เอ็นทรี่นี้สืบเนื่องมาจากเอ็นทรี่ที่แล้ว คุณ SEsai*นิค ณ cubic s. มาเม้นท์รำพันถึงการเวียนเกิดเวียนตาย ไม่สิ้นสุด น่าอนาถใจ ดังนี้
น่าเสียดาย...
บางวิญญาณ(ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี)ตายแล้วรู้กฎแห่งกรรม
แต่เกิดใหม่ก็ลืมอีก ตายก็รู้อีก
วนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
ข้าพเจ้าเห็นว่า จะตอบในเอ็นทรี่ คงจะยาวเฟื้อย เลยเอามาขึ้นเอ็นทรี่ใหม่ดีกว่า ดังนี้ครับ
สมัยหนึ่ง อชิตมาณพ ศิษย์หนึ่งในสิบหกคน ของพราหมณ์พาวรี ได้ทูลถามปัญหา พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
๑. โลกคือหมู่สัตว์ ถูกอะไรปิดบังไว้ อะไรเป็นเหตุจึงไม่มีปัญญามองเห็น อะไรเป็นเครื่องฉาบไล้ให้สัตวโลกติดอยู่ และอะไรเป็นภัยใหญ่ ของสัตวโลกนั้น ?
พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า อวิชชา คือ ความไม่รู้ปิดบังไว้ ตัณหา และความประมาทปิดกั้นปัญญา ตัณหา คือความอยาก ฉาบไล้สัตวโลกให้ติดอยู่ ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลก ฯ
๒. อะไรเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องกันความอยากอันเป็นดุจกระแสน้ำ หลั่งโลกไปตามอารมณ์ทั้งปวง ความอยากนั้นจะละได้เพราะธรรมอะไร ?
พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า สติเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องกันความอยากนั้น และความอยากนั้นจะละได้ เพราะปัญญา ฯ
๓. ปัญญา สติ กับนามรูปนั้น จะดับไป ณ ที่ไหน ?
พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า เพราะวิญญาณดับไปก่อนนามรูปจึงดับไป ณ ที่นั้น ฯ
๔. ชนผู้มีธรรมได้ พิจารณาเห็นแล้ว และชนผู้ยังต้องศึกษาอยู่สองพวกนี้มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอทูลถามถึง ความประพฤติของชนสองพวกนั้น ?
พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า ภิกษุผู้มีธรรมได้พิจารณาเห็นแล้ว และชนผู้นั้นยังต้องศึกษาอยู่ ต้องเป็นคนไม่กำหนัดในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติอยู่ทุกอิริยาบถ ฯ
อ่านแล้วมึนไปเลยไหม อ่านแล้วคงงงว่า อะไรหนอ ๆ ใช่หรือไม่ ศัพท์ยาก ๆ เต็มไปหมด วันนี้เอาแค่ประเด็นที่สาวน้อยรำพึงรำพันมาเสียก่อนดีกว่า ซึ่งความนั้นอยู่ในข้อแรก
อะไรหนอปิดบังหมู่สัตว์ไว้จากการเห็นโลกตามความเป็นจริง ได้แพลมไว้ยั่วน้ำลายหน่อยนึงแล้ว ในเอ็นทรี่ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ข้อควรปฏิบัติของนักล่าเม้นต์ ซึ่งก็คือ อวิชชา ซึ่งคือความไม่รู้ ๘ ประการ ดังนี้
๑. ไม่รู้จักทุกข์
๒. ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์
๓. ไม่รู้จักความดับทุกข์
๔. ไม่รู้จักทางดับทุกข์
๕. ไม่รู้จักอดีต
๖. ไม่รู้จักอนาคต
๗. ไม่รู้จักทั้งอดีต ทั้งอนาคต
๘. ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท
อ่านแล้วมึนตึบยิ่งกว่าเดิม เจ้าตัวอวิชชานี่ ได้ยินมานานแล้วครับ แปลว่า ความไม่รู้บ้าง ความโง่บ้าง อย่างในหนังสือ ๗ เดือนบรรลุธรรม ของ ดังตฤณ ก็เขียนไว้ว่า เหตุที่คนเรายังต้องเวียนตายเวียนเกิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็เพราะความไม่รู้นี่แล จึงต้องกลับมาเกิดเพื่อ "เรียนรู้" เพิ่มเติม เมื่อไหร่ "รู้" เมื่อนั้น ก็เลิกเกิด
วันนี้ก็ยังคงขอติดค้างเรื่อง อวิชชา กันไว้ก่อน เพราะเป็นเรื่อง หย่าญ มั่ก ๆ แต่จะขอเล่าถึงเรื่องที่คนไม่ค่อยเคยได้ยิน ไม่ค่อยมีคนพูดถึง ซึ่งพอได้ทราบแล้ว อเมซซิ่งมาก ๆ เฮ้ย...อะไรมันจะขนาดนั้น
เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมมีแต่คนบอก ไม่รู้ ๆ อะไร ๆ ก็ อวิชชา ๆ แล้ว "รู้" คืออะไร รู้อะไร
สิ่งที่จะกล่าววันนี้ ก็คือด้านสว่างของอวิชชา หรือ สิ่งตรงข้ามกับอวิชชา นั่นก็คือ "วิชชา"
วิชชา ในที่นี้ ไม่ใช่ วิชาคณิตศาสตร์ เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ ภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ นะครับ
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วิชชา อันกล่าวไว้ในหนังสือ ตามรอยพระอรหันต์ ของท่านพุทธทาส จะหมายถึง
๑. วิปัสสนาญาณ หมายถึง ปัญญาที่รู้แจ้งสภาวธรรมตามที่เป็นจริง
๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ หมายถึง ความสำเร็จด้วยอำนาจทางใจที่ยิ่งใหญ่
๓. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้
๔. ทิพพโสต หูทิพย์
๕. เจโตปริยญาณ สามารถกำหนดรู้ใจคนอื่น
๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๗. ทิพพจักขุญาณ ตาทิพย์
๘. อาสวักขยญาณ หมายถึง ปัญญามีความรู้แจ้งในอริยสัจ
เอิ๊ก...เป็นลม
พระเจ้าจอร์จ...ไม่มีอันไหนเป็นความสามารถของมนุษย์ธรรมดาเลยสักอันเดียว อย่างนี้ มนุษย์ตาดำ ๆ อย่างข้าพเจ้า หรือคนทั่วไป จะทำลาย อวิชชา ได้อย่างไร
นี่ละ... เหตุ ทำไมสาวน้อยต้องมารำพึงรำพัน
ตามความเชื่อของทางตะวันตก เขาอธิบายนรกไว้ว่า เป็นสภาวะที่จิต รู้สึกสำนึกผิด ในบาปกรรม ที่ได้กระทำมา ตลอดชีวิต ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อคนเราตายลง จิตออกจากร่าง เราจะรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริงว่า อะไรเป็นอะไร แต่กว่าจะรู้ ก็สายเสียแล้ว ไม่มีโอกาสกลับไปแก้ตัวอีกแล้ว ความรู้สึกอยากแก้ไขนั่นแล คือ นรก ของทางตะวันตก
ครั้นพอหลุดจากนรกขึ้นมาได้ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ลืมหมดอีกแล้ว ว่าเคยไปทำอะไรไว้ ถึงไปตกนรก ก็เผลอทำผิดซ้ำซากเข้าไปอีก พอตายอีก ก็คิด บ๊ะ...กรูไม่น่าทำเลย แล้วก็ลงนรกใหม่
เช่นเดียวกับคนที่ทำความดี ตายแล้วก็ขึ้นสวรรค์ สุขอิ๊บอ๋าย แต่ทำบุญที ได้บุญน้อยจัง ปฏิบัติธรรม ก็ไม่ค่อยได้อะไร เพราะความทุกข์มันเห็นยากเหลือเกิน แวะไปเมียงมองโลกมนุษย์ โอ้โห...ทำบุญกันนิดเดียว ได้บุญอันเ่บ้อเริ่ม ของแถมของแจก เพียบ ของแถมก็น่าสนยิ่งกว่าตัวบุญเองเสียอีก ของแถมคือ ถ้าซื้อ(บุญ)มาก สะสมแต้มครบ ได้ไปเที่ยวนิพพาน ของแจกคือ ถึงนิพพานแล้วไม่ต้องลงมาเกิดอีก บ๊ะ...คุ้มยิ่งกว่า มิดไนท์ซุปเปอร์เซล อย่ากระนั้นเลย ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ดีก่า ฟร๊าบ...พอเกิดเป็นมนุษย์ก็ลืมหมดอีกเหมือนกัน โชคดีจิตชินกับการทำบุญทำกุศล ก็เผลอทำบุญซ้ำซากเข้าไป แต่จำไม่ได้ว่า ตั้งใจจะลงมาทำบุญ ปฏิบัติธรรม เพื่อเอาของแถม พอตายอีก ก็๋นึกออกว่า บ๊ะ...กรูว่าจะลงไปปฏิบัติธรรม เอาของแถมเสียหน่อย ดันลืม ว่าแล้วก็ เกิดอยากจะลงไปเป็นมนุษย์ใหม่
ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างนี้ นี่ละ อวิชชา ที่ปิดบังหมู่สัตว์ไว้
ตัวอย่างนี้ เป็นแบบอุดมคตินะ ความเป็นจริงแล้ว มันเวียนขึ้นลง เดี๋ยวนรก เดี๋ยวสวรรค์ เดี๋ยวเปรต เดี๋ยวอสุรกาย เดี๋ยวสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวเป็นมนุษย์ เดี๋ยวเป็นพรหม มั่วไปหมด
พวกเราถูกขังไว้ด้วย อวิชชา และ วิชชา ก็ยากเกินกว่าที่จู่ ๆ ใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดา แล้วจะมีปัญญารู้ วิชชา ขึ้นมาเองได้
วิชชา เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดครับ ไม่ใช่ลอยไปลอยมาแล้ว จะเกิดขึ้นมาเอง
แต่จะว่า ทุกอันเกินความสามารถของมนุษย์ธรรมดาไปหมด มันก็ไม่เชิง มีอยู่ตัวหนึ่ง มนุษย์ธรรมดา พอจะศึกษาทำได้ไม่ยากนั่นคือ วิปัสสนาญาณ มีอยู่ ๙ อย่าง
ถ้าจะกล่าวเสียวันนี้เลย สงสัยอ้วกจะพุ่ง ธรรมะวันละนิด จิตแจ่มใสกันดีกว่า
เน๊อะ... เอวังเลี้ยว ฯ