ขออภัยมิตรรักแฟนบล็อกทั้งหลายด้วย หายไปนานจนมีคนต่อว่าทีเดียว เนื่องด้วยต้องเรียนภาษาบาลีไปด้วย ทำชาเย็นแจกไปด้วย อัพบล็อกไปด้วย ทั้งสามอย่างกินเวลาอย่างมหากาฬ ตอนที่แล้วแนะกันไป ๒ ข้อ คือต้องเป็นคนที่มีจิตใจมั่นคง เติมเต็มตัวเองให้อิ่มในอารมณ์ และเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งแถมท้ายว่า ตัวของตัวเองที่ว่า ต้องเป็นคนดีด้วย การจักเป็นคนดีได้ ก็ต้องมีการพัฒนาตนเอง การพัฒนาตนเองก็ต้องรู้จักตนเอง การรู้จักตนเองต้องอาศัยการเจริญสติปัฏฐานเป็นปัจจัย และการเจริญสตินั้นตั้งมั่นอยู่บนฐานของศีล ๕ ข้อ ดังนั้นถ้าปราศจากศีล ๕ แล้วไซร้ คำแนะนำทั้งหลายก็กลายเป็นหมันไป เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งครับ เรามาเริ่มต้นเป็นบุรุษทรงเสน่ห์ด้วยการรักษาศีล ๕ กันก่อนเลย
มีข้อควรรู้อยู่นิดหนึ่ง การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญสติปัฏฐาน มิใช่ทำกันแล้วได้ผลในวันสองวัน หรือสัปดาห์สองสัปดาห์นะครับ ต้องอาศัยเวลาฝึกฝนเป็นปี หรือหลายปี ฉะนั้นใจเย็น ๆ แล้วก็ทำไปเรื่อย ๆ เอาละครับ ๒ ข้อที่ผ่านไป คงไม่หนักหนาเกินไปใช่ไหม? ทำเท่าที่ทำได้ครับ ยิ่งทำได้มาก ยิ่งมีเสน่ห์มาก
อย่าทำเป็นเล่นไป แค่รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ได้นี่สามารถเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาได้นะครับเนี่ยะ
การเป็นพระอริยเจ้าในบวรพุทธศาสนาเป็นง่ายไหม? ไม่ง่ายเลย ให้ไปจีบหญิงน่าจักง่ายกว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นเช่นพระโสดาบันนั้น ต้องห้ำหั่นกับกิเลสสักเท่าไหร่? การต่อสู้กับกิเลส คือการทวนกระแสโลก มันยากกว่าการไหลไปตามโลก หรือไหลไปตามกระแสกิเลสตั้งมากมาย ปัญหาคือพระอริยเจ้าทั้งหลายมียุทโธปกรณ์ใดไว้สู้รบปรบมือกับกิเลสครับ? คำตอบคือไม่มีอาวุธอื่นใดจักมีแสนยานุภาพมากไปกว่า อาวุธที่ได้จากพระพุทธองค์ครับ
อาวุธที่พระศาสดาทรงคัดสรรแล้วว่า ไม่ยากเกินความสามารถของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา คัดสรรแล้วว่า อานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก จนอาจสามารถทำลายกิเลส (ขึ้นกับผู้ใช้เป็นสำคัญ) พ้นไปจากแรงดึงดูดแห่งสังสารวัฏ พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ อาวุธที่เป็นเลิศที่สุดในสรรพาวุธ ๓๘ ประการนั้น ท่านยกให้ "สติปัฏฐาน" เป็นเอกครับ
ปัดโถ!!!... ขนาดกิเลสมีอำนาจครอบงำคนไว้ทั้งโลก การเจริญสติปัฏฐานยังสามารถเอาชนะได้ ทำไมเรื่องขี้ผงแค่จีบหญิง ไหลไปตามโลกแค่นี้ อาวุธขั้นเทพนี้จักช่วยไม่ได้!!! วันนี้ที่เรายังรู้สึกว่า โลกมันมีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง ลองเอาอภิมหาอาวุธสุดอลังการมาใช้ในการอยู่ไปกับโลก ให้มีความสุขมากขึ้นกัน อนาคตเมื่อเรารู้ซึ้งถึงความจริงของโลกว่า ล้วนมีแต่ทุกข์ เมื่อนั้นอาวุธนี้ก็ยังสามารถพาเราให้พ้นไปจากโลกเบี้ยว ๆ บูด ๆ นี้ได้
โม้มาซะนาน ใครยังไม่รู้บ้างว่า สติปัฏฐาน คือฉันใด? อ้าว... ยกมือกันให้พรึ่บ
สติ แปลว่า ระลึกได้ครับ
สติปัฏฐาน คือสติที่ระลึกได้ถึงกายถึงใจตนเอง มี ๔ อย่างให้ระลึกคือ กาย เวทนา จิต ธรรม อ้าว ๆ ๆ อย่าเพิ่งทำตาปรือ ปัดโธ่... แค่นี้ทำเป็นง่วงแล้วจักไปจีบหญิงสำเร็จได้อย่างไร
ชาวเมืองอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ เขาทำวิจัยกันมาแล้วครับว่า เหมาะกับการดูจิตเป็นหลัำก ส่วนใครจักเคยมีของเก่าเป็นอย่างอื่นก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย การดูจิต ว่าง่าย ๆ ก็คือการรู้อารมณ์ตัวเองนั่นเอง
"ก็ฉันรู้ของฉันอยู่แล้ว" นี่เป็นประโยคสุดฮิตติดปากของนักไม่ปฏิบัติ และนักปฏิบัติมือใหม่ จากประสบการณ์การปฏิบัติที่ผ่านมา ขอยืนยันตามคำของครูบาอาจารย์ครับว่า คนเราเกือบร้อยละร้อยหลงโลกอยู่ตลอดเวลา อย่างตอนนี้ท่านก็กำลังส่งจิตเข้ามาอ่านข้อความบนจอคอมพิวเตอร์ ลืมไปแล้วว่า กำลังนั่งอยู่ (อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจึงระลึกได้ว่า กำลังนั่งอยู่) หรือกำลังหายใจอยู่ (นั่นเห็นไหม ไปเพ่งลมหายใจใหญ่เลย) หรือกำลังคิดตามข้อความที่กำลังอ่่าน (อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจึงระลึกได้ว่า ได้หลงคิดไปตามที่ข้าพเจ้าสาธยายแล้ว) จังหวะที่ท่านลืมกายลืมใจตนเองนี่แล ภาษาพระเขาเรียกว่า กำลัง "หลง" อยู่
คนเราหลงไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาหลับ ก็ยัง "หลง" ไปฝัน
การเจริญสติปัฏฐาน ก็คือการกำจัดอาการหลง ๆ ของเรานี่แล
ก็แล้วการเจริญสติปัฏฐาน จักช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างไร? สาว ๆ ทั้งหลายจักมาหลงใหลได้ปลื้มได้อย่างไร?
ท่านไม่ทราบกระไรเสียแล้ว เจริญสติปัฏฐานให้ดีแล้วไซร้ ขี้คร้านสาว ๆ จักกลายเป็นฝ่ายมาจีบเราเลยด้วยซ้ำ เพราะกระไร? ก็เพราะที่คนเราทำกิริยาวาจาไม่เข้าตากรรมการออกมา มันก็มาจากอาการ "หลง" ของเรานี่แหละ เจริญสติให้มากแล้วเราจักรู้จักตนเอง รู้จักตนเองให้มากแล้ว เราก็กลายเป็นคนมีเสน่ห์น่ารักน่าชื่นชมไปโดยปริยาย คือ เป็นผู้มีกิริยาวาจาเข้าท่าเข้าทาง ๑, เป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ๑, เป็นผู้มีเสถียรภาพทางจิตใจ ๑ แค่ ๓ ข้อนี่ ก็ทำให้ผู้หญิงหัวใจละลายได้แล้วครับ แต่ไม่ใช่ละลายแบบปัจจุบันทันด่วนนะ เป็นการละลายแบบซึมลึก แทรกเข้าไปในหัวใจทีละน้อย ๆ แต่หนักแน่น
นอกจาก ๓ ข้อดังกล่าวแล้ว ผู้เจริญสติปัฏฐานจักมีใจที่เบิกบานเป็นของแถมด้วย คงเคยได้ยินใช่ไหมว่า ผู้หญิงชอบผู้ชายที่มีอารมณ์ขัน ถ้าเราหน้านิ่วคิ้วขมวด หลงคิด หลงเครียด หลงโลภ หลงโกรธ หลง ๆ ๆ ไปทั้งวัน จักไปหาอารมณ์ขันที่ไหนมาครับ แต่ถ้าเรามีสติระลึกได้อยู่เนือง ๆ ว่า ตอนนี้หน้าเรากลายเป็นตูดแล้ว รีบฉีกยิ้มด่วน สลัดอารมณ์ขุ่นมัวทิ้งไปอย่างรวดเร็ว แล้วมีอารมณ์เบิกบานทั้งวัน อย่างนี้ไม่ต้องมีอารมณ์ขัน หัวเราะเหมือนคนบ้าทั้งวัน แค่เห็นหน้ายิ้ม ๆ ใจดี ของท่าน สาวเจ้าก็อารมณ์ดีแล้ว
ฉะนั้นแล้ว คำแนะนำข้อที่ ๓ สำหรับการฝึกฝนเพื่อความเป็นบุรุษสุดสิเหน่หา คือ "มีสติอยู่กับกายกับใจตัวเองให้มาก" ครับ
เชื่อไหมว่า ปุถุชนคนเดินดินอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เกินร้อยละ ๙๐ กลัวการอยู่กับตัวเอง พยายามหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาทำให้เพลิดเพลิน ให้หลง ๆ ไปวัน ๆ พอว่างขึ้นมาปุ๊บ ต้องหากิจกรรมมาเติมเต็มชีวิต เช่น การดูหนัง การฟังเพลง การคุยกับเพื่อน แช็ท อ่านบล็อก เล่นFB กดทวีต หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ใจเราหลงเพลินออกไปนอกกายนอกใจตนเอง เพราะกลัวจักรู้จักตัวเองดีเกินไป น่าขันเหลือเกินครับ ทั้ง ๆ ที่คนเรามักรักตัวเองมากที่สุด แต่ตัวเองกลับถูกละเลยมากที่สุด
"ความเหงา" เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีใครอยากเผชิญ มักเกิดขึ้นเมื่อเราต้องอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้ง จู่ ๆ ก็เกิดเหงาขึ้นมาทั้ง ๆ ที่อยู่ท่่ามกลางผู้คนมากมาย คนเราเมื่อสัมผัสเข้ากับอารมณ์ชนิดนี้ แม้เพียงเล็กน้อย จักขวนขวายพยายามให้พ้นไปจากอารมณ์นี้ทันทีด้วยการส่งใจออกไปนอกกายนอกใจตนเอง เช่น ไปดูทีวี ให้เผลอเพลินไปกับเรื่องราวในทีวี คิดฟุ้งไปในเรื่องราวที่เจ้ากล่องสี่เหลี่ยม (หรือเดี๋ยวนี้เป็นแผ่น ๆ หมดแล้วก็ไม่ทราบ) พยายามจักบอกให้เราคิดตาม ก็ลืมความเหงาไปชั่วคราว ไปดูหนัง แล้วสมมุติตัวเองเป็นพระเอก หรือนางเอก บางคนก็เอ็นจอยกับการเป็นผู้กำกับ คนเดินกล้อง คนเขียนบท นักวิจารณ์ ฯลฯ แล้วแต่รสนิยม บ้างก็ไปฟังเพลง บ้างก็ไปเดินห้าง บ้างก็หลงไปกับโปรแกรมโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คทั้งหลายบนโทรศัพท์และหน้าคอมฯ เพลิน ๆ ไปสักพัก พอจบเรื่องเพลิดเพลินเรื่องหนึ่ง ความเหงาก็กลับเข้าครอบงำ เลยต้องวิ่งออกไปหาสิ่งเพลิน ๆ ใหม่ ๆ อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ทั้งหมดนี้คือการพยายามส่งใจออกไปนอกกายนอกใจตัวเอง เพื่อหนี "ความเหงา" ในใจตนเอง
บางท่านซึ่งเป็นส่วนใหญ่เลยของคนในโลก ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ตนเองกำลังหนี "ความเหงา" ของตัวเองอยู่ บางคนติดอยู่ในโลกไซเบอร์ เพราะเป็นโลกที่มีคนนับหน้าถือตา มีคนระลึกถึง แม้เพียงด้วยตัวอักษร ก็ยังน่ายินดี เพราะมันไปตอกย้ำว่า ยังมี "เรา" อยู่ ถ้าวันหนึ่งต้องยอมรับความจริงว่า เราเป็นเพียงเศษธุลีในจักรวาล ไม่มีค่าใดใดเลย มันจักเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส
"ความเหงา" เป็นแค่ความทุกข์ระดับจิ๊บ ๆ ของกายนี้ใจนี้ครับ แค่จิ๊บ ๆ นี่เราก็ทนกันแทบไม่ได้
ยิ่งถ้าต้องยอมรับว่า ตัวเรา "ไม่มี" ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ยิ่งกว่าความทรมานใดใด
เขียนมาถึงตอนนี้ เพิ่งระลึกขึ้นได้ครับว่า ทำไมพระบวชแล้วท่านให้เข้าป่า เพราะเป็นทางที่เราจักได้เรียนรู้ตัวเอง หรือเรียนรู้ "ความเหงา" ได้มากที่สุดนั่นเอง มันเป็นเพียงทุกข์เล็ก ๆ เท่านั้นครับ รู้ "ความเหงา" แล้ว ก็เลิกทุกข์ เลิกเหงา เคยได้ยินวลีไหมว่า "เธอจงทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์" ความเหงามันก็หนึ่งในทุกข์นั่นแล รู้เหงาก็รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ แล้วจักพ้นทุกข์ ฉะนั้นรู้ว่าจิตกำลังเหงา ก็พ้นเหงา
ความเหงานี่เอง เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารเสน่ห์ ทว่าเป็นดาบสองคม สามารถพาให้เรามีแฟนก็ได้ พาให้เราไม่มีแฟนก็ได้
ที่ว่าสามารถพาให้เรามีแฟนก็ได้ ก็เพราะทุกคนต่างมีความเหงาอยู่เหมือน ๆ กัน แตกต่างกันแค่ปริมาณมากน้อย ฉะนั้นถ้าปริมาณความเหงาของคนสองคนมาอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอสม ใกล้เคียงกัน พอดีกัน มันก็มักเกิดอาการสปาร์ค แล้วตามมาด้วย "เราคบกันนะ" หรือ "เราแต่งงานกันนะ" กระไรเทือกนั้น
แต่ถ้ามันไม่พอดีกัน ฝ่ายหนึ่งมาก ฝ่ายหนึ่งน้อย ก็อาจตามมาด้วยฝ่ายที่เหงามาก ๆ เฝ้าติดตามคอยเอาอกเอาใจ หรือตามจิก ฝ่ายที่มีความเหงาน้อย ๆ หรือถ้าฝ่ายเรามีความเหงามาก ๆ แล้วเก็บอาการไม่อยู่ ความเหงานี่เองกลับกลายเป็นแรงผลักไสเพื่อนร่วมโลกต่างเพศผู้นั้น พาให้เราเป็นเกษตรกรนักปลูกไร่แห้วไปอีกนาน
ความเหงาจึงเป็นทั้งเสน่ห์ และอุปสรรค ในเวลาเดียวกัน คือถ้ามันพอดี ๆ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป มันก็เป็นเสน่ห์ มากเกินไป ก็กลายเป็นสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่น่าไว้ใจให้แก่คนรอบข้าง หรือกลุ่มเป้าหมายได้
เหงามากหรือเหงาน้อยมีกระไรเป็นตัวบอก ไม่มีหรอกครับ แต่เราสามารถวัดอาการเหงาได้ง่าย ๆ เหงาน้อย ๆ นี่คือเราสามารถคุมมันได้ สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า เราห่วงหาอาธรณ์ หรือเอาใจใส่ระลึกถึง เป็นเสน่ห์ ตรงข้ามเหงามาก ๆ นี่มันคุมเรา ครอบงำจิตใจเรา บังคับให้เราทำกระไรไม่เข้าท่าอยู่บ่อย ๆ เช่น อาการตามจิก ขี้วีน ขี้โวยวายเมื่อเหงาแล้วไม่มีใคร เป็นอุปสรรคครับ
ได้เวลาแสดงแสนยานุภาพละครับ ที่ว่า ให้อยู่กับตัวเองให้มาก มีสติระลึกกายระลึกใจตนเองให้ได้มาก ก็เพราะเมื่อเรามีสติมาก เราจักสามารถเอาชนะความเหงาได้ เมื่อชนะแล้ว เราจักควบคุมความเหงาได้ สามารถนำความเหงามาใช้ประโยชน์ได้ มิใช่ให้มันครอบงำเป็นทาสความเหงาอยู่ทุกวี่วัน
อย่างที่กล่าวไปเมื่อเอ็นทรี่ก่อน คู่แท้ของเรานั้นเมื่อถึงเวลา แล้วมาเอง แล้วเมื่อไหร่เล่าจักถึงเวลา? ทำให้มันย่นสั้นลงได้หรือไม่?
ขอตอบว่า "ได้" ครับ เวลาที่ท่านจักได้เจอคู่แท้ของท่าน ขึ้นอยู่กับเวลา ที่ท่านใช้พัฒนาตนเองครับ พัฒนากระไร? ก็พัฒนาให้สามารถพึ่งตนเองได้ เต็มอิ่มในตัวเอง มีสติ มีสัมปชัญญะ มีเสถียรภาพทางจิตใจสูงสูดอย่างไรหล่ะครับ
อย่างที่พล่ามไปในตอนต้น คนเรามักกำหนดสเป็ค "คู่แท้" ไว้สูงเกินกว่าที่ "คู่แท้" ในความเป็นจริงเป็น ประมาณไม่ค่อยได้ชะโงกดูเงาของตัวเองเล้ยว่า อดีตชาติของตนสร้างบุญบารมีมาเท่าไหร่ (แต่บางทีพยายามชะโงกแล้วก็ยังไม่เห็นอยู่ดี)
ดังที่ได้กล่าวไปเมื่อสามปีก่อน ในเอ็นทรี่ เนื้อคู่ คู่แท้ มีจริงไหม ทำไมหาไม่เจอว่า ความจริง เนื้อคู่ คู่แท้ soulmate ของเรามีเยอะแยะตาแป๊ะขวด เป็นแสนเป็นล้านคนจนแทบจักเดินชนกันตาย แต่ทำม๊ายทำไมเราถึงยังบินเดี่ยวเปลี่ยวอุรายิ่งนัก
ที่เป็นดังนั้นเพราะคนเราโดยปกติมักไม่มองคนที่บำเพ็ญบุญบารมีมาอ่อนกว่าเราครับ และมักไขว่คว้าหาคนที่บำเพ็ญบุญบารมีมาสูงกว่าเรา เรื่องใครบำเพ็ญบุญบารมีมาต่ำมาสูงนี่พอดูได้จากหน้าตา ผิวพรรณ การศึกษา ฐานะ ลักษณะภายนอกต่าง ๆ ร้อยแปดพันเก้า คุณโยมดังตฤณเคยเขียนไว้ที่ไหนสักแห่ง (จำไม่ได้) ว่า สภาพของคนเราตอนเกิดนั่นแล คือผลลัพธ์สมการเชิงซ้อนที่เรียกว่า "กฎแห่งกรรม" เป็นผลของกรรมดีหักลบออกจากกรรมเลวออกมาเป็น "วิบาก" หรือผลของกรรม ใครที่มีผลลัพธ์ติดลบ บางทีก็เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางทีก็เกิดมาพิการ ไม่สมประกอบ ส่วนคนที่เป็นบวก บ้างก็เกิดมาเริ่ดเชิดหยิ่งทิงนองนอยสอยดาวหิ้วมะพร้าวไปขายสวนมั่ก ๆ (แปลว่าไรฟระ?)
ข้าพเจ้าเห็นว่า มันค่อนข้างสมเหตุสมผลครับ ใครจักเชื่อไม่เชื่อก็สุดแท้แต่อัธยาศัย ทีนี้คนเราพอเกิดมาปุ๊บ สภาพที่เกิดมาก็เหมือนเป็นต้นทุนที่ได้มาจากชาติก่อน มีมากบ้าง น้อยบ้าง เป็นเรื่องปกติ ก็ต้องยอมรับสภาพครับ อย่างวลีว่า "แข่งเรือแข่งแพแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้" เราก็ไม่ต้องถึงขนาดแข่งบุญแข่งวาสนาครับ แค่เพิ่มโอกาสให้กับตัวเองก็พอ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สำหรับคนที่ไม่คิดจักขวนขวายมาก "คู่แท้" ของเรา มักมาชอบเราก่อนครับ คนเหล่านี้มีเยอะครับ แต่มักตกสเป็คของเรา ส่วนเราก็ไปตกสเป็คคนที่เราหมายปองอีกที ทำอย่างไรถึงจักได้พบรักแท้แพ้ยาสีฟันใกล้ชิด เอ้ย... พบคู่แท้ที่เราตรงสเป็คเขา เขาตรงสเป็คเรา ก็ต้องอัพเกรดตัวเองขึ้นไปให้อยู่เหนือเขาครับ วิธีอัพเกรดที่แสนจักแนบเนียนก็คือการใช้ "ที่สุด" แห่งการบำเพ็ญบุญบารมี ซึ่งก็ได้แก่ การภาวนา
เคยได้ยินใช่ไหม? ทาน ศีล ภาวนา
ทานที่เราทำบุญกันแทบตายนี่ ทำให้มากเท่าไหร่ก็ไม่เท่าการรักษาศีล การรักษาศีลให้ได้บริสุทธิ์ ๑๐๐ ปีก็ไม่เท่าการภาวนาแค่ชั่วงูแลบลิ้น เบื้องต้นรักษาศีลไปแล้ว ก็มาลุยภาวนาต่อ
เรื่องภาวนาแหล่ม ๆ นี่ไม่มีใดเกิน การเจริญสติปัฏฐานครับ
การเจริญสตินี่ คนขี้เหงามาก ๆ ยิ่งได้เปรียบครับ คือพอเหงา ก็ให้รู้ว่า เหงา ที่แปลกไปจากปกติ คือ รู้เฉย ๆ อย่าพยายามไปทำให้มันหายไป อยู่กับกายกับใจตัวเองนี่แล อยู่กับความเหงา เพราะความเหงามันก็อยู่ในกายในใจของเรานี่เอง
เหนือระดับการเจริญสติขึ้นไป ก็ให้พิจารณาลงไตรลักษณ์ หรือสามัญญลักษณะไปเลย งงอะป่าว... ก็เจ้าทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นั่นแล พิจารณาแบบนี้พาสชั้นกันแบบเขย่งก้าวกระโดดทีเดียว ๑๐ ชั้นเลย
ทุกขัง แบบง่าย ๆ ก็เจ้าความเหงานี่มันเป็นทุกข์นะ เราไม่อยากเจอ แต่ทำไงได้ เกิดมาแล้วนี่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ใดใดในโลกล้วนเป็นทุกข์ จริงอะป่าวหว่า???? แบบโปรขึ้นไปหน่อย ก็เห็นว่า "ความเหงา" นั่นมันทนอยู่ได้ยาก เดี๋ยวมันก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์อื่น กุศลบ้าง อกุศลบ้าง ไม่เคยคงที่ เป็นอนิจจัง แล้วสุดท้าย เจ้าความเหงามันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บทมันจะเหงาขึ้นมา มันก็เหงา อยากให้หาย มันก็ไม่หาย ถ้ามันใช่เรา ใช่ของเรา เราต้องคุมมันได้ สั่งให้หยุดเหงาปุ๊บมันต้องเชื่อฟัง หายไปทันที แต่นี่ก็ไม่ใช่ มันเป็นอนัตตา ก็แล้วมันเป็นทุกข์เสียขนาดนี้ แปรเปลี่ยนขนาดนี้ คุมไม่ได้ขนาดนี้ ก็แล้วจักไปเอากระไรกับชีวิต มันก็มีเหงาบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง คละเคล้ากันไป หาสาระแก่นสารใดไม่ได้สักอย่าง ไม่มีกระไรน่ายึดน่าถือสักอย่าง ไปยึดว่า มันต้องสุขตลอด ไม่เหงาตลอด มันก็ทุกข์อะเด้...
คิดให้ได้ดังนี้ครับ ท่านกำลังก้าวสู่ความเป็นผู้มีเสถียรภาพทางจิตใจสูงสุด และเป็นการภาวนาที่ได้บุญบารมีสูงสุด สาวน้อยสาวใหญ่ไม่มีทางตามท่านทัน พอท่านอัพเกรดบุญบารมีขึ้นไปด้วยการเจริญสติปัฏฐาน และคิดแบบนี้แล้วไซร้ ทีนี้ละ อธิบายให้เห็นภาพ การจับคู่ของคนบนโลกนี้ก็คล้ายการยืนเรียงแถวหน้ากระดานตามลำดับบุญบารมี สุทธิในปัจจุบัน เราสามารถไปเลือกคบคนที่อยู่หลังเราได้สบาย ๆ แต่สำหรับการแซงคิวขึ้นไปจีบคนที่อยู่หน้าเรานั้นแสนยาก การอัพเกรดตนเองด้วยการเจริญภาวนา ก็เหมือนการกระโดดสูง กระโดดไกล ข้ามเหล่าคนทั้งหลายที่มัวต้วมเตี้ยมทำแต่ทาน หรือรักษาแต่ศีล ไม่ยอมภาวนา หรืออีกนัยหนึ่ง เรามักไปแอบชอบคนที่อยู่หน้าเรา ส่วนคนที่อยู่หลังเราก็มาแอบชอบเราอีกที พอเราอัพเกรดขึ้นไปอยู่หน้าเธอผู้นั้นแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกินที่เธอจักมาแอบชอบเรา เรื่องนี้โยมแป้นเคยบรรยายเป็นการ์ตูนด้วยตอน 141 # คนข้างหน้า
การที่เธอจักมาปิ๊งเรา บางทีก็มาเหนือความคาดหมาย ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ จนเขาบัญญัติศัพท์คำว่า "บุพเพอาละวาด" เอ้ย... บุพเพสันนิวาส ประมาณพระเอกเกาหลี มาเจอซินเดอริล่าได้ไงก็ไม่ทราบ นั่นเป็นเพราะไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งเผอิญไปทำบุญใหญ่แบบไม่ตั้งใจเข้า ถูกพาสชั้นไม่รู้ตัวว่างั้นเหอะ
หรือให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น สมมุตินำคนบนโลก ๖,๐๐๐ ล้านคนมาเข้าแถวเรียงกันตามลำดับบุญบารมีสุทธิในปัจจุบัน เราอยู่คนที่ ๕,๐๐๐ ล้าน นั่นหมายถึงเราสามารถจีบคนที่อยู่หน้าเราอีก ๕,๐๐๐ ล้านได้อย่างยากเย็น ส่วนอีก ๑,๐๐๐ ล้านคนที่อยู่หลังเราอาจมาแอบชอบเราอย่างง่ายดาย การอัพเกรดตนเอง ก็เหมือนขยับอันดับเราขึ้นไปอยู่หน้าคนอื่น สมมุติไปอยู่เป็นคนที่ ๔,๐๐๐ ล้าน นั่นก็หมายถึงจักมีคนมาแอบชอบเราเพิ่มขึ้นจาก ๑,๐๐๐ ล้าน เป็น ๒,๐๐๐ ล้าน ถ้าในทางสถิติแล้ว มีโอกาสเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าทีเดียว
อาจฟังดูเหลือเชื่อ จักบ้าเรอะ มีคนจักมาชอบเราง่าย ๆ ตั้งพันสองพันล้านคน ความจริงแล้ว คนที่เกิดมาบนโลกนี้ เคยเป็นญาติกันมาก่อนแทบทั้งสิ้นครับ เพราะเราเกิดกันมานับชาติไม่ได้ อย่างที่พระจอมไตรบรมศาสดาตรัสกับนางปฏาจาราว่า หากจักนับน้ำตาที่เธอร้องไห้ ก็มากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่รวมกัน แสดงว่า เราแต่ละคนเกิดกันมาไม่ต่ำกว่าแสนล้านชาตินับไม่ได้แน่นอนด้วยกันทุกคน จึงไม่แปลกที่คนทั้งโลกจักเคยเป็นญาติกันมาก่อน แต่ห่างเหินกันไปด้วยความทรงจำครับ
ความทรงจำในภาษาบาลี เรียกว่า "สัญญา" ไม่มีคุณากรต่อท้ายนะคร๊าบ ก็ความจำคนเรามันเที่ยงซะที่ไหนละครับ มีแต่เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก กันทั้งนั้น เช้าสัญญากันไว้ บ่าย ๆ ก็ลืมเสียแล้ว นี่แค่ชาติเดียวยังลืมกันได้ขนาดนี้ ถ้าข้ามชาติก็ยิ่งลืมไปกันใหญ่ ห่างเหินกันไปหลาย ๆ ชาติ ความจำก็ยิ่งไกล ยิ่งห่างเหิน และยากจักจำความกันได้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนชาติที่ไม่ได้เจอกัน
นี่ละครับ ไอ้ที่ว่า มีคู่แท้เป็นพันล้านสองพันล้าน มันถึงหดเหลือกระจึ๋งเดียว คนที่จักทำให้เรารู้สึกว่า เป็นคู่แท้ของเรา ต้องเคยเกิดร่วมกันมา ในชาติใกล้ ๆ เสีย ด้วย เลยเหลือไม่กี่คน แล้วต้องมามีบุญบารมีใกล้เคียงกับเรา หรือน้อยกว่าเราอีก คราวนี้นับหัวได้แล้วครับ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเราถึงหา "คู่แท้" ไม่เจอทั้งที่มี "คู่แท้" เป็นล้าน ๆ คน
ปัญหาดังกล่าวจักถูกขจัดไปทันที ถ้าเราเริ่มลงมือปฏิบัติเสียแต่วันนี้ครับ ปริมาณ "คู่แท้" ทีุ่บุญบารมีน้อยกว่าเราจักมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยลำดับ ทำให้โอกาสพบเนื้อคู่ของท่านที่มาปิ๊งท่านก่อน มากขึ้นตามไปด้วย
เรามาเพิ่มโอกาสการเจอเนื้อคู่ที่มีบุญบารมีใกล้เคียงกันด้วยการเจริญสติปัฏฐานกันเลย
วันนี้บรรยายมายาวยืดแล้วขอเอวังไปแต่เพียงเท่านี้ก่อน ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าครับ ฯ