งสมเรื่อยมา (พระอนุรุทธเถระ บรรลุธรรมแล้ว ได้เป็นเอตทัคคะผู้มีทิพพจักขุเป็นเลิศกว่าภิกษุอื่น)
ส่วนผู้ที่เกิดมาร่ำรวย แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คิดว่า โภคทรัพย์ทั้งหลายนี้ ก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ของเราหามาไม่เคยคิดทำบุญ หรือแบ่งให้ใคร เที่ยวเล่นสนุกสนานไปกับบุญเก่า ทานบางอย่างมิได้ส่งผลแค่ชาติเดียว บางทีเป็นร้อยชาติแสนชาติ ก็สั่งสมความเหลวไหล ทำกระไรก็ไม่สำเร็จ พอกำลังของทานที่เคยทำไว้หมด ก็กลายเป็นคนยากจนเข็ญใจ เพราะความจับจดของเขาเอง
นี่ละ ครับ สิ่งที่ต้องการจักสื่อ
คนเราก็คงต้องมีความสงสัยประมาณนี้โผล่กันขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตละ ครับ ทำไมชั้นไม่รวยเหมือนแก ทำไมแกไม่สวยเหมือนชั้น แฟนเธอทำไมรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย ทำไมไม่มีโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิตกับเขาบ้าง ลองสังเกตดูพฤติกรรมของเราในปัจจุบันดี ๆ ครับ แล้วท่านจักพบว่า "กฏแห่งกรรมก็อยู่ตรงหน้าเราเสมอมา" เพียงแต่เราไม่ได้สังเกต
เรื่องราวพวกนี้พอเอามาวิเคราะห์ ก็ดูจักเห็นได้ไม่ยาก เข้าใจได้ง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้ว มองเห็นได้ยากทีเดียว ครับ หากไม่มีเวลาว่าง ๆ สักระยะหนึ่ง นั่งคิดพิจารณาทบทวนความเป็นไปในชีวิต ส่วนมาก แค่ทำงานให้เสร็จไปวัน ๆ ก็แย่แล้ว ไม่เหลือสมองไว้คิดเรื่องราวเหล่านี้หรอก เลิกงานก็อยากพักผ่อน วันหยุดก็อยากไปเที่ยว คนเรามักไม่ค่อยมีเวลามานั่งพิจารณาชีวิตตนเองในภาพรวม มีแต่มองเห็นชีวิตตนเองในระยะสั้น ๆ เช่น การที่ไม่มีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน ก็เป็นเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ ถูกเจ้านายกลั่นแกล้งบ้าง ถูกเพื่อนร่วมงานขัดขาเอาบ้าง วุ่นวายอยู่กับการแก้ปัญหาประจำวัน ที่จักมองยาวไปถึงกรรมในอดีตชาติ ไม่ค่อยมีหรอก
การต่อสู้ในเวทีชีวิต มันก็เหมือนการโจนลงสู่เวทีมวย เวลาห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้ ก็ไม่เห็นอย่างอื่น นอกจากคู่ต่อสู้ ทั้งไม่เห็นตัวเองด้วย (ลืมกายลืมใจตัวเองหมด) เขาจึงต้องมีพี่เลี้ยงคอยตะโกนบอกว่า การ์ดตกแล้วนะ ฟุตเวิร์คหลบออกมาก่อน คอยบอกจังหวะที่ดีเข้าชก พี่เลี้ยงในเวทีชีวิต ก็คือ ธรรมะนั่นเอง การทิ้งธรรมะ ก็คือ การตะบี้ตะบันสู้ไปบนเวทีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไร้พี่เลี้ยง
ทีนี้ หากเราทราบแล้วว่า ด้วยนิสัยอย่างนั้นอย่างนี้ของเรา ทำให้ชาตินี้เราเกิดมาเป็นแบบนี้ การยอมรับในความบ๊วยถ่วยของตัวเอง ก็ทำให้เราเข้าใจชีวิต มีความสุขในระดับหนึ่ง แต่เราคงไม่ยอมเป็นเช่นนั้นไปตลอดใช่ไหมล่ะ เราก็ต้องหักวัฏฏะ หรือหักวนทิ้งเสีย ครับ เราถึงจักไม่ต้องเจอความไม่น่ารักไม่น่าพอใจเช่นนั้นอีก
วัฏฏะ หรือวนนี้ จักหยุดได้ ต้องอาศัย "เรา" เป็นคนทำให้หยุด ครับ มันหยุดเองไม่ได้
วิธีหักวัฏฏะ ก็ต้องพัฒนาตัวเองไปในทางตรงข้าม ครับ เช่น กรณีน้องชายของเพื่อน การทำบุญแบบไม่ต้องคิดมากนั่นดีอยู่แล้ว แต่นิสสัยจับจดที่สั่งสมมา เราต้องขจัดทิ้ง ครับ ลุกขึ้นมาทำกระไรให้สำเร็จสักอย่าง คนเราเมื่อทำสิ่งใดสำเร็จสักอย่างแล้ว ก็มีความมั่นใจในการทำสิ่งอื่นต่อไป นี่ละ ครับ การหักวัฏฏะ อันจักทำให้ไม่ต้องมายากจนเมื่อยามแก่ ซึ่งคงไม่มีใครพอใจสภาพเช่นนั้น
สังเกตดู ครับ สิ่งห่วย ๆ ที่เกิดกับชีวิตเรา มันก็มาจากนิสัยห่วย ๆ ของเราเองนั่นแหละ แม้กระทั่งโรคร้ายบางชนิด เช่น มะเร็ง ก็มาจากนิสัยการกินอันห่วยแตกของเราเอง ไม่อยากเจอสิ่งห่วย ๆ ในชีวิต ก็หมั่นเอานิสัยห่วย ๆ ออกไปจากชีวิต ทำในสิ่งตรงข้ามเลย ครับ ไม่นานเห็นผล
คนเป็นมะเร็งที่ไม่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง เปลี่ยนวินัยการรับประทานอาหารจากเดิมเป็นตรงข้าม เช่น การกินอาหารแมคโครไบโอติก หลายคนก็กลับมามีสุขภาพดีดังเดิม และหลายคนที่ไม่อาจไม่ตามใจปากตัวเองได้ ดับชีพไปก็มาก
เช่นเดียวกับคนที่เป็นมะเร็งในอารมณ์ หากรู้ว่าตนเองมีนิสัยเสียอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ยังเอ้อระเหยลอยชาย ไม่รีบปรับปรุง ลบข้อด้อยของตนเอง เอาแต่จักตามใจกิเลสตน นานไปก็อาจจักสายเกินแก้
อย่างข้าพเจ้า เคยเป็นคนงกมาก ๆ ไม่ค่อยได้ทำบุญทำทาน เคยเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ก็เอานิสัยงก ๆ ห่วย ๆ นี้ออกไป เอาความเห็นแก่ตัวออกไป หันมาเห็นแก่ผู้อื่น ด้วยการทำทานสงเคราะห์ผู้อื่นอย่างสนุกสนาน นี่คือสิ่งที่ตรงข้ามกับนิสัยห่วย ๆ ดั้งเดิมทีเดียว และผลของมัน ชีวิตข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไปแทบจักเรียกได้ว่า จากส้นตีนเป็นหน้ามือ
นี่ก็ไปสอดคล้องกับปัจจุบันกรรม ซึ่งมีผลมากมายมหาศาล เหนือวิบากกรรมจากอดีต ดังตฤณเคยกล่าวไว้ อยากรู้ว่า อดีตชาติของเราเป็นอย่างไร ทำกระไรไว้ ก็ให้ส่องกระจกเงาดูตัวเอง ครับ นั่นละ อดีตชาติของเราเคยสร้างกระไรมาบ้าง คนในกระจกนั่น คือผลประมวลของสมการกรรมดีกรรมชั่วที่เคยสร้างมานับชาติไม่ถ้วน หรือชะตาชีวิต ฟ้าลิขิตไว้เช่นไร (ฟ้าลิขิต ก็คือตัวเราในอดีตชาตินั่นแล เป็นคนลิขิต) หากพบว่า มีสิ่งไรไม่ดีไม่งาม ก็เริ่มทำปัจจุบันกรรมให้ดี ให้เริ่ด ให้เพอร์เฟ็ค ลบจุดอ่อนของเราออกไป แล้วบางทีก็ไม่ต้องรอผลของกรรมไปถึงชาติหน้าหรอก ได้มีชีวิตที่คิดไม่ถึง เห็นกันจะจะชาตินี้เลย
ชีวิตเราลิขิตเอง ครับ มาเริ่มเขียนชะตาชีวิตด้วยตัวเองกัน แต่วันนี้เลยเป็นไง?
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
edit by Dhammasarokikku