คำถาม อืม มีอิทธิฤทธิ์มากมายก็ไม่ช่วยให้ไปถึงนิพพาน แถมเป็นเทวดาก็ยังต้องมาเกิดเป็นคน เพื่อไปนิพพานอีกรึ หลวงพี่ แล้วที่เทวดาไปนิิพพานยากนี่เพราะว่า สบายเกินรึเปล่า...แล้วทำไมเทวดาทำบุญแล้วได้้น้อยกว่าคน
สงสัย สงสัย
ตอบความเห็นที่ ๑
อืม มีอิทธิฤทธิ์มากมายก็ไม่ช่วยให้ไปถึงนิพพาน
-ช่วยได้เหมือนกัน แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธี เช่น มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็ย้อนไปดูว่า เราเคยเกิดเป็นอะไรมามั่ง กษัตริย์เคยเป็นไหม ขอทานเคยเป็นไหม สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรกล่ะ ทั้งหลายแหล่ สูงสุด ต่ำสุด เคยเป็นมาแล้ว ทั้งนั้น แต่แล้ว พอตายก็จบ เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เห็นแล้วคิดให้เกิดปัญญาว่า การเกิด ไม่เป็นสาระอะไรเลย
มีอตีตังสญาณ ญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ในอดีต ย้อนไปดูพีระมิดของปิซ่า มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ผู้คนชาวบ้านชาวช่อง บ้านเรือน มันใหญ่โตโอฬาร แต่แล้ว ถึงวันนี้ มันก็เหลือแค่ซากหิน จะเอาอะไรกับโลก เกิด แล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็สลาย ไม่มีสาระอะไร
เห็นแล้วคิด ๆ อย่างนี้เรื่อย ๆ วันหนึ่งก็เกิดปัญญา
แต่ส่วนใหญ่ได้ฤทธิ์แล้ว เอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ ไปเป็นหมอดูบ้าง เป็นผู้วิเศษบ้าง สุดท้ายพญามารเอาไปกินหมด
แถมเป็นเทวดาก็ยังต้องมาเกิดเป็นคน เพื่อไปนิพพานอีกรึ หลวงพี่
-เทวดาก็ฟังธรรมได้ ปฏิบัติธรรมได้ แต่ทำมาก ได้น้อย สู้มนุษย์ไม่ได้
มีเทวดาบางประเภทเหมือนกันที่ไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไปนิพพาน
พวกเทวดา อนาคามี ไปเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส ๕ ชั้นสุดท้าย แล้วนิพพานบนนั้นเลย
แล้วที่เทวดาไปนิิพพานยากนี่เพราะว่า สบายเกินรึเปล่า...
-ถูกต้องแล้ว เทวดาเห็นทุกข์ได้ยากกว่ามนุษย์มาก หิวรึ คิดปุ๊บ ก็อิ่ม ไม่ต้องแปรงฟัน ไม่ต้องล้างหน้า ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องขี้ ไม่ต้องเยี่ยว กลิ่นกายก็หอมสดชื่นตลอดเวลา เสื้อผ้าก็ไม่ต้องซัก อู๊ย..สบายทุกอย่าง จะไปเห็นทุกข์ตรงไหนล่ะ
ทั้งเวลาบนสวรรค์ก็ยาวนาน ที่สำคัญเทวดาไม่มี แก่ ขึ้นไปสภาพไหน ก็สภาพนั้น จนหมดอายุ
แล้วทำไมเทวดาทำบุญแล้วได้้น้อยกว่าคน
สงสัย สงสัย
-อืม...ข้อนี้ยากแฮะ...
เดี๋ยวขอใช้หมองนั่งมาธิก่อน
คิดซิ..คิดซิ..คิดซิ..อิค..คิ..อิว..ซัง
คิดมะออก เด๋วลองไปถามจารย์ดูก่อน
ขอเดาไปพลาง ๆ ก่อน
คิดว่า เทวดาทำบุญแล้วได้บุญน้อยก็เพราะอำนาจแห่งความเป็นทิพย์นั่นละ
ทราบมาว่า เทวดาจะมีคุณวิเศษ อยู่ประการหนึ่ง คือ "ทิพพเนตร" รู้เห็นอะไร ตามความเป็นจริงทั้งหมด
เมื่อทราบความเป็นไปทั้งหมด ก็ย่อมทราบว่า ถ้าเราทำบุญเช่นนี้่ จะได้ผลเช่นนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำบุญเพื่อละความโลภ เพราะรู้ผลของมันอยู่แล้ว
อีกอย่าง วัตถุทานในโลกทิพย์ จะเอาอะไรเป็นวัตถุทานกันล่ะ ข้าวทิพย์ กระนั้นหรือ?
การละความโลภ ส่วนใหญ่ ต้องใช้การสละออก คือ การทำทาน ช่วย ในโลกทิพย์ มีอะไรให้สละด้วยรึ
ข้าพเจ้าขอสละวิมานให้ท่าน...
วิมานเป็นของใครของมัน จะยกให้กันได้อย่างไร
ข้าพเจ้าขอสละเครื่องทรงให้ท่าน...
เครื่องทรงก็สำเร็จจากจีวรทานสมัยเป็นมนุษย์ ยกให้กันไม่ได้อีกเช่นกัน
เทวดาเขาถึงเห็นว่า บนโลกมนุษย์ทำน้อยได้มากอย่างไรเล่า
บนโลกแค่สละของนอกกาย กลับได้ทรัพย์อันเป็นทิพย์มากมาย กินใช้เท่าไหร่ ไม่มีวันหมด
ความโกรธล่ะ อันนี้ เทวดาก็ทราบผลของความโกรธ เช่นกัน เทวดาโกรธปุ๊บ เคลื่อน หรือ จุติ หรือ ตายปั๊บเลย ใครจะโกรธให้โง่ ผิดกับมนุษย์ที่โกรธแล้วก็ไม่ตาย และไม่รู้ว่าโกรธแล้วมีโทษอย่างไร ไม่โกรธแล้วผลเป็นอย่างไร แต่มีโอกาสทำบุญใหญ่ คือการให้อภัย
ความหลงล่ะ เทวดาก็อ่อนซ้อมกว่ามนุษย์ดังที่เขียนไว้ในตอนต้นนั่นแลว่า ความทุกข์มันเห็นได้ยาก ความแปรปรวนก็เห็นได้ยาก ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ก็เห็นได้ยาก
มีเพียงความตายเท่านั้นที่พอจะนำมาพิจารณาไ้ด้ จากการเห็นเทวดาองค์อื่นจุติ
ดังนี้แลจึงว่า เทวดาทำบุญแล้ว ได้บุญน้อยกว่าคน
เจริญยิ่งในธรรม ฯ
ตอบความเห็นที่ ๓
ถามเยอะอย่างงี้สงสัยข้าพเจ้าต้องรีบตาย ไปลองเป็นเทวดา แล้วกลับมาเม้นท์ตอบ อิ อิ
แต่อาจไม่ได้กลับมาเม้นท์เลย เพราะกลายเป็นสัตว์นรกแทนที่จะเป็นเทวดา อิ อิ เช่นกัน
เทวดาน่าเบื่อไหม...ก็แล้วแต่คนนะ บางคนชอบแอบดู ไปเป็นภูมเทวดา ก็เที่ยวได้ไปแอบดูชาวบ้าน สนุกแท้ อย่าไปคิดว่า คนเป็นเทวดาแล้ว จะอยู่เฉย ๆ วัน ๆ ไม่ทำอะไร คิดง่าย ๆ เขาก็เหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่ไม่มีร่างกาย ตอนเป็นคนชอบคุย เป็นเทวดา ก็เป็นเทวดาบ้าน้ำลายฟ่อด ๆ
คิดดูซีบางคนเป็นเทวดาเพลินจนลืมกินข้าว
อย่างโฆสกะเทพบุตรนั่นไง อ้าว...แล้วไหนว่า แค่นึกก็อิ่ม ก็นั่นแหละ แค่นึกก็อิ่ม แต่มัวเพลินอยู่กับอย่างอื่น เลยลืมแม้กระทั่งนึก
ส่วนใหญ่พวกเทวดานางฟ้ามือใหม่นั่นแหละ ที่จะตกสวรรค์ มือเก่ามือเก๋า เขาเป็นงานแล้ว วันพระก็ไปฟังธรรม ที่เทวสภา
เวลาขึ้นไปอยู่บนโน้น ใหม่ ๆ ก็จะมีคนเตือนว่า "จงอย่าประมาท" แม้เป็นเทวดานางฟ้า ก็ตาย หรือ จุติ ได้
เทวดาที่ไม่เชื่อ ก็เพลินสิ ทำโน่น ทำนี่ ถ้าไม่เกินเทวธรรม ก็ทำได้ เทวดามิจฉาทิฏฐิยังมีเลย
เทวดาช่วยคนแล้วได้บุญไหม ได้สิ แต่ได้น้อยกว่าสมัยเป็นคนเยอะ เทวดาน่าจะได้รับบุญตอนเราแผ่ส่วนกุศลไปให้นั่นแล
ตอบความเห็นที่ ๔
ก่อนจะไปถึงพระอนาคามี เอาพระโสดาบันให้ได้ก่อนนะ วิธีหลอกล่อที่เนียนที่สุด คือ หลอกไปทำบุญครับ ข้าพเจ้าเองก็เวียนหัวกับการพยายามลากที่บ้าน แต่ลากอย่างไรก็ลากไม่ไป หลัง ๆ เลยหลอกให้ไปทำบุญครับ เดี๋ยวอำนาจบุญก็จัดการของเขาเอง
ตอบความเห็นที่ ๕
อารมณ์ความเป็นทิพย์ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่า ได้มาแล้ว จะรู้ทุกอย่างในทันที อย่างนั้นคงสมอง(จิต)ระเบิด
ตามความในพระไตรปิฎก ต้องกำหนดจิต ถึงจะรู้ เช่น เรื่องราวของสุปติฏฐิตะเทพบุตร ที่มัวระเริงเพลิดเพลินใจอยู่กับความเป็นทิพย์ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองใกล้หมดอายุ อากาศจารีเทพบุตรผ่านมา เห็นวิมานของท่านเศร้าหมอง อาภรณ์เศร้าหมอง มีเหงื่อที่รักแร้ ก็ทักขึ้น สุปติฏฐิตะเทพบุตร จึงใช้ทิพพเนตร ตรวจดูก็ร้องจ๊าก นี่ถ้าตูจุติจากเทวดาไป พุ่งหลาวลงนรกไปเลย แล้วต้องไปเสวยกรรมอะไรบ้างรู้หมด (อยากรู้ไปหาอ่านเอาเองนะ เซิร์ชไม่ยาก)
ที่อ้างมานี้ เพื่อบอกให้ทราบว่า ความสามารถของ ทิพพเนตร มีอยู่ก็จริง แต่ถ้าไม่ใส่ใจ กระทั่งตนจะตาย ก็ยังไม่รู้ตัว (เขาเรียกว่า "ประมาท" อย่างไรเล่า)
เรื่องการพยากรณ์นี่ ไม่ทราบแน่ชัดเหมือนกัน สงสัยคงต้องลองตายจริง ๆ ซะแล้ว (ตายตอนนี้ก็ไม่ชัวร์อีกว่า จะขึ้นบน หรือลงล่าง)
เท่าที่ทราบมา อย่างหวยนี่ เทวดาเขาให้กันได้ทุกองค์แล แต่เขาจะพิจารณาบุญเก่าของคนที่จะให้ด้วย ถ้าเขาไม่มีบุญเก่ามา บางทีไปฝืนกฏแห่งกรรม เขาก็ไม่ให้ ถ้าให้บางทีเขาเองนั่นละ จะเดือดร้อน
อย่างกรณีข้างบน ก็เป็นเรื่องของตัวเอง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ ก็มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่อย่างดวงเมือง ดวงคน อย่างนี้มันไม่แน่ มีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายตัว
ไว้ตายไปเป็นผีดี จะมาบอกนะ แฮ่
(ถ้าเป็นผีไม่ดี คงไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาบอก)
เจริญยิ่งในธรรม ฯ
แล้วทำไมเทวดาทำบุญแล้วได้้น้อยกว่าคน
สงสัย สงสัย "
ส่วนหนึ่งก็อย่างที่ท่านได้กล่าวไว้แหละครับ OwO
เคยได้ฟังครูบาอาจารย์ท่านพูดแบบนีั้เช่นกัน
มีเสริมมาหน่อยว่า ที่ทำได้น้อยนี้ก็เพราะว่าทรัพย์ของเทวดาบนนั้นมันคงที่
อยากได้อะไรก็พรึ่บปิ๊งขึ้นมา ส่วนคุณภาพและปริมาณนั้นก็ขึ้นอยู่กับบุญที่เคยทำไว้
แต่ไม่ต้องขวนขวายหาทรัพย์ใหม่มา เพราะบนนั้นไม่ต้องทำอาชีพอะไรให้มีรายได้
พอจะทำทาน ของที่จะให้ก็เป็นของทิพย์เฉพาะตัวที่เกิดแต่บารมีของผู้สร้างเท่านั้น
จะยกให้คนอื่นก็ไม่ได้ ให้ไปก็แวบกลับมาที่มือตัวเองอยู่ดี
เว้นแต่เทพผู้มีฤทธิ์เฉพาะบางองค์เท่านั้น (เช่นพระอินทร์ที่เคยลงมาใส่บาตรพระมหากัสสปะ)
ครุบาอาจารยืท่านก็ยกตัวอย่าง
เปรียบเทียบว่า มหาเศรษฐีมีเงินแสนล้าน ให้เงินคนอื่นไปพันล้าน
กับคนธรรมด๊าธรรมดา มีเงินอยู่20บาท หย่อนให้ขอทานไปหมดเลย 20บาท
เรื่องปริมาณ ลิงยังรู้เลยว่าเศรษฐีชนะขาด
แต่ถ้าเรื่องความเสียสละ (จะบอกว่าคิดเป็น%ก็ได้)
คนธรรมดานั่นชนะขาดลอย
ฉันใดก็ฉันนั้น เทวดามีทรัพย์อยู่เกินบรรยาย ให้ไปก็ไม่ลดอีก แต่มีโอกาสทำบุญไม่มากนัก
ส่วน่มนุษย์มีแค่ที่พอหาได้ และมีโอกาสทำบุญมากมายในตลอดทั้งวัน ถ้าเทียบ%กันแล้ว มนุษย์ก็ทำได้เยอะกว่าแน่นอนครับ
ดังนั้น เทวดาก็น่าสงสารอยู่หน่อยครับ คือต้องอาศัยบุญจากการเจริญภาวนา ซึ่งถ้าไม่ใช่เทวดาที่เป็นอริยบุคคลแล้วหรือผ่านการฝึกมาแล้ว ก็จะทำได้ยากยิ่ง
เพราะมัวแต่หลงสุขนั่นล่ะครับ
ดังนั้น ทางที่ง่ายที่สุดของเขาคือการมาอนุโมทนาบุญกับมนุษย์นี้แล
ได้บุญกันง่ายๆ ถึงจะไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วยงั้นเถอะ
เขาถึงได้มีบทสวดชุมนุมเทวดานั้นแหละครับ
ตอบความเห็นที่ ๑๒
ความจริงก็เหมือนกันแล ต่างกันนิหน่อย
ทำบุญ มีความหมายกว้างกว่า เพราะทำบุญ ทำได้ถึง ๓ อย่าง คือ ละความโลภ คือ ทำทาน, ละความโกรธ คือ อภัยทาน และเจริญพรหมวิหาร, ละความหลง คือ หมั่นเจริญปัญญา หรือ ฟังธรรม
ละกิเลสใดใน ๓ อย่างนี้ ก็เป็นบุญทั้งนั้น
ส่วนทำทาน ความหมายแคบกว่า มี ๒ อย่าง
อามิสทาน ทานที่เป็นวัตถุ
นิรามิสทาน ทานที่ไม่ใช่วัตถุ พวกอภัยทาน
ตักบาตรกับใส่บาตร ก็เหมือนกันละครับ
หรือจะแยกดี
ตักบาตรใช้กับ การตักข้าวจากภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น ขันทองเหลือง ลงในบาตร
ใส่บาตรนี่ ไปซื้อกับข้าวถุงมาใส่บาตร ... เอิ๊ก
เจริญยิ่งในธรรม ฯ