วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปริญญาสามใบหรือปริญญาชีวิตby Dhammasarokikku

ในเอ็นทรี่นั้น กล่าวถึงดาราพิธีกรชื่อดังคนหนึ่ง ผู้มีชีวิตค่อนข้างเพอร์เฟ็ค จบปริญญาเอก มีแฟนเป็นดาวมหาลัย ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่สุดท้ายต้องมาตายด้วยโรคมะเร็ง ก่อนวัยอันควร (คิดกันไปเอง ครับว่า วัยไหนถึงควรตาย คนเราตายได้ทุกวัยนั่นแล) เพราะความเครียดจากการทำงานทุ่มเทมากไป

ในบทสัมภาษณ์ก่อนเขาจักลาจากโลกนี้ไป เขากล่าวถึง คำสอนของพ่อเขาว่า มีปริญญาอีกใบที่ต้องทำให้สำเร็จ คือ ปริญญาวิชาชีวิต เขาให้ความเห็นว่า เขาไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าปริญญาใบที่สอง เขาต้องมานอนให้พ่อแม่เช็ดตัว ดูแลรักษา แทนที่เขาจักเป็นคนดูแลพ่อแม่ แสดงให้เห็นว่า เขาเกลียดตัวเอง ที่ต้องมานอนรอรับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างนี้

สำเร็จปริญญาวิชาชีวิตของเขา อาจหมายถึงการที่เขาได้มีชีวิตยืนยาว สุขภาพแข็งแรง ได้ดูแลแทนคุณพ่อแม่ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ร่ำรวยมหาศาล มีลูกหลานมากมาย แล้วสุดท้ายนอนรอความตายโดยมีญาติพี่น้องลูกหลานคอยประคบประหงม ในเวลาที่ทุกคนลงความเห็นว่า เขาสมควรตายได้แล้ว

นั่นอาจจักเป็นปริญญาวิชาชีวิตทางโลกแต่ถ่ายเดียว ครับ ข้าพเจ้าขออนุญาตเสริมเนื้อหาของปริญญาวิชาชีวิตทางธรรมเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว วันที่สำเร็จปริญญาวิชาชีวิต คือวันที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถูกต้องชัดเจนว่า ชีวิตเราิเกิดมาเพื่ออะไร ครับ ไม่ใช่เกิดมาก็ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม จนตายแล้ว ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า เกิดมาทำไม อย่างนี้เขาเรียก มืดมา แล้วก็มืดไป

เข้าใจชีวิตแล้ว มันมีความสุขจริง ๆ ครับ มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน

เข้าใจชีวิตว่ากระไร? เข้าใจว่า ทั้งความสำเร็จ และความล้มเหลวของชีวิต มันเป็นแค่ของเล่น ครับ สุข ทุกข์ มันก็แค่ของหลอกเด็ก มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป เหมือนกันหมด ไม่มีแก่นสารสาระกระไรเลย ไม่มีกระไรน่ายึด น่าถือ สักอย่าง

คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อยึด ครับ

กิเลสมันสั่งให้ยึด ไม่ต้องทำกระไร ปล่อยตัวปล่อยใจ คนเราก็มีธรรมชาติยึดโน่นยึดนี่อยู่แล้ว ครับ เช่น พอรู้ความ ก็ยึดว่า เราต้องมีของเล่น ต้องได้กินขนมอร่อย โตมาหน่อย ก็ยึดว่า ต้องเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนอินเตอร์ ต้องมีแฟนสวยหล่อ โตอีกนิด ก็ต้องเรียนมหาลัยชื่อดัง ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ก็ต้องทำงานในบริษัทซึ่งเป็นที่รู้จัก เงินเดือนดี สวัสดิการเยี่ยม ต้องแต่งงานกับคนที่ใช่ ต้องมีลูก ต้องมีรถ ต้องมีบ้านหลังใหญ่ ต้องไม่แก่ ต้องไม่ป่วยไข้ และต้องไม่ตาย เป็นต้น

ความจริงแล้ว คนเราเกิดมาเพื่อ "วาง" ครับ

เพราะการวางจักพาให้เราเข้าถึง ความสุขแท้ ความสุขแท้เป็นยอดปรารถนาของสัตว์โลกทุกหมู่เหล่า

ยึดหน่ะมันง่าย แต่วางหน่ะมันยาก เราจึงต้องมาเกิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพื่อหาทาง "วาง" เมื่อไหร่วางได้หมด เมื่อนั้นก็ไม่ต้องมาเกิดอีก และนั่นละ คือ ดุษฎีบัณฑิตของชีวิต

ไม่ได้ห้ามไม่ให้ยึด ครับ คนเราหากไม่รู้จักการยึด จักรู้จักการวางได้อย่างไร มันก็ต้องยึดกันไปก่อน ยึดไป ก็ทุกข์ไป ทุกข์มาก ๆ เข้าก็วาง พอคลายทุกข์หน่อย ก็กลับมายึดใหม่ ยึด ๆ วาง ๆ เรียนรู้เพิ่มเติมไปทุกวินาทีในวัฏสงสาร จนสุดท้ายซาบซึ้งถึงอกถึงใจว่า เมื่อไหร่ยึด เมื่อนั้นทุกข์

แต่กว่าเราจักเข้าใจว่า เราเกิดมาเพื่อ "วาง" บางทีก็สายเสียแล้ว ครับ ยึดโลกมาแบกไว้ทั้งใบ

ทำไมภูมิมนุษย์ถึงประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏ?

ทำไมภูมิมนุษย์ สัตว์ในสามโลกจึงอยากมาเกิดกันนัก?

และทำไมภูมิมนุษย์ถึงมาเกิดได้ยากเย็นนัก?

เพราะมีขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสังสารวัฏฝังอยู่ในภูมิของมนุษย์หน่ะซี ขุมทรัพย์ทางปัญญาที่จักทำให้เรารู้จัก "การวาง"

ขุมทรัพย์นั้น องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นคนขุดเจอ ครับ และทรงเอามาประกาศบอกพวกเรา

ขุมทรัพย์นั้น ชื่อ "ไตรลักษณ์" ครับ

ไตรลักษณ์ นั้น มีอีกชื่อหนึ่งว่า "สามัญญลักษณะ" ชาวพุทธคงไม่มีใครไม่เคยได้ยิน ไตรลักษณ์ หรือ ลักษณะสามัญสามอย่าง ก็คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ฟังกันจนคุ้นหู คุ้นตา เป็นขุมทรัพย์อย่างไรหนอ?

ไตรลักษณ์สำคัญอย่างไร? ไตรลักษณ์คือที่สุดของปัญญา ครับ การวางนั้น พูดง่าย แต่ทำยาก หากยังไม่เห็นไตรลักษณ์ จิตเราจักไม่ยอมวางกระไรง่าย ๆ เด็ดขาด การจะเห็นไตรลักษณ์ได้ ต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น ครับ

เมื่อปฏิบัติตามมรรคแล้ว มันก็ไม่ยากที่จักเห็นไตรลักษณ์ ในภูมิของมนุษย์ มีไตรลักษณ์ให้เห็นแทบทุกที่ โดยเฉพาะร่างกายของเราเอง

ภูมิอื่น ไม่มีการเกิดมาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ โตขึ้น จนโตเต็มที่ แล้วก็ค่อย ๆ แก่ลง ๆ เจ็บป่วย แล้วก็ตาย ภูมิมนุษย์นั้น มีครบทุกรสชาติของชีวิต ครับ สัตว์นรก หรือเปรตนั้น ทุกข์มากเกินไป ครับ ทุกข์ไม่เว้นวันหยุดราชการ เลยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่เห็นอนิจจัง สัตว์เดรัจฉาน มีการเจริญเติบโต แก่ ป่วย ตาย ก็จริง แต่ก็หลงมากเกินไป ศักยภาพสมองน้อยเกินไป เทวดาก็สุขมากไป ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง พรหมก็ยิ่งนิ่งสนิทไปเลย

โลกมนุษย์ก็เหมือนโรงเรียนขนาดยักษ์ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้ชีวิต ทั้งการยึด และการวาง ตอนเด็ก ๆ เราก็เรียนรู้ที่จักยึด ต้องเรียนเก่ง ๆ นะ พ่อแม่จักได้พอใจ ต้องสอบเข้ามหาลัยให้ได้นะ จักได้มีหน้ามีตา ต้องรวยนะ ทุกคนจักได้นับถือ ยึดกันจนเต็มปรี่แล้ว ก็มาเรียนรู้ที่จักวาง ร่างกายเรา แก่ลงทุกวัน เสื่อมลงทุกวัน เราห้ามได้ไหม ถ้าห้ามไม่ได้ นั่นละ "อนัตตา" ร่างกายเรามันดีทุกวันหรือเปล่า ก็เปล่า เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันเที่ยงไหม เห็นความไม่เที่ยงไหมล่ะ นั่นละ "อนิจจัง" เวลาแก่แล้ว มันก็เจ็บป่วย ปวดเมื่อยไปทุกอิริยาบถ เห็นหรือยังเล่า นี่ละ "ทุกขัง"

วัยชราเป็นวัยที่ยอดเยี่ยมสำหรับการมองเห็น "ไตรลักษณ์" เลย ครับ แต่ขออำภัย หากเราไม่จบปริญญาวิชาชีวิตทางธรรมที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าวางหลักสูตรไว้ ให้ได้เสียก่อนแก่ ถึงเวลาแก่จริง มันมักจักสายไปแล้ว ครับ เพราะสิ่งที่มาพร้อมความแก่ คือ ความหลงลืม ความเสื่อมถอยของสังขาร ปัญญาก็อ่อนแอ สติสตังก็อ่อนแรง บางทีก็มีอาการเจ็บป่วยเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ช่วงวัยชรา เหมือนช่วงสุดท้ายแห่งการเตรียมตัวสอบ ประมวลประสบการณ์ของทั้งชีวิต แล้วต้องเห็นไตรลักษณ์ให้ได้ เห็นไม่ได้ก็กลับมาเกิดใหม่ มาเกิดอีกเพื่อทำความเข้าใจใหม่ พยายามเห็นไตรลักษณ์อีกครั้ง สอบตกก็เวียนมาเกิดอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผู้ที่เข้าใจชีวิต ยิ่งแก่ ก็ยิ่งมีความสุข ครับ แต่ผู้ที่สอบตกปริญญาวิชาชีวิต ยิ่งแก่ ก็ยิ่งเป็นทุกข์ ทุกข์กายยังไม่พอ เพิ่มทุกข์ใจเข้าไปอีก

วัยหนุ่มวัยสาว คือ วัยที่เราจักต้องทำความเข้าใจ กับความหมายที่แท้จริงของชีวิต ครับ แก่ ๆ ไป ไม่ค่อยเหลือปัญญามาศึกษาแล้ว เรียนให้รู้ ครับว่า แท้จริงคนเราเกิดมาเพื่ออะไร รู้ไว้ก่อน ครับ ทำไม่ได้ ทำไม่ถึง ไม่เป็นไร (นี่ละ ครับ สมัยก่อนเข้าถึงให้บวชเรียน ให้รู้อะไรเป็นอะไรก่อน แล้วจักอยากแสวงหาพระนิพพานในเพศสมณะ หรือจะกลับไปใช้ชีวิตฆราวาส ก็เลือกเอา น่าเสียดายที่ประเพณีดีงามเช่นนี้ นับวันก็เหลือน้อยลง ๆ)

การรู้ความหมายของชีวิต เป็นปริญญาวิชาชีวิต ครับ (เขาถึงเรียกคนที่บวชเรียนแล้วสึกว่า "ทิด" แปลว่า ผู้ศึกษาแล้ว) ส่วนถ้าทำได้ถึง เป็นปริญญาใบที่สาม ครับ เป็นปริญญาพิเศษ เรียกว่า ปริญญาทางธรรม ถ้าสอบเข้ามหาลัยทางธรรมได้นี่ เขาเรียกว่า พระเสขะ หมายถึง พระอริยบุคคลที่ยังต้องศึกษา เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ก็คือ ได้โสดาบัน จบปริญญาตรีแล้ว ก็เรียกว่า สกทาคามี จบปริญญาโท ก็เรียกว่า อนาคามี

การเรียนทางโลกไม่มีวันจบ ครับ มีให้เรียนเรื่อย ๆ จนทำให้ข้าพเจ้าเป็นโรค classroomphobia แต่การเรียนทางธรรม มีวันจบ ครับ จบแล้วไม่ต้องเรียนอีก จบด็อกเตอร์ทางธรรม ก็เรียกว่า พระอรหันต์ หรือเรียกอีกอย่างว่า พระอเสขะ หมายถึง พระอริยบุคคลที่ไม่ต้องศึกษาแล้ว หมดกิจที่ต้องทำแล้ว

มหาลัยทางธรรมอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในกาย ในใจ เรานี้นั่นแล มหาลัยทางธรรม เรียนอะไร? ก็เรียนรู้ทุกข์ ทุกข์อยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในกาย ในใจ เรานี้ กายใจ หรือขันธ์ห้าของเรานี่เอง คือ "มหาลัยทางธรรม"

อย่างดาราพิธีกรคนนั้น หากเขาทราบสักนิดว่า เป้าหมายแท้จริงของชีวิต คือ การเห็นไตรลักษณ์ แล้วจักได้วาง วางได้แล้วจึงจักมีความสุขไม่ว่าจักเกิดอะไรขึ้น จักหายหรือไม่หาย ก็มีความสุข ตระหนักได้ว่า การสำเร็จปริญญาวิชาชีวิต มิใช่การมีอายุยืนยาว ไม่ป่วยไม่ไข้ เขาก็คงเป็นนักศึกษาได้ไม่ยาก ครับ ร่างกายสมองยังดีอยู่ ศึกษาธรรมะได้ไม่ยาก แต่คนเราเวลาป่วยแล้ว ก็ไม่มีเวลามานั่งคิดถึงไตรลักษณ์หรอก เวลาทั้งหมดไปสนใจอยู่กับทุกขเวทนาจากการป่วย ทำอย่างไรให้พ้นจากทุกขเวทนา ฉะนั้น เราต้องไม่ประมาท ครับ หัดระลึกถึงไตรลักษณ์เสียตั้งแต่ยังไม่ป่วย ยังไม่แก่ ตุนเสบียงไว้ใช้ในเวลาสำคัญของชีวิต

นอกจากขุมทรัพย์ดังกล่าวแล้ว ภูมิมนุษย์ยังประเสริฐกว่าภูมิทั้งหลาย ตรงที่สามารถเลือกที่ไปได้โดยอิสระ ครับ อยากไปเป็นสัตว์นรก ก็โกรธเข้าไป ครับ ล่วงศีล ๕ เข้าไป เดี๋ยวก็ได้เป็น อยากเป็นเปรต ก็โลภเข้าไป อยากเป็นอสุรกาย ก็สะสมมิจฉาทิฏฐิไว้เยอะ ๆ อยากเป็นคนอีก ก็รักษาศีล ๕ เอาไว้ อยากเป็นเทวดา ก็รู้จักกลัวโทษของบาป รู้จักละอายบาปไว้เรื่อย ๆ อยากไปเป็นพรหม ก็ฝึกสมาธิไว้ หรืออยากไปนิพพาน ก็หัด "วาง" เข้า

และภูมิมนุษย์ก็มาเกิดได้ยากเย็นนักหนา เพราะมีโควต้าจำกัด ครับ มีจิตแค่ประมาณหกพันล้านดวงเท่านั้น จักมีสิทธิ์เกิดเป็นมนุษย์ แต่จิตในสกลจักรวาลนี้ มีมากมายจนนับไม่ได้ เราได้เกิดเป็นคนไทย ได้พบศาสนาพุทธ ได้เรียนธรรมะนี่ ก็โชคดีกว่า คนทั้งหลายอยู่อักโขทีเดียว เพราะเราจักมีโอกาสจบปริญญาวิชาชีวิตได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่สนใจศึกษา คนที่มีโอกาสดีอย่างนี้มีเพียงหยิบมือเดียว ครับ ถึงสิบล้านคนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ส่วนคนอีกมากมายกว่าหกพันล้าน ไม่มีโอกาสดีอย่างเรา ครับ ฉะนั้น สมควรอย่างยิ่งทีเดียว ที่จักเร่งจบปริญญาวิชาชีวิตให้อุ่นใจไว้ก่อน และถ้าไม่ประมาท ก็เริ่มปฏิบัติธรรมตั้งแต่วันนี้ เอาปริญญาทางธรรมให้ได้แต่เนิ่น ๆ ถึงเวลา "สอบไล่" วิชาชีวิตแล้ว จักได้ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องมาฝันร้ายหวาดกลัวการสอบไล่เพราะเตรียมตัวไม่ทันเช่นข้าพเจ้า และไม่ต้องมาโอดครวญว่า "ข้าพเจ้าสอบตกปริญญาวิชาชีวิต"

เพราะการเจ็บป่วย หรือตายก่อนวัยอันควร มิใช่การสอบตกปริญญาวิชาชีวิต ครับ แต่การตายไปโดยไม่รู้ว่า ชีวิตเกิดมาทำไมนั่นแล คือ การสอบตกปริญญาวิชาชีวิตที่แท้จริง!!!

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คู่แท้นั้นหาไม่ยากซ์ ตอนที่ ๒by Dhammasarokikku

86611ขออภัยมิตรรักแฟนบล็อกทั้งหลายด้วย หายไปนานจนมีคนต่อว่าทีเดียว เนื่องด้วยต้องเรียนภาษาบาลีไปด้วย ทำชาเย็นแจกไปด้วย อัพบล็อกไปด้วย ทั้งสามอย่างกินเวลาอย่างมหากาฬ ตอนที่แล้วแนะกันไป ๒ ข้อ คือต้องเป็นคนที่มีจิตใจมั่นคง เติมเต็มตัวเองให้อิ่มในอารมณ์ และเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งแถมท้ายว่า ตัวของตัวเองที่ว่า ต้องเป็นคนดีด้วย การจักเป็นคนดีได้ ก็ต้องมีการพัฒนาตนเอง การพัฒนาตนเองก็ต้องรู้จักตนเอง การรู้จักตนเองต้องอาศัยการเจริญสติปัฏฐานเป็นปัจจัย และการเจริญสตินั้นตั้งมั่นอยู่บนฐานของศีล ๕ ข้อ ดังนั้นถ้าปราศจากศีล ๕ แล้วไซร้ คำแนะนำทั้งหลายก็กลายเป็นหมันไป เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งครับ เรามาเริ่มต้นเป็นบุรุษทรงเสน่ห์ด้วยการรักษาศีล ๕ กันก่อนเลย

มีข้อควรรู้อยู่นิดหนึ่ง การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญสติปัฏฐาน มิใช่ทำกันแล้วได้ผลในวันสองวัน หรือสัปดาห์สองสัปดาห์นะครับ ต้องอาศัยเวลาฝึกฝนเป็นปี หรือหลายปี ฉะนั้นใจเย็น ๆ แล้วก็ทำไปเรื่อย ๆ เอาละครับ ๒ ข้อที่ผ่านไป คงไม่หนักหนาเกินไปใช่ไหม? ทำเท่าที่ทำได้ครับ ยิ่งทำได้มาก ยิ่งมีเสน่ห์มาก

อย่าทำเป็นเล่นไป แค่รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ได้นี่สามารถเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาได้นะครับเนี่ยะ

การเป็นพระอริยเจ้าในบวรพุทธศาสนาเป็นง่ายไหม? ไม่ง่ายเลย ให้ไปจีบหญิงน่าจักง่ายกว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นเช่นพระโสดาบันนั้น ต้องห้ำหั่นกับกิเลสสักเท่าไหร่? การต่อสู้กับกิเลส คือการทวนกระแสโลก มันยากกว่าการไหลไปตามโลก หรือไหลไปตามกระแสกิเลสตั้งมากมาย ปัญหาคือพระอริยเจ้าทั้งหลายมียุทโธปกรณ์ใดไว้สู้รบปรบมือกับกิเลสครับ? คำตอบคือไม่มีอาวุธอื่นใดจักมีแสนยานุภาพมากไปกว่า อาวุธที่ได้จากพระพุทธองค์ครับ

อาวุธที่พระศาสดาทรงคัดสรรแล้วว่า ไม่ยากเกินความสามารถของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา คัดสรรแล้วว่า อานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก จนอาจสามารถทำลายกิเลส (ขึ้นกับผู้ใช้เป็นสำคัญ) พ้นไปจากแรงดึงดูดแห่งสังสารวัฏ พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ อาวุธที่เป็นเลิศที่สุดในสรรพาวุธ ๓๘ ประการนั้น ท่านยกให้ "สติปัฏฐาน" เป็นเอกครับ

ปัดโถ!!!... ขนาดกิเลสมีอำนาจครอบงำคนไว้ทั้งโลก การเจริญสติปัฏฐานยังสามารถเอาชนะได้ ทำไมเรื่องขี้ผงแค่จีบหญิง ไหลไปตามโลกแค่นี้ อาวุธขั้นเทพนี้จักช่วยไม่ได้!!! วันนี้ที่เรายังรู้สึกว่า โลกมันมีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง ลองเอาอภิมหาอาวุธสุดอลังการมาใช้ในการอยู่ไปกับโลก ให้มีความสุขมากขึ้นกัน อนาคตเมื่อเรารู้ซึ้งถึงความจริงของโลกว่า ล้วนมีแต่ทุกข์ เมื่อนั้นอาวุธนี้ก็ยังสามารถพาเราให้พ้นไปจากโลกเบี้ยว ๆ บูด ๆ นี้ได้

โม้มาซะนาน ใครยังไม่รู้บ้างว่า สติปัฏฐาน คือฉันใด? อ้าว... ยกมือกันให้พรึ่บ

สติ แปลว่า ระลึกได้ครับ

สติปัฏฐาน คือสติที่ระลึกได้ถึงกายถึงใจตนเอง มี ๔ อย่างให้ระลึกคือ กาย เวทนา จิต ธรรม อ้าว ๆ ๆ อย่าเพิ่งทำตาปรือ ปัดโธ่... แค่นี้ทำเป็นง่วงแล้วจักไปจีบหญิงสำเร็จได้อย่างไร

ชาวเมืองอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ เขาทำวิจัยกันมาแล้วครับว่า เหมาะกับการดูจิตเป็นหลัำก ส่วนใครจักเคยมีของเก่าเป็นอย่างอื่นก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย การดูจิต ว่าง่าย ๆ ก็คือการรู้อารมณ์ตัวเองนั่นเอง

"ก็ฉันรู้ของฉันอยู่แล้ว" นี่เป็นประโยคสุดฮิตติดปากของนักไม่ปฏิบัติ และนักปฏิบัติมือใหม่ จากประสบการณ์การปฏิบัติที่ผ่านมา ขอยืนยันตามคำของครูบาอาจารย์ครับว่า คนเราเกือบร้อยละร้อยหลงโลกอยู่ตลอดเวลา อย่างตอนนี้ท่านก็กำลังส่งจิตเข้ามาอ่านข้อความบนจอคอมพิวเตอร์ ลืมไปแล้วว่า กำลังนั่งอยู่ (อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจึงระลึกได้ว่า กำลังนั่งอยู่) หรือกำลังหายใจอยู่ (นั่นเห็นไหม ไปเพ่งลมหายใจใหญ่เลย) หรือกำลังคิดตามข้อความที่กำลังอ่่าน (อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจึงระลึกได้ว่า ได้หลงคิดไปตามที่ข้าพเจ้าสาธยายแล้ว) จังหวะที่ท่านลืมกายลืมใจตนเองนี่แล ภาษาพระเขาเรียกว่า กำลัง "หลง" อยู่

คนเราหลงไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาหลับ ก็ยัง "หลง" ไปฝัน

การเจริญสติปัฏฐาน ก็คือการกำจัดอาการหลง ๆ ของเรานี่แล

ก็แล้วการเจริญสติปัฏฐาน จักช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างไร? สาว ๆ ทั้งหลายจักมาหลงใหลได้ปลื้มได้อย่างไร?

ท่านไม่ทราบกระไรเสียแล้ว เจริญสติปัฏฐานให้ดีแล้วไซร้ ขี้คร้านสาว ๆ จักกลายเป็นฝ่ายมาจีบเราเลยด้วยซ้ำ เพราะกระไร? ก็เพราะที่คนเราทำกิริยาวาจาไม่เข้าตากรรมการออกมา มันก็มาจากอาการ "หลง" ของเรานี่แหละ เจริญสติให้มากแล้วเราจักรู้จักตนเอง รู้จักตนเองให้มากแล้ว เราก็กลายเป็นคนมีเสน่ห์น่ารักน่าชื่นชมไปโดยปริยาย คือ เป็นผู้มีกิริยาวาจาเข้าท่าเข้าทาง ๑, เป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ๑, เป็นผู้มีเสถียรภาพทางจิตใจ ๑ แค่ ๓ ข้อนี่ ก็ทำให้ผู้หญิงหัวใจละลายได้แล้วครับ แต่ไม่ใช่ละลายแบบปัจจุบันทันด่วนนะ เป็นการละลายแบบซึมลึก แทรกเข้าไปในหัวใจทีละน้อย ๆ แต่หนักแน่น

T250811_01Pนอกจาก ๓ ข้อดังกล่าวแล้ว ผู้เจริญสติปัฏฐานจักมีใจที่เบิกบานเป็นของแถมด้วย คงเคยได้ยินใช่ไหมว่า ผู้หญิงชอบผู้ชายที่มีอารมณ์ขัน ถ้าเราหน้านิ่วคิ้วขมวด หลงคิด หลงเครียด หลงโลภ หลงโกรธ หลง ๆ ๆ ไปทั้งวัน จักไปหาอารมณ์ขันที่ไหนมาครับ แต่ถ้าเรามีสติระลึกได้อยู่เนือง ๆ ว่า ตอนนี้หน้าเรากลายเป็นตูดแล้ว รีบฉีกยิ้มด่วน สลัดอารมณ์ขุ่นมัวทิ้งไปอย่างรวดเร็ว แล้วมีอารมณ์เบิกบานทั้งวัน อย่างนี้ไม่ต้องมีอารมณ์ขัน หัวเราะเหมือนคนบ้าทั้งวัน แค่เห็นหน้ายิ้ม ๆ ใจดี ของท่าน สาวเจ้าก็อารมณ์ดีแล้ว

ฉะนั้นแล้ว คำแนะนำข้อที่ ๓ สำหรับการฝึกฝนเพื่อความเป็นบุรุษสุดสิเหน่หา คือ "มีสติอยู่กับกายกับใจตัวเองให้มาก" ครับ

เชื่อไหมว่า ปุถุชนคนเดินดินอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เกินร้อยละ ๙๐ กลัวการอยู่กับตัวเอง พยายามหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาทำให้เพลิดเพลิน ให้หลง ๆ ไปวัน ๆ พอว่างขึ้นมาปุ๊บ ต้องหากิจกรรมมาเติมเต็มชีวิต เช่น การดูหนัง การฟังเพลง การคุยกับเพื่อน แช็ท อ่านบล็อก เล่นFB กดทวีต หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ใจเราหลงเพลินออกไปนอกกายนอกใจตนเอง เพราะกลัวจักรู้จักตัวเองดีเกินไป น่าขันเหลือเกินครับ ทั้ง ๆ ที่คนเรามักรักตัวเองมากที่สุด แต่ตัวเองกลับถูกละเลยมากที่สุด

"ความเหงา" เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีใครอยากเผชิญ มักเกิดขึ้นเมื่อเราต้องอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้ง จู่ ๆ ก็เกิดเหงาขึ้นมาทั้ง ๆ ที่อยู่ท่่ามกลางผู้คนมากมาย คนเราเมื่อสัมผัสเข้ากับอารมณ์ชนิดนี้ แม้เพียงเล็กน้อย จักขวนขวายพยายามให้พ้นไปจากอารมณ์นี้ทันทีด้วยการส่งใจออกไปนอกกายนอกใจตนเอง เช่น ไปดูทีวี ให้เผลอเพลินไปกับเรื่องราวในทีวี คิดฟุ้งไปในเรื่องราวที่เจ้ากล่องสี่เหลี่ยม (หรือเดี๋ยวนี้เป็นแผ่น ๆ หมดแล้วก็ไม่ทราบ) พยายามจักบอกให้เราคิดตาม ก็ลืมความเหงาไปชั่วคราว ไปดูหนัง แล้วสมมุติตัวเองเป็นพระเอก หรือนางเอก บางคนก็เอ็นจอยกับการเป็นผู้กำกับ คนเดินกล้อง คนเขียนบท นักวิจารณ์ ฯลฯ แล้วแต่รสนิยม บ้างก็ไปฟังเพลง บ้างก็ไปเดินห้าง บ้างก็หลงไปกับโปรแกรมโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คทั้งหลายบนโทรศัพท์และหน้าคอมฯ เพลิน ๆ ไปสักพัก พอจบเรื่องเพลิดเพลินเรื่องหนึ่ง ความเหงาก็กลับเข้าครอบงำ เลยต้องวิ่งออกไปหาสิ่งเพลิน ๆ ใหม่ ๆ อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ทั้งหมดนี้คือการพยายามส่งใจออกไปนอกกายนอกใจตัวเอง เพื่อหนี "ความเหงา" ในใจตนเอง

บางท่านซึ่งเป็นส่วนใหญ่เลยของคนในโลก ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ตนเองกำลังหนี "ความเหงา" ของตัวเองอยู่ บางคนติดอยู่ในโลกไซเบอร์ เพราะเป็นโลกที่มีคนนับหน้าถือตา มีคนระลึกถึง แม้เพียงด้วยตัวอักษร ก็ยังน่ายินดี เพราะมันไปตอกย้ำว่า ยังมี "เรา" อยู่ ถ้าวันหนึ่งต้องยอมรับความจริงว่า เราเป็นเพียงเศษธุลีในจักรวาล ไม่มีค่าใดใดเลย มันจักเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส

"ความเหงา" เป็นแค่ความทุกข์ระดับจิ๊บ ๆ ของกายนี้ใจนี้ครับ แค่จิ๊บ ๆ นี่เราก็ทนกันแทบไม่ได้

ยิ่งถ้าต้องยอมรับว่า ตัวเรา "ไม่มี" ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ยิ่งกว่าความทรมานใดใด

T180511_02C_rเขียนมาถึงตอนนี้ เพิ่งระลึกขึ้นได้ครับว่า ทำไมพระบวชแล้วท่านให้เข้าป่า เพราะเป็นทางที่เราจักได้เรียนรู้ตัวเอง หรือเรียนรู้ "ความเหงา" ได้มากที่สุดนั่นเอง มันเป็นเพียงทุกข์เล็ก ๆ เท่านั้นครับ รู้ "ความเหงา" แล้ว ก็เลิกทุกข์ เลิกเหงา เคยได้ยินวลีไหมว่า "เธอจงทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์" ความเหงามันก็หนึ่งในทุกข์นั่นแล รู้เหงาก็รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ แล้วจักพ้นทุกข์ ฉะนั้นรู้ว่าจิตกำลังเหงา ก็พ้นเหงา

ความเหงานี่เอง เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารเสน่ห์ ทว่าเป็นดาบสองคม สามารถพาให้เรามีแฟนก็ได้ พาให้เราไม่มีแฟนก็ได้

ที่ว่าสามารถพาให้เรามีแฟนก็ได้ ก็เพราะทุกคนต่างมีความเหงาอยู่เหมือน ๆ กัน แตกต่างกันแค่ปริมาณมากน้อย ฉะนั้นถ้าปริมาณความเหงาของคนสองคนมาอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอสม ใกล้เคียงกัน พอดีกัน มันก็มักเกิดอาการสปาร์ค แล้วตามมาด้วย "เราคบกันนะ" หรือ "เราแต่งงานกันนะ" กระไรเทือกนั้น

แต่ถ้ามันไม่พอดีกัน ฝ่ายหนึ่งมาก ฝ่ายหนึ่งน้อย ก็อาจตามมาด้วยฝ่ายที่เหงามาก ๆ เฝ้าติดตามคอยเอาอกเอาใจ หรือตามจิก ฝ่ายที่มีความเหงาน้อย ๆ หรือถ้าฝ่ายเรามีความเหงามาก ๆ แล้วเก็บอาการไม่อยู่ ความเหงานี่เองกลับกลายเป็นแรงผลักไสเพื่อนร่วมโลกต่างเพศผู้นั้น พาให้เราเป็นเกษตรกรนักปลูกไร่แห้วไปอีกนาน

ความเหงาจึงเป็นทั้งเสน่ห์ และอุปสรรค ในเวลาเดียวกัน คือถ้ามันพอดี ๆ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป มันก็เป็นเสน่ห์ มากเกินไป ก็กลายเป็นสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่น่าไว้ใจให้แก่คนรอบข้าง หรือกลุ่มเป้าหมายได้

เหงามากหรือเหงาน้อยมีกระไรเป็นตัวบอก ไม่มีหรอกครับ แต่เราสามารถวัดอาการเหงาได้ง่าย ๆ เหงาน้อย ๆ นี่คือเราสามารถคุมมันได้ สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า เราห่วงหาอาธรณ์ หรือเอาใจใส่ระลึกถึง เป็นเสน่ห์ ตรงข้ามเหงามาก ๆ นี่มันคุมเรา ครอบงำจิตใจเรา บังคับให้เราทำกระไรไม่เข้าท่าอยู่บ่อย ๆ เช่น อาการตามจิก ขี้วีน ขี้โวยวายเมื่อเหงาแล้วไม่มีใคร เป็นอุปสรรคครับ

ได้เวลาแสดงแสนยานุภาพละครับ ที่ว่า ให้อยู่กับตัวเองให้มาก มีสติระลึกกายระลึกใจตนเองให้ได้มาก ก็เพราะเมื่อเรามีสติมาก เราจักสามารถเอาชนะความเหงาได้ เมื่อชนะแล้ว เราจักควบคุมความเหงาได้ สามารถนำความเหงามาใช้ประโยชน์ได้ มิใช่ให้มันครอบงำเป็นทาสความเหงาอยู่ทุกวี่วัน

อย่างที่กล่าวไปเมื่อเอ็นทรี่ก่อน คู่แท้ของเรานั้นเมื่อถึงเวลา แล้วมาเอง แล้วเมื่อไหร่เล่าจักถึงเวลา? ทำให้มันย่นสั้นลงได้หรือไม่?

ขอตอบว่า "ได้" ครับ เวลาที่ท่านจักได้เจอคู่แท้ของท่าน ขึ้นอยู่กับเวลา ที่ท่านใช้พัฒนาตนเองครับ พัฒนากระไร? ก็พัฒนาให้สามารถพึ่งตนเองได้ เต็มอิ่มในตัวเอง มีสติ มีสัมปชัญญะ มีเสถียรภาพทางจิตใจสูงสูดอย่างไรหล่ะครับ

อย่างที่พล่ามไปในตอนต้น คนเรามักกำหนดสเป็ค "คู่แท้" ไว้สูงเกินกว่าที่ "คู่แท้" ในความเป็นจริงเป็น ประมาณไม่ค่อยได้ชะโงกดูเงาของตัวเองเล้ยว่า อดีตชาติของตนสร้างบุญบารมีมาเท่าไหร่ (แต่บางทีพยายามชะโงกแล้วก็ยังไม่เห็นอยู่ดี)

25_20110804221959ดังที่ได้กล่าวไปเมื่อสามปีก่อน ในเอ็นทรี่ เนื้อคู่ คู่แท้ มีจริงไหม ทำไมหาไม่เจอว่า ความจริง เนื้อคู่ คู่แท้ soulmate ของเรามีเยอะแยะตาแป๊ะขวด เป็นแสนเป็นล้านคนจนแทบจักเดินชนกันตาย แต่ทำม๊ายทำไมเราถึงยังบินเดี่ยวเปลี่ยวอุรายิ่งนัก

ที่เป็นดังนั้นเพราะคนเราโดยปกติมักไม่มองคนที่บำเพ็ญบุญบารมีมาอ่อนกว่าเราครับ และมักไขว่คว้าหาคนที่บำเพ็ญบุญบารมีมาสูงกว่าเรา เรื่องใครบำเพ็ญบุญบารมีมาต่ำมาสูงนี่พอดูได้จากหน้าตา ผิวพรรณ การศึกษา ฐานะ ลักษณะภายนอกต่าง ๆ ร้อยแปดพันเก้า คุณโยมดังตฤณเคยเขียนไว้ที่ไหนสักแห่ง (จำไม่ได้) ว่า สภาพของคนเราตอนเกิดนั่นแล คือผลลัพธ์สมการเชิงซ้อนที่เรียกว่า "กฎแห่งกรรม" เป็นผลของกรรมดีหักลบออกจากกรรมเลวออกมาเป็น "วิบาก" หรือผลของกรรม ใครที่มีผลลัพธ์ติดลบ บางทีก็เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ บางทีก็เกิดมาพิการ ไม่สมประกอบ ส่วนคนที่เป็นบวก บ้างก็เกิดมาเริ่ดเชิดหยิ่งทิงนองนอยสอยดาวหิ้วมะพร้าวไปขายสวนมั่ก ๆ (แปลว่าไรฟระ?)

ข้าพเจ้าเห็นว่า มันค่อนข้างสมเหตุสมผลครับ ใครจักเชื่อไม่เชื่อก็สุดแท้แต่อัธยาศัย ทีนี้คนเราพอเกิดมาปุ๊บ สภาพที่เกิดมาก็เหมือนเป็นต้นทุนที่ได้มาจากชาติก่อน มีมากบ้าง น้อยบ้าง เป็นเรื่องปกติ ก็ต้องยอมรับสภาพครับ อย่างวลีว่า "แข่งเรือแข่งแพแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้" เราก็ไม่ต้องถึงขนาดแข่งบุญแข่งวาสนาครับ แค่เพิ่มโอกาสให้กับตัวเองก็พอ

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สำหรับคนที่ไม่คิดจักขวนขวายมาก "คู่แท้" ของเรา มักมาชอบเราก่อนครับ คนเหล่านี้มีเยอะครับ แต่มักตกสเป็คของเรา ส่วนเราก็ไปตกสเป็คคนที่เราหมายปองอีกที ทำอย่างไรถึงจักได้พบรักแท้แพ้ยาสีฟันใกล้ชิด เอ้ย... พบคู่แท้ที่เราตรงสเป็คเขา เขาตรงสเป็คเรา ก็ต้องอัพเกรดตัวเองขึ้นไปให้อยู่เหนือเขาครับ วิธีอัพเกรดที่แสนจักแนบเนียนก็คือการใช้ "ที่สุด" แห่งการบำเพ็ญบุญบารมี ซึ่งก็ได้แก่ การภาวนา

เคยได้ยินใช่ไหม? ทาน ศีล ภาวนา

ทานที่เราทำบุญกันแทบตายนี่ ทำให้มากเท่าไหร่ก็ไม่เท่าการรักษาศีล การรักษาศีลให้ได้บริสุทธิ์ ๑๐๐ ปีก็ไม่เท่าการภาวนาแค่ชั่วงูแลบลิ้น เบื้องต้นรักษาศีลไปแล้ว ก็มาลุยภาวนาต่อ

เรื่องภาวนาแหล่ม ๆ นี่ไม่มีใดเกิน การเจริญสติปัฏฐานครับ

การเจริญสตินี่ คนขี้เหงามาก ๆ ยิ่งได้เปรียบครับ คือพอเหงา ก็ให้รู้ว่า เหงา ที่แปลกไปจากปกติ คือ รู้เฉย ๆ อย่าพยายามไปทำให้มันหายไป อยู่กับกายกับใจตัวเองนี่แล อยู่กับความเหงา เพราะความเหงามันก็อยู่ในกายในใจของเรานี่เอง

เหนือระดับการเจริญสติขึ้นไป ก็ให้พิจารณาลงไตรลักษณ์ หรือสามัญญลักษณะไปเลย งงอะป่าว... ก็เจ้าทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นั่นแล พิจารณาแบบนี้พาสชั้นกันแบบเขย่งก้าวกระโดดทีเดียว ๑๐ ชั้นเลย

559210-topic-ix-0ทุกขัง แบบง่าย ๆ ก็เจ้าความเหงานี่มันเป็นทุกข์นะ เราไม่อยากเจอ แต่ทำไงได้ เกิดมาแล้วนี่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ใดใดในโลกล้วนเป็นทุกข์ จริงอะป่าวหว่า???? แบบโปรขึ้นไปหน่อย ก็เห็นว่า "ความเหงา" นั่นมันทนอยู่ได้ยาก เดี๋ยวมันก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์อื่น กุศลบ้าง อกุศลบ้าง ไม่เคยคงที่ เป็นอนิจจัง แล้วสุดท้าย เจ้าความเหงามันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บทมันจะเหงาขึ้นมา มันก็เหงา อยากให้หาย มันก็ไม่หาย ถ้ามันใช่เรา ใช่ของเรา เราต้องคุมมันได้ สั่งให้หยุดเหงาปุ๊บมันต้องเชื่อฟัง หายไปทันที แต่นี่ก็ไม่ใช่ มันเป็นอนัตตา ก็แล้วมันเป็นทุกข์เสียขนาดนี้ แปรเปลี่ยนขนาดนี้ คุมไม่ได้ขนาดนี้ ก็แล้วจักไปเอากระไรกับชีวิต มันก็มีเหงาบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง คละเคล้ากันไป หาสาระแก่นสารใดไม่ได้สักอย่าง ไม่มีกระไรน่ายึดน่าถือสักอย่าง ไปยึดว่า มันต้องสุขตลอด ไม่เหงาตลอด มันก็ทุกข์อะเด้...

คิดให้ได้ดังนี้ครับ ท่านกำลังก้าวสู่ความเป็นผู้มีเสถียรภาพทางจิตใจสูงสุด และเป็นการภาวนาที่ได้บุญบารมีสูงสุด สาวน้อยสาวใหญ่ไม่มีทางตามท่านทัน พอท่านอัพเกรดบุญบารมีขึ้นไปด้วยการเจริญสติปัฏฐาน และคิดแบบนี้แล้วไซร้ ทีนี้ละ อธิบายให้เห็นภาพ การจับคู่ของคนบนโลกนี้ก็คล้ายการยืนเรียงแถวหน้ากระดานตามลำดับบุญบารมี สุทธิในปัจจุบัน เราสามารถไปเลือกคบคนที่อยู่หลังเราได้สบาย ๆ แต่สำหรับการแซงคิวขึ้นไปจีบคนที่อยู่หน้าเรานั้นแสนยาก การอัพเกรดตนเองด้วยการเจริญภาวนา ก็เหมือนการกระโดดสูง กระโดดไกล ข้ามเหล่าคนทั้งหลายที่มัวต้วมเตี้ยมทำแต่ทาน หรือรักษาแต่ศีล ไม่ยอมภาวนา หรืออีกนัยหนึ่ง เรามักไปแอบชอบคนที่อยู่หน้าเรา ส่วนคนที่อยู่หลังเราก็มาแอบชอบเราอีกที พอเราอัพเกรดขึ้นไปอยู่หน้าเธอผู้นั้นแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกินที่เธอจักมาแอบชอบเรา เรื่องนี้โยมแป้นเคยบรรยายเป็นการ์ตูนด้วยตอน 141 # คนข้างหน้า

การที่เธอจักมาปิ๊งเรา บางทีก็มาเหนือความคาดหมาย ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ จนเขาบัญญัติศัพท์คำว่า "บุพเพอาละวาด" เอ้ย... บุพเพสันนิวาส ประมาณพระเอกเกาหลี มาเจอซินเดอริล่าได้ไงก็ไม่ทราบ นั่นเป็นเพราะไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งเผอิญไปทำบุญใหญ่แบบไม่ตั้งใจเข้า ถูกพาสชั้นไม่รู้ตัวว่างั้นเหอะ

หรือให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น สมมุตินำคนบนโลก ๖,๐๐๐ ล้านคนมาเข้าแถวเรียงกันตามลำดับบุญบารมีสุทธิในปัจจุบัน เราอยู่คนที่ ๕,๐๐๐ ล้าน นั่นหมายถึงเราสามารถจีบคนที่อยู่หน้าเราอีก ๕,๐๐๐ ล้านได้อย่างยากเย็น ส่วนอีก ๑,๐๐๐ ล้านคนที่อยู่หลังเราอาจมาแอบชอบเราอย่างง่ายดาย การอัพเกรดตนเอง ก็เหมือนขยับอันดับเราขึ้นไปอยู่หน้าคนอื่น สมมุติไปอยู่เป็นคนที่ ๔,๐๐๐ ล้าน นั่นก็หมายถึงจักมีคนมาแอบชอบเราเพิ่มขึ้นจาก ๑,๐๐๐ ล้าน เป็น ๒,๐๐๐ ล้าน ถ้าในทางสถิติแล้ว มีโอกาสเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าทีเดียว

563033-topic-ix-0อาจฟังดูเหลือเชื่อ จักบ้าเรอะ มีคนจักมาชอบเราง่าย ๆ ตั้งพันสองพันล้านคน ความจริงแล้ว คนที่เกิดมาบนโลกนี้ เคยเป็นญาติกันมาก่อนแทบทั้งสิ้นครับ เพราะเราเกิดกันมานับชาติไม่ได้ อย่างที่พระจอมไตรบรมศาสดาตรัสกับนางปฏาจาราว่า หากจักนับน้ำตาที่เธอร้องไห้ ก็มากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่รวมกัน แสดงว่า เราแต่ละคนเกิดกันมาไม่ต่ำกว่าแสนล้านชาตินับไม่ได้แน่นอนด้วยกันทุกคน จึงไม่แปลกที่คนทั้งโลกจักเคยเป็นญาติกันมาก่อน แต่ห่างเหินกันไปด้วยความทรงจำครับ

ความทรงจำในภาษาบาลี เรียกว่า "สัญญา" ไม่มีคุณากรต่อท้ายนะคร๊าบ ก็ความจำคนเรามันเที่ยงซะที่ไหนละครับ มีแต่เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก กันทั้งนั้น เช้าสัญญากันไว้ บ่าย ๆ ก็ลืมเสียแล้ว นี่แค่ชาติเดียวยังลืมกันได้ขนาดนี้ ถ้าข้ามชาติก็ยิ่งลืมไปกันใหญ่ ห่างเหินกันไปหลาย ๆ ชาติ ความจำก็ยิ่งไกล ยิ่งห่างเหิน และยากจักจำความกันได้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนชาติที่ไม่ได้เจอกัน

นี่ละครับ ไอ้ที่ว่า มีคู่แท้เป็นพันล้านสองพันล้าน มันถึงหดเหลือกระจึ๋งเดียว คนที่จักทำให้เรารู้สึกว่า เป็นคู่แท้ของเรา ต้องเคยเกิดร่วมกันมา ในชาติใกล้ ๆ เสีย ด้วย เลยเหลือไม่กี่คน แล้วต้องมามีบุญบารมีใกล้เคียงกับเรา หรือน้อยกว่าเราอีก คราวนี้นับหัวได้แล้วครับ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเราถึงหา "คู่แท้" ไม่เจอทั้งที่มี "คู่แท้" เป็นล้าน ๆ คน

ปัญหาดังกล่าวจักถูกขจัดไปทันที ถ้าเราเริ่มลงมือปฏิบัติเสียแต่วันนี้ครับ ปริมาณ "คู่แท้" ทีุ่บุญบารมีน้อยกว่าเราจักมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยลำดับ ทำให้โอกาสพบเนื้อคู่ของท่านที่มาปิ๊งท่านก่อน มากขึ้นตามไปด้วย

เรามาเพิ่มโอกาสการเจอเนื้อคู่ที่มีบุญบารมีใกล้เคียงกันด้วยการเจริญสติปัฏฐานกันเลย

วันนี้บรรยายมายาวยืดแล้วขอเอวังไปแต่เพียงเท่านี้ก่อน ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าครับ ฯ

คู่แท้นั้นหาไม่ยากซ์ ตอนที่ ๑by Dhammasarokikku

เห็นทุกข์แห่งการมีแฟนมากมายนักหนา แต่ทุกผู้ทุกนามก็ยังวิ่งไปหาความรัก ลองมาฟังคำแนะนำจากชายอายุจักครบ ๓ รอบอยู่ร่อมร่อดูบ้างไหมครับ? วันนี้ขอให้คำแนะนำสำหรับผู้ชายก่อน

แน่นอน! คำแนะนำจากคนที่อายุมากขนาดนี้ ย่อมมิได้เป็นไปเพื่อหาคู่นอน แต่เพื่อหาคู่ชีวิต และตำราหาคู่นอนเขาคงพิมพ์ขายกันกลาดเกลื่อนเต็มเช้วฟ์แล้ว

ย้อนคิดไปสมัยเยาว์วัย โอ้... ทำไมการจะมีแฟนกับเขาสักคน มันช่างยากเย็นลำเค็ญจิตได้ขนาดนั้น แถมเวลาหน้าเทศกาล เช่น วันวาเลนไทน์ วันคริสตมาส เห็นคนมีแฟนเดินจับมือ เกี่ยวก้อยกัน ไปดูหนังด้วยกัน มันจี๊ดเข้าไปในหัวใจ อยากมีอย่างเขาบ้าง แต่ทำไงดีวะครับ จีบหญิงไม่เป็น พยายามจีบเท่าไหร่ เขาก็ไม่เล่นด้วย

ประสบการณ์สามสิบห้าปีกว่าเป็นประกันครับว่า ถึงเวลาแล้ว เจอเอง ถ้ายังไม่ถึงเวลา หาไปเหอะ เหมือนงมอนุภาคนาโนซิลเวอร์ในมหาสมุทรทั้งสี่

แล้วคนที่เจอเองนี่ จักเป็นคนที่ยั่งยืนกว่า คนที่เราไปขวนขวายทุ่มเทชีวิตจิตใจเสียการงานเสียการเรียนจีบเสียอีก

นั่งดูชีวิตของหลาย ๆ คู่ พวกที่จีบยาก ๆ ผู้ชายแทบอุทิศชีวิตให้เป็นทาส ตอนจีบใหม่ ๆ เห็นเพลาผ่านไป พอผู้หญิงเริ่มมีใจให้ ก็กลายเป็นช่วงเอาคืน ผู้ชายตอนแรกโทรเช้าถึงเย็นถึง พอจีบติดแล้วก็หายหัวไปอยู่กับเพื่อน ฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายโทรตามจิก จิ๊ก ๆ ๆ เป็นวู๊ดดี้ การ์ตูนนกหัวขวาน (บิ๊ป ๆ)

ย้อนมองตัวเองในเพลานั้น แล้วก็คิดถึงแม่เหล็กแห่งสัตว์ ในทฤษฎีนั้น เขาว่า สัตว์ทั้งหลายจักมีแรงดึงดูดเข้าหากัน หากแต่ว่า ในเพลาที่เราพยายามจักหาแฟน มันกลับกลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกัน ยิ่งใกล้ยิ่งผลักกัน ยิ่งอยากมีแฟนมาก สาว ๆ ยิ่งเหวอมาก

ทฤษฎีแม่เหล็กแห่งสัตว์นี้ ไม่เกิดเฉพาะกันคนที่ยังไม่เคยมีแฟนนะครับ กระทั่งผู้ที่เก๋าในเกมรัก หากพลาดไปลดเสถียรภาพของตนเอง ก็มีสิทธิ์สลับขั้วจากแม่เหล็กดึงดูดระดับคาซาโนว่า กลายเป็นเด็กเนิร์ดผลักกระจายได้เช่นกัน

ฉะนั้นคำแนะนำข้อที่ ๑ สำหรับบุรุษผู้แสวงหาความรักที่ยั่งยืน คือ ต้องทำตนให้มีเสถียรภาพ ครับ

แล้วเสถียรภาพคืออะไร? มันคือความมั่นคงทางจิตใจครับ ในความเห็นของข้าพเจ้า บุรุษจักมีเสน่ห์มาก ก็ตอนที่เขา "อิ่ม" ไม่ใช่อิ่มทางกายนะครับ แต่เป็นความอิ่มทางใจ อิ่มในความรัก ความอบอุ่น ความอิ่มในที่นี้ อาจมาจากความอิ่มทางอารมณ์ ที่เกิดจากครอบครัวที่อบอุ่นก็เป็นได้ ชายที่มีความอิ่มอย่างเพียงพอ จักมีออร่าพร้อมจักแผ่ความอิ่มอารมณ์นี้ไปสู่ผู้อื่น ตรงข้ามกับชายผู้มีแต่ความขาด เขาก็แผ่ออร่าวิ่งสู้ฟัด หิวกระหายจักกัดกินเหยื่อทุกเวลาออกไปเช่นกัน

สังเกตได้ครับ ผู้หญิงมักต้องตาต้องใจเป็นพิเศษกับผู้ชายที่มีแฟนแล้ว แหม... ไม่น่ามีแฟนแล้วเรย เราพบกันช้าไป ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง กระไรเทือกนั้น หรือสมัยนี้ ไม่ใคร่ให้ความสำคัญเรื่องศีล ก็อาจหาวิธีแย่งผัวชาวบ้าน แอบสวมเขาให้เพื่อนตัวเองไรงี้ ซึ่งสิ่งที่ได้มา มีแต่ความร้อนอกร้อนใจ หาความสุข แลความยั่งยืนมิได้เลย

ย้อนกลับมาวิเคราะห์ครับ ทำไมผู้ชายที่มีแฟนแล้ว ถึีงดูมีเสน่ห์ ก็เพราะ "ความอิ่ม" นี่เอง ก่อนเขามีแฟน เขาอาจจักเป็นคนที่ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัวมาก่อน ชีวิตไม่สมประกอบมาก่อน แต่พอมีแฟนที่เข้าใจกันแล้ว บางทีแฟนเขาก็สามารถเติมเต็มส่วนที่เขาขาดไปในตอนเด็ก ๆ ได้ เขาจึงดูเป็นคนที่ "อิ่ม" ขึ้นมา หรือบางคนอิ่มมาแต่อ้อนแต่ออก ก็จักดูมีเสน่ห์ในตัวเองแม้ไม่ต้องมีแฟน ยกตัวอย่างเช่น คุณโยมดู๋ สัญญา คุณากร เวลาเห็นชายคนนี้ยิ้มพร้อมเขี้ยวเสน่ห์แล้ว โลกดูอบอุ่นขึ้นทันตา

แต่ความเป็นจริง ใน ๑๐๐ คน จักหาคนที่อิ่มมาแต่อ้อนแต่ออกสัก ๑ คนก็ยังยาก ส่วนใหญ่ก็ขาด ๆ เกิน ๆ กันทั้งนั้น

ส่วนความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนอย่างที่สมัยนี้เห็นกันดาษดื่น ส่วนใหญ่มาจากคนที่ขาดทั้งคู่ หิวทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างควานหาความรัก ความอบอุ่น ความอิ่มในอารมณ์ จากซึ่งกันและกัน ซึ่งมันไม่มีหรอก ต่างฝ่ายต่างหิว ต่างคิดจักตักตวงเอาจากอีกฝ่าย จักไปหาความอิ่มจากที่ไหนได้ สุดท้ายก็ลงเอยที่แค่วัตถุบำบัดความต้องการทางเพศให้แก่กันและกัน แล้วก็จากกันไปในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ

จักอยู่กันได้ยืดยาวหน่อย ต้องมีฝ่ายหนึ่งขาด ฝ่ายหนึ่งเต็ม ฝ่ายหนึ่งหิว อีกฝ่ายอิ่ม และพร้อมจักแบ่งปันความอิ่ม หรือต่างฝ่ายต่างอิ่มทั้งคู่ เช่นนี้ถึงจักอยู่กันได้ยาว

ฉะนั้นหนุ่ม ๆ อย่างเรา ถ้าอยากเป็นคนมีเสน่ห์ ไม่ต้องรอให้ใครมาเติมเต็มให้ครับ เติมตัวเองให้เต็มเสียก่อนเลย ทีนี้อีตอนเติมให้เต็มนี่ละยากซซซซซ์ คนที่ขาด ก็ไม่รู้หรอกว่า ตัวเองขาด ซ้ำไม่รู้อีกว่า เจ้าคนที่เต็ม หน้าตามันเป็นเยี่ยงไร นี่เป็นการบ้านที่ต้องไปทำ ไปค้นหาเอาเองครับ โถ... เล่นเฉลยกันหมด ก็ไม่หนุกดิ

วิธีง่าย ๆ อาจไปลองสังเกตบุคลิกของคนที่มีเสน่ห์ (จากความอิ่มอารมณ์) แล้วนำมาเลียนแบบ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจมากมาย เพราะผู้หญิงฉลาด ย่อมดูออกว่า อันไหนจริง อันไหนเฟค และถ้าเลียนแบบได้แค่ท่าที พระเจ้าจอร์จ มันขัดกับเสน่ห์ข้อต่อไปหยั่งเรงนิ

เสน่ห์ที่รัดรึงใจสาว ๆ ให้ นะจังงัง งงงวย ไปกับกลิ่นเต่า เอ้ย... หัวปักหัวปำหลงใหลได้ปลื้มไปกับเราได้ยาวนาน มิใช่ first impression หรือความประทับใจแรกเห็นครับ หากแต่เป็นความเป็นตัวของตัวเอง คนเราจักเฟค ปลอมแปลงตัวเองไปได้สักกี่นานครับ ช่วงแรกของการจีบ อาจมีความอดทนสูง ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกประการเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ แต่จีบไปนาน ๆ พลังความอึดก็หมดครับ หรือไปน้ำมันหมดตอนเป็นแฟนกันแล้ว ยิ่งโซแซดเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นหมายถึงการทะเลาะเบาะแว้ง การไม่เข้าใจกัน รับกันไม่ได้ ที่ตามมา แล้วลงเอยที่การเลิกร้างจากกันไป บางคู่กลายมาเป็นเพื่อน บางคู่ (ส่วนใหญ่) มองหน้ากันไม่ติดอีกเลย

คำแนะนำข้อที่ ๒ จึงมีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นพระเอกครับ

ไม่มีแมวที่ไหนชอบผู้ชายเลว ๆ ครับ ส่วนใหญ่ที่ชอบผู้ชายเลว ก็เนื่องด้วยอกุศลวิบากแต่กาลก่อนของหญิงผู้นั้นเอง โดยปกติแล้ว ใครแม่มจักอยากได้สามีที่ลับหลังแค่นาทีเดียว ก็กลายเป็นผัวคนอื่นครับ หรือไม่ก็หลงใหลชายขี้ยา วัน ๆ ไม่ทำมาหากิน เสพยา กระดกเหล้าเมาแอ๋ได้ทั้งวันทั้งคืน หรือชอบใจที่จักขลุกอยู่แต่กับชายผีพนัน แทงบอล แทงหวย แทงไฮโล ปู ปลา บ้า ใบ้ แทงกระทั่งปลาไหล (อ้าวเฮ้ย... เกี่ยวไหมเนี่ยะ)

ร้อยทั้งร้อยสาว ๆ เธอก็ชอบผู้ชายดี ๆ ยกเว้นเธอจักมีความผิดปกติกระไรบางอย่าง ฉะนั้นในคำแนะนำข้อนี้ ท่านไม่อาจเป็นคนดีแค่เปลือกครับ ท่านต้องเป็นคนดีแต่ภายใน จึงมาประกอบเข้ากับความเป็นตัวของตัวเองแล้ว กลิ่นเสน่ห์ของท่านจึงจักหอมสพรั่ง

คำแนะนำทั้งสองนี้ อ่านดูแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก การที่เราจักแปลงกายเป็นคนอิ่มอารมณ์ หรือเป็นคนดีจากข้างใน เหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในวันสองวัน แต่เธอผู้นั้น อีกสองวันอาจเปลี่ยนไปเป็นแฟนคนอื่น

ก็ปล่อยเธอไปครับ บอกแล้วว่า นี่ไม่ใช่บทความแนะนำวิธีการหาคู่นอน การหาคู่แท้ที่ยั่งยืน คงต้องอาศัยเวลา และทำการบ้านกันเยอะหน่อย

ความเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยากจากคำแนะนำทั้งสองนี้ เป็นไปได้ด้วยการปฏิบัติธรรมครับ

เชื่อมะ? คงเชื่อได้ยากละซี มาลองดูกันครับว่า ความมหัศจรรย์ของการปฏิบัติธรรมนั้น ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร

ข้อแรกคือ เสถียรภาพของจิตใจ เติมเต็มจิตใจตนเอง เชื่อไหมครับว่า ที่คนเราทำนั่นทำนี่ แก้โน่นแก้นี่เกี่ยวกับตัวเองไม่ค่อยได้ แล้วมักอ้างว่า "ก็ฉันเป็นของฉันอย่างนี้" ความจริงแล้วมีสาเหตุใหญ่ที่ซู๊ดเลย คือ "ไม่รู้จักตนเอง"

บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมถึงมีจริยาเช่นนั้นเช่นนี้

การปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติ จักทำให้เรารู้ตัวบ่อยขึ้น ไม่เผลอไผลทำกิริยาไม่น่ารักไม่น่าดู หรือแม้จักรู้ตัวหลังจากพลาดทำตัวไม่ดีเช่นนั้นแล้ว ก็กลับมาศึกษาพฤติกรรมตนเองได้มากขึ้น บางคนเผลอ ๆ ไผล ๆ ไปทั้งวัน ก็เลยไม่มีกระไรจักพิจารณา ไม่มีกระไรจักศึกษา ก็ฉันดีเยี่ยมยุทธอยู่แล้ว จักให้ไปพัฒนากระไรอีก คิดเช่นนี้ หาคู่แท้ไปทั้งชาติก็อาจไม่เจอครับ เพราะแค่ตัวเองยังไม่รู้จักเลย

จักเติมเต็มตนเองได้ ต้องเริ่มรู้จักตนเองก่อนครับ เราเป็นคนขี้เหงา เราเป็นคนขี้ใจน้อย เราเป็นคนโรแมนติก เราชอบให้ผู้อื่นเทคแคร์ เราเป็นคนขี้โมโห ถ้าใครมาทำอย่างนั้นอย่างนี้กับเรา เราจักโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เราเป็นคน... บลา ๆ ๆ ต้องรู้ให้ชัด รู้ให้แน่ รู้ให้ลึก

จักพัฒนาตนเองได้ ต้องรู้ให้ซึ้งถึงสาเหตุที่ทำให้เรามีพฤติกรรมแบบนี้ แล้วเป็นไปได้ ก็ทำลายมันซะ พวกนิสัยห่วย ๆ ที่ไม่มีใครเอาหน่ะ

จักรู้ว่า เรามีนิสัยห่วย ๆ ขึ้นมาตอนไหน ถ้าไม่มีกระจกเงาให้ส่อง ประเภทเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ ก็ต้องพึ่งตนเอง การเจริญสติของเรานี่เอง จักทำให้เราทราบว่า ความชั่วร้ายของเราจักแพลมออกมาตอนไหนบ้าง

"สติ" สำคัญในทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อครับ ครูบาอาจารย์กล่าวไว้

เจริญสติไปเรื่อย ๆ ก็คือการเติมเต็มชีวิตไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็เต็ม

จุดสังเกตหนึ่งของคนที่เต็มแล้ว จักสะกดคำว่า "เหงา" ไม่เป็นครับ และคนที่เหงาไม่เป็น ก็คือผู้ที่มีเสถียรภาพ มีความมั่นคงทางจิตใจสูงแม้ไม่ที่สุด แต่อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า "อิ่ม"

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพผลของการเจริญสติ สมมุติว่า เราเจริญสติจนรู้แล้วว่า เราเป็นคนขี้เหงา ค้นเข้าไปในใจเราครับว่า กระไรทำให้เราเป็นคนขี้เหงา ความขี้เหงามักมาจากความต้องการให้ผู้อื่นระลึกถึง ต้องการเป็นคนสำคัญ คนขี้เหงาส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการถูกทิ้งไว้ลำพังเมื่อตอนเด็ก ตอนแบเบาะอยากให้มีคนอุ้มแล้วไม่มีคนอุ้ม ความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งนี้จักฝังลึกเป็นปมอิดิปุสอิเล็คตร้ามาม่าไวไว สำหรับคนขี้เหงามาแต่นั้น

แม้รู้แล้ว จักทำกระไรได้...

ก็การเจริญสตินี่แล สามารถทำลายความขี้เหงาได้ พอความเหงาโผล่ขึ้นมา ก็ให้รู้ว่า เหงา อย่าไปเกลียดมัน อย่าไปอยากให้มันหายไป อย่าไปหนีมัน ชนกับความเหงาเข้าไปตรง ๆ เลย เห็นให้ได้ว่า ความเหงามันไม่เที่ยง มันมาแล้วมันก็ไป ไม่มีใครบ้าเหงาตลอด ๒๔ ชั่วโมงครับ ความเหงาก็เหมือนอารมณ์อื่น ๆ มาแล้วก็ไป ๆ ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ที่สุดจักทำความเหงาตกหายไปตอนไหนก็ไม่ทราบ

ถ้ามีสติดีแล้ว ท่านก็ย่อมเป็นคนดีแน่นอน เพราะสติจักไม่เกิดกับผู้ที่ไม่รักษาศีล ผู้ไม่รักษาศีล ชีวิตจักมีแต่ความฟุ้งซ่าน วุ่นวาย เมื่อท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ เป็นอย่างดีแล้วไซร้ การเป็นตัวของตัวเองของท่านก็ย่อมทำให้เสน่ห์ของท่านฟุ้งขจรไกล เพราะแม้พระพุทธองค์ก็ยังทรงตรัสยืนยันว่า กลิ่นของศีลนี้ หอมทวนลม

วันนี้ขออารัมภบทกันแค่นี้ก่อน ยังมีกลเม็ดเด็ดพรายในการบริหารเสน่ห์อีกมากครับ ทุกอย่างล้วนใช้สติปัฏฐาน เป็นตัวกำกับ อยากรู้เคล็ดไม่ลับทั้งหลายติดตามต่อไปตอนหน้าครับ

จบตอน ๑

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๖ - ที่สุดแห่งความเฮงby Dhammasarokikku

img07ตอนที่แล้วว่าไว้ถึงวรยุทธ์ที่สาม บ่อเกิดความเฮงในการทำธุรกิจ ถ้าใครได้เรียนบริหารธุรกิจมา จักพอทราบ ครับว่า ธุรกิจนั้นมี ๔ ประเภท ได้แก่

๑. ธุรกิจ ประเภท High risk, high return เสี่ยงสูง, ผลตอบแทนสูง ได้แก่ ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงมาก มีความเสียงสูงมาก แล้วก็ได้ผลตอบแทนสูงมากเช่นกัน เช่น ธุรกิจการปล่อยสินเชื่อนอกระบบ (ได้ข่าวว่า ขนาดเอาโฉนดไปค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ย ยังร้อยละสองต่อเดือนทีเดียว) ธุรกิจขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจอุปกรณ์ไฮเทค ดาวเทียมสื่อสาร เป็นต้น

๒. ธุรกิจ ประเภท High risk, low return เสี่ยงสูง, ผลตอบแทนต่ำ (มีด้วยเหรอฟระ) ได้แก่ ธุรกิจขายเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ธุรกิจสัมปทานระยะยาว เป็นต้น

๓. ธุรกิจ ประเภท Low risk, high return เสี่ยงต่ำ, ผลตอบแทนสูง เป็นธุรกิจสุดปรารถนาของนักลงทุนเลยเชียวหล่ะ ได้แก่ ธุรกิจประกันภัย สินค้า MLM ขายตรง นายหน้า เป็นต้น

๔. ธุรกิจ ประเภท Low risk, low return เสี่ยงต่ำ, ผลตอบแทนต่ำ แม้ไม่ค่อยน่าสนใจนัก แต่มีไว้ไม่เสียหลาย ครับ เช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ยธนาคาร, ซื้อพันธบัตรรัฐบาล, ขายแรงงาน เป็นต้น

ซึ่งเวลาเรียนหน่ะ มันง่าย ครับ เป็นเรื่องคอมม่อนเซ้นส์ แต่พอจักลงมือทำจริง บางทีก็เสล่อไปเลือกธุรกิจประเภท เสี่ยงสูง ผลตอบแทนต่ำ มาทำ ด้วยความชอบส่วนบุคคล หรือเห็นเขาแห่แหนไปทำตาม ๆ กัน

ยังมีเหลือวิทยายุทธ์สุดเฮงส่งท้าย อีก ๑ กระบวนท่า ครับ ได้แก่

"ผู้มีปัญญา พึงทำเกาะ (ที่พึ่ง) ที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้

ด้วยความหมั่น ด้วยความไม่ประมาท

ด้วยความระวัง และด้วยความฝึก"

ความเฮงกระบวนท่านี้ นักธุรกิจที่ล้มเหลวหลายท่าน มักลืมไป ครับ อะไรคือเกาะ ที่น้ำท่วมไม่ถึง ครับ? ในทางธุรกิจ ก็คือ ทางหนีทีไล่ แผนสำรอง หรือ แผน B ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็กล่าวไว้ ครับ มันคือภูมิคุ้มกัน หรือ กันชน ครับ

กันชนทางเศรษฐกิจ คือ อะไร ครับ ง่าย ๆ เลย ก็คือ เงินเก็บนั่นแล มีเงินแสน มิใช่เอาไปลงทุนทั้งแสน หรือไปกู้เพิ่มมาอีก นั่นเป็นความเสี่ยงสุดเหวี่ยง ยกเว้นว่า เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ท่านมั่นใจสุดลิ่ม ทิ่มประตู

แต่ระวังนะ ครับ พวกมั่นใจสุดลิ่ม บางทีลิ่มก็กลับมาทิ่มประตูหลังตัวเองตายเสียก็เยอะ ทางที่ดี เพลย์เซฟดีกว่า ครับ มีแสนก็ลงสักห้าหมื่น อีกห้าหมื่นเป็นกันชน เป็นเกาะที่น้ำท่วมไม่ถึง เผื่ออะไร ๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาด

ความหมายแท้จริง ของเกาะที่น้ำท่วมไม่ถึง มิได้หมายเพียงแค่กันชนเท่านั้น มันหมายถึงอิสระทางการเงิน หรือ การเกษียณตัวเอง พร้อมกับแผนการเงินที่ท่านจักไม่ต้องกังวลอีกเลยชั่วชีวิต

มีด้วยเรอะ? ไอ้อิสระทางการเงิน หรือการเกษียณตัวเองก่อนกำหนดอย่างว่า ฟังดูเหมือนมีแต่ในทฤษฎี ตำราเรียน หรือในห้องดับจิตของสินค้าเอ็มแอลเอ็ม แทบทุกประเภท

มันเป็นสิ่งที่หาไม่ได้โดยง่ายหน่ะซี ท่านถึงให้ข้อปฏิบัติมาถึง ๔ ข้อ จำไว้เลย อิสระทางการเงิน มิได้มาจากการหาขาเพิ่มเพียง ๒ ขา ให้มาสมัครสมาชิก ไม่ต้องขายสินค้าใด ๆ แบบระบบไบนารี่ หรือการลงทุนซื้อเครื่องสำอางราคาเป็นหมื่น ทั้งที่ชีวิตนี้ ไม่เคยคิดจักซื้อมาใช้ แต่ควักกระเป๋าจ่าย เพียงเพราะคำลวงโลกว่า "นี่คือการลงทุน ที่คุ้มที่สุดในโลก" หรือ "นี่คือการลงทุน เพื่ออิสระทางการเงินอย่างแท้จริง" หรือ "... ดูคนนั้น คนนี้ สิ เขาคือผู้ที่ทำสำเร็จแล้ว ในองค์กรขายสินค้าเอ็มแอลเอ็มของเรา" นั่นมันคำไว้อาลัยให้เหยื่ออันโอชะ ที่กำลังวิ่งเข้ามาชนปังตอต่างหาก

อิสระทางการเงิน มาจาก

JcL3N0b3JhZ2VcLzFcLzM2NDZcL2ltYWdlc1wvZ2FsbGVyeVwvY29udGVudFwvY29udGVudF81MTM2XzEzMjIxNzYyMDcuanBnIiwidyI6IjMwMCIsImgiOiIzMDAiLCJjIjoibm8iLCJzIjoibm8ifQ==๑. ความหมั่น การทำงานอย่างหนัก หรือ ความขยัน

๒. ความไม่ประมาท

๓. ความระแวดระวัง คิดทบทวนอย่างถ้วนถี่ และ

๔. ด้วยการฝึกฝนในการงานนั้น จนชำนิชำนาญ

ท่านไม่เคยบอกสักนิดว่า อิสระทางการเงิน มาจากการทำงานเล็กน้อย ลงทุนนิดหน่อย แล้วก็นอนตีพุง ขึ้นอืดอยู่บ้าน รอให้เงินทำงาน อันนั้นมันปลายทางแล้ว ครับ

ท่านใช้คำว่า "ผู้มีปัญญา" นะ ครับ จึงจักมองเห็นว่า ๔ สิ่งข้างต้น เป็นที่มาของอิสระทางการเงิน หรือเกาะอันน้ำท่วมทับไม่ได้ มหัศจรรย์ไหม ครับ ลายแทงขุมทรัพย์ "ลอร์ดบุดด้า โค้ด" นั้นมีอายุกว่าสองพันห้าร้อยปี แต่ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบัน

ความหมายอีกอย่างของ "เกาะมหาสมบัติ" อันน้ำท่วมไม่ถึง ก็คือ สถานที่อันพ้นโลก พ้นจากทุกข์ของโลก จักเข้าถึงได้ด้วย ๔ สิ่งนี้เหมือนกัน ได้แก่

๑. ความหมั่น ก็คือ ความเพียร ดังบาลีว่า วิริเยนะ ทุกขะวิมัจเจติ คนเราจักล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร

๒. ความไม่ประมาท ก็คือ การมีสติสัมปชัญญะ

๓. ความระวัง ก็คือ อินทรียสังวรศีล หรือ การสำรวมกายวาจาใจ และ

๔. ความฝึก ก็คือ ฝึกฝนอินทรีย์ให้แก่กล้า ฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็ง สามารถเอาชนะกิเลสได้

ถ้าท่านมีหลักปฏิบัติในชีวิต ครบทั้ง ๔ ประการ ปัจจัยทุกอย่างบริบูรณ์ ไม่ว่า ความเฮงทางโลก คือ เป็นอิสระพ้นจากความกังวลเรื่องการเงิน หรือความเฮงทางธรรม พ้นจากโอฆะ ถึงเกาะพระนิพพาน อันน้ำกิเลสท่วมไม่ถึง ก็อยู่แค่เอื้อม ครับ

และการถอดรหัสความเฮงทั้งหมดนี้ คงเป็นไปไม่ได้เลย หากข้าพเจ้า มิได้พบความยุ่งยากในชีวิต อันพาให้ข้าพเจ้า มาพบคัมภีร์ลึกลับเล่มนี้ ถ้าท่านเป็นคนหนึ่ง ที่ชีวิตกำลังยุ่งยากสับสน บางทีท่านอาจจะกำลังก้าวมาพบคัมภีร์ลึกลับที่ซ่อนลายแทงอริยทรัพย์เล่มนี้ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าในอดีต ก็เป็นได้ อย่าเพิ่งท้อถอยกับชีวิต ครับ

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยากเหลือเกิน ครับ

จบการถอดรหัส ลอร์ดบุดด้า โค้ด ความเฮงศาสตร์ อย่างสมบูรณ์ ฯ


ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๕ - ความเฮงในปัจจุบันby Dhammasarokikku

img21มีน้องคนหนึ่งชื่อน้อง ลูกเป็ด มาเม้นท์ให้กำลังใจไว้เสียลอยเหนือพื้นไปฟุตหนึ่ง ขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ครับ สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนมิได้ดีเด่กระไรปานนั้น ครับ เพียงแต่มันเขียนด้วยเลือดเนื้อ และชีวิตของข้าพเจ้าเอง ทุกสิ่งที่เขียนไป มิใช่ว่า สักแต่ว่าเรียน สักแต่ว่าจำเขาเอามาเขียน ตัวหนังสือแต่ละตัว เป็นตัวแทนประสบการณ์ชีวิตที่ได้มาจากการทดลองด้วยตนเอง สมัยก่อนไม่เคยเชื่อ ครับว่า ศีลเป็นปัจจัยของความสุข มีทฤษฎีเป็นของตนเอง ท่านกิเลสเป็นผู้ตั้งทฤษฎีให้ แอบนอกใจแฟนไม่ผิดหรอก ก็ไม่ได้ปิดบัง และก็พอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย กินเหล้า ไม่ผิดหรอก ไม่ได้ไปต่อยกับใคร ไม่ได้ไปขอเงินใครมาซื้อ แต่ทฤษฎีกิเลสนี้ มันไปไม่รอด ครับ ชีวิตรุ่มร้อนขึ้นทุกวันโดยไม่รู้ตัว จนดูเหมือนไม่มีทางออก ที่สุดได้มาพบคัมภีร์ลึกลับเล่มนี้ ชีวิตข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไปอย่างมากมาย สงบเย็น สุขอย่างเหลือเชื่อ จึงขออุทิศชีวิต เลือดเนื้อ และประสบการณ์ ไว้เป็นธรรมทาน บูชาเจ้าของคัมภีร์เล่มนี้ ผ่านตัวหนังสือทั้งหลาย ที่พิสูจน์แล้วจากชีวิตจริง เพื่อให้ท่านทั้งหลายที่ได้อ่าน จักได้ไม่ต้องมาประสบวิบากกรรม ทนทรมานเช่นข้าพเจ้า

ตอนที่แล้วแค่ข้ามขั้นไปนิดส์นึง โผล่ไปพบอภิมหามหึมาอริยทรัพย์เลย บางคนรับไม่ได้ค่ะ มีทัศนคติว่า อริยทรัพย์มันรวยเกินไป โธ่หลวงพี่ ข้าวจะกรอกหม้อ ยังจะไม่มีเลย ให้ไปปฏิบัติธรรม ใครจักมีกระใจไปปฏิบัติเล่า อริยทรัพย์มันกินบ่ได้

ความจริง จนรวย ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ ครับ คนจนก็ปฏิบัติได้ คนรวยก็ปฏิบัติได้ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น ที่ใช้งานได้จริง ต้องหลอมรวมเข้ากับชีวิตประจำวัน ฉะนั้นความจนความรวย จึงไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ในเมื่อเขาอ้างเช่นนั้น เอ้า... เรามาพิจารณาลายแทงขุมทรัพย์หาโลกียทรัพย์กันต่อไป

ขุมทรัพย์ขุมถัดไป อยู่ในพระพุทธพจน์ตอนท้ายเรื่องว่า

"ผู้มีปรีชาเห็นประจักษ์ ย่อมตั้งตนด้วยทุนทรัพย์แม้น้อย

เหมือนคนก่อไฟกองน้อยให้ลุกเป็นกองใหญ่ได้ฉะนั้น"

เป็นไงเล่า... ใครว่าพระพุทธเจ้าสอนแต่ธรรมะเพื่อการหลุดพ้น ธรรมะเพื่อการเป็นเจ้าของกิจการก็มีอยู่ ครับ ความข้างต้นถอดรหัสแล้ว ได้ความว่า ผู้มีปัญญา ย่อมมองธุรกิจออก แม้ลงทุนด้วยทรัพย์อันน้อยนิด ความเฮงในปัจจุบัน ก็คือ ความเป็นผู้มีปัญญานั่นเอง ดังนั้นผู้ที่มองธุรกิจออก โอ้เขาสำเร็จอย่างนี้อย่างนั้น เพราะเขามีทุนทรัพย์มาก เขาจึงทำได้ ก็เป็นคนมีปัญญาเหมือนกัน ครับ แต่มีน้อยไปนิดส์นึง

ผู้มีปัญญา จักแอบซุ่มตัวอยู่เงียบ ๆ ครับ คอยสังเกตการณ์ หาจังหวะที่เหมาะสม ในการเริ่มทำธุรกิจ บางคนเห็นช้างขี้จะขี้ตามช้าง ครับ เห็นเจ้านายทำกิจการใหญ่โต ไม่เห็นใช้ความสามารถกระไร วัน ๆ นั่งกระดิกนิ้วเท้าอยู่ในห้องหรู ใช้ลูกน้องทำงาน แล้วก็ประชุมทั้งวัน เราก็คงทำได้กระมัง ว่าแล้วเก็บตังค์ได้ก้อนหนึ่ง เก็บข้อมูลลูกค้าได้จำนวนหนึ่ง ก็ลาออก ไปตั้งบริษัทของตัวเอง แล้วบอกว่า นี่ละ การเป็นเจ้าของกิจการ นี่ละ เจ้าของ SMEs พุทโธ๋ว์.... เห็นเจ๊งมานักต่อนักแล้ว

โอกาสแบบทั่ว ๆ ไปหน่ะ มีอยู่ดาษดื่น ครับ แต่โอกาสประเภท "ตั้งตัวได้แม้ทุนทรัพย์เพียงน้อยนิด" นั่นมิได้หาได้ง่าย ๆ เลย ผู้มีปัญญาเท่านั้น ถึงจะพบ ท่านต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้านทีเดียว มิใช่ว่า เห็นเขาทำกันได้ สำเร็จด้วย แต่ใช้ทรัพย์มหาศาล แล้วก็ไปทำตามเขา

JcL3N0b3JhZ2VcLzFcLzM2NDZcL2ltYWdlc1wvZ2FsbGVyeVwvY29udGVudFwvY29udGVudF81MTMwXzE4MTYyNTIyNTAuanBnIiwidyI6IjMwMCIsImgiOiIzMDAiLCJjIjoibm8iLCJzIjoibm8ifQ==ท่านเปรียบไว้เหมือนก่อกองไฟกองน้อย ให้ลุกเป็นกองใหญ่ได้ ก็หมายถึงธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง หรือเรียกว่า เงินต่อเงิน ทางบริหารธุรกิจนี่เขาเรียกว่า low risk, high return หรือธุรกิจประเภทเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง

พาให้ข้าพเจ้าคิดไปถึงธุรกิจแบบ MLM แม้ว่า ธุรกิจประเภทนี้จักเอาเปรียบลูกข่ายไปนิดก็เถอะ อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับในความเซียน ก็คือ "ต้นสาย" และคนที่ริเริ่มระบบนี้ ครับ เขาเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย แต่ขยายตัวได้ไม่สิ้นสุด ช่วงหลัง ๆ มาก็ขยายตัวได้อย่างรวดเร็วเสียด้วย สำหรับ "ต้นสาย" หรือ คนริเริ่ม นั้น ตรงกับคำจำกัดความของผู้มีปัญญา ที่ท่านว่าไว้ทีเดียว เราก็สามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับเหล่าต้นสาย เหล่าผู้ริเริ่มเหล่านั้นได้ ครับ มีตัวอย่างแล้วนี่ ก็แค่ทำตัวเป็นคนช่างสังเกต และนิ่ง รอจังหวะที่เหมาะสม

โดยสรุปจากการไขลายแทงขุมทรัพย์ วิทยายุทธ์ที่สาม คือ ผู้มีปัญญาต้องสามารถเห็นโอกาสทางธุรกิจ ที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินมาก และธุรกิจนั้นสามารถขยายตัวได้มาก ในนิทานตัวอย่างที่ยกขึ้นมา อาจารย์ทิศาปาโมกข์เป็นคนมองธุรกิจขาด ครับ แล้วจึงผูกมนต์หัวใจของการทำธุรกิจ ให้มาณพน้อยไปทำ หากเราไม่สามารถหาครูบาอาจารย์ที่เก่งกาจขนาดนั้นได้ ก็ต้องค้นหาโอกาสนั้น ด้วยตนเอง ครับ

ประโยชน์จากวิทยายุทธ์กระบวนท่าที่สาม คือ ช่วยให้ท่านสกรีน หรือคัดกรอง พวกธุรกิจทำเงิน ความเสี่ยงต่ำ ออกจากธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ใช้เงินลงทุนมาก เช่นสมมุติว่า มีคนมาชวนท่านไปขายสินค้า MLM ให้ไปฟังสัมมนาสวยหรู แต่พอถึงขั้นที่จักต้องลงทุน (รับรองได้ ครับว่า เจอแน่ ๆ มีตั้งแต่ไม่กี่พันบาท ไปจนถึงเรือนหมื่น) ท่านจงคิดถึงวรยุทธ์อันล้ำเลิศนี้ ครับ โอกาสทางธุรกิจที่แท้จริง ต้องไม่ใช้เงินมากมายขนาดนี้ ว่าแล้วก็เก็บกระเป๋าสตางค์เดินจากห้องสัมมนา หรือห้องดับจิต กับดักความโลภออกมาอย่างสง่าผ่าเผย

ตอนหน้าก็จักพาท่านไปพบวิทยายุทธ์ที่สี่ สุดยอดไม้ตายแห่งความเฮงสะท้านบู๊ลิ้มต่อไป วันนี้ขอลาไปก่อน ขอความเฮงจงสถิตย์อยู่กับท่านผู้ติดตามบล็อกธรรมะลุ่ม ๆ ดอน ๆ นี้ ทุกกาล ทุกเมื่อ เทอญ ฯ

จบตอน ๕

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๔ - มาเป็นคนเฮงกันby Dhammasarokikku

JcL3N0b3JhZ2VcLzFcLzM2NDZcL2ltYWdlc1wvZ2FsbGVyeVwvY29udGVudFwvY29udGVudF81MTMxXzExMTUzNDIzNzAuanBnIiwidyI6IjMwMCIsImgiOiIzMDAiLCJjIjoibm8iLCJzIjoibm8ifQ==มาสวมวิญญาณศาตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน ไขความลับปริศนาลายแทงขุมทรัพย์ ลอร์ดบุดด้า กันต่อไป ครับ ตอนที่แล้ว ว่ามาถึงการตามหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ของแต่ละคน แล้วให้การอุปัฏฐากท่าน ประหนึ่งท่านเป็นกุญแจสำคัญ สำหรับไขความลับปริศนาลายแทง อาจจะมีคนไม่เห็นด้วย เนื่องเพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งเหตุผล ความร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์ มันไปเกี่ยวกับการอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ได้อย่างไร เรื่องนี้ขอแปะไว้ก่อน ครับ จักอธิบายเหตุและผลต่อไปในกาลข้างหน้า

เพลานี้มาเจาะลึก ความเฮงสาดดดด ขั้นต่อไปก่อน สมมุติว่า ท่านเชื่อสิ่งข้าพเจ้าสาธยายมาทั้งหมด แต่พระเจ้าจอร์จ จะไปหาพระอรหันต์ที่ไหนมาเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ส่วนตั๊วส่วนตัวกันละ ครับ นี่เลยยุคมิลเลนเนี่ยมไปแปดปีแล้ว พระอรหันต์จักยังมีตัวตนอยู่หรือ? ปกติแค่วัดยังไม่ค่อยได้เหยียบเข้าไปเลย จักไปเจอพระอรหันต์ตัวเป็น ๆ ได้อย่างไร? หรือแม้เดินเข้าออกวัดแทบทุกวัน แต่ไม่รู้จริยาพระอรหันต์ จักไปรู้ได้อย่างไร ครับว่า รูปนี้รูปนั้นเป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้พระอรหันต์เถื่อน ๆ เต็มเมือง ภาวนาวูบ ๆ วาบ ๆ ลืมเนื้อลืมตัวไป เจออาการประหลาด ๆ ทางกาย ก็คิดว่า ตนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ประกาศตนกันเสียโจ่งครึ่ม ทั้งที่กิเลสยังท่วมใจ มีให้เห็นเกลื่อนกลาด จักแยกอรหันต์แท้ ออกจากอรหันต์เทียมได้อย่างไร ครับ

คำว่า "อรหันต์" หรือ "อรหัง" แปลว่า ผู้ห่างไกลจากกิเลส ครับ เท่าที่เจอมา เห็นมีแต่ ผู้แน่นแฟ้นกับกิเลส และกิเลสมันเกิดในใจ จะไปนั่งรู้ใจท่านได้อย่างไรว่า หมดกิเลสแล้วหรือยัง ใครจะไปโชคดีแบบมาณพน้อย

อันนี้นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า "ความเฮง" บางคนทราบความที่ข้าพเจ้าสาธยายไป มาตั้งแต่ไก่โห่ ออกเที่ยวเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เจอแต่พระกังหัน พระหมูหัน พระหันซ้ายหันขวา หลอกให้เสียเงินเสียทอง เสียความรู้สึก หมดศรัทธาไปก็มาก ทว่าบางคนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกระไรเลย ไม่ได้ศึกษากระไรเท่าไหร่ด้วย บ้านดันอยู่ข้างวัดที่มีพระอรหันต์ ครับ เผอิญได้ใส่บาตรท่านทุกวัน และไม่รู้เสียด้วยว่า พระที่ใส่บาตรทุกวัน เป็นพระอรหันต์ เจตนาการทำบุญก็บริสุทธิ์ ยิ่งพระท่านมีเมตตา เข้าผลสมาบัติ หรือนิโรธสมาบัติ (สมาธิขั้นลึกแบบหนึ่ง ผู้ทำบุญกับท่านจักได้อานิสงส์มาก) มาก่อนออกบิณฑบาต ก็มีอันได้ร่ำรวยทันตาเห็น

img01แต่ก็อย่างที่เกริ่นไปแล้ว "ความเฮง" "ความฟลุ๊ค" "ความบังเอิญ" ไม่มีในศาสนาพุทธ ครับ ความเฮงในศาสนาพุทธนี่เขาเรียกว่า ปุพเพกตปุญญตา ครับ ความเป็นผู้ทำบุญไว้ดีแล้ว ในกาลก่อน หนึ่งในมงคล ๓๘ ซึ่งจักได้เรียนกันตอนเปรียญธรรม ๔ ประโยค ก็หมายถึงว่า การที่เผอิญได้ใส่บาตร ได้อุปัฏฐากพระอรหันต์ เป็นเพราะบุญที่ได้ทำมาแล้วในอดีตชาติ ครับ (บุญต่อบุญ)

พิเคราะห์ให้ชัดลงไปอีก การที่มาณพน้อย ได้มาพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจาก "กฏแห่งกรรม" ซึ่งก็หมายถึง ทั้งสองอาจเคยร่วมบุญกันมาก่อนแต่ในอดีตชาติ

ม่าย ๆ ๆ มันไม่น่าเชื่อใช่ไหม ครับ ก็เป็นเพราะข้าพเจ้า และท่านทั้งหลาย ไม่อาจมีญาณวิเศษหยั่งรู้อดีตหน่ะซี เรื่องราวจึงดูไม่น่าเชื่อ เกิดท่านได้ญาณวิเศษหยั่งรู้อดีตมา เชื่อขนมกินได้เลยว่า ท่านจักต้องพบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพิเคราะห์มาจริงแท้แน่นอน

เอาละ ถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าถอดรหัสออกมา จักเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายมันก็คือกรรมเก่า ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และจะมาเขียนวิเคราะห์ทำพระแสงกระไร ในเมื่อมันไม่เห็นมีประโยชน์ มันก็เหมือนกับพูดว่า ที่เจ้าสัวเขารวย หรือเฮง ก็เป็นเพราะกรรมเก่าเขาทำมาดี

ประโยชน์ของบทความนี้ จักเกิดต่อเมื่อท่านเริ่มต้นทำกรรมปัจจุบัน ครับ ในเมื่อท่านทราบแล้วว่า "ความเฮง" มีกลไกการทำงานอย่างไร ท่านก็มาสร้างความเฮงด้วยตัวท่านเองแต่บัดนี้ซี ซึ่งก็คือการเริ่มทำบุญกับพระอรหันต์แต่ชาตินี้ บางทีชาติหน้าก็อาจได้ผลลัพท์ที่คาดไม่ถึง และบางทีก็ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า เห็นผลในปัจจุบันเลย

ปัญหา คือ หาพระอรหันต์ไม่เจอ ครับ เพราะปุพเพกตปุญญตา ไม่เคยทำบุญกับท่านมาในปางก่อน ชาตินี้จึงไม่มีโอกาสเจอพระอรหันต์ ไม่ยาก ครับ ขอแนะนำนวตกรรมล่าสุด "เนื้อนาบุญกึ่งสำเร็จรูป"

มาณพน้อยได้อุปัฏฐากอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ซึ่งเป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้า สมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระโพธิญาณเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ยังได้รับอานิสงส์มากขนาดนี้ เราเองความรู้มากกว่ามาณพน้อยเยอะ ครับ แถมเกิดในยุคสมัยที่มหาบุรุษอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะไปมัวแช่แฟ๊บควานหาพระอรหันต์อยู่ให้โง่ทำไม ไปอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ากันเลย ครับ เขียนไปแล้วในเอ็นทรี่ ใกล้สอบแร้ววว... ไปอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ากัน

เนื้อความโดยย่อ คือ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยตรัสไว้ ครับว่า หากภิกษุใดต้องการอุปัฏฐากตถาคต จงอุปัฏฐากภิกษุอาพาธเถิด น่าน... ง่ายขึ้นเยอะไหมเล่า คิดว่า ภิกษุอาพาธ หรือภิกษุป่วย หรือ "เนื้อนาบุญกึ่งสำเร็จรูป" ของเรา คงหาได้ไม่ยากกระมัง แถวบ้านก็น่าจะมี หรือถ้าหายากนัก ลองไปหาแถว ๆ รพ.สงฆ์ น่าจะพอหาได้

img15เอ้า... วิเคราะห์เจาะลึกลายแทงขุมทรัพย์กันให้ขนาดนี้แล้ว ยังทำไม่ได้อีก ความเพียรน้อยขนาดนี้ คงรวยยากละ ครับ แต่เอาละ ยังมีวิธีง่ายกว่านั้นอีก ครับ สำหรับผู้ที่มีอุปสรรคในการออกไปหาพระนอกบ้าน เรียกว่า "เนื้อนาบุญดิลิเวอรี่"

หาพระอรหันต์จะอุปัฏฐากท่านไม่เจอ หาภิกษุอาพาธก็ยังไม่ได้ ก็ทำบุญตรงกับพระผู้มีพระภาคเจ้าไปเลย ครับ พระองค์อยู่กับเราเสมอทุกที่ทุกเวลานั่นแล

วิธีทำบุญกับสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา พระองค์ตรัสไว้เมื่อก่อนปรินิพพานว่า ท่านไม่นิยมอามิสบูชา หรือ การบูชาท่านด้วยสิ่งของ ครับ ท่านนิยม "ปฏิบัติบูชา" หรือ บูชาพระองค์ด้วยการ "ปฏิบัติธรรม" ครับ การปฏิบัติธรรม ทำที่ไหนก็ได้ ครับ ไม่จำเป็นต้องไปที่วัด จะสวดมนต์ ทำวัตรเช้าเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ รู้ลมหายใจ เจริญสติ ภาวนา ทำที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทำงานก็ได้ทั้งสิ้น แค่ระลึกถึงพระองค์ แล้วตั้งใจมั่นว่า จักปฏิบัติบูชาพระองค์ นี่ละ "เนื้อนาบุญดิลิเวอรี่" มีบุญมาให้ทำถึงที่ ง่ายขนาดนี้ยังไม่คิดเป็นคนเฮง ๆ กันอีกหรือ?

ขยันทำเข้า แม้ท่านมิได้รวยโลกียทรัพย์ในชาตินี้ ท่านก็จะรวยอริยทรัพย์ทันทีที่เริ่มปฏิบัติแน่นอน ครับ

จบตอน ๔

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๓ - ความเฮงศาสตร์by Dhammasarokikku

AiOiJcL3N0b3JhZ2VcLzFcLzM2NDZcL2ltYWdlc1wvZ2FsbGVyeVwvY29udGVudFwvY29udGVudF81MTIyXzIwMDk3Nzc2Ni5qcGciLCJ3IjoiMzAwIiwiaCI6IjMwMCIsImMiOiJubyIsInMiOiJubyJ9มาถอดรหัส(ไม่)ลับ ลอร์ดบุดด้า โค้ดกันต่อไป ครับ ตอนที่แล้วว่ากันมาถึงตอนที่พระจูฬปันถก พิสูจน์ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ด้วยการเนรมิตร่างตนขึ้นเป็นพันร่าง เมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ถวายภัตต์แล้ว ยังได้อนุโมทนาด้วยความในพระไตรปิฎกอย่างคล่องแคล่ว ราวกับผู้เชี่ยวชาญ สร้างความอึงหมี่ให้หมู่พระภิกษุอย่างล้นหลาม นี่หรือ? คือพระที่เมื่อเช้า ท่องคาถาบทเดียวสี่เดือนไม่ได้

ตกเย็นพระภิกษุก็จับเข่าคุยกัน ถึงความเป็นธรรมราชา ขององค์สมเ้ด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาปันถก สั่งสอน พระน้องชาย ๔ เดือน ไม่เห็นผล พระองค์ประทานความเป็นอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทา และทรงพระไตรปิฎก แก่พระจูฬปันถก สำเร็จแค่เพียงชั่วมื้ออาหาร น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงทราบความแล้วด้วยทิพพโสต จึงเสด็จไปในที่ชุมนุมสงฆ์ ตรัสถามตามแบบประเพณี แล้วจึงว่า พระจูฬปันถกมิได้โง่แต่ในชาตินี้ แม้ในกาลก่อนก็เคยโง่ และพระองค์ก็เคยช่วยเธอให้ร่ำรวยโลกียทรัพย์มาแล้ว มาบัดนี้จึงได้ช่วยเธอให้ถึงโลกุตตรทรัพย์ ดังนี้

เฮง เฮ่ง เฮ้งบ่อกี้ มาแว้ว

อารัมภะไปเสียสองตอนยาว ๆ มาแล้วครับ รหัสลับ ความเฮงศาสตร์ อ่านเนื้อความบุพกรรมของพระจูฬปันถกให้ดีเถิด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (คราวนี้นานจริง ๆ) มีหนุ่มน้อยชาวนครพาราณสี ไปเรียนศิลปวิทยาการ ณ เมืองตักกสิลา (สมัยก่อนคงเหมือนไปเรียนที่ยุโรป) ไปขอเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อเรียนศิลปะ ในเหล่ามาณพ ๕๐๐ ไม่มีใครจักช่วยเหลือการงานทุกอย่าง แม้กระทั่งนวดเท้า ได้เกินศิษย์ผู้นี้ อาจารย์เอ็นดูเขาอย่างมาก จึงให้การศึกษาแก่เขาเป็นพิเศษ แต่ด้วยความ dumb and dumber โง่ไม่มีที่ติ สอนอย่างไรก็สอนไม่สำเร็จ เธอจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

พยายามอยู่นานจนสิ้นหนทาง แม้คาถาเดียวก็จำไม่ได้ จึงขออำลาผู้อาจารย์ โอ๊ะ... ศิษย์รักจักลากลับบ้านไปมือเปล่า แม้เราก็ปรารถนาให้เธอเป็นบัณฑิต ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จำเราต้องแทนความดีของศิษย์ ด้วยการผูกมนต์ให้เขาสักบทหนึ่ง ว่าแล้วก็ชวนศิษย์เข้าป่า เล็งดูฤกษ์ยามนักษัตรแล้ว ผูกมนต์นี้ว่า "ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ?, อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ" (แปลว่า เจ้าพยายามไปเถิด พยายามไปเถิด, เจ้าพยายามเพื่ออะไร? เรารู้ เรารู้ความพยายามของเจ้า) ให้เขาทบทวนอยู่กลับไปกลับมาหลายร้อยครั้งจนจำได้ขึ้นใจ ให้เสบียงแล้วสั่งว่า "เธอ จงไป, อาศัยมนต์นี้เลี้ยงชีพเถิด, เธอจงท่องจำไว้เนือง ๆ อย่าให้ลืมเทียว"

ครั้นกลับถึงกรุงพาราณสี หม่ามี๊ก็จัดฉลองใหญ่ ลูกชายจบศิลปะจากนอก เจ้าข้าเอ้ย...

ฝ่ายพระเจ้าพาราณสี ก็ประสากษัตริย์ที่เอาใจใส่ประชาชนของตนทั่วไป ใคร่อยากรู้ว่า ประชาชนจักเห็นดีเห็นงามกับการปกครองบ้านเมืองของพระองค์ สมัยก่อนมิได้มีอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ไปทั่วทุกหัวระแหงเช่นปัจจุบัน อยากทราบว่า ชาวบ้านมีความคิดเห็นอย่างไร ส่งสปายออกไปสืบ คงได้แต่ข่าวโคมลอย ประจบประแจงกลับมา จึงต้องแอบเสด็จแบบลับ ๆ ด้วยพระองค์เอง

เวลานั้นมีพวกโจร หากินทางขุดอุโมงค์ (ขอมดำดินอะป่าวฟระ) กำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดอุโมงค์เพื่อเข้าไปโผล่ภายในบ้าน (เดี๋ยวนี้เขาแอ๊ดวานซ์กว่า เข้าทางหลังคาบ้านกันแล้วจ้ะเทอ) จักได้กวาดทรัพย์ของเหยื่อให้สิ้นเนื้อประดาตัว พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงแอบซุ่มดูอยู่ในเงาเรือน

พอเหล่าขุนโจรดำดินขุดทะลุเข้าไปในบ้านได้ กำลังตรวจดูทรัพย์สินอยู่ พอยอดชายมาณพน้อยงัวเงียตื่นขึ้น ด้วยความที่กลัวจะลืมมนต์ที่อาจารย์กำชับมา ก็กึ่งท่อง กึ่งละเมอ อย่างสะลืมสะลือ "ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ? อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ" เสียงดังลั่นบ้าน

11กระเจิงสิ ครับ อุส่าห์ย่องเบามาเงียบ ๆ จู่ ๆ ก็มีคนลุกขึ้นมา ตะโกนว่า "... เรารู้นะ ตะเองคิดอะไรอยู่ พยายามทำอะไรอยู่ เรารู้นะ กุปิ๊ กุปิ๊"

ได้ยินดังนั้น เหล่าโจรก็ตกใจใส่เกียร์หมา วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิต แม้ผ้าผ่อนก็ลืมเสียสิ้น เกรงเจ้านี่จะจำหน้าได้ จักพากันชิ๊กหายยกแก๊งค์

พระราชาเห็นความเป็นไปแล้ว ก็อึ้งทึ่งเสียว ในความเก่งกาจของหนุ่มน้อย รีบเสด็จกลับวัง สืบสาวว่า มาณพน้อยผู้นี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร มีวิทยายุทธ์กระไรดี จึงสามารถขับไล่เหล่าโจรไปได้ด้วยตัวผู้เดียว แถมเหล่าโจรยังหนีไปไม่คิดชีวิตอีกต่างหาก ได้ความว่า เป็นเด็กเพิ่งจบนอกกลับมา ชะช้า... เห็นทีต้องขอเรียนมนต์จากนอกเสียหน่อย เพลาเช้า ให้มหาดเล็ก ไปเรียกชายหนุ่มมาณพน้อยดีกรีนอก(เขตเทศบาล) มาเข้าเฝ้า

"เธอคือมาณพน้อยที่เพิ่งเรียนจบศิลปศาสตร์บัณฑิตใหม่จากตักกสิลาที่เขาร่ำลือกันหรือ?" พระราชาตรัสถาม

"พระเจ้าข้า พระอาญามิพ้นเกล้า" มาณพน้อยทูลตอบ

"เธอจักสอนศิลปะให้ฉันบ้างได้หรือ" พระราชาใคร่อยากรู้วิทยายุทธ์จากตักกสิลาเป็นนักหนา

"ย่อมได้ พระเจ้าข้า ขอพระองค์ประทับบนอาสนะที่เสมอกันแล้วเรียนเถิด"

พระราชาทรงทำตามคำขอ แล้วเรียนมนต์จากมาณพน้อย สำเร็จแล้ว ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่เขา ดำรัสว่า "นี่ เป็นส่วนบูชาอาจารย์ของท่าน" (พันหนึ่งสมัยก่อน ถือว่า มากพอสมควร)

ในกาลต่อมา เสนาบดีคบคิดกับนายภูษามาลาของพระเจ้าแผ่นดิน หรือ ช่างตัดผมนั่นแล ให้ทรัพย์แก่เขาพันหนึ่งแล้วว่า ให้ทำทีเป็นจะแต่งพระมัสสุ หรือโกนหนวด ของในหลวง แล้วสบัดมีดโกนให้คมกริบ ตัดก้านพระศอ หรือตัดคอพระเจ้าอยู่หัวเสีย เจ้าจักได้เป็นเสนาบดี ส่วนข้าจักได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน (สมัยก่อนเขาเป็นในหลวงกันง่ายจังฮิ) นายภูษามาลาคิดถึงหนี้ธกส. หนี้บัตรเครดิตเทสโก้โลตัส และหนี้เพอร์ซันนัลโลนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาจ่าย จึงรับคำอย่างง่ายดาย

พอถึงวันแต่งพระมัสสุถวายในหลวง เอาน้ำหอมสระสรงพระมัสสุจนเปียกชุ่ม สบัดมีดโกน จับที่ชายพระนลาฏ(หน้าผาก) คิดในใจว่า มีดอาจไม่คมพอ เราควรตัดก้านพระศอโดยฉับเดียวเท่านั้น กลืนน้ำลายที่เหนียวหนับด้วยความตื่นเต้น แล้วยื่นมือออกสบัดมีดโกนอีก

พระราชามิได้ทันระวังตัว กำลังนอนคิดอะไรเพลิน ๆ นึกเห่อมนต์ที่เพิ่งได้เรียนมาใหม่ ก็รำพึงถึงมนต์ใหม่ว่า "ฆะเฎสิ ฆะเฏสิ กิงการะณา ฆะเฏสิ? อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ"

เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่หน้านายภูษามาลา เม็ดแล้วเม็ดเล่า ตัวสั่นเทากริ่งเกรงในพระราชอาชญา คิดในใจว่า "ในหลวงทราบความเสียแล้ว" จึงโยนมีดโกนทิ้ง แล้วหมอบกราบแทบพระบาท

AiOiJcL3N0b3JhZ2VcLzFcLzM2NDZcL2ltYWdlc1wvZ2FsbGVyeVwvY29udGVudFwvY29udGVudF81MTI2XzIwNjI5NTkxNS5qcGciLCJ3IjoiMzAwIiwiaCI6IjMwMCIsImMiOiJubyIsInMiOiJubyJ9พระราชาผู้ฉลาด สังเกตเห็นอากัปกิริยาแปลก ๆ ของนายภูษามาลา คิดว่า เรื่องนี้คงมีเบื้องหลัง จึงตวาดด้วยเสียงอันดัง "เฮ้ย... เจ้าภูษามาลาใจร้าย เอ็งคิดว่า ข้าไม่รู้รึ?"

นายภูษามาลาคิดว่า ชีวิตคงดับดิ้นโดนประหารในครานี้เป็นแน่แท้ ทำอะไรไม่ถูก ครางเสียงอ่อยว่า "พระอาชญามิพ้นเกล้า ข้าน้อยผิดไปแล้ว ๆ ขอพระองค์โปรดพระราชทานอภัยแก่ข้าพระองค์เถิด พระเ้จ้าข้า"

พระราชาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ตรัสต่อด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา "ช่างเถอะ อย่ากลัวเลย บอกมาเถิด ข้าจักให้อภัย" (เจอค่ายกลในหลวงเข้าให้แล้ว)

นายภูษามาลาก็สารภาพจนหมดเปลือก พระราชาทรงดำริว่า เกือบได้เป็นผีหัวขาดแล้วตรู นี่เราได้ชีวิตก็อาศัยอาจารย์แท้ ๆ สั่งให้หาเสนาบดีมาเข้าเฝ้า ตรัสสั่งเนรเทศเธอออกจากพระนคร (โทษเบานะเนี่ย เป็นสามก๊กได้หัวขาดไปเฝ้าพระยายมแล้ว) แล้วรับสั่งให้มาณพผู้อาจารย์มาเข้าเฝ้า ตรัสว่า "ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ชีวิตเพราะอาศัยท่าน" ดังนี้แล้ว ทำสักการะใหญ่ ตั้งเธอไว้ในตำแหน่งเสนาบดี มาณพในครั้งนั้น ได้เป็นจูฬปันถก, พระศาสดาเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์

จบอดีตนิทานแล้ว พระศาสดาตรัสคาถาว่า

"ผู้มีปรีชาเห็นประจักษ์ ย่อมตั้งตนด้วยทุนทรัพย์แม้น้อย

เหมือนคนก่อไฟกองน้อยให้ลุกเป็นกองใหญ่ได้ฉะนั้น"

ต่อมาอีกวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายสนทนากันอยู่ในธรรมสภาว่า "ผู้มีอายุ พระจูฬปันถก แม้ไม่สามารถจะเรียนคาถา ๔ บทใน ๔ เดือนได้ ก็ไม่ละความเพียร ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้"

พระศาสดาเล็งเห็นประโยชน์แก่การแสดงธรรม จึงเสด็จมาท่ามกลางหมู่สงฆ์ ตรัสถามตามธรรมเนียม แล้วตรัสคาถาว่า

"ผู้มีปัญญา พึงทำเกาะ (ที่พึ่ง) ที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้

ด้วยความหมั่น ด้วยความไม่ประมาทด้วยความระวัง และด้วยความฝึก"

ได้อะไรบ้างจากอดีตนิทานของพระจูฬปันถก ครับ อ่านแล้วรู้สึกว่า มาณพน้อย "เฮง" เหลือหลาย ใช่หรือไม่ รู้คาถาสั้น ๆ แค่คาถาเดียว สามารถได้เป็นถึงเสนาบดี สมัยเรานี้เรียนกันหัวแทบแตก แค่จะเป็นมนุษย์เงินเดือนให้พอกินพอใช้ ยังยากเย็นเข็ญใจ

อะ... มาถอดรหัส "ความเฮงศาสตร์" กัน ครับ

พิจารณาดูให้ดี ความเฮงสาดดดด ของมาณพน้อยอยู่ที่ไหนกันแน่ ลองถอยกันไปอีกนิด ความเฮง อาจจะไม่ได้มาจากมาณพน้อย แต่มาจากการที่อาจารย์ทิศาปาโมกข์ช่างเก่งกาจ ผูกมนต์ได้อารามบอยสก๊อยเกิร์ลมากก็ได้ อะไรกันเล่า ที่มาของความเฮง

เล็งดูจะรู้ว่า "ความเฮง" ไม่มีในศาสนาพุทธ ครับ ความฟลุ๊ค ความบังเอิญ ที่เขาบัญญัติกัน เอาไว้อธิบายเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ด้วยความรู้ของคนปกติเท่านั้น ถ้าเรามีความรู้พิเศษ หรือที่เรียกว่า "ญาณ" เช่น อตีตังสญาณ-หยั่งรู้อดีต ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ-หยั่งรู้อดีตชาติ จะทราบได้ไม่ยาก ครับว่า การที่มาณพน้อย มาพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มิใช่เรื่องบังเอิญ

แต่เอาละ เราทั้งหลายไม่มีญาณอย่างว่านั้น มาพิจารณาถอดรหัสกันด้วยตาเนื้อ ด้วยปัญญาพื้น ๆ ชาวบ้าน ๆ นี่ละ ต้นเหตุความเฮงสาดดดด ของมาณพน้อย มาจากการที่เขาเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ครับ รู้จักการอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์ จนครูบาอาจารย์มีเมตตาชี้ทางทำธุรกิจให้ จากคาถาบทเดียว

ย้อนกลับมาดูตัวเรา ครับ ผู้ที่คิดอยากรวย คิดอยากมีทรัพย์มาก อยากเป็นคนมีอันจะกิน เคยอุปัฏฐากรับใช้ ครูบาอาจารย์บ้างหรือไม่ ถ้าไม่เคย ท่านก็สอบตกวิทยายุทธ์ที่สอง บันไดแห่งความมีทรัพย์มากไปแล้วอย่างน่าเสียดาย ครับ เพราะคนเรามักได้ดีจากการอุปถัมภ์ของครูบาอาจารย์

IMG_8660ตายละ... แล้วเราจักไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนอุปัฏฐากละเนี่ยะ กว่าจะคิดได้ ครูบาอาจารย์สมัย ม.ต้น มัธยมปลาย ก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ไม่เป็นไร ครับ เรายังมีครูบาอาจารย์ที่หาได้ง่ายที่สุด ดีที่สุด เริ่ดที่สุด และเป็นครูบาอาจารย์คนแรกของเรา รออยู่ที่บ้าน ใช่แล้ว ครับ คุณพ่อคุณแม่นั่นเอง ถ้าไม่เคยรับใช้ท่าน ได้แต่ให้ท่านรับใช้เรา ก็เริ่มเสียวันนี้เลย ครับ ยังไม่สาย เอ้า... ความจนเริ่มหายไปหนึ่งกระบิแล้ว

ผู้ที่ยังด่าพ่อล่อแม่ ดูถูกเหยียดหยามครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐเลิศที่สุดในชีวิตเราอยู่ ท่านก็ควรพอใจในชีวิตจน ๆ ของท่านต่อไป เพราะคนที่ดูถูกพ่อแม่ ทำกระไรก็เจริญยาก ครับ ตรงข้ามผู้ที่เอาใจใส่รับใช้ดูแลพ่อแม่ ต่อให้ซวยยังไง ก็ไม่อับจนหนทาง ครับ

ถ้าเรารับใช้แทนคุณป๊าม๊าอย่างดีอยู่แล้วเล่า ทำไมยังไม่เห็นรุ่งโรจน์ มีแต่รุ่งริ่ง อ๊ะ... มีวิทยายุทธ์ขั้นต่อไป ครับ ค้นหา "อาจารย์ทิศาปาโมกข์" ให้เจอ

อาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่อาจารย์ธรรมดา ๆ หาได้ดาษดื่นทั่วไป ครับ แต่เป็นอาจารย์ที่มีความรู้พิเศษ อย่างในนิทานที่ยกมา ท่านมีความรู้พิเศษด้านดูนักษัตร ครับ ซึ่งความรู้พิเศษในโลกนี้ ไม่มีอะไรเกินความเป็นพระอรหันต์ ครับ

ข้าพเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง เขาชอบคุยถึงความร่ำรวยของคุณลุงของเขา ท่านได้เป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่บุดดา ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ครับ ภายหลังได้ทำงานเกี่ยวกับสัมปทานการโทรคมนาคม จนรวยเละเทะ เขาว่า นี่คืออานิสงส์ของการได้อุปัฏฐากพระอรหันต์

ข้าพเจ้าก็สังเกตดู ก็อาจจะมีส่วนจริงอยู่ ครับ ไปเล็งดูพระอรหันต์องค์อื่น ๆ ส่วนใหญ่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ก็มักรวยล้นฟ้ากันทั้งนั้น แต่บางหน่ออุปัฏฐากตั้งแต่หนุ่มจนเฒ่า ก็ยังจนติดดิน แสดงว่า ต้องมีเคล็ดลับ ครับ

เคล็ด(ไม่)ลับในศาสนาพุทธนี้ เหมือนกันหมด ครับ ไม่ว่าทางโลก หรือทางธรรม หากไปอุปัฏฐากพระคุณเจ้าด้วยหวังรวย อย่างไรก็ไม่มีทางรวย ครับ ปฏิบัติธรรมเพราะอยากบรรลุ ก็ไม่บรรลุเช่นกัน เป็นเรื่องน่าแปลก แต่จริง

เอาละ ครับ วันนี้ถอดรหัสกันพอหอมปากหอมคอ ยาวพอควรแล้ว เดี๋ยวตอนหน้า จักถอดรหัสให้ลึก และเข้มข้นยิ่งขึ้น

จบตอน ๓

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๒ - ความเฮงที่สร้างได้by Dhammasarokikku

images6ตอนที่แล้ว ค้างไว้ถึงคัมภีร์ลึกลับที่ส่งทอดต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น ในคัมภีร์บรรจุวิทยายุทธ์ขั้นสุดยอดของศาสตร์ทุกแขนง ใครได้เข้าถึงคัมภีร์นี้ แม้ต้องการเป็นจอมจักรพรรดิก็ย่อมเป็นได้ และสมมุติฐานของข้าพเจ้าเป็นจริง ครับ มีคัมภีร์มหัศจรรย์นี้อยู่จริง ๆ ส่งต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า วันนี้ข้าพเจ้าจักได้เริ่มสาธยายความในคัมภีร์ ครับ ในนั้นมีเรื่องของ "ความเฮง" เขียนอยู่ด้วย

แม้ข้าพเจ้า มิได้ลองค้นหาพิสูจน์ความจริงด้วยตนเองมาก่อนบ้าง ข้าพเจ้าก็คงมองรหัสไม่ออก และคงไม่คิดว่า ข้อความในคัมภีร์จะเป็นเรื่องจริงเรื่องจัง นำไปใช้กระไรในธุรกิจได้

สมัยที่ยังไม่เป็นมนุษย์ (แปลว่าผู้มีใจสูง) ยังเป็นคน (แปลว่ายุ่ง) วุ่นวายอยู่กับโลก ได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ ครับ ในการทำธุรกิจ ด้วยความที่ "คน" นั้น ไม่มีศีล ไม่มีธรรม แค่ศีล ๕ ข้อ ยังรักษาไม่ได้ ครั้นได้เข้าวัด ปฏิบัติธรรม รักษาศีล ๘ เป็นครั้งคราว ตอนกลับมาเริ่มงานใหม่ ๆ รู้สึกการงานมันคล่องตัวมาก และในส่วนที่ต้องใช้ดวง เช่น ลูกค้าประเภทวอล์คอิน หรือส้มหล่น จะเฟื่องฟูเป็นพิเศษ แต่ครั้นถูกผองเพื่อนลากตัวไปร่ำสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร แม้เพียงชั่วข้ามคืน การงานก็จะติดขัด ปัญหารุมเร้า และ "ความเฮง" ก็เลือนไป

เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครับ จนสามารถตั้งข้อสังเกตได้

แม้สังเกตได้แล้ว ก็ไม่ใคร่เชื่อข้อสังเกตนั้น ครับ บ่อยครั้งที่กิเลสตัณหา พาไปลุ่มหลงอยู่กับแสงสี ยิ่งศีลขาดมากข้อเท่าไหร่ ความหายนะก็รุนแรงเท่านั้น ขั้นสุดท้ายนี้เหลือเพียงข้อเดียว คือ ปาณาติบาต หากหมดข้อนี้ไป คงไม่มีสิ่งใดรักษาให้วันนี้ข้าพเจ้ามานั่งอัพบล็อกธรรมะอยู่ได้ คงจุติไปเรียบร้อยแล้ว

พอได้มาพบคัมภีร์เล่มนั้นในผ้าเหลือง มีเขียนไว้ชัดเจนเลย ครับว่า ศีลเป็นปัจจัยของความสุข ศีลรักษาผู้รักษาศีล เฮ้ย... อะไรมันจะตรงขนาดนั้น ข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อในบัดนั้น ถึงปฐมวรยุทธ์ในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มีศีล ๕ ไว้ก่อน ครับ (ซึ่งข้าพเจ้าสมัยเป็นฆราวาส ไม่เคยทำได้เลย และนี่เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ขาดไป นอกจากสรรพวิทยายุทธ์ทางโลก ทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความเจริญก้าวหน้าในสาขาอาชีพ) ข้าพเจ้าได้พบความจริงว่า ศีล ๕ สามารถป้องกันวิบากกรรม (ผลของการกระทำ) ที่เป็นอกุศล ได้มากในระดับหนึ่งทีเดียว และศีล ๕ นั่นเอง เป็นกุญแจไขประตูหลักสู่อภิมหาขุมทรัพย์ยิ่งกว่า สมบัติอัศวินเทมปลาร์ และศีล ๕ นั่นเอง ที่คนทั่วไปไม่เห็นค่า คิดว่า ไม่มีความสำคัญ

กว่าจะซาบซึ้ง ก็โดนไปซะน่วม ดังนั้นแล้ว ใครที่อยากรวย แต่แค่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ ไม่ต้องมาคุยกันเลย ครับ ไม่มีทางรวยได้ รวยก็รวยแบบไม่มีความสุข มีทรัพย์มากแบบถูกด่าไปทั้งชาติ หาประเทศอยู่ไม่ได้ อย่างนั้นอย่าไปรวยเลย ครับ รวยต้องรวยแบบมือสะอาด ไม่ต้องมีทรัพย์มาก แต่มีความสุข ดีกว่า

มาถึงตรงนี้ คงพอจะเดากันได้แล้วว่า คัมภีร์สุดยอดเล่มนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร

มีปราชญ์เคยว่าไว้ ครับ ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ซ่อนที่ปลอดภัยที่สุด

คัมภีร์ลึกลับเล่มนั้น มีวางขายกลาดเกลื่อนในท้องตลาด ครับ แต่กลับเป็นคัมภีร์ที่ลึกลับ เพราะอะไร ครับ?

ที่ลึก คือ ลึกซึ้ง ครับ ที่ลับ เพราะไม่มีใครอ่าน ครับ แม้คนนับถือศาสนาพุทธเอง จ้างให้บางทียังไม่อ่านเลย ครับ เห็นว่า ศาสตร์อย่างอื่น สำคัญกว่า ทำเงินได้มากกว่า สนุกสนานกว่า แม้ข้าพเจ้าเอง หากมิได้บวชก็คงไม่ได้อ่านเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่า ท่านซ่อนปริศนาลายแทงขุมทรัพย์ไว้ในคัมภีร์โบราณชื่อ พระไตรปิฎก ทั้ง ๔๕ เล่ม ท่านเข้ารหัส (encode) ไว้ด้วยภาษาโบราณ ทำให้ผู้อ่านง่วงนอน เลิกอ่านไปก่อนจักได้พบข้อความสำคัญ และวันนี้ข้าพเจ้าจักนำความบางส่วน มาเผยให้รู้ทั่วกัน

T250811_01P"ความเฮง" ที่สุดของการทำธุรกิจ

ขอยกความในคัมภีร์มาสาธยายให้เห็นภาพสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน ฉากของเรื่องจะถูกบิดเบือน จากการถอดรหัสลับ ลอร์ดบุดด้าโค้ด ไปนิโหน่ยนะ ครับ

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีสาวสวยโฉมสะคราญนางหนึ่ง เกิดในตระกูลธนเศรษฐี สมัยที่ความเอ๊าะ ความสาวแตกมัน ดังเปรี๊ยะ ๆ อย่างกับกะทิคั่ว เธอก็ส่งสายตายั่วยวนใจชายหนุ่มทั้งหลาย ทั่วไปตามท้องถนน แต่ป๊าม๊าของเธอ มีเรด้าร์ตรวจจับปริมาณความแรดของเธอได้ ครับ เลยเอาเธอไปเลี้ยงดูปูเสื่อรักษาไว้ ณ คอนโดระฟ้ากลางเมือง ไม่มีลิฟท์

แต่ความหื่นไม่เข้าใครออกใคร ครับ สุดท้ายเธอก็ฉึ่ง ๆ โป๊ะ กับบริกรหนุ่ม หุ่นนายแบบอาร์มานี่ (ก็ปีนเอาอาหารวิ่งขึ้นไปเสิร์ฟตั้งสูงลิ่ว อาหารก็ไม่ค่อยได้กิน ตามประสาเด็กรับใช้ กล้ามก็ขึ้นเป็นมัดสิ ครับ ล่ำซะขนาดนั้น ใครจะไปอดใจไหว) ครั้นความสยิวกิ๊วคลายตัวลงแล้ว ความรู้ผิดชอบชั่วดี ก็กลับมา ครับ (หน้ามืดไปหน่อย) ชิ๊กหายล่ะสิ ขืนป๊าม๊ารู้ความเข้า เราทั้งคู่คงตายอยู่กลางสวนลอยฟ้า เหมือนเรื่องโรมิโอ กับจูเลียส อย่ากระนั้นเลย เราทั้งสองแอบหนีไปกันดีกว่า

และแล้วทั้งสองก็วิวาห์เหาะ หนีตามกันไป มาสร้างเพิงอยู่ตามชานเมือง ตื๊ดกันไป ตื๊ดกันมา ก็ติดลูก ครับ

ก็ธรรมดาละ ครับ ประสาคนท้องมือใหม่ กริ่งเกรงว่า คุณฝาละผัวของเรา จักดูแลเราได้ดีเพียงไร จักสู้อยู่กับญาติพ่อแม่พี่น้อง คงไม่ได้ ไอ้ตัวเราลำบาก คงไม่เท่าไหร่ แต่สัญชาตญาณความเป็นแม่ ยอมให้ลูกลำบากไม่ได้ ครับ จึงคิดบากหน้ากลับบ้าน คิดว่า ป๊าม๊าเห็นเราท้องโย้กลับไป คงไม่ใจไม้ไส้ระกำขับไล่ไสส่งเป็นแน่แท้ คิดได้แล้วก็คุยกับบริกรชายคุณผัวหล่อล่ำว่า เรากลับบ้านกันเถิด ไปคลอดบุตรที่บ้าน คงมีความสบายกว่าที่นี่มาก ที่นี่หมอผดุงครรภ์ก็ไม่มี จะไปเข้า รพ.กรุงเทพรึ ก็แพงเหลือหลาย

ชายหนุ่มมิได้เห็นเช่นนั้น ครับ เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นเล็กน้อย พลางคิดว่า ขืนพาลูกสาวเขาท้องโย้เข้าไปหาพ่อตาแม่ยาย มีหวังได้ถูกเจื๋อนไอ้จ้อนให้เป็ดกิน ไม่ก็ได้กินลูกตะกั่วเป็นกับข้าวมื้อเย็น ชีวิตคงไม่เหลือกลับมาแน่ เลยทำทีเออออห่อหมก เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ผัดไปเรื่อย พรุ่งนี้น่า ๆ

บ่อยเข้าคุณแม่มือใหม่ก็จับไต๋ได้ ครับ ว่าคุณผัวของเราคงไม่คิดพาเราไปคืนบ้านพ่อแม่ เลยหนีไปเวลาที่สามีขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานที่สีลม ไปได้ครึ่งทาง ปวดขี้ ครับ แวะนั่งแอบ ๆ ขี้ข้างทาง ปุ๊ด!!! นึกว่า ตด ที่ไหนได้ ลูกชายคนแรกออกมากองที่พื้น เลยตั้งชื่อให้ว่า "ปันถก" ด้วยความที่เกิดระหว่างทาง

ฝ่ายผัวนอกสมรส กลับมาบ้าน มิเห็นภรรเมียแสนสวย และไฮโซ ก็ถามคนข้างบ้าน ได้ความแล้วก็ออกติดตาม ไถสเก็ตบอร์ดไปด้วยความเร็วแสง กระหืดกระหอบมาพบเธอ และลูกที่กลางทาง จึงชวนกันกลับบ้าน สาวเจ้าคิดว่า การคลอดลูกต้องอาศัยหมอทำคลอด มิคิดว่า จะง่ายเหมือนตดเช่นนี้ ธุระที่ต้องอาศัยหมอไม่มีอีก จึงพาลูกขึ้นซ้อนสเก็ตบอร์ดผัว กลับบ้านไป

images9กาลต่อมา ก็สยึ๋มกึ๋ยกันต่อไป ครับ ก็บอกแล้ว ความหื่นไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งช่วงมดลูกเข้าอู่นี่ ติดลูกง่ายยิ่งกว่าฮิตาชิเปิดปุ๊บติดปั๊บ ก็เลยโย้ท้องที่สอง เหตุการณ์เหมือนท้องแรกทุกประการ ไปคลอดลูกระหว่างทางอีกแระ จะตั้งชื่อให้ว่า ปันถก จูเนียร์ ก็ใช่ที่ ครับ ไม่ได้อินเตอร์ขนาดนั้น เลยตั้งชื่อแบบโบ ๆ ให้ว่า จูฬปันถก แปลว่า ปันถกเล็ก ส่วนพี่ชายให้ชื่อใหม่ว่า มหาปันถก

ครั้นเด็กโตขึ้น เห็นเพื่อนบ้านเขามีตามียาย มีญาติพี่น้อง ก็เซ้าซี้ถามหม่าม้า ทำไมเราไม่มีคุณตาคุณยาย ไว้อ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน เหมือนคนข้างบ้าน สาวเจ้าก็ได้แต่ทำเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ ฝ่ายเด็กน้อยเห็นคุณแม่อ้ำอึ้ง เหมือนตอนไปเดินพารากอน ขอให้แม่ซื้อของเล่น แล้วแม่ไม่ยอมซื้อให้ เลยใช้มุขเดียวกัน ครับ ลงไปดิ้นกองกับพื้น ร้องว่า "จาอาวคูณตา จาอาวคูณยาย ๆ กรี๊ด ๆ"

คุณแม่มือใหม่ ทนความเล้าหลือของลูก ๆ ไม่ไหว ครับ เลยพาเด็กทั้งสองเข้ากรุง ได้พบป๊าม๊าแล้ว ป๊าม๊าไม่รับกลับเข้าบ้่าน ครับ ท่านว่า เรื่องบัดสีที่ลูกทำ มันเกินรับได้ ป๊าม๊ามิอาจต้านทาน คำครหานินทาของเพื่อนบ้านได้ ขอจงเอาทรัพย์นี้ไปช็อปปิ้งอยู่กับทาสสวาทหนุ่มให้หนำใจ ส่วนหลานทั้งสอง เอามานี่ ให้อยู่กับตากับยายจะเหมาะกว่า อยู่กับยัยตัวร้ายคุณแม่จอมหื่น

แต่หนีออกจากอ้อมอกป๊าม้ามา เธอก็ห่างเหินไปจากห้างเมก้าสโตร์ทั้งหลายมานมนาน กระเป๋าปราดา ฟูรากาโม่ ออกใหม่ไปหลายรุ่นแล้ว เห็นทรัพย์ประมาณซื้อพารากอน กับดิสคัฟเวอรี่รวมกันได้เกินสิบห้าง ก็ตาโตเท่่าไข่นกกระจอกเทศ ทนไม่ได้ ครับ เลือดสาวนักช็อปมันสูบฉีด อีกทั้งถ้าเลี้ยงลูกกันเองตามประสาวัยสะรุ่น ลูกของเธอคงจักไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เหมือนเพื่อนบ้านแถวนั้น เรื่องไม่ได้ช็อป พอทนได้ค่ะ แต่เรื่องน้อยหน้าเพื่อนบ้านนี่ ไม่ย๊อมไม่ยอม ก็เลยปลงใจ ให้ลูกทั้งสอง อยู่กับตายาย ส่วนตัวเองไประเริงช็อปปิ้งกับผัวขาที่พารีส จี๊ดหมอง จี๊ดหมอง

ตายายของเด็กทั้งสอง เป็นคนธรรมะธัมโม ก็หนีบลิงทั้งสองตัว ไปฟังเทศน์ด้วย ครับ ตอนนั้นจูฬปันถกยังเล็กมาก ส่วนมหาปันถกพอจะรู้ความแล้ว ฟังพระธรรมเทศนาจากสมเด็จพระทศพลแล้วก็เกิดศรัทธา ขอตาไปบวช ตาก็อนุญาต บวชแล้วก็ได้บรรลุอรหัตตผลในเวลาไม่นาน

อ๊ะ... บ้าน้ำลายมาก เรื่องชักยาว ขอเล่าลัด ๆ ก็แล้วกัน

พระมหาปันถกพึงใจอยู่กับความสุขที่ได้รับจากมรรคผลนิพพาน ระลึกถึงจูฬปันถกน้องชายว่า น่าจักได้มามีความสุขอย่างท่านบ้าง จึงชวนน้องชายมาบวชบ้าง แต่จูฬปันถก บวชแล้วกลายเป็นคนโง่ ท่องคาถาเดียว ๔ เดือนไม่สำเร็จ ด้วยในอดีตชาติ เคยไปหัวเราะเยาะพระภิกษุเขลารูปหนึ่ง จนเธออายเลิกเรียนปริยัติไป

พระพี่ชายเอือมระอา เห็นว่า พระน้องชายคงหาความเจริญในศาสนานี้ไม่ได้ จึงไล่ออกไปจากสำนัก

พระจูฬปันถกโซแซด กิวตี้เหลือหลาย โอ้ย... ก็ข้อยบ่ได้อยากโง่นิ มันโง่ของมันเองนิ แต่ด้วยอาลัยในเพศสมณะ ก็ทู่ซี้อยู่ต่อไป มาวันหนึ่ง หมอชีวกโกมารภัจจ์มานิมนต์พระไปฉัน และจักถวายข้าวของเป็นอันมาก แด่พระ ๕๐๐ รูป พระมหาปันถกเป็นภัตตุทเทศก์ หรือผู้แจกภัต ภาษาปัจจุบันเรียกว่า ออแกไนเซอร์คอยแจกงานให้เพื่อนพระภิกษุว่างั้นเหอะ ท่านนิมนต์พระทุกรูป เว้นพระจูฬปันถกรูปเดียว

พระน้องชายก็มีน้อยใจอีหลีในกาลนั้น ว่าแล้วก็งอนตุ๊ปั๊ดตุ๊ป่องออกจากสำนัก จะไปสึก พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิต จึงเสด็จมาทรงแกล้งเดินจงกรมอยู่รอท่า เจรจาพาที ได้ความแล้ว ตรัสห้ามอย่าสึกเลย แล้วก็ให้ผ้าขาวผืนหนึ่งไปลูบ พร้อมกับให้บริกรรมว่า "ระโชหะระณัง ระโชหะระณัง" (ผ้าเช็ดธุลี ๆ)

พระจูฬปันถก ลูบผ้าบริกรรมอยู่ไม่นาน ผ้าขาวก็หมอง จิตจับอสุภสัญญาว่า ผ้าขาว ๆ เรี่ยมเร้ มาถูกเข้ากับร่างกายอันสกปรก ผ้าก็เศร้าหมองไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ แยกรูปนาม ขึ้นสู่วิปัสสนา ได้บรรลุอรหัตตผล พร้อมปฏิสัมภิทา และทรงพระไตรปิฎก ในบัดนั้น

เมื่อได้เวลาถวายภัต พระพุทธองค์ตรัสให้ยับยั้งอยู่ ด้วยมีพระอีกรูปอยู่ในวิหาร (ซึ่งก็คือพระจูฬปันถก ที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว) พระมหาปันถกทูลว่า ไม่มีภิกษุอยู่ในวิหารแล้ว พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ยืนยันว่า "มี" แล้วให้ชีวกไปนิมนต์

ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทา พระจูฬปันถกทราบแล้วว่า พระพี่ชายบอก "ภิกษุในวิหารไม่มี" จำเราต้องประกาศให้ท่านทราบว่า มีภิกษุอยู่ในวิหาร แล้วจึงเนรมิตตนขึ้นอีก พันหนึ่ง ด้วยฤทธิ์ ทำกิริยาอาการต่าง ๆ กันอยู่ ที่สุดจึงเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า พระจูฬปันถก ผู้ซึ่งท่องคาถาเดียวสี่เดือนไม่ได้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณแล้ว

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงอารัมภบทก่อนเข้าสู่ "ความเฮงศาสตร์" ครับ ยังไม่เข้าสู่ส่วนของรายละเอียดกลไกการทำงานของมัน ความเฮงศาสตร์นั้น ถูกเข้ารหัส ซ่อนตัวอยู่ในตอนต่อไป ซึ่งเป็นบุพกรรมของพระจูฬปันถก ขืนนำมาถอดรหัสในตอนนี้ จักยาวเกินไป ปวดลูกกะตา ขอเลื่อนไปดีโค้ดปริศนาลายแทงขุมทรัพย์กันต่อในตอนหน้า นะจ๊ะ

จบตอน ๒

ขอบคุณชีวิตที่ยุ่งยาก ตอนที่ ๑ - กำเนิดนักล่าสมบัติby Dhammasarokikku

avatar188546_1เคยคิดไหมหล่ะว่า ทำไมชีวิตฉันถึงยุ่งยากนัก ทำไมถึงมีอุปสรรคเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ทำไมไอ้โน่นไอ้นั่นไอ้นี่ จึงไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ ทำไมฉันจึงต้องเกิดมาในครอบครัวที่วุ่นวาย ทำไมพ่อแม่ญาติพี่น้อง หรือลูกหลานของฉันถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมงานการจึงตะกุกตะกัก เงินเดือนไม่เคยพอใช้ หนี้สินพะรุงพะรัง ทั้งที่ก็ใช้จ่ายอย่างกระเหม็ดกระแหม่ บางทีคนที่เรารักก็เจ็บป่วย หรือกระทั่งจากไป สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้เราอย่างหนักหน่วง ทำไมถึงไม่มีแฟนสักที ทำไมการมีแฟนมันถึงยากเย็นนัก ครั้นพอมีแฟนแล้ว พ่อแฟนตัวดี ก็ดีแตก สมัยจีบกันใหม่ ๆ อย่างหนึ่ง นานไปก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง บางทีความทุกข์ก็ถาโถมเข้ามาทีละมาก ๆ รับกันไม่หวาดไม่ไหว บางทีธุรกิจทำมาดี ๆ ก็เจ๊งเอาดื้อ ๆ เจ๊งอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ชีวิตมีแต่คำถามว่า "ทำไม"

ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่ง ครับ ที่ชีวิตมีแต่คำถาม เพราะชีวิตก็ยุ่งยากซับซ้อนซ่อนเงื่อน น้ำเน่าเสียยิ่งกว่าละครช่องเจ็ด หากเอาไปทำหนัง ก็คงได้รางวัลลูกป๋องแป๋ง (โลก) ทองคำ อย่างไม่ต้องสงสัย

ข้าพเจ้านั้นมีโอกาสยิ่งกว่าใคร ๆ อีกหลายแสนคน เกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง สามารถลงทุนทำกิจการมูลค่านับสิบล้านได้อย่างสบาย ๆ ขณะที่บางคนมีเงินลงทุนเริ่มต้นในธุรกิจเดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยทำ เพียงสองแสนห้า บัดนี้เขากลายเป็นดาวค้่างฟ้าไปแล้ว ด้วยเงินที่ข้าพเจ้าเป็นคนเจียดให้เขาไปเอง

มิใช่จะยกหางตัวเองหรอก เพียงจะบรรยายให้เห็นภาพ อันข้าพเจ้านั้น ถึงพร้อมด้วยสรรพวิชาความรู้ทางโลก ความเพียร ความอุตสาหะ แถมท้ายด้วยวิชามาร <---ไม่ต้องบอกก็ได้ม๊างค๊าบ ความคิดจะเป็นซาราริมัง หรือมนุษย์เงินเดือน ไม่เคยอยู่ในหัวขมอง ครับ ด้วยความเป็นอยู่ ที่แวดล้อมไปด้วยความเป็นเจ้าของกิจการ และการลงทุน มาแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือเพื่อนฝูง

ความเป็นเจ้าของกิจการ หรืออองเทอเพรอเนอชิพ (Entrepreneurship) นี่ มันเรียนกันไม่ได้นะ ครับ มันฝังอยู่ในโครโมโซม เจเนติก ฝังอยู่ในสายเลือด ที่บางคนเรียกภาษาสวยหรูว่า วิชั่น (vision) หรือวิสัยทัศน์ คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคิดว่า ส่งลูกเรียนบริหารธุรกิจแล้ว จบมามันจะได้เป็นเจ้าของกิจการ มันไม่ใช่แค่นั้น ครับ

แต่มีไป ก็เท่านั้น ครับ เจ้าความเป็นเจ้าของกิจการ ไม่เห็นมันจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิตอะไรได้

อะไรเล่า เป็นคอร์ เป็นแก่นของความสำเร็จในการทำธุรกิจ?

อะไรเล่า ที่ข้าพเจ้าไม่มี?

อะไรเล่าที่ขาดหายไป?

วิศวกรที่เขาว่าเก่งนักเก่งหนา ลองเอาบาลานซ์ชีท (Balance sheet) หรืองบดุลไปให้เขาดูสิ เขาดูรู้เรื่องไหม เขาสามารถวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทนั้นได้หรือไม่ หรือนักบัญชีที่เก่งกาจ ลองถามเขาสิว่า รู้จักลามิน่าโฟล (Lamina flow) รูปแบบการไหลหนึ่งของของไหล (fluid) หรือเปล่า หรือนักการเงินมือฉกาจ เขาจะรู้ไหมว่า สกีมสีเฮกแซ่ด (Hexads scheme of color) หน้าตาเป็นอย่างไร มีสีอะไรบ้าง หรือสถาปนิกมือโปร เขาจะรู้ไหมว่า อัตราดอกเบี้ยแท้จริง หรือ เอฟเฟ็คทีฟเรทของดอกเบี้ย (err) ที่เขาผ่อนบ้านอยู่ หรือ มูลค่าปัจจุบัน พรีเซ้นท์แวลู (Present Value) ของรถที่เขาจะผ่อน เป็นมูลค่าเท่าไหร่

ข้าพเจ้าสามารถระเบิดพลังเป็นซุปเปอร์ไซย่าสาม ตอบปัญหาข้างต้นได้ทั้งหมด ครับ <---อีโก้เยอะน่าดู แต่ทำไมถึงจอดไม่ต้องแจว ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดงั้นสิ?

ทำไมบางคนรู้แค่วิธีทอดกล้วย หรือทอดไก่ให้อร่อย ก็รวยได้ ประสบความสำเร็จในชีวิตได้

มันต้องมีกระไรมากกว่าสิ่งที่อยู่ในตำราเรียน ประสบการณ์ หรือเกินความเป็นเจ้าของกิจการสิ

กระทั่งแม่ค้าขายขนม ในโรงอาหารของโรงเรียนสมัยประถม เขาก็ส่งลูกเรียนจนจบปริญญาโทจากนอก ถึงสองคน เขาไม่มีทางรู้จักลาปาซทรานซ์ฟอร์มเป็นแน่แท้ ข้าพเจ้าสามารถหลับตาจับกสิณฟูริเยร์ซีรี่ย์ได้ ไหงไม่มีปัญญาแม้จะส่งตัวเองเรียน

สิ่งที่เหนือเมฆ เหนือบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ขึ้นไป ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า "ความเฮง" ครับ

"เก่ง" ต้องบวก "เฮง" ไม่งั้นก็เป็นได้แค่โปรเฟสเซอร์สอนนักศึกษาในมหาลัย หรือผู้เชี่ยวชาญพิเศษในแขนงวิชานั้น ๆ

แม้วเอ้ย!!!... ทำไมแม่ค้ากล้วยทอดหน้าบ้าน เขาถูกหวยแทบทุกงวด ส่วนข้าพเจ้าซื้อเมื่อไหร่เป็นถูกหวยแดกเมื่อนั้น ไม่เฮงบ้างก็แล้วไป

ความเฮงนั้น ล่าสุดฝรั่งเขาก็เอาไปใส่ไว้่ในตำราเรียนวิชาบริหารธุรกิจแล้ว ครับ เขายอบรับว่า ความเฮง มันมีพลังอย่างเหลือเชื่อ เกินกว่าที่ความเก่งจากตำราเรียนจะสามารถบันดาลให้เป็นไปได้ ต่อให้เฮงอย่างเดียว ไม่ต้องเก่ง ก็มีทรัพย์นับแสน(ล้าน)ได้

มีโปรแกรมเมอร์เป็นแสนคน ครับ ที่สามารถสร้างโปรแกรมปฏิบัติการ อย่างไมโครซอฟต์วินโดว์ หรือ โปรแกรมฐานข้อมูล อย่าง ดีเบส ทู (dBase II) แต่เหตุใด ตาบิล เกตต์ ถึงมีทรัพย์สินล้นฟ้าอยู่คนเดียว เขาพยายามจะอธิบายความสำเร็จของตาบิล เกตต์ ออกมาเป็นเรื่องวิสัยทัศน์บ้าง การประดิษฐ์คิดค้นบ้าง ความเป็นอัจฉริยะบ้าง แต่รับรองครับ ไม่มีเหตุปัจจัยใด เกิน "ความเฮง" ของเขา

บ๊ะ... แล้วความเฮง มันทำกันได้ไหมล่ะ ภาษาไทยแปลว่า "โชค" หรือ "โชคช่วย" เกิดโชคมันสร้างกันได้ เขาคงไม่เรียกว่า โชค กระมัง

ข้าพเจ้าก็ยอมรับในความจริงอันนี้ ครับ จึงก้มหน้าก้มตาทำงานไปอย่างทรหดอดทน ไม่เคยคิดหวัง ความเฮงใดจักปรากฏแก่ข้าพเจ้า

3c56d64178b45653e45973d35ddc0479_1232462653แต่เด็กมา ข้าพเจ้ามีความเชื่อประหลาดอันหนึ่ง ครับ ข้าพเจ้าเคยจินตนาการไปว่า คงจะมีวิทยายุทธ์กระไรบางอย่าง ซ่อนอยู่ในแวดวงผ้าเหลือง แต่อดีตมา สถาบันกษัตริย์ มักข้องแวะกับสถาบันศาสนา (โดยเฉพาะศาสนาพุทธ) อย่างแน่นแฟ้น ดูนายสิน หรือนายด้วงสิ เป็นสามัญชน บุคคลธรรมดาเสียภาษีอยู่ดี ๆ พอได้บวชแล้ว ไม่นานก็ได้ปราบดา หยุ่น ขึ้นเป็นกษัตริย์ เป็นพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อ๊ะ... หรือจะมีตำราพิชัยสงครามซุนวู เวอร์ชั่นสยามเมืองยิ้ม ตกทอดกันมาแต่ยุคโบราณกาล โดยซุกซ่อนไว้ ให้บุคคลในวงการผ้าเหลือง เป็นผู้เก็บรักษา (เหมือนมีองค์กรลับไพเออร์รี่ออฟไซออน ปิดความที่โซเฟียเป็นลูกหลานของพระเยซูในดาวินชี่โค้ด) เพราะการเป็นกษัตริย์ มิใช่เป็นกันง่าย ๆ ประเทศไทยก็มิใช่เล็ก ๆ จริงมะ

เช่นนั้นแล ข้าพเจ้าจึงสนใจวงการผ้าเหลืองเป็นพิเศษ สักวัน ข้าพเจ้าจะต้องเข้าไปพิสูจน์สมมุติฐานของข้าพเจ้าให้ได้

ข้าพเจ้าก็เหมือนใครอีกหลายคนนั่นแล ไม่เจอทุกข์ ก็คงไม่แสวงหาธรรม ไม่เคยว่างเข้าวัด ไม่สุดลิ่มทิ่มประตูจริง ๆ ก็คงไม่บวช ขอใช้ชีวิตโลก ๆ ที่แสนรื่นเริงในกามคุณ ๕ ให้หนำใจเสียก่อน

ชีวิตมันกลับเหมือนใยแมงมุม หรือตาข่ายดักปลา ครับ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่น ยิ่งดิ้นยิ่งทุกข์ ข้ามอุปสรรคนี้ไปได้ อุปสรรคขั้นกว่า ก็ถาโถมเข้ามา พ้นขั้นกว่าไปได้ ความวิปโยคขั้นสูงสุดก็โหมทับ

มีนักเจริญวิปัสสนามากว่า ๒๐ ปี ท่านหนึ่ง ครับ เป็นฆราวาส มีอายุแล้ว พยากรณ์ไว้เมื่อราวปี ๔๘ (ข้าพเจ้าบวชเมื่อปี ๔๙) ว่า ข้าพเจ้ากำลังเดินมาถึงทางแยกของชีวิต ถ้าเลือกเป็นฆราวาส จะถึงแก่ความร่ำรวย หรือถ้าเลือกบวช อาจไม่มีโอกาสได้สวมชุดฆราวาสอีก

มองย้อนกลับไปในอดีต (อุ้ย... แก่แล้่วสิตรู ชอบเล่าความหลัง) มันเป็นจริงตามที่คำพยากรณ์ทีเดียว ครับ ตอนที่ท่านพยากรณ์นั้น ชีวิตข้าพเจ้ายังเมามันอยู่ในแสงสีอยู่เลย ครับ ไม่มีวี่แววจะโกนหัวสักนิด จนข้าพเจ้าได้บวช และได้พบคัมภีร์ลึกลับที่ตกทอดมาแต่สมัยพุทธกาล ใครได้เข้าถึงคัมภีร์นี้ แม้เป็นบุคคลธรรมดาตัวเปล่าเล่าเปลือย ก็อาจเป็นกษัตริย์ได้ จนเข้าใจความเป็นไปของชีวิต จนรู้ถึงว่า "ความเฮง" หรือ "ความฟลุ๊ค" ไม่มีในศาสนาพุทธ ครับ แทงทะลุถึงวิถีแห่งความร่ำรวย และที่สำคัญที่สุด คัมภีร์นี้ตอบคำถามที่สงสัยในใจมานานแล้วว่า "ชีวิตเราเกิดมาทำไม"

ครั้นทราบแล้วว่า ชีวิตเราเกิดมาทำไม จะมัวไปร่ำรวยอยู่ทำไม ครับ มันมิใช่สาระแก่นสารของชีวิต แทนที่ข้าพเจ้าจะเลือกความร่ำรวย ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะบวชต่อไป

แต่เนื้่อหาในคัมภีร์ใช่ว่าจะเข้าใจโดยง่าย ครับ เป็นลายแทงไปสู่ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยการตีความปริศนา ยิ่งกว่า นิโคลัส เคจ นักล่าสมบัติในหนังเรื่อง National treasure, davinci code หรือกระทั่ง เทวา กับซาตาน ที่กำลังชนโรง และแม้ตีความเคล็ดวิชาออกแล้ว ก็ยังต้องฝึกฝนอีกยาวนาน

คิดย้อนไป ต้องขอบคุณความยุ่งยากทุก ๆ วินาทีของชีวิตเลย ครับ ที่พาให้ข้าพเจ้าสุดท้ายมาพบคัมภีร์สุดยอดเล่มนี้ จักบรรยายเนื้อหาในคัมภีร์เสียตอนนี้ ก็จักยาวเกินไป ขอโพสต์ไปไขความลับปริศนาขุมทรัพย์ "ความเฮง" ในตอนหน้า

How to ทำอย่างไรให้ถึงนิพพาน พระธรรมขันธ์ที่ ๔ - จาคะby Dhammasarokikku

images10เอาละครับ ช่วงนี้กำลังไฟแรง อัพให้กระจาย เอ็นทรี่ที่แล้วพูดถึงว่า การทำบุญทำทานของเราทั้งหลาย มีทั้งเพื่อความเกิด และเพื่อความไม่เกิด ก็ในเมื่อตัวอย่างทั้งสองในเอ็นทรี่ก่อน ยังทำทานเพื่อความเกิดอยู่ ก็แล้วทำทานเพื่อความไม่เกิดหน้าตาเป็นอย่างไร

เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงวิสัชนาถามหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่ข้าพเจ้าเคารพเมื่อหลายสิบปีก่อนครับ สมัยนั้นพระองค์ทรงศึกษาธรรมะอย่างเข้มข้น ครูบาอาจารย์ที่ว่าเป็นพระดี อยู่ในป่า ในเขา พระองค์ก็ทรงบากบั่นเข้าไปกราบ เข้าไปขอธรรมะ ทรงศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์หลายสาย ทั้งสายพระป่า และพระบ้าน

ข้อความต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าคาดเดาเอาเอง อาจจริงหรือไม่จริงก็ได้ ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณพิเคราะห์เอาเอง

จริตของพระองค์หนักไปทางพุทธิจริตครับ เมื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติของครูบาอาจารย์แต่ละสาย ย่อมมีข้อขัดแย้งกันในรายละเอียดการปฏิบัติ ใครก็ทราบครับว่า สายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำซึ่งเป็นสายพระบ้านเน้นการให้ทานนำหน้า ส่วนสายพระป่าไม่เน้นการให้ทาน แต่เน้นการภาวนา ดูจิตดูใจของตนเอง

มองเผิน ๆ ก็เหมือนขัดแย้งกัน แต่ศึกษาให้ละเอียดแล้ว ก็คือเรื่องเดียวกัน ไม่มีสายไหนขัดกับสายไหนเลย สุดท้ายก็คือ ทาน, ศีล, ภาวนา

ข้าพเจ้าสังเกตคำถามที่พระองค์ทรงถาม พระองค์มิได้ทรงถามครูบาอาจารย์แค่รูปใดรูปหนึ่ง สายใดสายหนึ่ง แต่ถามหลายรูปหลายสาย แล้วนำคำตอบทั้งหลายไปทรงสังเคราะห์วินิจฉัยอีกที

คำถามธรรมะของพระองค์แต่ละคำถาม มักลึกซึ้ง และมักเป็นข้อที่ดูเผิน ๆ เหมือนขัดแย้งกันในแนวทางการปฏิบัติแต่ละสาย ยากแก่การตอบ คำถามนั้นมีอยู่ว่า "จาคะตัวเดียว ถึงนิพพานไหม?"

อ่านดี ๆ นะครับ "จาคะ" ไม่ใช่ "ทาน" ถ้าคิดดี ๆ นี่เป็นอัจฉริยภาพของผู้ถามด้วย

IMG_3231แล้วจาคะมันแปลว่ากระไรเล่า? เบื้องต้นมันแปลว่า สละออก บริจาค ซึ่งก็ไม่เห็นจักแตกต่างจากคำว่า "ทาน" หรือการให้ เท่าไหร่เลย

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำวินิจฉัยคำถามนี้แล้ว ลงความเห็นไว้สั้น ๆ ว่า "ถ้าทำให้ถึงสังขารุเปกขาญาณ จาคะตัวเดียวก็ไปนิพพานได้"

เอาละซี นอกจาก "จาคะ" แล้ว ยังมีบาลียาวเหยียดมาให้เวียนเฮดอีก ๑ คำ คือ "สังขารุเปกขาญาณ" ยิ่งตาลายเข้าไปใหญ่

มาแยกศัพท์กันก่อนครับ สังขารุเปกขาญาณ มาจาก สังขาร(การปรุงแต่ง) + อุเบกขา(วางเฉย) ซึ่งก็คือการวางเฉยในการปรุงแต่ง ศัพท์พวกนี้ศึกษาไป ปฏิบัติไป เดี๋ยวก็เข้าใจไปเองครับ ตอนนี้เอาแค่ความหมายกว้าง ๆ ไปก่อน

ในคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านย้ำเป็นระยะ ๆ ครับว่า "ถ้าฉลาดพอ" ฉะนั้นการฟังคำสอนของท่าน แล้วใช้แต่สัญญา หรือความจำ บางทีไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร บางทีก็หลงผิดไปเลยก็มี ฉะนั้นต้องพินิจพิจารณาให้รอบคอบ

สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง ก็ยึดมั่นในคำสั่งสอนแนวทางการปฏิบัติของท่านมาโดยตลอด สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในความเป็นข้าพเจ้า ก็คือ "ความตึ๋งหนืด" นั่นเอง ท่านสอนว่า การให้ทานสามารถบรรเทาความตระหนี่ได้ แต่พรรษาแรก ข้าพเจ้าก็ทำเรื่อยมา

การรบกับกิเลส ต้องเรียกว่า ตายเป็นตายครับ มาเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไม่ได้ กิเลสเอาไปกินหมด

ทำทาน ก็ต้องทำชนิดที่เรียกว่า ทำกันแบบเอาชีวิตเข้าแลก

สมัยแรก ๆ ก็ทุ่มทุนสร้างครับ ถือว่า บวชเข้ามาห่มผ้าเหลืองแล้ว สละหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไฟแรงสุดขีด มีเงินเท่าไหร่ ทำบุญจนหมดตัว ซึ่งเห็นผลรวดเร็วจริง ๆ ครับ แต่ฆราวาสไม่ควรเลียนแบบ เป็นนักบวชนี่ดีอย่าง ไม่ต้องกลัวอดตาย ทำให้รบกับกิเลสได้เต็มมือ ฆราวาสนี่ต้องรบแบบยั้ง ๆ เพราะทำบุญจนเบียดเบียนตัวเอง พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ การทำบุญแบบยั้ง ๆ บางทีก็มาพร้อมกับ "ความกลัวขันธ์ ๕ หรือร่างกายลำบาก"

สำหรับนักบวชนี่ ตัดทิ้งไปเลยครับ แค่ทำทานของนอกกาย จักไปลำบากขันธ์ ๕ กระไรมากมาย ช่วงแค่ไม่กี่เดือนแรกของการบวช ทำบุญไปเป็นแสนครับ เพราะคิดว่า คงบวชไม่นาน ต้องทำบุญให้เต็มที่ และทำบุญในผ้าเหลือง มีอานิสงส์มากกว่านอกผ้าเหลืองเป็นแสน เป็นล้านเท่า

ช่วงนั้นก็ยังแคร์เรื่องอานิสงส์ เรื่องเนื้อนาบุญอยู่ครับ เจอพระดีนี่ทุ่มไม่อั้น ประเภทอื่นก็ลดลงไปตามลำดับ แต่ทำทานชนิดหัวไม่วาง หางไม่เว้น ทำทุกวัน ทำทุกโอกาส ไม่เลือกว่า ทำบุญแบบนี้อานิสงส์มาก ทำเยอะ ๆ ทำบุญแบบนี้อานิสงส์น้อย เพราะฉะนั้นฉันไม่ทำ เช่น ทำทานกับสัตว์เดรัจฉาน อานิสงส์น้อยยิ่งกว่า ทำทานให้ขี้เมา แล้วถ้าเทียบกับถวายทานให้แด่พระอริยะแม้เพียงเบื้องต้น อานิสงส์แตกต่างกันชนิดเทียบไม่ได้ แต่ก็ทำครับ ทำทุกวันด้วย (นี่ไม่ใช่มาคุยโม้ว่า ข้าพเจ้าทำทานมากนะครับ <เพิ่งทำมาแป๊บเดียวน้อยเดียว> แต่เป็นการเล่าประสบการณ์การปฏิบัติ และผลของมันในชีวิตจริงให้อ่านกัน) เพราะคิดว่า เรื่องอานิสงส์นี่ไม่ควรมีอิทธิพลต่อการทำทานมากเกินไป หากคิดแต่จักเอาอานิสงส์ ก็ยังไม่พ้นจากการทำทาน "เพื่อตัวเอง"

IMG_8570อาจแย้งว่า คนเราก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น อย่างหยาบก็ทำเพื่อความมั่งมีในชาติต่อ ๆ ไป อย่างละเอียดก็เพื่อให้ตัวเองพ้นทุกข์นิพพานในชาติปัจจุบัน ทั้งนี้ความ "เพื่อตัวเอง" ต้องพอดี ๆ อย่าให้มันเกินไปจนกลายเป็น "เห็นแก่ตัว" อยู่วัดตัวเองอิ่มอ้วนเกษมสำราญ แต่หมาแมวรอบวัดผอมกะหร่อง เพราะทำทานกับสัตว์เดรัจฉานมีอานิสงส์น้อย อย่างนี้ก็เกินไป

และปฏิปทาหลวงพ่อท่านก็มีเมตตาต่อสัตว์รอบวัดมาก ข้าพเจ้าก็เลียนแบบครับ เบื้องแรกคิดเพียงว่า เป็นการฝึีกเมตตาพรหมวิหาร และให้เขาไปดี ไม่นึกเลยว่า จักมีผลดีต่อตนเองในเบื้องปลาย ดีอย่างไร? ข้าพเจ้าจักได้สาธยายต่อไปเบื้องหน้า

ไม่เพียงแต่จักทำบุญไม่เลือกหน้าให้มากแล้ว ซ้ำบางทีข้าพเจ้ายังยอมลำบากเพื่อบุญที่มีอานิสงส์น้อย ๆ เช่นทำทานให้สัตว์เสียอีก ดูเผิน ๆ เหมือนขัดกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน แต่ศึกษาให้ดีพระองค์ทรงบอกว่า "อักขาตาโร ตถาคตา" ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก เรื่องอานิสงส์นี้ พระองค์ก็ทรงเพียงแจกแจงไว้ว่า ทำบุญอย่างนี้ ได้อานิสงส์อย่างนั้น เท่านั้น แล้วให้เราเป็นผู้เลือกทำเอาเอง

อยากได้อานิสงส์มาก ๆ ก็ทำทานในเนื้อนาบุญที่ดี ที่ประเสริฐ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้ายังทำบุญเพื่อให้อานิสงส์เกิดแก่ตนเองเพียงถ่ายเดียว ยังใช้ไม่ได้ สมมุติว่า ข้าพเจ้ามีเงินอยู่ห้าบาท ต้องเลือกเพียงอย่างเดียวระหว่างทำบุญกับภิกษุอิ่มอ้วนพี กับสุนัขผอมหิวโหยที่วัด ถ้าจักทำทานเพื่ออานิสงส์แก่ตนเองมาก ๆ ก็ต้องปล่อยให้หมาวัดอดตาย เจตนาการทำทานในเนื้อนาบุญที่มีอานิสงส์น้อย ๆ จึงมุ่งสงเคราะห์ผู้อื่นอย่างแท้จริง มิได้มีความหวังในอานิสงส์แอบแฝง

อาจกล่าวได้ว่า อานิสงส์น้อย แต่ได้เมตตาพรหมวิหารมาก

พอมาศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อปราโมทย์ ก็เห็นว่า ธรรมะแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกันดี ครับ ท่านเล่าถึงอาการของสังขารุเปกขาญาณว่า เห็นโลกเท่ากันหมด คนดีกับคนเลวก็เท่ากัน เสมอกัน จักเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อสีใด ๆ ก็ตาม ก็เท่ากันหมด เสมอกันหมดในความเป็น "ไตรลักษณ์" โลกงี้ราบเป็นหน้ากลอง ทุกอย่างล้วนเสมอกัน

...ผ่าม...

ธรรมะจากสำนักปฏิบัติสองสาย สอดรับกันได้กลมกล่อมเหลือเกินครับ พอมองความสัมพันธ์ออกหรือไม่?

เอาความหมายของสังขารุเปกขาญาณจา่กคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ไปแทนลงในคำวินิจฉัยของหลวงพ่อฤๅษีฯ จักได้ว่า "ถ้าทำจนเห็นโลกเท่ากัน จาคะตัวเดียวก็ถึงนิพพานได้"

IMG_8897...ผ่าม...

เห็นอะไรไหมครับ?๋

อาจจักยังเห็นไม่ชัด ลองมาดูพระราชวินิจฉัยของในหลวงเพิ่มกันอีกสักนิดครับ พระองค์ทรงให้ความหมายของคำว่าจาคะไว้เป็น ๓ เลเวลครับ บารมีต้น ท่านทรงใช้ว่า "เสียสละ" คือยังประกอบด้วยความเสียดายมาก "อะ... ฉันตัดใจให้เธอนะ" กระไรเทือกนั้น กำลังใจสูงขึ้นมาอีกหน่อย คำว่า "เสีย" หายไป เหลือแต่คำว่า "สละ" (ไม่ใช่สละไซเดอร์นะ) ความเสียดายน้อยลงไปอีกหน่อย พอขั้นสุดก็ตัด "ส" ออก เหลือแค่ "ละ"

"ละ" นี่เป็นปฏิปทาเพื่อความเป็นพระอรหันต์นะครับ แค่ "ละ" ตัวเดียวก็นิพพานได้

เอาคำว่า "ละ" ไปแทนในคำวินิจฉัย จักได้ว่า "ถ้าละจนเห็นโลกเท่ากัน จาคะตัวเดียวก็ถึงนิพพานได้" โอ้โห... เห็นภาพไหมครับ?

ย้อนกลับมาดูเรื่องอานิสงส์ครับ สำหรับคนที่กำลังใจยังไม่เข้มแข็งก็ "เสียสละ" ทรัพย์เป็นทานใช่ไหม? มีความหวงแหนทรัพย์มาก แต่อะ... เพื่ออานิสงส์ ยอมแลกทรัพย์ตน (แม้จักได้มายากมาก) กับอานิสงส์ ยอมก็ยอม นี่เป็นบารมีต้นครับ

พอเสียสละ(ทรัพย์ภายนอก)ไปมากเข้า ก็เริ่มเห็นว่า การให้ทานนั้นไปทำให้ผู้อื่นมีความสุข การเห็นผู้อื่นมีความสุข ก็พลอยทำให้เรามีความสุขไปด้วย จนบางทียอมตัวลำบากเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข ยอม "สละ" ความสุขความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุขก็ยอม ถึงตอนนี้อานิสงส์จักเป็นอย่างไร ก็ไม่ค่อยสำคัญแล้ว (มีบ้างเหมือนกันตามวาระ และโอกาส)

สละไปมากเข้า ทีนี้อานิสงส์เป็นอย่างไร เริ่มหมดความสำคัญแล้ว ไม่เลือกแล้ว แต่ก่อนความอยากทำบุญกับพระอรหันต์เทียบกับความอยากให้ทานสัตว์เดรัจฉานอาจแตกต่างกันมาก พอถึงขั้น "ละ" แล้ว ปัจจัยภายนอกล้วนเสมอกัน ทั้งในแง่ความเป็นไตรลักษณ์ และแง่อื่น ๆ เพราะ "ละ" นี่มันมุ่งปัจจัยภายใน ทำทานอย่างนี้ไปละ "ความโลภ" ได้สักเท่าไหร่ มากกว่าทำทานอย่างนี้จักได้อานิสงส์แค่ไหน

และ "ละ" ที่ "สุดติ่ง" คือ ละความหลงครับ หลงคิดว่า นี่เป็นของเรา ที่สุดละความเห็นผิดว่า นี่เป็นเรา นั่นเป็นเขา เพราะ "เรา" ก็ไม่มี "เขา" ก็ไม่มี มีแต่ก้อนธาตุ เห็นแบบนี้แล้ว "ชีวิต" เราก็ให้ได้ นี่ไง!!!สังขารุเปกขาญาณ!!!

จักให้หมาวัด หรือพระอรหันต์ ก็เท่ากัน เพราะ "ละ" กิเลส (ในใจเรา) ได้เท่ากัน

ย้อนกลับไปถึงการทำทานให้สัตว์เดรัจฉานที่ข้าพเจ้าว่า มันมีผลดีในเบื้องปลายอย่างคาดไม่ถึง ก็ตรงนี้เอง หากเราทำบุญแล้วมัวแต่นั่งคิดถึงเรื่องอานิสงส์ นั่นเป็นการฝึกกระไรครับ? ฝึกให้เห็นความแตกต่างถูกไหมครับ? เลือกทำบุญกับพระอรหันต์ แต่พวกเนื้อนาบุญอานิสงส์น้อย ๆ อย่างหมาน่อย เมินเสียเถอะ!!!

แล้วสิ่งที่ทำให้เราแยกแยะ "อานิสงส์" จากทานให้หมาวัด กับถวายพระอรหันต์ ก็คือ "ความคิด" ใช่หรือไม่? ความคิดปรุงแต่ง มีชื่อเป็นภาษาแขกว่า "สังขาร" โฮ่... เห็นกระไรไหม?

พูดเป็นภาษาแขก เบื้องต้นท่านให้เราฝึกให้มี "สังขาร" ที่เป็นกุศล ลด ละ เลิก "สังขาร" ที่เป็นอกุศล เบื้องปลายท่านให้เราเห็นว่า "สังขาร" ทั้งหลาย ก็เท่านั้นแหละ!!! วางซะทั้งกุศลและอกุศล

วางได้ก็เข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ

พูดเป็นภาษาไทยอีกที เบื้องต้นท่านให้เราฝึกคิดดี พูดดี ทำดี เบื้องปลายท่านให้เราเห็นว่า คิดดี คิดชั่ว ก็เสมอกัน เพราะไอ้ตัวคิด มันไม่ใช่เรา

IMG_3085จากขั้นนี้ (สังขารุเปกขาญาณ) ก็เป็นนิพพิทาญาณครับ ปรีชาเห็นโลกน่าเบื่อหน่าย คลายกำหนัด และหลุดพ้นตามลำดับ

"จาคะ" ตัวเดียว ก็ถึงนิพพานหรือยังครับ?

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

ปล.๑ ขอยืนยันครับว่า ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการอ่าน การฟัง หรือการนึกคิดจินตนาการเอา ต้อง "ปฏิบัติ" เองเท่านั้น เป็นปราชญ์พูดจาให้คมแดกแค่ไหน ตัวเองละกิเลสไม่ได้ ก็เท่านั้นครับ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ

ปล.๒ ที่นำมาเล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว ก็เพราะเมื่อวานไปกราบหลวงพี่สมปองมาครับ ถามท่านเรื่องของอานิสงส์การไปทำทานให้ชาวเขา เขาทั้งหลายมีจิตบริสุทธิ์น่าจักเป็นเนื้อนาบุญที่ดีหรือไม่?คำตอบของท่านเล่นเอาหงายเก๋ง ไขข้อข้องใจที่ตะขิดตะขวงใจมานานหมดสิ้น ท่านว่า "เราเป็นนักบวช จักไปใส่ใจกระไรตรงนั้น"

นี่เอง!!!การทำทานของนักบวช กับฆราวาส ไม่เหมือนกัน เพราะฆราวาสนั้น เขามีทรัพย์จำกัด ต้องแบ่งสรรปันส่วนให้เหมาะสม ในเมื่อเขามีทรัพย์น้อย จึงต้องใส่ใจกับอานิสงส์มาก ส่วนนักบวชนั้นมีทรัพย์ไม่จำกัดครับ ตามกำลังศรัทธาของญาติโยม และนักบวชไม่มีทรัพย์ก็ไม่เดือดร้อน

ท่านแนะให้ใส่ใจ "ประโยชน์" มากกว่าครับ เพราะทรัพย์นั้นไม่ใช่ของเรา ญาติโยมเป็นคนหามาด้วยความเหนื่อยยาก

อีกประการหนึ่ง การละความตระหนี่ในเบื้องต้นนั้น ยากมากครับ อานิสงส์ก็เป็นตัวช่วย หรือสิ่งจูงใจอย่างหนึ่งที่มีผลมากสำหรับผู้เริ่มต้น แต่เริ่มแล้วอย่ามั่วย่ำอยู่ที่เดิมครับ

ปล.๓ เขียนไปเขียนมา ดูเหมือน "ทาน" จักเน้นไปที่การให้ เน้นไปที่ผู้รับ ส่วน "จาคะ" นี่ดูเหมือนเน้นไปที่ใจคนให้นะ ว่าไหม? by Dhammasarokikku

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons