พระยสกุลบุตรออกบวช
ยสกุลบุตรเป็นบุตรเศรษฐี แห่งเมืองพาราณสี ที่พ่อแม่รักและหวงแหน เขาถูกบำเรอด้วยกามสุขอย่างเลอเลิศ โดยเฉพาะด้านสตรีเพศ จึงเกิดความเบื่อหน่าย คืนวันหนึ่งเวลาดึกสงัด ยสกุลบุตรตื่นขึ้นมา เห็นบรรดานางบำเรอนอนหลับไหลกันอยู่ ระเกะ ระกะ ในลักษณะที่ไม่น่าดูไม่น่าชม เป็นที่น่าทุเรศนัยตา ดุจดังซากศพในป่าช้า จึงเกิดความสลดใจจนลืมตัว ออกเดินจากเรือนไปในลักษณะของคนใจลอย ปากก็พร่ำบ่นว่า อุปัททุตัง วตโภ ที่นี่วุ่นวายหนอ อุปสัฎฐัง วตโภ ที่นี่ขัดข้องหนอ
ยสกุลบุตรเดินพร่ำบ่นไปคนเดียวจนล่วงเข้าไปในป่านอกเมืองโดยไม่รู้ตัว และได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าในป่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่วุ่นวาย เมื่อยสกุลบุตรได้ยินดังนั้นก็ได้คิด เกิดความโล่งใจ และได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เมื่อได้สนทนากับพระองค์ ก็ได้ความเลื่อมใสศรัทธา และได้บวช และบรรลุพระอรหันต์ในที่สุด ซึ่งเป็นปีแรกแห่งการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาค
โปรดชฎิลสามพี่น้อง
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงทรมานอุรุเวลกัสปะ ชฎิลผู้พี่พร้อมบริวาร 500 คน จนยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ได้กราบทูลขอบรรพชา และเอาบริขารลอยตามน้ำไปฝ่ายนทีกัสปะ และคยากัสปะ ผู้เป็นน้องชายทั้งสองคนเห็นเครื่องบริขารของพี่ชายลอยน้ำมา ก็แปลกใจจึงพากันขึ้นไปหาอุรุเวลกัสสปะพี่ชาย เมื่อไปถึงทราบว่าพี่ชายละลัทธิเดิมของตนแล้ว ขออุปสมบทเป็นสาวกของพระบรมศาสดา พร้อมด้วยบริวารทั้งหมด จึงได้พาบริวารของตนทั้งสองคนรวมได้ 500 คน มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาตามพี่ชาย จากนั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงแสดง อาทิตยปริยายสูตร พวกชฎิลทั้งหมดก็ได้บรรลุธรรมวิเศษ บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด พระเจ้าสุทโธทนะส่งทูตมาเชิญเสด็จพระพุทธองค์
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบว่า โอรสของพระองค์ผู้ซึ่งได้สละราชสมบัติ ออกแสวงหาพระอมฤตธรรม เป็นเวลานานแล้วนั้น บัดนี้ได้พบและบรรลุพระอมฤตธรรมนั้นแล้ว และกำลังจาริกเผยแผ่พระธรรมแก่บรรดาประชาชนในแคว้นต่างๆ อยู่ดังนั้นพระเจ้าสุทโธทนะ จึงได้ส่งมหาอำมาตย์ ไปทูลเชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์ แต่ได้ถูกพระผู้มีพระภาคทรงยับยั้งไว้ ถึง 9 ครั้ง ครั้งที่ 10 กาฬุทายี อำมาตย์ผู้เป็นสหชาติมาทูลเชิญ พระองค์จึงได้เสด็จไป
การที่พระองค์ยับยั้งไว้นานเพียงนั้น ก็เพื่อรอให้ญาณของพระชนก และบรรดาญาติของพระองค์แก่กล้าเสียก่อน จะได้โปรดได้ง่าย เสมือนกสิกรผู้ชาญฉลาดรอที่จะหว่านพืชให้ได้ผล ฉะนั้น อุคคะคฤหบดีถวายภัตตาหาร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฎาคารศาลา แขวงเมืองเวสาลี ครั้นเวลาเช้าพระองค์ได้เสด็จไปยังนิเวศน์ของอุคคะคฤหบดี พวกญาติและบริวารชนต่างช่วยกันจัดแจงเครื่องไทยทาน ตามคำสั่งของคฤหบดีแต่เช้าตรู่ คฤหบดีนั้นได้นั่งเฝ้าเพ่งดูพระรูปโฉมของพระผู้มีพระภาค อันประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ อนุพยัญชนะ 80 ประการ มีพระรัศมี 6 สี แผ่สร้านออกจากพระวรกาย ครั้นเครื่องไทยทานเสร็จแล้วจึงได้กราบทูลว่า "ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า ผู้ให้สิ่งที่พอใจย่อมได้สิ่งที่พอใจ ขอพระองค์จงอาศัยความอนุเคราะห์รับของขบฉัน และสมณบริขารอันล้วนแต่อย่างดี เป็นที่พอใจของข้าพระองค์เถิด" เมื่อกราบทูลแล้วก็ได้น้อมของเหล่านั้นเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าขณะที่พระองค์กำลังเสวยอยู่นั้นคฤหบดีและคนอื่น ๆ ต่างก็คอยปรนนิบัติอยู่อย่างใกล้ชิด ต่างก็ชื่นชมยินดีอยู่ในรูปโฉมของพระพุทธองค์ บ้างก็มีความศรัทธาใคร่จะฟังกระแสพระราชดำรัส บ้างก็นิยมติดใจในพุทธลีลาส และสีของสบง จีวร เมื่อเสวยเสร็จแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงอนุโมทนาเป็นคาถาว่า"ผู้ให้สิ่งที่พอใจ ย่อมได้สิ่งที่พอใจ ผู้ใดเต็มใจถวายเครื่องนุ่งห่ม ที่นั่งที่นอน ข้าวน้ำ และปัจจัยต่าง ๆ ในท่านผู้ประพฤติตรงทั้งหลาย ผู้นั้นรู้จักการเสียสละ การบริจาค และการอนุเคราะห์ใน พระอรหันต์ผู้เปรียบเสมือนนาบุญ ผู้ให้สิ่งที่พอใจย่อมได้สิ่งที่พอใจ ดังนี้" พระพุทธองค์เสด็จเยี่ยม ราชสำนักพระพุทธบิดา
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุครั้งแรก เมื่อได้รับปฏิสันฐาน จากบรรดาพระญาติแล้ว พระองค์จึงได้เสด็จไปยังนิโครธาราม ทรงนิรมิตวัตรจงกลมบนอากาศเสด็จจงกรมอยู่ ทรงแสดงธรรมเพื่อ ทำลายมานะแห่งมวลพระญาติ เมื่อมวลพระญาติมีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นต้น มีจิตเลื่อมใสแล้ว ฝนโบกขรพรรษาได้ตกลงในสมาคมแห่งญาตินั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นมหาชน ใคร่จะทราบเรื่องของฝน โบกขรพรรษา พระองค์จึงได้แสดงเรื่องนี้ให้ฟังว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ไม่แต่กาลนี้เท่านั้น ที่ฝนโบกขรพรรษาได้ตกลงมา ในสมาคมแห่งมวลพระญาติของเรา ในกาลก่อนฝนโบกขรพรรษา ก็ได้ตกลงในสมาคมแห่งพระญาติเราเหมือนกัน"แล้วพระองค์จึงได้แสดงเวสสันดรชาดก เมื่อจบเทศนาแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาได้ดวงตาเห็นธรรม ทรงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์เสด็จเยี่ยมพระนางยโสธรา
เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเวสสันดรชาดกในท่ามกลางพระญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์แล้วก็ได้เสด็จไปในงานวิวาหมงคลของเจ้าชายนันทะ ในการเสด็จครั้งนี้พระนางยโสธรา และพระราหุลกุมารได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ เป็นครั้งแรก พระนางได้ให้พระราหุลกุมาร ทูลขอราชสมบัติจากพระบิดา แต่แทนที่พระองค์จะพระราชทานสมบัติ อันเป็นสมบัติภายนอกที่ไม่จีรังยั่งยืน และก่อให้เกิดทุกข์อยู่เป็นนิจแก่พระราหุลกุมาร พระองค์กลับพระราชทานอริยทรัพย์อันประเสริฐ อันเป็นทรัพย์ที่จีรังยั่งยืนตลอดกาล