เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากงานที่ตั้งใจจะเขียน หนังสือแจกงานศพ ค้างไว้หลายเดือนแล้ว ได้ยินมาว่า การไม่มีงานคั่งค้าง เป็นอุดมมงคล จึงนำมาปัดฝุ่น เรียบเรียงเสียให้เสร็จ เพือให้เป็นมงคลชีวิต แก่ตัวผู้เขียนเอง ความในตอนนี้จะว่าถึง อานิสงส์ของการฟังสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต
ชุดสีดำ
โอ้ผ้าดำ ดำผ้า น่าฉงน
ทำไมคน แต่งดำ กันด้วยหนา
รู้คำตอบ บอกด้วย นะแก้วตา
หรือเพราะว่า แต่งดำ เพราะจำเป็น
แค่เอาใจ ใส่ลง ในเนื้อผ้า
ว่าเรามา ด้วยจิต เป็นไฉน
คิดจนรู้ แน่ชัด นั่นประไร
ใช่อื่นไกล ดำเพราะไว้ ทุกข์นั่นเอง
สีดำหนอ สัญลักษณ์ แห่งความทุกข์
มิใช่ทุกข์ เพียงแค่ผ้า นะเพื่อนเอ๋ย
แม้เกิดแก่ เจ็บพราก ผิดหวังเคย
ล้วนแต่ทุกข์ ทั้งนั้นเลย ใช่เพียงตาย ฯ
แล้วตอนฟังอภิธรรมล่ะ เห็นเขาว่าได้บุญมาก จริงรึ ฟังก็ฟังไม่ออก จะไปได้บุญตรงไหน บุญก็เกิดตรงความตั้งใจฟังนั่นเอง ตรงนี้ขออ้างธรรมบทสักเล็กน้อย
ความโดยย่อมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งชาวประมง ๕๐๐ คน มีความเลื่อมใสในพระสารีบุตร ได้ออกบวชแล้ว พำนักอยู่ที่สำนักของท่าน เวลานั้น พระพุทธเจ้าอยู่ในระหว่างเสด็จแสดงพระอภิธรรมโปรดแก่พระพุทธมารดา อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้ออกบิณฑบาตในเวลาเช้า ครั้นพบพระสารีบุตร ก็บอกให้พระสารีบุตรแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ แก่ภิกษุบวชใหม่ เธอทั้งหลายได้เคยฟังมาแล้วในกาลก่อน สมัยที่เกิดเป็นค้างคาว ๕๐๐ ตัว ในถ้ำที่พระเข้าไปสวดซักซ้อมพระอภิธรรมกัน ห้อยหัวฟังเพลิน เผลอหลับไปเลยตกลงมาหัวกระแทกพื้นถ้ำตาย ละจากอัตภาพนั้นไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๕๐๐ ครั้นหมดผลบุญแล้ว ก็จุติลงมาเกิดเป็นชาวประมง ๕๐๐ คน เมื่อเธอเหล่านั้นได้ฟังพระอภิธรรมอีกครั้ง เธอทั้งหลายจะบรรลุอรหัตตผล พระสารีบุตรก็นำไปปฏิบัติตาม ก็ได้ผลตามนั้น
นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่เขานำพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์มาบรรจุไว้ในพิธีสวดผีฟังดูเผิน ๆ ก็อาจจะคิดว่า ง่ายดีนะ อย่างนี้เราฟังอภิธรรม หรือสวดศพเสียครั้งหนึ่ง ตายแล้วก็ไปนั่งรอนอนรอบนสวรรค์ พอเกิดอีกชาติได้ฟังอภิธรรม ๗ คัมภีร์อีกครั้ง ก็เป็นอันจบกิจ ความจริงแล้ว ไม่ง่ายอย่างที่คิด มาลองนั่งวิเคราะห์กัน ประการแรก ค้างคาวทั้ง ๕๐๐ นั้น ฟังธรรมด้วยความพอใจ (ในทำนองเสียงสวด ไม่ใช่เข้าใจความหมายนะ) มาย้อนดูตัวเรา เวลาไปฟังพระสวดศพ เราฟังด้วยความพอใจหรือเปล่า หรือนั่งไปแก็น ๆ นั่งไปงั้น ๆ เอง นั่งพอเป็นพิธี ใจไปคิดเรื่องที่บ้าน เรื่องที่ทำงาน แหม...พรุ่งนี้จะส่งงานแล้ว ยังทำไม่เสร็จเลย เดี๋ยวพระพักสวด จะรีบโทรไปเม้าท์กับคนนั้นคนนี้ เผลอ ๆ ก็คุยแข่งกับพระสวดไปเลย อย่างนี้อย่าว่าแต่จะพอใจฟังเลย แค่ความตั้งใจฟังยังไม่มีเลย ประการที่สอง ที่ว่าค้างคาวฟังเพลินจนหลับ เลยตกลงมาคอหักตาย นั่นชื่อว่าตายตอนจิตเกาะกุศล เลยตีตั๋วทางด่วนขึ้นไปนอนกลิ้งเกลือกบนสวรรค์ได้ สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่มีมาใน มูลปันณาสก์ มัชฌิมนิกายว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา หรือ จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุขคติ ปาฏิกังขา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า เวลาตาย ถ้าจิตเศร้าหมอง ก็ไปทุคติ หรือ ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง ก็ไปสุขคติ ทีนี้จะเป็นไปได้รึว่า เราจะมีโอกาสฟังพระอภิธรรมก่อนตาย แถมฟังอย่างพอใจอีกต่างหาก ยกเว้นอย่างเดียวว่า เราเกิดพอใจฟังอภิธรรม เหมือนการฟังเพลงศิลปินค่ายดัง ฟังด้วยความพอใจ ฟังเช้า ฟังสาย ฟังบ่าย ฟังค่ำ ฟังก่อนนอน แล้วเกิดไหลตายไปในคืนนั้น อะ...ถ้าอย่างนั้นถูกต้องครบถ้วนองค์ประกอบตามพระสูตร พุ่งไปสวรรค์ชัวร์ ไม่มีวอกแวก
ฉะนั้นแล้ว เขามาให้เราฟังสวดอภิธรรมทำไม ในเมื่อโอกาสที่จะเป็นอย่างค้างคาว ๕๐๐ ตัวแทบจะไม่มี คำตอบ คือ ฟังเพื่อให้เกิดความเคยชิน ฟังบ่อย ๆ เข้า จะเกิดความพอใจ (เหมือนที่ค่ายเทปยักษ์ใหญ่เขาให้สถานีวิทยุ เปิดแต่เพลงค่ายของเขา ฟังครั้งแรกอาจจะเฉย ๆ หรือรู้สึกไม่เพราะ แต่พอถูกยัดเยียดให้ฟังบ่อยเข้า เพลงก็เพราะไปเอง) และที่เขาให้ตั้งใจฟัง โดยเอาสวรรค์มาจูงใจ ก็เพื่อฝึกให้จิตเป็นสมาธิ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง จังหวะที่จิตเป็นสมาธินี่ละ ที่เขาว่า ฟังอภิธรรมแล้วได้บุญมาก อีกเหตุผลหนึ่ง คือได้ดำรงรักษาพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ไว้ ในรูปบทสวดมนต์ เป็นการสืบอายุพระศาสนาไปในตัว คิดดูซีว่า ถ้าสวดอภิธรรมแล้วไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ พระก็คงไม่มีกระใจจะท่องบ่น เมื่อไม่ท่องบ่น ก็ไม่มีการค้นหาศึกษาความหมายของพระบาลี และนับวันก็จะมีพระจำมนต์ได้น้อยลง ๆ เช่นนี้อภิธรรมก็คงสูญสลายไปในเวลาอันสั้น นี่ละกุศลกรรมอันแรงกล้า
ความเข้าใจนี้ แม้พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต ก็ให้ความเห็นไปในแนวเดียวกัน ท่านว่า การฟังธรรม มี ๒ แบบ แบบหนึ่งฟังเอาอรรถ เอาธรรม เช่น การฟังเทศน์ ต้องฟังเป็นภาษาไทย ต้องฟังแล้วรู้เรื่อง นำไปใช้ได้ กับอีกแบบหนึ่ง คือ ฟังเอาสมาธิ เช่น การฟังพระสวดเจริญพระพุทธมนต์ หรือ การฟังพระสวดอภิธรรม แบบนี้ไม่จำต้องรู้ความหมาย ให้ปล่อยใจฟังเสียงบาลีนั่นละ ไปเพลิน ๆ ให้ไม่ว่อกแว่ก คิดโน่น คิดนี่ ให้จิตเป็นสมาธิ ท่านว่า ถ้ารู้คำแปล หรือ มัวไปพะว้าพะวังกับคำแปล จิตไม่เป็นสมาธิ ยิ่งแย่ เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก
เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา ข้าพเจ้าขอขันอาสา หากใครมีข้อสงสัย ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องงานศพ เชิญคอมเม้นท์เข้ามา ข้าพเจ้าจะพยายามไปค้นคว้าหาคำตอบให้ และแม้หาไม่ได้ ก็จะได้ไถ่ถามผู้รู้ แล้วนำมาบันทึกไว้ เพื่อประโยชน์ของสาธุชน สืบไป
ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่แล้ว มีผู้สงสัยว่า ประเพณีตั้งศพ ๓ วัน ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน มีความหมายกระไร ข้าพเจ้าก็ได้ไปเสาะแสวงหาคำตอบมาเรียบร้อยแล้ว จะได้นำขึ้นบล็อกในโอกาสต่อไป ฯ