เมืองพุทธเป็นฉันใด?
เมืองพุทธไม่ใช่เมืองที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่เมืองที่ประชากรส่วนใหญ่ เพีียงลงทะเบียนบ้านไว้ว่า นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่เมืองที่มีถาวรวัตถุ โบราณวัตถุ ศิลปวัฒนธรรมทางพุทธ ครับ หากแต่หมายถึงเมืองที่ยังมีคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ ยังมีผู้เชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสั่งสอนนั้น
แผ่นดินสุวรรณภูมินี้ สืบทอดคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นทอด ๆ แต่สมัยพุทธกาล จนปัจจุบันไม่ขาดสาย มีพระอรหันต์เกิดขึ้นทุกยุค ทุกสมัย มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่เหตุปัจจัย
แผ่นดินรูปขวานทองแห่งนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ทรงเคยเสด็จมาเยือน ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ พยากรณ์ว่า แผ่นดินนี้ จักรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ ครบ ๕,๐๐๐ ปี
แม้แผ่นดินอื่น ศาสนาพุทธจะผิดเพี้ยนไปเพียงไร เช่น พุทธชินโต พระมีเมียได้ บางนิกายหันไปนับถือพระโพธิสัตว์ บางนิกายนิยมให้กลับมาเกิดเป็นนักบวชในตำแหน่งเดิม เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป บางนิกายมีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับมาเกิดอีกครั้ง เพี้ยนกันไปใหญ่ ศาสนาพุทธในแผ่นดินนี้ บรรพบุรุษของเรา ยังคงรักษาคำสั่งสอนดั้งเดิมนั้นไว้ให้ครบถ้วน ประหนึ่งภารกิจที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าภารกิจใด ๆ ในโลกนี้
เพราะคำสั่งสอนเรื่อง "อริยสัจ" นั้น มีประโยชน์อเนกอนันต์ต่อมนุษยชาติ ครับ มิใช่เพียงต่อแผ่นดินนี้ หรือคนที่อาศัยบนแผ่นดินนี้ ภารกิจการรักษาคำสั่งสอนนี้ไว้จึงยิ่งใหญ่เหลือเกิน ครับ
และ อริยสัจ นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือพิสดารพันลึก ซับซ้อนยุ่งยาก มากด้วยเครื่องหมายคำถาม จนไม่อาจเข้าใจได้ ทุก ๆ พระธรรมขันธ์ ก็เกี่ยวกับความจริงของ "ขันธ์ ๕" หรือ กายนี้ ใจนี้ ของเรานั่นเอง
ถามว่า ใครควรเป็นคนแบกภารกิจนี้ไว้ ครับ?
พระสงฆ์หรือ?
กษัตริย์หรือ?
ทหารตำรวจหรือ?
นักการเมืองหรือ?
ประชาชนหรือ?
ภารกิจนี้ เป็นของ "พุทธบริษัท ๔" ต่างหาก !!!
ทุกคนต้องช่วยกันทำ มิใช่ของคนใดคนหนึ่ง
ภารกิจการรักษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ไว้ มิใช่การรักษาใบลานซึ่งบรรจุพระไตรปิฎกไว้ รักษาโบราณวัตถุ รักษาวัดวาอาราม หรือ รักษาพระพุทธรูปใด ๆ เลย แต่คือการ "ปฏิบัติ" ตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน
จักปฏิบัติได้ ต้องทราบก่อนว่า พระองค์สอนอะไรไว้ ซึ่งก็คือ "ปริยัติ" เมื่อปฏิบัติจนได้ผลแล้ว ก็นำผลนั้น เผยแผ่ออกไป เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติ เป็นภารกิจการทะนุบำรุงพระศาสนาที่แท้จริง ซึ่งได้แก่ "ปฏิเวธ" นั่นเอง
ปฏิเวธ หรือแม้การเผยแผ่ คุณความดีของพระธรรมคำสั่งสอน จักไม่เกิดขึ้นเลย ครับ หากไม่มีผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอน จนเห็นผล เมื่อมีผู้ปฏิบัติจนเห็นผลแล้วนั่นแล ผู้นั้นจักรู้สึกขึ้นมาเองว่า พระธรรมคำสั่งสอนนี้ มีค่ายิ่งนัก ปฏิบัติแล้ว พ้นทุกข์ได้จริง ควรอย่างยิ่ง จักเรียกผู้อื่นเข้ามาดู เข้ามาศึกษา หรือที่บาลีว่า "เอหิปัสสิโก"
แล้วพระองค์สอนไว้ว่ากระไรเล่า?
พระองค์ทรงสอนถึงการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ได้บุญมากขึ้นไปโดยลำดับ ใช้กำลังใจมากขึ้นไปโดยลำดับเช่นกัน
คนเรากำลังใจไม่เสมอกัน ครับ บางคนทำทานด้วยไม่หวังอะไรเลย บางคนทำทานด้วยหวังวัตถุมงคล บางคนทำทานด้วยหวังอำนาจบุญจะส่งผลให้มีชีวิตที่ดีขึ้น บางคนให้ทำทานเท่าไหร่เท่ากัน แต่ให้รักษาศีล ไม่เอาเลย บางคนให้รักษาศีลได้ แต่ให้มาเจริญพระกรรมฐาน โบกมือบ๊ายบาย บางคนลุยทำหมดทั้งสามอย่าง ไม่ว่ากำลังใจพวกเขาจะแค่ไหน สิ่งที่เสมอกันคือ จิตของเขาใฝ่กุศล ครับ
คนเราปัญญาก็ไม่เสมอกันด้วย เขาเข้าใจการทำบุญได้แค่นั้น แค่นี้ ก็ไม่ควรไปตำหนิเขา เขาทำบุญเพราะอยากให้มีชื่อของตัวเอง ติดที่ไหนสักแห่ง ก็ควรจะโมทนา ยินดีกับเขาว่า อย่างน้อย ๆ จิตเขาก็เป็นกุศล อยากทำบุญ แม้จะแทรกด้วยอกุศลบ้าง แต่ก็ดีกว่า เขาไปทำบาป ถูกไหม? แม้วันนี้เขายังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการทำทานที่แท้จริง แต่วันหนึ่ง เมื่อเขาทำไปเรื่อย ๆ ก็จักเข้าใจไปเอง อีกอย่างปัจจัยในการทำทานนั้น ก็นำไปใช้จรรโลงพระศาสนา แม้จักเป็นทางอ้อมก็ตาม
การไปตำหนิผู้อื่นลับหลัง หรือการนินทา มิได้เกิดประโยชน์กระไร เท่าไหร่ มิได้ช่วยให้ศาสนายั่งยืนกว่าเดิม มิได้ช่วยเติมเต็มภารกิจอันยิ่งใหญ่นั้น ไม่มีประโยชน์แก่ผู้ตำหนิ และถูกตำหนิ เพราะผู้ตำหนิ ก็มิได้มีกิเลสโทสะลดลง คนถูกตำหนิ เขาไม่ได้ทราบถึงคำตำหนินั้น สิ่งที่มีประโยชน์ คือการพิจารณาตัวเอง ครับ
พิจารณาว่ากระไร? พิจารณาตนเองว่า เราดีพอจะไปตำหนิคนอื่นหรือยัง? ครับ เรื่องการทำทาน เราอาจจะมีความเข้าใจดีกว่าเขา แต่ศีลหล่ะ เรารักษาครบแล้วหรือยัง? เขาอาจจะทำทานด้วยอยากเอาหน้า แต่เขาอาจจะรักษาศีลบริสุทธิ์กว่าเราก็ได้นะ ภาวนาหล่ะ เราได้ทำหรือเปล่า เขาอาจไม่เข้าใจเรื่องการทำทาน แต่เขาอาจนั่งสมาธิทุกวันขณะที่เรานั่งเล่นเกม หรือทำอะไรไร้สาระไปวัน ๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้ ที่แน่ ๆ ขณะที่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ เช่น "อุ๊ย มีให้เขียนชื่อด้วย เดี๋ยวทำเยอะ ๆ หน่อย" ก็ไม่รู้ตัวว่า จิตเราขณะนั้นประกอบด้วยโทสะ หลงด่าเขาไปแล้ว เรียกว่า "ไม่มีสติรู้กายรู้ใจของตนเอง" แสดงว่า ไม่ได้เจริญภาวนาเท่าที่ควร แถมยังเก็บเอามาเป็นอารมณ์ขุ่นมัว จนต้องเอาออกมาระบายบนบล็อก ตกลงไปวัดได้บุญ หรือได้บาปกันแน่เนี่ยะ แล้วคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เล่า เราศึกษาดีแล้วหรือ? หากศึกษาดีแล้ว จักพบว่า พระองค์ไม่ได้สอนให้ไปดูจริยาของคนอื่น ครับ ใครจะเลวแค่ไหน ดีแค่ไหน ช่างหัวเขา ครับ เราดูแค่ใจเรา เราทำบุญทำทานแล้ว เรามีความสุขไหม ความสุขนั้นเกิดจากการละความโลภ กิเลสที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองตัวสำคัญใช่หรือไม่ ใช่ว่าให้ไปทำทานเพื่อสังเกตุจริยาของคนอื่นสักหน่อย
ความเข้าใจต่อการทำทานของคนที่เขียนเอ็นทรี่นั้น ถูกต้องแล้ว ครับ แต่ขาดการภาวนา ขาดการศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ทำบุญด้วยเงินน้อย ๆ ไม่ผิด ครับ แต่ผิดที่ไปสนใจว่า คนอื่นทำบุญเท่าไร ด้วยอาการเช่นไร ผู้รับทานมีอาการเช่นไร แล้วไม่รู้สึกตัวว่า จิตตัวเองเป็นกุศล หรืออกุศล เมื่อเห็นภาพเหล่านั้น ไม่รู้ตัวว่า ตนกำลังปฏิบัติตัวตามกิเลส ครับ ไม่ใช่ปฏิบัติตัวตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
ปฏิบัติตนตามกิเลส คือ รู้ไปทุกอย่างเลย ครับ ยกเว้นรู้กาย รู้ใจตัวเอง เช่น ขณะที่เห็นพระทำท่าดูหมิ่นเหยียดหยามเงินน้อย ๆ ของเรา ไปรู้ว่า พระท่านรู้สึกอย่างไร แต่ไม่ได้รู้ว่า ใจตนเกิดโทสะ ไม่ชอบที่พระแสดงจริยาเช่นนั้น
ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่า พระแสดงจริยาเช่นนั้นถูก ไม่ได้ส่งเสริมให้พระไปแสดงจริยาเช่นนั้นอีก ไม่ได้บอกว่า เราไปเกิดโทสะผิด ไม่ได้บอกให้ไปห้ามไม่ให้เกิดโทสะ เพียงอยากแนะว่า การเจริญสติ ทำอย่างไร เพราะการเจริญสติปัฏฐานนั่นแล คือ คำสอนอันหาค่าไม่ได้ของพระพุทธองค์
ครั้งหน้าไปวัดทำบุญ เอาใหม่ ครับ เกิดไปทำบุญแล้วเจอสภาพเช่นนั้นอีก จิตมีโทสะ รู้ว่าจิตกำลังมีโทสะ รู้ตัวแล้ว ก็พิจารณาว่า เราสมควรโกรธหรือไม่ หากเห็นว่า สมควร ก็โกรธไป ครับ ตามสบาย ไม่ต้องไปห้ามมัน หรือโกรธไปแล้ว ห้ามไม่อยู่ ก็ปล่อยมัน ครับ รู้ว่า จิตเราห้ามไม่ได้ มันจะโกรธ ก็โกรธของมันเอง ตามที่ตาไปเห็น ความคิดไปปรุงแต่ง มันจะดับ ก็ดับของมันเอง ครับ ไม่เชื่อลองโกรธแล้วท่องสูตรคูณดู ไม่นานความโกรธก็ดับ ครับ แต่หากเห็นว่า ความโกรธมันเผาใจตัวเอง ทำให้จิตเราเศร้าหมองเอง แทนที่จะออกจากวัดไปด้วยใจแช่มชื่นว่า วันนี้ได้มาทำบุญ กลับออกไปด้วยความแค้นใจว่า "นี่หรือ... เมืองพุทธ" สรุปว่า ไม่สมควรไปโกรธ ก็ไม่ต้องโกรธ ครับ อย่างน้อย ๆ ก็ได้ใช้เหตุผลพิจารณาความเหมาะสมแล้ว (แต่ตามปกติพอรู้ตัวขึ้นมาว่า ตัวเองกำลังโกรธ ความโกรธจะดับไปเดี๋ยวนั้นเลย ครับ)
หากท่านทั้งหลายจักประกาศขนานนามตนว่า นับถือศาสนาพุทธ ก็ควรต้องหมั่นขยันศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ให้มาก ครับ มิใช่รู้จักแค่การให้ทาน ก็เป็นคนพุทธแล้ว เช่นนั้นจักต่างกระไรจากผู้นับถือศาสนาอื่น เพราะเขาเหล่านั้น ก็ทำทานเป็นเหมือนกัน
ภารกิจการทำเมืองนี้ ให้เป็นเมืองพุทธที่แท้จริง และสืบสานพระศาสนา อยู่ในมือท่านทั้งหลายแล้ว ด้วยการเริ่มปฏิบัติธรรมะ ศึกษาธรรมะที่พระองค์ทรงสอนสั่ง ด้วยตนเอง อย่างแท้จริง ตั้งแต่วันนี้ อย่าให้คนต่างศาสนามาถามว่า ศาสนาประจำชาติของยูมีอะไรดี แตกต่างจากศาสนาอื่น แล้วเป็นงง ตอบไม่ถูก เพราะมิได้ใส่ใจศึกษา
หากพวกเราทำกันได้ทุกคน เป็นส่วนใหญ่ของสังคม เมื่อนั้นก็ไม่มีใคร มีเวลาตำหนิใคร เพราะทุกคนยุ่งอยู่แต่การดูจิตของตน เมื่อนั้นกลิ่นอายของคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ก็หอมขจรทั่วไปในแผ่นดินนี้ เช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าขอยืนยันครับว่า ที่นี่ละ... เมืองพุทธ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ