พระราหุลออกบวช
พระราหุลนิพพาน
พระพุทธเจ้าเสด็จมาพยาบาลพระติสสะ
พระพุทธเจ้าโปรดองคุลิมาลย์
พระพุทธเจ้าทรงทรมานช้างนาฬาคีรี
- พระโมคคัลลานะปรินิพพาน
- พระมหาโมคคัลลานะ เป็นพระสาวกที่ได้รับยกย่อง จากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศกว่าพระภิกษุอื่นในด้านมีฤทธิ์ และเป็นคู่อัครสาวกเบื้องซ้าย คู่กันกับพระสารีบุตร ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านปัญญา และเป็นอัครสาวกเบื้องขวา
- พระมหาโมคคัลลานะ เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนา ท่านสอนคนที่ดุร้ายให้เป็นคนอ่อนโยน สอนผู้ที่กระด้างให้เป็นคนเรียบร้อย สอนผู้ที่ตระหนี่ให้เป็นคนเสียสละ เป็นต้น และท่านได้เป็นผู้นำเรื่องราวของนรกและสวรรค์ มาแจ้งให้แก่คนทั่วไปได้ทราบ คนทั่วไปจึงหันหลังให้ศาสดาเก่าของตน แล้วกลับมานับถือพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
- บรรดาพวกเดียรถีย์เห็นลาภสักการะที่ตนเคยได้ลดน้อยลงทุกทีก็ไม่พอใจ เมื่อทราบว่าพระโมคคัลลานะ เป็นผู้ชักจูงประชาชนไป จึงเรี่ยไรเงินจากอุปัฏฐานของตน จ้างโจรจำนวนมากให้ไปฆ่าพระโมคคัลลานะเสีย
- ในครั้งนั้น พระโมคคัลลานะอาศัยอยู่ที่กาฬศิลา เมื่อพวกโจรพากันไปล้อม ท่านก็หลีกหนีพวกโจรไปได้ พวกโจรล้อมอยู่ถึงสองเดือน ยังจับท่านไม่ได้ ครั้นล่วงถึงเดือนที่สาม ท่านได้พิจารณาถึงกรรมของท่านในอดีตชาติ ที่ได้เคยทุบตีบิดามารดา และถึงเวลาที่ท่านจะปรินิพพาน จึงไม่ยอมหลีกหนีไป ยอมให้พวกโจรทุบตีตามใจชอบ
- เมื่อพวกโจรทุบตีจนเป็นที่พอใจแล้ว พระโมคคัลลานะจึงได้เข้าฌานรวบรวมอัตภาพ แล้วมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เพื่อทูลลาปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคก็ทรงอนุญาต จากนั้นพระโมคคัลลานะก็กลับไปปรินิพพานที่กาฬศิลา พระผู้มีพระภาคพร้อมพระภิกษุสงฆ์ และบรรดาเทพยดาได้มาร่วมงานถวายพระเพลิง แล้วเก็บอัฐิบรรจุไว้ ณ ซุ้มพระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี
ปัจฉิมบิณฑบาต
- เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ทรงประดิษฐานบริษัททั้งสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นระยะเวลา 45 พรรษา เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้เสด็จจำพรรษา ณ บ้านเวฬุวคาม เขตเมืองเวสาลี ครั้นออกพรรษาแล้วได้เสด็จต่อไปถึงปาวาลเจดีย์ ได้ทรงปลงชนมายุสังขาร ณ ที่นั้นในวันมาฆปุรณมี เพ็ญเดือนสาม แล้วเสด็จไปสู่บ้านภัณฑคามหัตถีคาม อัมภคามชมพูคาม และเมืองโภคนคร ทรงแสดงพระธรรมเทศนา โปรดมหาชนทุกแห่ง ต่อจากนั้นได้เสด็จไปสู่เมืองปาวา และเสด็จไปอาศัยสวนมะม่วงของนายจุนทะ ช่างทอง
- เมื่อนายจุนทะทราบข่าวก็มีความยินดี ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ พระผุ้มีพระภาคได้ทรงประทานพระธรรมเทศนา โปรดนายจุนทะจนได้บรลุพระโสดาปัตติผล จากนั้นได้กราบทูลนิมนต์พระพุทธองค์ กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายไปฉันภัตตาหารยังนิวาสสถานของตน
- ในวันรุ่งขึ้น นายจุนทะได้ตกแต่ง ขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ประกอบด้วย สุกรมัททวะ เมื่อพระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ มาถึงบ้านนายจุนทะ พระองค์ทรงทราบถึงอันตรายในสุกรมัททวะ จึงตรัสให้นายจุนทะ นำสุกรปัททวะมาอังคาสเฉพาะแต่พระองค์แต่ผู้เดียว ที่เหลืออยู่ให้นำไปฝังเสีย เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า ไม่มีผู้ใดที่บริโภคสุกรปัททวะแล้วจะย่อยได้ อันจะเกิดอันตรายแก่ผุ้บริโภคสิ่งนี้
อัคคทานของนายจุนทะ
- เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยสุกรมัททวะบิณฑบาตของนายจุนทะแล้ว ได้ทรงทำอนุโมทนาให้นายจุนทะ เกิดความปราโมทย์ จากนั้นได้เสด็จไปประทับ ณ อัมพวันอุทยาน ในวันนั้นบังเกิดปักขันทิกโรคลงพระโลหิต ทรงแสดงบุพพกรรมของพระองค์ในชาติก่อน ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาด้วยอธิวาสนขันติ จนทุกขเวทนาบรรเทาลง
- พระผู้มีพระภาคพร้อมพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปเมืองปาวา ในระหว่างทางเกิดทุกขเวทนากล้าจึงแวะพัก ณ ภายใต้ร่มไม้แล้วตรัสกับพระอานนท์ว่า ถ้าจะมีผู้สงสัยติเตียนนายจุนทะว่า พระพุทธเจ้าเสวยบิณฑบาตของนายจุนทะ เป็นปัจฉิมบิณฑบาต แล้วปรินิพพาน นายจุนทะจะเดือดร้อนเคลือบแคลง ฉะนั้นจงเปลื้องข้อสงสัยของนายจุนทะว่า บิณฑบาต สองประการ คือ บิณฑบาตอันนางสุชาดาถวายพระองค์เมื่อเสวยแล้วตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และบิณฑบาตอันนายจุนทะถวาย พระองค์เสวยแล้วปรินิพพาน มีอานิสงส์มากเสมอกัน ไม่มีทานอื่นเทียบเท่า เพราะบิณฑบาตของนางสุชาดา เป็นเหตุให้พระองค์ได้บรรลุอุปาทิเสสนิพพาน ส่วนบิณฑบาตของนายจุนทะ เป็นเหตุให้พระองค์ได้อนุปาทิเสสนิพพาน
พระผู้มีพระภาคตรัสสอนต่อไปว่า บุคคลผู้ให้ทานย่อมเจริญด้วยบุญ ผู้ละเว้นจากบาปเป็นผู้ไม่มีเวร ผู้ตั้งมั่นในกุศลเป็นผู้เว้นจากกรรมอันลามก บุคคลผู้สิ้นจากราคะ โทษะ และโมหะ เป็นผู้บรรลุพระนิพพานพระพุทธองค์ทรงประชวรหนักขอน้ำเสวย
- ขณะที่พระผู้มีพระภาคเสด็จพุทธดำเนินไปนครกุสินารา ในท่ามกลางมรรคา ทรงพักใต้ร่มไม้ แล้วรับสั่งให้พระอานนท์ไปหาน้ำมาถวาย พระอานนท์กราบทูลว่า ธารน้ำที่มีอยู่ตื้นเขิน และได้มีเกวียนจำนวนมาก แล่นผ่านไปทำให้น้ำขุ่นไม่สมควรบริโภค ขอให้พระพุทธองค์ เสด็จพุทธดำเนินไปยังแม่น้ำกกุธานที ซึ่งมีน้ำใสจะได้สรงเสวยเป็นที่สำราญ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสั่งพระอานนท์ถึงสามครั้ง พระอานนท์จึงได้นำบาตรไปตักน้ำในธารดังกล่าว เมื่อพระอานนท์ก้มลงตักน้ำ น้ำที่ขุ่นอยู่ก็กลายเป็นใสสะอาดเป็นที่อัศจรรย์ แล้วพระอานนท์จึงได้นำน้ำนั้น มาถวายพระผู้มีพระภาค
พระพุทธเจ้าได้ปัจฉิมสาวกและปรินิพพาน
- เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จถึงป่าสาละวันของมัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา จึงได้รับสั่งให้พระจุนทะปูลาดอาสนะลง ณ ที่นั้นระหว่างต้นไม้สาละคู่หนึ่ง ให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร แล้วประทับสีหไสยา ตั้งพระทัยจะไม่เสด็จลุกขึ้นอีก ทรงแสดงธรรมแนะนำวิธีปฏิบัติต่าง ๆ แก่พระภิกษุสงฆ์อยู่ตลอดเวลา
- พอย่างเข้าสู้ราตรีกาลวันนั้น มีปริพาชกผู้หนึ่งชื่อ สุภัททะ มาขอเข้าเฝ้า พระอานนท์เห็นพระพุทธองค์ทรงลำบากพระกาย จึงได้ห้ามไว้ แต่สุภัททะก็อ้อนวอนจะขอเข้าเฝ้าให้จงได้
- พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงประทานโอกาสให้สุภัททะเข้าเฝ้า ถามปัญหาต่าง ๆ พระองค์ทรงแก้ไขปัญหา และเทศนาธรรมกถาให้ฟังจนเป็นที่เข้าใจ สุภัททะได้ความเลื่อมใสทูลขอบรรพชาอุปสมบท เมื่อสุภัททะอุปสมบทแล้ว ได้พยายามเจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุพระอรหัตผล ได้ทันเห็นพระบรมศาสดาได้เป็นพระสาวกองค์สุดท้าย
- ต่อจากนั้นพระบรมศาสดาได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า
หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงให้กิจทั้งปวง ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด