วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คู่แท้นั้นหาไม่ยากซ์ ตอนที่ ๑by Dhammasarokikku

เห็นทุกข์แห่งการมีแฟนมากมายนักหนา แต่ทุกผู้ทุกนามก็ยังวิ่งไปหาความรัก ลองมาฟังคำแนะนำจากชายอายุจักครบ ๓ รอบอยู่ร่อมร่อดูบ้างไหมครับ? วันนี้ขอให้คำแนะนำสำหรับผู้ชายก่อน

แน่นอน! คำแนะนำจากคนที่อายุมากขนาดนี้ ย่อมมิได้เป็นไปเพื่อหาคู่นอน แต่เพื่อหาคู่ชีวิต และตำราหาคู่นอนเขาคงพิมพ์ขายกันกลาดเกลื่อนเต็มเช้วฟ์แล้ว

ย้อนคิดไปสมัยเยาว์วัย โอ้... ทำไมการจะมีแฟนกับเขาสักคน มันช่างยากเย็นลำเค็ญจิตได้ขนาดนั้น แถมเวลาหน้าเทศกาล เช่น วันวาเลนไทน์ วันคริสตมาส เห็นคนมีแฟนเดินจับมือ เกี่ยวก้อยกัน ไปดูหนังด้วยกัน มันจี๊ดเข้าไปในหัวใจ อยากมีอย่างเขาบ้าง แต่ทำไงดีวะครับ จีบหญิงไม่เป็น พยายามจีบเท่าไหร่ เขาก็ไม่เล่นด้วย

ประสบการณ์สามสิบห้าปีกว่าเป็นประกันครับว่า ถึงเวลาแล้ว เจอเอง ถ้ายังไม่ถึงเวลา หาไปเหอะ เหมือนงมอนุภาคนาโนซิลเวอร์ในมหาสมุทรทั้งสี่

แล้วคนที่เจอเองนี่ จักเป็นคนที่ยั่งยืนกว่า คนที่เราไปขวนขวายทุ่มเทชีวิตจิตใจเสียการงานเสียการเรียนจีบเสียอีก

นั่งดูชีวิตของหลาย ๆ คู่ พวกที่จีบยาก ๆ ผู้ชายแทบอุทิศชีวิตให้เป็นทาส ตอนจีบใหม่ ๆ เห็นเพลาผ่านไป พอผู้หญิงเริ่มมีใจให้ ก็กลายเป็นช่วงเอาคืน ผู้ชายตอนแรกโทรเช้าถึงเย็นถึง พอจีบติดแล้วก็หายหัวไปอยู่กับเพื่อน ฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายโทรตามจิก จิ๊ก ๆ ๆ เป็นวู๊ดดี้ การ์ตูนนกหัวขวาน (บิ๊ป ๆ)

ย้อนมองตัวเองในเพลานั้น แล้วก็คิดถึงแม่เหล็กแห่งสัตว์ ในทฤษฎีนั้น เขาว่า สัตว์ทั้งหลายจักมีแรงดึงดูดเข้าหากัน หากแต่ว่า ในเพลาที่เราพยายามจักหาแฟน มันกลับกลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกัน ยิ่งใกล้ยิ่งผลักกัน ยิ่งอยากมีแฟนมาก สาว ๆ ยิ่งเหวอมาก

ทฤษฎีแม่เหล็กแห่งสัตว์นี้ ไม่เกิดเฉพาะกันคนที่ยังไม่เคยมีแฟนนะครับ กระทั่งผู้ที่เก๋าในเกมรัก หากพลาดไปลดเสถียรภาพของตนเอง ก็มีสิทธิ์สลับขั้วจากแม่เหล็กดึงดูดระดับคาซาโนว่า กลายเป็นเด็กเนิร์ดผลักกระจายได้เช่นกัน

ฉะนั้นคำแนะนำข้อที่ ๑ สำหรับบุรุษผู้แสวงหาความรักที่ยั่งยืน คือ ต้องทำตนให้มีเสถียรภาพ ครับ

แล้วเสถียรภาพคืออะไร? มันคือความมั่นคงทางจิตใจครับ ในความเห็นของข้าพเจ้า บุรุษจักมีเสน่ห์มาก ก็ตอนที่เขา "อิ่ม" ไม่ใช่อิ่มทางกายนะครับ แต่เป็นความอิ่มทางใจ อิ่มในความรัก ความอบอุ่น ความอิ่มในที่นี้ อาจมาจากความอิ่มทางอารมณ์ ที่เกิดจากครอบครัวที่อบอุ่นก็เป็นได้ ชายที่มีความอิ่มอย่างเพียงพอ จักมีออร่าพร้อมจักแผ่ความอิ่มอารมณ์นี้ไปสู่ผู้อื่น ตรงข้ามกับชายผู้มีแต่ความขาด เขาก็แผ่ออร่าวิ่งสู้ฟัด หิวกระหายจักกัดกินเหยื่อทุกเวลาออกไปเช่นกัน

สังเกตได้ครับ ผู้หญิงมักต้องตาต้องใจเป็นพิเศษกับผู้ชายที่มีแฟนแล้ว แหม... ไม่น่ามีแฟนแล้วเรย เราพบกันช้าไป ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง กระไรเทือกนั้น หรือสมัยนี้ ไม่ใคร่ให้ความสำคัญเรื่องศีล ก็อาจหาวิธีแย่งผัวชาวบ้าน แอบสวมเขาให้เพื่อนตัวเองไรงี้ ซึ่งสิ่งที่ได้มา มีแต่ความร้อนอกร้อนใจ หาความสุข แลความยั่งยืนมิได้เลย

ย้อนกลับมาวิเคราะห์ครับ ทำไมผู้ชายที่มีแฟนแล้ว ถึีงดูมีเสน่ห์ ก็เพราะ "ความอิ่ม" นี่เอง ก่อนเขามีแฟน เขาอาจจักเป็นคนที่ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัวมาก่อน ชีวิตไม่สมประกอบมาก่อน แต่พอมีแฟนที่เข้าใจกันแล้ว บางทีแฟนเขาก็สามารถเติมเต็มส่วนที่เขาขาดไปในตอนเด็ก ๆ ได้ เขาจึงดูเป็นคนที่ "อิ่ม" ขึ้นมา หรือบางคนอิ่มมาแต่อ้อนแต่ออก ก็จักดูมีเสน่ห์ในตัวเองแม้ไม่ต้องมีแฟน ยกตัวอย่างเช่น คุณโยมดู๋ สัญญา คุณากร เวลาเห็นชายคนนี้ยิ้มพร้อมเขี้ยวเสน่ห์แล้ว โลกดูอบอุ่นขึ้นทันตา

แต่ความเป็นจริง ใน ๑๐๐ คน จักหาคนที่อิ่มมาแต่อ้อนแต่ออกสัก ๑ คนก็ยังยาก ส่วนใหญ่ก็ขาด ๆ เกิน ๆ กันทั้งนั้น

ส่วนความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนอย่างที่สมัยนี้เห็นกันดาษดื่น ส่วนใหญ่มาจากคนที่ขาดทั้งคู่ หิวทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างควานหาความรัก ความอบอุ่น ความอิ่มในอารมณ์ จากซึ่งกันและกัน ซึ่งมันไม่มีหรอก ต่างฝ่ายต่างหิว ต่างคิดจักตักตวงเอาจากอีกฝ่าย จักไปหาความอิ่มจากที่ไหนได้ สุดท้ายก็ลงเอยที่แค่วัตถุบำบัดความต้องการทางเพศให้แก่กันและกัน แล้วก็จากกันไปในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ

จักอยู่กันได้ยืดยาวหน่อย ต้องมีฝ่ายหนึ่งขาด ฝ่ายหนึ่งเต็ม ฝ่ายหนึ่งหิว อีกฝ่ายอิ่ม และพร้อมจักแบ่งปันความอิ่ม หรือต่างฝ่ายต่างอิ่มทั้งคู่ เช่นนี้ถึงจักอยู่กันได้ยาว

ฉะนั้นหนุ่ม ๆ อย่างเรา ถ้าอยากเป็นคนมีเสน่ห์ ไม่ต้องรอให้ใครมาเติมเต็มให้ครับ เติมตัวเองให้เต็มเสียก่อนเลย ทีนี้อีตอนเติมให้เต็มนี่ละยากซซซซซ์ คนที่ขาด ก็ไม่รู้หรอกว่า ตัวเองขาด ซ้ำไม่รู้อีกว่า เจ้าคนที่เต็ม หน้าตามันเป็นเยี่ยงไร นี่เป็นการบ้านที่ต้องไปทำ ไปค้นหาเอาเองครับ โถ... เล่นเฉลยกันหมด ก็ไม่หนุกดิ

วิธีง่าย ๆ อาจไปลองสังเกตบุคลิกของคนที่มีเสน่ห์ (จากความอิ่มอารมณ์) แล้วนำมาเลียนแบบ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจมากมาย เพราะผู้หญิงฉลาด ย่อมดูออกว่า อันไหนจริง อันไหนเฟค และถ้าเลียนแบบได้แค่ท่าที พระเจ้าจอร์จ มันขัดกับเสน่ห์ข้อต่อไปหยั่งเรงนิ

เสน่ห์ที่รัดรึงใจสาว ๆ ให้ นะจังงัง งงงวย ไปกับกลิ่นเต่า เอ้ย... หัวปักหัวปำหลงใหลได้ปลื้มไปกับเราได้ยาวนาน มิใช่ first impression หรือความประทับใจแรกเห็นครับ หากแต่เป็นความเป็นตัวของตัวเอง คนเราจักเฟค ปลอมแปลงตัวเองไปได้สักกี่นานครับ ช่วงแรกของการจีบ อาจมีความอดทนสูง ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกประการเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ แต่จีบไปนาน ๆ พลังความอึดก็หมดครับ หรือไปน้ำมันหมดตอนเป็นแฟนกันแล้ว ยิ่งโซแซดเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นหมายถึงการทะเลาะเบาะแว้ง การไม่เข้าใจกัน รับกันไม่ได้ ที่ตามมา แล้วลงเอยที่การเลิกร้างจากกันไป บางคู่กลายมาเป็นเพื่อน บางคู่ (ส่วนใหญ่) มองหน้ากันไม่ติดอีกเลย

คำแนะนำข้อที่ ๒ จึงมีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นพระเอกครับ

ไม่มีแมวที่ไหนชอบผู้ชายเลว ๆ ครับ ส่วนใหญ่ที่ชอบผู้ชายเลว ก็เนื่องด้วยอกุศลวิบากแต่กาลก่อนของหญิงผู้นั้นเอง โดยปกติแล้ว ใครแม่มจักอยากได้สามีที่ลับหลังแค่นาทีเดียว ก็กลายเป็นผัวคนอื่นครับ หรือไม่ก็หลงใหลชายขี้ยา วัน ๆ ไม่ทำมาหากิน เสพยา กระดกเหล้าเมาแอ๋ได้ทั้งวันทั้งคืน หรือชอบใจที่จักขลุกอยู่แต่กับชายผีพนัน แทงบอล แทงหวย แทงไฮโล ปู ปลา บ้า ใบ้ แทงกระทั่งปลาไหล (อ้าวเฮ้ย... เกี่ยวไหมเนี่ยะ)

ร้อยทั้งร้อยสาว ๆ เธอก็ชอบผู้ชายดี ๆ ยกเว้นเธอจักมีความผิดปกติกระไรบางอย่าง ฉะนั้นในคำแนะนำข้อนี้ ท่านไม่อาจเป็นคนดีแค่เปลือกครับ ท่านต้องเป็นคนดีแต่ภายใน จึงมาประกอบเข้ากับความเป็นตัวของตัวเองแล้ว กลิ่นเสน่ห์ของท่านจึงจักหอมสพรั่ง

คำแนะนำทั้งสองนี้ อ่านดูแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก การที่เราจักแปลงกายเป็นคนอิ่มอารมณ์ หรือเป็นคนดีจากข้างใน เหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในวันสองวัน แต่เธอผู้นั้น อีกสองวันอาจเปลี่ยนไปเป็นแฟนคนอื่น

ก็ปล่อยเธอไปครับ บอกแล้วว่า นี่ไม่ใช่บทความแนะนำวิธีการหาคู่นอน การหาคู่แท้ที่ยั่งยืน คงต้องอาศัยเวลา และทำการบ้านกันเยอะหน่อย

ความเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยากจากคำแนะนำทั้งสองนี้ เป็นไปได้ด้วยการปฏิบัติธรรมครับ

เชื่อมะ? คงเชื่อได้ยากละซี มาลองดูกันครับว่า ความมหัศจรรย์ของการปฏิบัติธรรมนั้น ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร

ข้อแรกคือ เสถียรภาพของจิตใจ เติมเต็มจิตใจตนเอง เชื่อไหมครับว่า ที่คนเราทำนั่นทำนี่ แก้โน่นแก้นี่เกี่ยวกับตัวเองไม่ค่อยได้ แล้วมักอ้างว่า "ก็ฉันเป็นของฉันอย่างนี้" ความจริงแล้วมีสาเหตุใหญ่ที่ซู๊ดเลย คือ "ไม่รู้จักตนเอง"

บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมถึงมีจริยาเช่นนั้นเช่นนี้

การปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติ จักทำให้เรารู้ตัวบ่อยขึ้น ไม่เผลอไผลทำกิริยาไม่น่ารักไม่น่าดู หรือแม้จักรู้ตัวหลังจากพลาดทำตัวไม่ดีเช่นนั้นแล้ว ก็กลับมาศึกษาพฤติกรรมตนเองได้มากขึ้น บางคนเผลอ ๆ ไผล ๆ ไปทั้งวัน ก็เลยไม่มีกระไรจักพิจารณา ไม่มีกระไรจักศึกษา ก็ฉันดีเยี่ยมยุทธอยู่แล้ว จักให้ไปพัฒนากระไรอีก คิดเช่นนี้ หาคู่แท้ไปทั้งชาติก็อาจไม่เจอครับ เพราะแค่ตัวเองยังไม่รู้จักเลย

จักเติมเต็มตนเองได้ ต้องเริ่มรู้จักตนเองก่อนครับ เราเป็นคนขี้เหงา เราเป็นคนขี้ใจน้อย เราเป็นคนโรแมนติก เราชอบให้ผู้อื่นเทคแคร์ เราเป็นคนขี้โมโห ถ้าใครมาทำอย่างนั้นอย่างนี้กับเรา เราจักโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เราเป็นคน... บลา ๆ ๆ ต้องรู้ให้ชัด รู้ให้แน่ รู้ให้ลึก

จักพัฒนาตนเองได้ ต้องรู้ให้ซึ้งถึงสาเหตุที่ทำให้เรามีพฤติกรรมแบบนี้ แล้วเป็นไปได้ ก็ทำลายมันซะ พวกนิสัยห่วย ๆ ที่ไม่มีใครเอาหน่ะ

จักรู้ว่า เรามีนิสัยห่วย ๆ ขึ้นมาตอนไหน ถ้าไม่มีกระจกเงาให้ส่อง ประเภทเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ ก็ต้องพึ่งตนเอง การเจริญสติของเรานี่เอง จักทำให้เราทราบว่า ความชั่วร้ายของเราจักแพลมออกมาตอนไหนบ้าง

"สติ" สำคัญในทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อครับ ครูบาอาจารย์กล่าวไว้

เจริญสติไปเรื่อย ๆ ก็คือการเติมเต็มชีวิตไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็เต็ม

จุดสังเกตหนึ่งของคนที่เต็มแล้ว จักสะกดคำว่า "เหงา" ไม่เป็นครับ และคนที่เหงาไม่เป็น ก็คือผู้ที่มีเสถียรภาพ มีความมั่นคงทางจิตใจสูงแม้ไม่ที่สุด แต่อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า "อิ่ม"

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพผลของการเจริญสติ สมมุติว่า เราเจริญสติจนรู้แล้วว่า เราเป็นคนขี้เหงา ค้นเข้าไปในใจเราครับว่า กระไรทำให้เราเป็นคนขี้เหงา ความขี้เหงามักมาจากความต้องการให้ผู้อื่นระลึกถึง ต้องการเป็นคนสำคัญ คนขี้เหงาส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการถูกทิ้งไว้ลำพังเมื่อตอนเด็ก ตอนแบเบาะอยากให้มีคนอุ้มแล้วไม่มีคนอุ้ม ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งนี้จักฝังลึกเป็นปมอิดิปุสอิเล็คตร้ามาม่าไวไว สำหรับคนขี้เหงามาแต่นั้น

แม้รู้แล้ว จักทำกระไรได้...

ก็การเจริญสตินี่แล สามารถทำลายความขี้เหงาได้ พอความเหงาโผล่ขึ้นมา ก็ให้รู้ว่า เหงา อย่าไปเกลียดมัน อย่าไปอยากให้มันหายไป อย่าไปหนีมัน ชนกับความเหงาเข้าไปตรง ๆ เลย เห็นให้ได้ว่า ความเหงามันไม่เที่ยง มันมาแล้วมันก็ไป ไม่มีใครบ้าเหงาตลอด ๒๔ ชั่วโมงครับ ความเหงาก็เหมือนอารมณ์อื่น ๆ มาแล้วก็ไป ๆ ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ที่สุดจักทำความเหงาตกหายไปตอนไหนก็ไม่ทราบ

ถ้ามีสติดีแล้ว ท่านก็ย่อมเป็นคนดีแน่นอน เพราะสติจักไม่เกิดกับผู้ที่ไม่รักษาศีล ผู้ไม่รักษาศีล ชีวิตจักมีแต่ความฟุ้งซ่าน วุ่นวาย เมื่อท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ เป็นอย่างดีแล้วไซร้ การเป็นตัวของตัวเองของท่านก็ย่อมทำให้เสน่ห์ของท่านฟุ้งขจรไกล เพราะแม้พระพุทธองค์ก็ยังทรงตรัสยืนยันว่า กลิ่นของศีลนี้ หอมทวนลม

วันนี้ขออารัมภบทกันแค่นี้ก่อน ยังมีกลเม็ดเด็ดพรายในการบริหารเสน่ห์อีกมากครับ ทุกอย่างล้วนใช้สติปัฏฐาน เป็นตัวกำกับ อยากรู้เคล็ดไม่ลับทั้งหลายติดตามต่อไปตอนหน้าครับ

จบตอน ๑

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons