เมื่อวานงานเข้าครับ อุตส่าห์อู๊พซ์ไว้แล้ว อู๊พซ์ฟรีไปเลย มีคนถามมาเรื่องถูกพระทัก ถึงเหตุการณ์ในอนาคต เม้นท์มาในเอ็นทรี่เก่าแล้วครับ เห็นว่า น่าจะมีประโยชน์แก่คนทั่วไป เลยเอามาขึ้นเอ็นทรี่ใหม่ดีก่า ดังนี้
กะลังสงสัยอยู่เลยค่ะ อยากจะหาอีเมล์ของหลวงพี่ส่งไปถามพอดี คือว่าตั้งใจไว้แล้วว่าจะอยู่ช่วยพ่อแม่จนท่านลาโลกนี้ไปแล้ว แล้วก็จะไปอยู่วัด แต่ในอดีตเคยมีพระรูปหนึ่งเคยบอกแม่ประมาณว่าดิฉันจะได้เป็นคุณนาย เคยไปดูหมอตอนเอ็นหมอก็ทักว่าจะได้เป็นคุณนาย ซึ่งมันก็หมายความประมาณว่า ดิฉันจะได้แต่งงานกะคนมียศ มีศักดิ์หนะคะ แต่ชีวิตเท่าที่ผ่านมาเหมือนกะที่ท่านพูดเลยคะว่ามีแต่ที่ไม่ใช่เข้ามา และก็ยังคิดเรื่องความทุกข์เกี่ยวกะการมีคู่ครองเหมือนที่ท่านเขียนหมดทุกอย่างเลย คิดมาก่อนที่จะได้อ่านหัวข้อนี้ด้วย เหมือนบุญช่วยเพราะกะลังพยายามหาคำตอบเกี่ยวกะเรื่องนี้อยู่พอดี เลยอยากจะถามท่านว่า ถ้าเกิดพระท่านที่ทำนายให้นั้นท่านเห็นอนาคตจริง ดิฉันจะเปลี่ยนแปลงได้ไหมคะ เพราะใจก็รู้อยู่ว่าการมีคู่ ถ้ามีแล้วมันเป็นทุกข์ ถ้าสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ดิฉันจะได้ตั้งใจมุ่งมั่นในการปฎิบัติธรรม ไม่ต้องระวังตัวมาก เพราะว่าได้ไปอ่านงานเขียนของท่านดังตฤณเรื่อง ทางนฤพาน แล้วอยากให้ชาตินี้อย่างน้อยก็ได้เหมือนตัวละครที่ชื่อมติ แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็จะพยายามฝืนดูคะ จะทำใจให้มันเข้มแข็งที่จะไม่ไปข้องแวะกะเรื่องอย่างนี้ เพราะของอย่างนี้พอเจอเข้าจริงๆมันก็อาจจะลืมที่ตั้งใจไว้ได้เหมือนกัน ถ้าอย่างไรหลวงพี่ช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อยนะคะ ขอบพระคุณมากคะ
ก่อนจะไปอ่านคำตอบกัน มาฟังธรรมนิยายกันก่อนดีฝ่า เรื่อง แสงเทียน ของ อ.วศิน อินทสระ ตอนที่ ๘ ดอกบัวไม่ติดตม
ซึ่งข้าพเจ้าได้ตอบไปว่าดังนี้
คำถามเหมือนมีคำตอบในตัวเองแล้ว เพียงอยากได้ความมั่นใจ หรือกำลังใจ กล่าวคือ ไม่ว่าข้าพเจ้าจะตอบว่า อนาคตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ หรือเปลี่ยนไม่ได้ ท่านก็จะคงมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมต่อไป นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วครับ แต่สิ่งที่อ่านแล้ว สะดุดคือประโยคที่ว่า "ถ้าสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ดิฉันจะได้ตั้งใจมุ่งมั่นในการปฎิบัติธรรม ไม่ต้องระวังตัวมาก" ความจริงแล้ว อย่างไรก็ต้องระวังตัวครับ ไม่ว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลงได้ หรือไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ไม่ให้ประมาท
หากท่านมีความต้องการไปพระนิพพาน นั่นก็แสดงว่า บารมีท่านเต็มแล้ว จะไปชาตินี้ ก็ย่อมได้ ขึ้นอยู่กับว่า จะไปหรือเปล่า หรือยังเห็นโลกนี้ น่ารัก น่าพอใจ อยู่ ก็คงต้องเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารนี้ต่อไป
ที่ว่าท่านบารมีเต็มแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เกินเลยไปเลยครับ คนบางคน อย่าว่าแต่จะสนใจไปนิพพานเลยครับ แค่หนังสือธรรมะง่าย ๆ ยังไม่อยากแตะ ในคนหกพันล้านคนทั่วโลก มีคนที่คิดสนใจธรรมะอยู่ไม่ถึง ๑ เปอร์เซนต์ครับ ในไม่ถึง ๑ เปอร์เซนต์ของผู้สนใจธรรมะนั้น ก็มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซนต์อีกเหมือนกัน ที่ได้พบธรรมะที่ถูกที่ควร เป็นสัมมาทิฏฐิ และในผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งหลาย ก็มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซนต์อีกเช่นกัน ที่อดทนสู้ปฏิบัติ จนสามารถข้ามโอฆะ เป็นผลสำเร็จ
คำถามที่ถามมา ขอตอบอย่างคนไม่มีญาณหยั่งรู้ใดใด ทั้งสิ้น ตอบตามความรู้ที่ได้ศึกษามา และความเห็นส่วนตัว อาจจะถูก หรืออาจจะผิดก็ได้ ขอให้ไปพิจารณาเอาเอง
ประการแรก ขอตอบในแง่ของพระท่านก่อนครับ อารมณ์รู้อนาคต หรือ อนาคตังสญาณ เท่าที่สัมภาษณ์พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และท่านทั้งหลายที่ได้ญาณวิเศษตัวนี้ อาจแบ่งได้ ดังนี้
๑. ฌานโลกีย์(ฌานแบบโลก ๆ) ซึ่งก็ได้แก่ สมาธิระดับต้น ขึ้นไปจนถึงสมาบัติ ๘ ฌานโลกีย์ทั้งหลายเหล่านี้ ให้หญ้าเป็นกิเลส เจริญแล้วก็ประหนึ่งหินทับหญ้าครับ กำลังของฌานสมาบัติจะกดกิเลสไว้ ยิ่งกำลังสมาธิสูงขึ้น สงบลึกขึ้น กิเลสก็จะน้อยลง ชั่วขณะ ความเป็นทิพย์ก็จะเกิดขึ้นมาก และน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่พอออกจากฌาน ก็กลับเป็นเหมือนคนปกติ เคยถามท่านว่า การจะรู้อนาคตนั้น มันเป็นอย่างไร ท่านที่เป็นแนวสุกขวิปัสสโก ก็จะบอกว่า เป็นอารมณ์รู้ขึ้นมาเฉย ๆ เหมือนเราตั้งคำถาม แล้วคำตอบมันก็ผุดขึ้นมาเอง ส่วนถ้าเป็นแนวเตวิชโชขึ้นไป จะเป็นภาพ เหมือนดูทีวีเลยครับ เรียกว่า นิมิต สิ่งสำคัญคือ ฌานโลกีย์พวกนี้ ไม่ทรงตัว ถ้าเจริญมาก กดกิเลสมาก คำทำนาย หรือความเป็นทิพย์ที่เกิดขึ้น ก็อาจจะถูกต้องมาก ถ้าไม่ค่อยเจริญ หรือป่วย จิตไม่มีอำนาจไปกดกิเลส คำทำนายก็ผิด ๆ เพี้ยน ๆ ฉะนั้นคำทำนายในส่วนนี้ ก็ผิดได้พอ ๆ กับถูกได้ ขึ้นกับสุขภาพ และคุณภาพจิตของผู้ทำนายนั้น
๒. ฌานโลกุตตระ(ฌานเหนือโลก) เป็นฌานของพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ฌานตัวนี้ไม่มีเสื่อมก็จริง น่าเชื่อถือกว่าแบบแรกก็จริง แต่ก็มีความสามารถไปต่าง ๆ กัน ตามที่แต่ละท่านฝึกฝนมาในอดีตชาติ ดังนั้นบางท่าน ก็สามารถรู้อนาคตไกล ๆ ได้ บางท่าน ก็รู้ได้แค่ใกล้ ๆ บางคนแค่กำหนดรู้ ก็รู้ได้ บางคนต้องขอเวลานอก แป๊บนึงนะ
หมายเหตุ : เรื่อง สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ทีนี้เราเป็นผู้ฟังคำทำนาย จะไปทราบได้อย่างไรละครับว่า ท่านได้ฌานอะไร ฌานโลกุตตระ ฌานโลกีย์ หรือชานบ้าน ชานเรือน อย่างหลังนี่มักเจอกับพวกหลอกแดกครับ ไม่มีฌานเฌินอะไรกับเขาหรอก อาศัยสังเกตุสังกา ปากหวานนิดหน่อย หลอกถามเอาเวลาเผลอบ้าง อาศัยแรงโฆษณา หรือปากต่อปากบ้าง หรือจัดฉากสถานที่ให้ดูอลังการ เข้มขลังบ้าง คนที่มิได้พินิจพิจารณา ก็ไปเชื่อเป็นตุ เป็นตะ เสียเงินเสียทอง
สมมุติว่า อารมณ์พระท่านรู้ขึ้นมาเฉย ๆ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เราจะไปมัวหัวปักหัวปำ กับคำทำนายที่ท่านรู้ขึ้นมา แค่นั้นหน่ะหรือ ทั้งนี้ไม่ใช่ว่า ไปปรามาสท่านนะ ท่านอาจจะได้จริง รู้จริง ก็เป็นได้ ท่านอาจจะเป็นพระกังหัน หรือพระอรหันต์ก็ได้ เราไม่อาจทราบคุณธรรมของท่านได้ เพียงแต่เราต้องพินิจพิจารณาคำทำนายครับว่า จักมีผลแก่เราเพียงไร บางทีก็รู้ไว้ใช่ว่าเฉย ๆ ดีกว่าครับ อย่าไปใส่ใจอะไรกับมันมาก
ประการที่สอง ในแง่ของกฏแห่งกรรม อนาคตเปลี่ยนได้ครับ และเราเองนั่นแล ที่เป็นคนเปลี่ยนมัน การพยากรณ์อนาคต ก็คือการประมวลกรรมในอดีตชาติของเราทั้งหมด ซึ่งมีเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน จนนับไม่ถ้วน พระท่านอาจจะเห็น กรรมใหญ่ ๆ ที่จะส่งผลใหญ่ต่อชะตาชีวิตของเรา ณ ปัจจุบัน ขณะนั้น แต่เราสามารถเปลี่ยนผลกรรมนั้น หรือเบี่ยงกรรมนั้น ได้ด้วยกรรมปัจจุบันครับ
ขอยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมุติว่า เราทำกรรมในอดีตใหญ่ ๆ ไว้ ๓ อย่าง เป็นกรรม ๑, กรรม ๒, กรรม ๓ กรรมแต่ละอย่างนี้ ไม่สามารถทราบแน่ชัดได้ว่า จะส่งผลเมื่อไหร่ แต่ผู้ที่มีญาณวิเศษ อาจสามารถเห็นได้
เป็นไปได้ว่า เมื่อกรรม ๑ ส่งผล ทำให้เรามีชีวิตแบบหนึ่ง ซึ่งเอื้ออำนวยให้ กรรม ๒ กรรม ๓ มาส่งผล
เช่น กรรม ๑ ส่งผลให้เราเป็นคนขี้เกียจ กรรม ๒ ส่งผลให้เราต้องป่วย กรรม ๓ คือ ส่งผลให้ต้องตาย
กรรม ๑ ทำให้เราเป็นคนจน ทำให้สุดท้ายแล้ว ต้องตายด้่วยโรคภัย จากกรรม ๒ เพราะไม่มีเงินไปจ่ายค่ารักษา
แต่เราสามารถฝืนกรรม ๑ ได้ ด้วยการลุกขึ้นมา ทำตัวเป็นคนขยัน ทำมาหากิน ถูกไหมครับ สุดท้่ายแล้ว แม้การป่วย จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กรรม ๓ อันคือความตาย สามารถยืดเวลาออกไปได้ เพราะมีตังค์ไปรักษา
ถามว่า หากเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พระที่พยากรณ์ให้ พยากรณ์ถูกหรือไม่ แม่นหรือเปล่า มันก็ป่วยจริง มันก็ตายจริง ใช่หรือไม่ แต่หากท่านพยากรณ์ว่า อายุเราเท่านี้ เราจะป่วยตาย คำพยากรณ์ก็ผิดไป เพราะเราลงมือฝืนกรรม ถูกไหมครับ
และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา กรรมปัจจุบัน ก็ให้ผลมากกว่า กรรมในอดีตครับ
ดังนั้นแล้ว คำพยากรณ์ทั้งหลาย ก็สามารถเปลี่ยนได้ครับ ขึ้นอยู่กับกรรมปัจจุบันของเรา หากยังไม่ทำใจให้เข้มแข็ง เฝ้ารอคนคนนั้นอยู่ ก็อาจจะเป็นไปตามที่ท่านพยากรณ์ไว้ครับ
แต่ถ้าเปลี่ยนตัวเอง มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ไม่ท้อถอย ตั้งเป้าไว้เลยว่า เราจะขอถึงนิพพานให้ได้ในชาตินี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงได้ครับ
แต่ระวังนะครับ เมื่อเรากำหนดความตั้งใจเช่นนี้แล้ว มารจะมาลองใจเลยทีเดียว เราหลอกมารไม่ได้เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าเขียนหรอกครับ เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้น อ่านใจเราได้ รู้ว่า เราตั้งใจจริง หรือไม่ตั้งใจจริง
และเนื้อคู่ พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสไว้ครับว่า อาศัยความผูกพันในชาติก่อน ๆ หากได้มาเจอกัน อาจดิ้นไม่หลุด
ข้าพเจ้าเอง ก็มีคนพยากรณ์ไว้เหมือนกันครับว่า จะเจอการทดสอบจากนารีอิสตรีมากมาย
แม้่จะระวังตัวอยู่ ก็ยังไม่ค่อยพ้นเลยครับ คนสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์นี่ สวยเอ็กซ์ระดับมิสเอฟเอชเอ็มรอบสิบคนสุดท้ายทีเดียว
พอผู้หญิงคนนี้เข้ามาในชีวิต ก็ทราบเลยครับว่า มาแล้ว บททดสอบ
เมื่อข้าพเจ้าไม่ประมาท ข้าพเจ้าก็หนีไปบวชเสียเลยครับ
กระทั่งการบวชนี้ ก็มีการพยากรณ์ล่วงหน้าครับว่า จะบวชไม่สึก ตอนที่ได้รับคำพยากรณ์ ยังไม่มีวี่แววเลยครับว่า จะได้ไปบวช แล้วจะไม่สึก
ครั้นพอถึงวันที่ต้องตัดสินใจ ข้าพเจ้าก็เป็นคนเลือกเองครับ ใช้เหตุ ใช้ผล ในการเลือก ไม่ได้ใช้คำพยากรณ์ในการเลือก เพียงแต่คำพยากรณ์นั้น ช่วยให้เราทำใจล่วงหน้าไว้ก่อนได้ ถึงเวลาเจอของจริง เรานั่นเองที่เป็นคนตัดสินใจ
อย่างข้าพเจ้า หากคิดจะท้าทายคำพยากรณ์ ก็อาจเลือกไม่ต้องบวชก็ได้ แต่มันมีประโยชน์อะไรครับ เพราะคนที่ต้องรับผลจากการเลือกตัดสินใจนั้น คือ เราเอง ไม่ใช่ผู้พยากรณ์ แต่อย่างใด
คำพยากรณ์เป็นเพียงความน่าจะเป็นเท่านั้น คือ มีความน่าจะเป็น "สูง" ที่ข้าพเจ้าจะไปบวช
สรุปว่า ทุกอย่างขึ้นกับตัวเราครับ
ท่านต้องเลือกทางเดินชีวิตของท่านเอง
การไปพระนิพพานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเราเห็นสิ่งทั้งหลายที่มายั่วยวน เป็นเพียงบททดสอบว่า เราจะหนีออกจากวัฏสงสาร สำเร็จหรือไม่ เปอร์เซนต์ความน่าจะเป็นที่จะหนีพ้นก็สูงขึ้นครับ
ที่สำคัญคือ ไม่ประมาท ครับ คำสอนพระพุทธเจ้า ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ลงตัวนี้ตัวเดียวครับว่า ไม่ประมาท
หากท่านไม่ยอมเข้าใกล้ผู้ชาย ใครจะมาฉุดท่านไปเป็นภรรยาได้ครับ ของอย่างนี้ ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง
หากท่านอยากได้กำลังใจ ข้าพเจ้าก็ขอยืนยันให้กำลังใจครับว่า ไปนิพพานกันเถิด สุขในโลกนี้ มันเป็นสุขหลอก ๆ ทั้งนั้นละครับ
มุ่งมั่นครับมุ่งมั่น นิพพานไม่ไกลเกินเอื้อมหรอกครับ ถึงเวลาแล้ว สุดหล่อของเราโผล่มา เราก็ลองมาตัดสินใจกันดูอีกทีครับว่า จะปล่อยให้เป็นไปตามคำทำนาย หรือ เราจะเลือกชีวิตของเราเอง
ขอยืนยันว่า แม้วินาทีสุดท้าย เราก็เลือกชีวิตของเราเองได้ครับ ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ ตอนนี้ขอให้เราอยู่กับลมหายใจในปัจจุบัน ระลึกรู้ไปเรื่อย ๆ เสียก่อน อดีต คือ ความฝัน ปัจจุบัน คือ ความจริง อนาคต คือ สิ่งไม่แน่นอน ครับ อย่าไปคิดคาดอะไรเลย
วกมาหาหัวข้อเอ็นทรี่ ชะตา ฟ้าลิขิต จริงหรือ? อ่านมาถึงตรงนี้ คงได้คำตอบพอควร แต่ก็อาจยังสงสัยว่า แล้วพวกหมอดูที่เขาว่ากันว่า แม่นนัก แม่นหนา พระบางรูป ก็ทักแม่นเสียเหลือเกิน จนดูเหมือนว่า ชะตาชีวิต ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ฟ้าเป็นผู้ลิขิต
ความจริงแล้ว กฏแห่งกรรม = ฟ้าลิขิต = กฏธรรมชาติ = พรหมลิขิต = บุญจัดสรร = กรรมบันดาล ครับ ขึ้นกับว่า อยากจะเชื่อไปแนวไหน หรือเรียกมันว่า อะไร ทุกศาสนาก็มีเรื่องอย่างนี้อยู่ครับ แต่ชาวพุทธแท้ เชื่อว่า มันเป็นกฏของกรรม ครับ ทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น
ที่มันดูเหมือนกับว่า มีผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราอยู่ ความจริงมันก็เกิดจาก กรรมในอดีต มาผนวกกับ กรรมในปัจจุบัน ลิขิตออกมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ฟ้าลิขิต" นั่นละครับ จริงแล้ว เราลิขิตมันเองแท้ ๆ เพียงแต่ สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ในปัจจุบัน มันเกิดจากอดีตที่เราลืมไปแล้วว่า เราไปทำอะไรมา
บางศาสนาจึงตัดกรรมในอดีต ที่พิสูจน์ไม่ได้ทิ้งไป แล้วใช้บุคคลาธิษฐาน ผู้ทรงสรรพานุภาพขึ้นมา ลิขิตชีวิตเรา ขึ้นมาแทน
ดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงสรุปว่า ชะตาชีวิต เราเป็นคนลิขิตเอง ครับ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ