คงเคยได้ยินกันมาบ้างหล่ะซี สำนวน "เกาะชายผ้าเหลือง" เป็นสุดยอดปรารถนาของบรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ ทั้งหลาย (สมัยก่อน) ถ้ามีลูกเป็นผู้ชาย อยากให้ลูกได้บวชสักพรรษาหนึ่ง (ไม่รู้สมัยนี้ ยังมีค่านิยมอย่างนี้อยู่หรือเปล่า) เพราะเชื่อกันว่า จักสามารถช่วยให้พ่อแม่เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ได้
ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า จริงหรือเปล่า เพราะไม่มีทิพยจักษุ แต่ในคัมภีร์ใบลาน พระอุณณหิสสวิชัย มีระบุไว้ว่า ถ้าบวชญาติ ได้บุญ ๑๕ กัลป์ และในหนังสือของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ระบุไว้ว่า ถ้าลูกได้บวช พ่อแม่จักได้อานิสงส์วิเศษ ได้บุญอัตโนมัติโดยมิต้องโมทนา ไปเป็นเทวดานางฟ้า ๖๑ กัปกระมัง ถ้าจำไม่ผิด (บุญปกติทุกชนิดที่อุทิศให้ ไม่ได้ทำเอง ผู้รับต้องโมทนา ครับ ถึงจักได้รับ) แม้ในกรณีที่เด็กเกิดแล้ว จากพ่อแม่ทันที และไม่ได้พบกันชั่วชีวิตเลยก็ตาม
มันชวนให้นึกคิดค้นคว้าเล่น ๆ ตามประสาคนช่างฟุ้ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
๑. เห็นชัด ๆ เลย ไม่ต้องมีทิพยจักษุ ก็คือ หม่อมแม่หม่อมป๊าต้องแวะเวียนมาหาลูกชาย ครับ และเป็นธรรมดามาหาพระลูกชาย ก็คงต้องหนีบของกินมาฝากด้วย ... คุณลูกขา ของบิณฑบาตกินไม่อร่อยเลยใช่ไหมคะ? ... เสร็จเรา ได้บุญถวายภัตตาหารไปเรียบร้อยแล้วหนึ่งเด้ง (ตั้งใจทำสุดฝีมือ หรือหาของอร่อยสุดขีดเท่าที่จักหาได้มา อีกต่างหาก) หม่ำข้่าวเสร็จแล้ว ก็อาจมีสาธกเสวนาสารทุกข์สุกดิบกัน พระลูกชาย ก็ได้โอกาสให้ข้อคิดธรรมะอีก ได้บุญไปอีกหนึ่งเด้ง ทั้งที่เวลาปกติ พ่อแม่มักให้ความเชื่อถือลูก ๆ ต่ำมาก แม้ว่าลูกจักจบปริญญาเอกมาก็ตาม เพราะรู้สึกว่า อั๊วะเลี้่ยงเอ็งมากับมือ ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย อย่าได้ริอ่านมาสอนข้า อะไรเทือกนั้น
(บางทีก็นึกน้อยใจเหมือนกัน แล้วป๊าม๊าจะส่งเราเรียนสูง ๆ ทำไม ครับ จบมาพูดอะไรป๊าม๊าก็ไม่เชื่อสักอย่าง)
แต่สมมุติฐานข้อนี้ ก็ยังตอบโจทย์ไม่ได้ ครับว่า ทำไมพ่อแม่ที่ไม่เคยเจอหน้าลูกเลย ไม่เคยเลี้ยงดูลูกเลย ถึงได้รับอานิสงส์อัตโนมัติ ทานก็ไม่ได้ให้ ธรรมก็ไม่ได้ฟัง แล้วจักไปได้อานิสงส์ได้อย่างไร ตอนไหน ถ้ามีใครส่งข่าวมาว่า ลูกชายบวช แล้วป๊าม๊ายกมือสาธุ อย่างนี้ก็ว่าไปอย่าง เราไปดูสมมุติฐานข้อต่อไป ครับ
๒. คิดอยู่นานมาก ครับ มันต้องไม่ใช่อานิสงส์ในชาติปัจจุบันแน่ ๆ แต่เป็นชาติถัดไป เคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง มียายแก่แกทำบาปเยอะแยะมากมาย พอตายลงแกก็ไปจอดอยู่ที่สำนักพระยายมราช (สำนักนี้เขากันคนตกนรก ครับ) พระยายมราชก็ถามว่า เคยทำความดีกระไรมาบ้าง ไล่ไปตั้งแต่ความดีขั้นเบเบ๋ เคยไหว้พ่อแม่ไหม เคยให้ทานไหม ไล่ไปเรื่อย ๆ แกนึกไม่ออกสักอย่าง (คือถ้าคนเราถ้าทำกรรมชั่วมามาก ๆ กรรมชั่วมันจักปิดหมด ครับ ทำให้นึกถึงความดีไม่ออก) พระยายมราชก็ให้นายนิรยบาลส่งตัวไปนรก
จัังหวะจักลงนรกนั่นเอง แกเห็นเปลวไฟนรก สีเหมือนจีวร ก็เลยนึกขึ้นมาได้ ครับว่า เคยบวชหลาน แล้วแกก็ไปจุติบนสวรรค์ทันที
เรื่องนี้ก็น่าจักมีเค้าเป็นความจริง ครับ เพราะการไปนรก ไปสวรรค์ เขาก็ไปกันแบบนี้จริง ๆ นึกถึงความดีให้ออกแค่อย่างเดียว ก็ไปเสวยผลของความดีก่อน อันนี้กระมังที่เป็นอานิสงส์แห่งการได้บวชลูกชาย
แต่ก็อีกนั่นแหละ สมมุติฐานข้อนี้ ก็ยังตอบโจทย์ไม่ได้อยู่ดีว่า ทำไมพ่อแม่ที่ไม่เคยเจอลูกเลย ถึงได้อานิสงส์โดยไม่ต้องโมทนา คิดต่อไป ครับ
๓. คิดต่อไปจากข้อที่แล้ว ครับ คนเราพอตายแล้ว ถ้าไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า จักมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ครับ คือ "ทิพพเนตร" รู้ความเป็นทิพย์ได้ตามความเป็นจริง สมัยเป็นมนุษย์นี่ พวกทิพยจักษุ ต้องฝึกนะ ครับ แถมไม่แม่นยำเหมือนของพวกเทวดานางฟ้าด้วย คงเป็นเพราะขันธ์ห้ามันมีอุปาทานมาก (ความยึดมั่นถือมั่น) ไม่ใช่จู่ ๆ จักมีทิพยจักษุขึ้นมาได้เอง แต่ของเทวดานางฟ้านี่ เป็นปุ๊บ มีขึ้นมาเองเลย
ตรง "ทิพพเนตร" นี่ละ ครับ ที่ข้าพเจ้าคิดว่า เป็นคำตอบ คือพอพ่อแม่ตายปุ๊บ เป็นธรรมดาที่ต้องไปหาคนรู้จักก่อน พอกำหนดจิตก็จักรู้เลยว่า เรามีลูก หรือญาติอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วตอนนี้ลูกเรากำลังทำกระไรอยู่ อ๋อ... บวชอยู่เรอะ งั้นเราไปฟังธรรมที่ท่านแสดงกันดีกว่า น่าน... ได้บุญกันตรงนั้น
คิดต่อไปอีก ครับ สมมุติว่า พ่อแม่สมัยเป็นมนุษย์ เป็นอาม่า อาซิ้ม อาแปะ ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธเลย พอเขาได้ "ทิพพเนตร" มา แค่กำหนดจิตดูก็รู้อะไรเป็นอะไร ครับ นี่ลูกเราหลานเราไปทำอะไรอยู่ ศาสนาพุทธมีอะไรดี รู้หมด ครับ แต่ถ้าไม่มีลูกหลานบวชเลย ความสนใจในศาสนาพุทธก็ไม่มี เขาก็ไม่กำหนดจิตดู ครับ ก็เพลิดเพลินเสวยสุขผลของกรรมดีไป หมดผลของกรรมดีแล้ว ก็ร่วงแป้กลงมา โชคดีก็ได้กลับเป็นมนุษย์ แต่ส่วนใหญ่จักร่วงลงอบาย ครับ
ยิ่งไปกว่านั้น ครับ สมมุติว่า พ่อแม่เป็นเดียร์ถีย์ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ตอนมีชีวิตอยู่ แนะกระไรก็ไม่ฟัง ยึดเอาแต่ความเชื่อดั้งเดิม พอตายลงแล้ว ได้ความสามารถของ "ทิพพเนตร" มา กำหนดจิตดู ก็จักรู้อะไรเป็นอะไรทันที ครับ แต่ถ้าเขาไม่มีลูก ไม่มีญาติบวชเลย เขาก็จักมิได้สนใจศาสนาพุทธ ครับ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ก็ไม่ได้สนใจ (บนสวรรค์เขาก็มีการแสดงธรรมกันทุกวันพระ ครับ ที่ธรรมสภา เทวดานางฟ้าที่มีความประมาท ก็จักมิได้ใส่ใจ เที่ยวเพลินไปกับความสุขที่ได้รับในเทวโลก)
ทิพพเนตรนี้ มิใช่ว่า พอได้มาแล้ว จักรู้ไปทุก ๆ เรื่องโดยทันทีนะ ครับ รู้ทุกเรื่องอย่างนั้นเขาเรียก สัพพัญญุตญาณ เป็นของพระพุทธเจ้า ครับ ทิพพเนตรนี้ ต้องกำหนดจิตดู ครับ อย่างในพระไตรปิฎก เรื่องสุปตฏฐิตเทพบุตร อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาช้านาน ตัวเองจักหมดอายุจุติใน ๗ วัน ก็มิได้ทราบ จนเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ชื่ออากาสานัญจายตนะเทพบุตร ผ่านมาสังเกตเห็นอาการของเทวดาจักหมดอายุ (บุพพนิมิต) มีเหงื่อจากรักแร้ วิมานเศร้าหมอง ดอกไม้ทิพย์เหี่ยว เป็นต้น เลยเตือนเทพบุตรองค์นั้นว่า จักจุติ (ตาย) ใน ๗ วันแล้ว อย่าพึงประมาท
สุปตฏฐิตเทพบุตร ได้รับคำเตือนนั้นแล้ว จึงกำหนดจิตดู พบว่า หลังจากตัวเองจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว จักต้องไปเสวยทุกข์ทรมานในนรกถึงแสนหมื่นปี พ้นนรกแล้วยังต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๗ จำพวก อีกพวกละ ๕๐๐ ชาติ เกิดความประหวั่นพรั่นพรึง ขอให้อากาสานัญจายตนะเทพบุตรช่วย
อากาสาฯเทพบุตรไม่รู้จักช่วยอย่างไร ก็พาไปพบพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก พระอินทร์ก็บอกช่วยไม่ได้ ต้องไปทูลขอให้ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงช่วยเท่านั้น
ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระทศพลแล้ว พระองค์จึงตรัส อุณณหิสสวิชัยคาถา นี้จบแล้ว สุปตฏฐิตเทพบุตรบรรลุโสดาปัตติผล เลยไม่ต้องตกอบายภูมิอีก (ความเป็นพระโสดาบันปิดอบาย ไม่ตกนรกอีก) ยังอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จนถึงทุกวันนี้ (อ้อ... คาถาบทนี้เขาเลยเชื่อกันว่า เอาไว้ต่ออายุเทวดา ครับ ชอบเอาไว้สวดกันตอนทำบุญต่ออายุ)
ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็จักชี้ให้เห็นถึงความสามารถของ "ทิพพเนตร" ว่า มิใช่จักรู้เองไปเสียทุกเรื่อง ต้องอาศัยการกำหนดจิต ครับ ถึงจักสามารถรู้ได้
๔. อานิสงส์แห่งการสืบพระศาสนาของพระลูกชาย ข้อนี้เพิ่งคิดได้สด ๆ ร้อน ๆ ขณะพิมพ์เอ็นทรี่นี้อยู่เลย ครับ (ข้ออื่นคิดไว้มานานแล้ว) ก็คือ พระศาสนาจักคงอยู่ได้ ต้องอาศัยพุทธบริษัท ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใช่หรือไม่ ตอนนี้ภิกษุณีมิได้มีแล้ว ก็มีเหลือเพียง ๓ บริษัท พระภิกษุจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทะนุบำรุงพระศาสนา (ปัจจุบันอุบาสก อุบาสิกา ก็มีบทบาทไม่น้อย เพราะสถาบันสงฆ์อ่อนแอไปมาก) การที่พ่อแม่อนุญาตให้ลูกชายไปบวชได้ ต้องใช้กำลังใจสูงมาก ๆ ทีเดียว ครับ และอานิสงส์ของการทะนุบำรุงสืบทอดพระศาสนา ไม่มีประมาณ ครับ (ก็คิดดูละกัน ครับว่า ถ้าพระศาสนามีอายุยืนออกไป ๑ ปี จักมีคนพ้นทุกข์เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ พอจักจินตนาการความยิ่งใหญ่ของบุญที่ได้สืบทอดพระศาสนาออกไหม ครับ) คิดว่า ก็คงได้บุญหนักกันตรงนี้ด้วย
เอาละ ครับ ก็สรุปว่า ชายผ้าเหลือง ก็คงอาจจักสามารถให้ผู้เป็นพ่อเป็นแม่เกาะขึ้นสวรรค์ได้แนว ๆ นี้ละ ครับ และนี่ก็คงจักเป็นการทดแทนคุณพ่อแม่ที่ประเสริฐที่สุด อย่างที่เขาว่ากันจริง ๆ อย่าเพิ่งเชื่อ ครับ มาจากความฟุ้ง (แบบมีตำราอ้างอิง) ล้วน ๆ
ว่าแต่ ไม่สนใจบวชทดแทนคุณพ่อแม่กันมั่งเหรอ?
ความฟุ้งประจำวัน ก็เอวังด้วยประการฉะนี้ ฯ