วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อะไรเอ่ย...คืองานศพ ตอน ๘ - คุยกับผี ภาค ๓Dhammasarokikku

 

392565_378803795504821_100001256126365_1067932_788653209_n

เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากงานที่ตั้งใจจะเขียน หนังสือแจกงานศพ ค้างไว้หลายเดือนแล้ว ได้ยินมาว่า การไม่มีงานคั่งค้าง เป็นอุดมมงคล จึงนำมาปัดฝุ่น เรียบเรียงเสียให้เสร็จ เพือให้เป็นมงคลชีวิต แก่ตัวผู้เขียนเอง ดังนี้

ว่าจะมีแค่ ๒ ภาค กลายเป็น ๓ ภาค Trilogy ไปจนได้ ที่ต่อไปอีกภาคหนึ่ง ก็เพราะไปอ่านเจอเรื่องเกี่ยวกับสัมภเวสีว่า พวกเขาลำบากกันอย่างไร และการอุทิศส่วนกุศล มีผลอย่างไร หากว่าผู้มาร่วมงานศพ ได้อ่าน ก็คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย

ดัดแปลงจาก ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต

ที่เก็บกระดูก

ยามชีวี มีอยู่ รู้กันไว้

บ้านกูใหญ่ นักหนา หาใครเทียบ

มาบัดนี้ ที่อยู่ แคบเกินเปรียบ

เคยกินเรียบ กินคด โอ้หมดกัน

จำไว้เถิด ทรัพย์ใด แสวงหา

กอบโกยมา เข่นฆ่า ให้อาสัญ

ครั้นตายลง กงเต็ก เผาไม่ทัน

ทรัพย์ใดนั้น เอาไม่ได้ สักเก๊เดียว ฯ 

เรื่องที่ ๑๒๒
เด็กชายณัฐพร ครุฑานนท์ ตายจากคนเป็นสัมภเวสี

จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

".. ต่อไปนี้จะเล่าเรื่องตายแล้วไปเป็นผี คือไม่ใช่กลับฟื้นหรือยังไม่เกิดเป็นคน ท่านจะได้ทราบว่า ชีวิตของคนสมัยเป็นผีนั้นมันเต็มไปด้วยความรำเค็ญเพียงใด โปรดทราบไว้ด้วย คำว่า "ผี" เป็นศัพท์ไทยสมัยก่อน ศัพท์จริงของเขาออกเสียงว่า "ปี๋" แปลว่า "มืด" แต่คนไทยเมืองใต้ ลิ้นอ่อนเกินไปนิดหนึ่ง จึงทำให้เสียงเพี้ยนไปกลายเป็นผี ศัพท์ว่าผีนี้ ดูตามภาษาบาลีที่จัดว่าเป็นแม่ภาษาก็ไม่เห็นมี บาลีเรียกผีว่า "อสุรกาย" แปลว่า มีกายไม่กล้า คือคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าประชาชน เหมือนคนผีๆ ที่คอยหลบๆ ซ่อนๆ เกรงเขาจะลงโทษเพราะตนมีความผิด

ผีนี้คนเรารวมหมด คือยกยอดเอาตั้งแต่สัมภเวสีจนถึงพรหมรวมเรียกว่า "ผี"

ผีถ้าว่ากันตามที่ปรากฏมีอยู่ ๒ พวกคือ

พวกที่หนึ่ง ได้แก่ผีประเภทรับผลของกรรม คือมีความสุขเพราะบุญบันดาล หรือมีความทุกข์เพราะการบีบคั้นของบาป

พวกที่สอง ที่เรียกว่า "สัมภเวสี" แปลว่า ผีที่ต้องแสวงหาที่เกิด คือตายเมื่อยังไม่ถึงกำหนดอายุขัย เป็นการตายเพราะอกุศลบางอย่างเข้ามาตัดรอนชีวิต ที่พวกชาวบ้านเรียกว่า "ผีตายโหง" นั่นเอง พวกนี้ตายแล้วยังไม่เสวยผลความดีหรือความชั่ว คือยังไม่ไปนรกหรือสวรรค์ ต้องรอจนกว่าจะสิ้นอายุขัย จึงจะได้รับผล การตายประเภทนี้ ถ้าพบท่านผู้รู้จริงๆ ท่านยับยั้งไม่ให้ตายได้

อย่าง ท่านอายุวัฒนกุมาร จะต้องตายเมื่อเป็นเด็กเล็ก เพราะอกุศลกรรมบีบคั้น ครั้นเมื่อพ่อแม่นำไปให้พระพุทธเจ้าช่วย พระองค์สงเคราะห์ตัดกรรมนั้นให้ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย ในที่สุดท่านอายุวัฒนกุมารกลับ มีอายุอยู่มาได้ถึง ๑๒๐ ปีจึงตาย

ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบเรื่องของผีที่เรียกว่า "สัมภเวสี" ต่อไปนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ท่านผู้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังชื่อ "ร.ต.สุภักดิ์ อนุกูล" ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. เด็กชายณัฐพร ครุทานนท์ ชื่อเล่นๆ ว่า "หนุ่ม" เป็นบุตรชายคนรองสุดท้ายของนายสุนทร-นางสุภาพ ครุทานนท์ อยู่บ้านเลขที่ ๔๑/๓ ตำบลบางแพ ได้รับอุบัติเหตุถูกสายไฟฟ้าที่ขาดห้อยอยู่ดูดถึงแก่ความตาย เรื่อง ของความตายนี้ ทางพระท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าไม่ว่าใครทั้งสิ้นที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกันหมด จะตายด้วยโรคอะไรหรืออาการอย่างไร ในที่สุดก็ตายเหมือนกัน พระท่านสอนไม่ให้เสียใจเพราะเหตุแห่งความตายมาถึง คนรับฟังมีมาก แต่รับปฏิบัติคือตัดใจไม่ยอมเศร้าโศกถึงคนตายนี้หายาก เรื่องของการระงับความเศร้าโศกอาลัยในเมื่อมีคนที่รักตายนี้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง คนที่จะทำได้แน่นอนไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในเรื่องของความตายนั้น ท่านว่ามีพระอรหันต์เท่านั้นที่จะเห็นเรื่องของความตายเป็นของปกติธรรมดา เหมือนเห็นใบไม้ที่แกว่งจนล่วงลงจากต้น ไม่มีความรู้สึกเสียดายห่วงใยใดๆ ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้ามีคนตายเกิดขึ้นที่บ้านใคร คนที่เกี่ยวข้องเช่นสามีหรือภรรยาของผู้ตายไม่ร้องไห้แสดงความเสียใจ เขาก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียอีก ต้องแสดงออกถึงความเศร้าโศกรำพัน นั่นแหละเขาจึงจะนิยมว่าเป็นคนดี รักกันจริง เรื่องของความเห็นของพระกับชาวบ้านไม่ใคร่จะลงกันก็อีตอนนี้แหละ

เป็นอันว่า เมื่อเด็กชายณัฐพรลูกชายตาย คุณสุนทร และคุณสุภาพก็ต้องร้องไห้ตามแบบฉบับของชาวบ้านที่รักลูกทั่วโลก มีการทำบุญตามพิธีสงฆ์ คือพระมาสวดและก็เลี้ยงพระ ในที่สุดก็ยังไม่เผาเอาไปเก็บไว้ที่โกดังวัดใกล้บ้าน เป็นสุสานทำเป็นตัวตึก ท่านผู้เล่าให้ฟังคือ ร.ต.สุภักดิ์ ได้บอกว่าในระยะที่เด็กชายหนุ่ม หรือณัฐพรตายตอนแรก ๆ ยังไม่มีอะไรปรากฏการณ์ เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนครบ ๘ เดือนเศษ ค่ำวันหนึ่ง น.ส.เฉลียง เด็กที่มาอยู่บ้านนายสุนทร หลังจากเด็กชายหนุ่มตายไปแล้ว และไม่เคยรู้จักเด็กมาก่อน

น.ส.เฉลียง อายุ ๑๖ ปี ขณะที่เธอกำลังนั่งทำงานอยู่นั้น ก็เกิดร้องกรี๊ดขึ้นมาเฉย ๆ ทุกคนในบ้านพากันแปลกใจ  จึงเข้าไปถามสาเหตุ ที่ร้องส่งเสียงแสดงความหวาดกลัวนั้น น.ส.เฉลียงได้บอกแก่ทุกคนที่เข้าไปถามว่า "เห็นเด็กชายคนหนึ่ง อายุประมาณ ๓ ปี เข้ามาทางช่องกระจกบานเกล็ด พร้อมกันนั้นก็มีพระสงฆ์ ๒ องค์ตามมา เมื่อทันกัน พระทั้ง ๒ องค์ก็ช่วยกันจับเด็กชายคนนั้น คนละแขน พาออกไปทางช่องกระจกบานเกล็ด เธอเห็นอย่างนั้น ก็ตกใจกลัวจึงร้องออกมา และเด็กคนที่เห็นนั้นมีรูปร่างหน้าตา เหมือนภาพถ่ายเด็กที่แขวนอยู่ที่ห้องรับแขก" เรื่องที่ น.ส.เฉลียง บอกนั้น สร้างความสนใจแก่ทุกคนในที่นั้น เป็นพิเศษ เพราะเด็กชายหนุ่มตายเมื่ออายุ ๓ ปี จึงพากันสนใจ และแปลกใจไปตาม ๆ กัน

วิญญาณของเด็กชายหนุ่มเข้าทรง

ต่อมาอีกไม่กี่วัน น.ส.เฉลียง ทำงานอยู่กลางลานบ้าน ก็เกิดล้มลงเฉย ๆ มีอาการมือเท้าเกร็ง มีเสียงร้องคล้ายเด็กร้องไห้ นางสุภาพเข้าไปสอบถามอยู่นาน เกือบชั่วโมง น.ส.เฉลียงจึงพูดด้วย แต่ไม่ได้พูดด้วยสำเนียงเดิม ที่เคยพูด กลับออกเสียงเป็นเสียงเด็ก บอกชื่อตัวเองว่า "หนูชื่อหนุ่ม คิดถึงแม่สุภาพถึงได้มา คิดถึงพ่อ คิดถึงน้องและครูปั๊ก" (ตามสำเนียงที่เด็กชายหนุ่ม เคยเรียก ร.ต. สุภักดิ์ ออกสำเนียงเป็นปั๊กเสมอ เพราะยังพูดไม่ค่อยชัด) แล้วสั่งว่า "วันพรุ่งนี้อย่าให้ครูปั๊กไปไหน หนุ่มมีธุระจะคุยด้วย"

เมื่อพูดจบ อาการของ น.ส.เฉลียง ก็เป็นปกติ ร.ต.สุภักดิ์ บอกว่าบ้านของเขา อยู่ติดกับบ้านของนายสุนทร ทั้งสองมีความสนิทสนมกันมาก เด็กชายหนุ่มก็มีความสนิทสนมกับ ร.ต.สุภักดิ์ มาก เคยมาหา ร.ต.สุภักดิ์ และเคยติดตามไปในที่ต่าง ๆ เป็นปกติ คุณสุภักดิ์ เป็นคนโสดและมีนิสัยรักเด็ก บางคราวเขาจะเพาะถั่วงอกเพื่อทดลอง เด็กชายหนุ่มก็มาช่วยทำงาน ทำตามประสาเด็ก และชอบซักถามเพื่อความเข้าใจ คุณสุภักดิ์รัก และชอบในความสนใจของเด็กชายหนุ่มมาก

ต่อมาเมื่อเด็กชายหนุ่มต้องตาย เพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูด คุณสุภักดิ์ก็เอาถั่วงอก ที่เด็กชายหนุ่มช่วยปลูกนั้น มาผัด และถวายพระ อุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อทราบจากนางสุภาพว่า เด็กชายหนุ่มต้องการพบ ตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่เพื่อจะทราบความจริงว่า เด็กชายหนุ่มจะมาเข้าทรงจริง หรือ น.ส.เฉลียง จะเล่นตลกกันแน่ จึงคอยพบตามเวลาที่เด็กนัดไว้

วันนั้นเป็นวันที่ ๒๑ มิถุนายน เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. น.ส.เฉลียง ก็มีอาการเหมือนเดิม คือมีอาการคล้ายเป็นลมหน้ามืดแล้วก็ล้มลง เป็นอันว่าทราบทั่วกันว่า อาการอย่างนั้นปรากฏก็แสดงว่า วิญญาณของเด็กชายหนุ่มเข้าทรง เมื่อเข้าทรงแล้ว ก่อนจะถามถึงใคร เด็กชายหนุ่มก็ถามหาครูปั๊ก ถามว่า "วันนี้ครูปั๊กมาหรือเปล่า" เมื่อร.ต.สุภักดิ์ตอบว่า "มาและอยู่ที่นี่แล้ว" วิญญาณของเด็กชายหนุ่มก็พูดว่า "หนุ่มคิดถึงครูปั๊กมาก" เขาถามว่า "เวลานี้หนุ่มอยู่ที่ไหน" ตอบว่า "ขณะนี้หนุ่มอยู่ที่ตึก" ถามว่า "ตึกที่หนุ่มอยู่ตั้งอยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ที่วัดใกล้ๆ บ้านนี่เอง"

เป็นอันทราบได้ว่า วิญญาณของเด็กชายหนุ่มอยู่ที่สุสานวัดใกล้บ้านนั่นเอง เพราะสุสานคือที่เก็บศพเขาทำเป็นตึก ถามว่า "หนุ่มอยู่คนเดียวหรือมีเพื่อนอยู่ด้วย" ตอบว่า "มีพระอยู่ด้วยสององค์ และคนอื่น ๆ อีกหลายคน แต่หนุ่มไม่รู้จักชื่อเขาเหล่านั้น"

307007_267344070039606_571061443_n สำหรับพระ ๒ องค์ ที่เด็กชายหนุ่มบอกนั้นคือ พระภิกษุเหมือนอายุ ๒๒ ปี และพระภิกษุทองใบอายุ ๕๐ ปี ตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูดเหมือนกัน เด็กชายหนุ่มบอกต่อไปว่า "ขณะที่หนุ่มจะต้องตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูดนั้น เห็นพระ ๒ องค์นี้มาจับมือจูงไป และบังคับให้จับสายไฟฟ้าที่ขาด ตกห้อยลงมา หนุ่มจึงต้องตายจากคน"

เรื่องการสนทนาระหว่าง ร.ต.สุภักดิ์กับวิญญาณของเด็กชายหนุ่ม เป็นเหตุให้ทราบข้อเท็จจริงที่เป็นข่าวลือกันมานานแล้วว่า คนที่จะต้องตายโหง คือผูกคอตาย ดำนํ้าตาย เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่แก้ไขฟื้นคืนชีพมาแล้ว มักจะเล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นไม่รู้ตัวว่าทำอย่างนั้น แต่กลับเห็นว่าตนเองกำลังเพลิดเพลินกับอะไรสักอย่างหนึ่ง บาง คนก็บอกว่ามีคนมาท้าให้ไปตีกัน จะนำเรื่องที่พบมานี้มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง เพื่อเป็นการรับรองเรื่องของเด็กชายหนุ่มหรือณัฐพรคนนี้สัก ๒ เรื่อง ขอเล่าสั้นๆ

คนผูกคอตาย

เรื่องแรก เกิดขึ้นในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า รายนี้เป็นผู้หญิงชื่อ "จันทร์" ลูกชายพาหญิงสาวคนหนึ่งมาเพื่ออยู่ร่วมเป็นสามีภรรยา เป็นลูกของคนที่ค่อนข้างจะมั่งคั่งสักหน่อย ท่านแม่ก็พอใจในลูกสะใภ้ พอเวลาล่วงเลยไป ๓ วัน เป็นระยะเวลาสมควรที่จะไปติดต่อรับรองเรื่องบุตรพาลูกสาวเขามา แกก็แต่งตัวเรียบร้อยออกเดินทางจากบ้าน เพื่อจะไปบ้านบิดามารดาของลูกสะใภ้ เพราะเป็นคนรู้จักกันดี บิดามารดาฝ่ายหญิงก็ทราบว่าลูกชายของแม่จันทร์คนนี้พาลูกสาวของเขามา ก็ไม่มีความรังเกียจ ส่งข่าวมาเพื่อให้ไปรับรองตามประเพณี เมื่อออกจากบ้านไปแล้วแทนที่แกจะไปบ้านฝ่ายหญิง ปรากฏว่าแกแวะไปที่ป่าช้าวัดใกล้ๆ กับส้วม แกไต่ขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง บังเอิญขณะนั้นมีพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านกำลังนั่งถ่ายอุจจาระอยู่ในส้วม ท่านเห็นเหตุการณ์ตลอด ท่านบอกว่าท่านเห็นแม่จันทร์คนนั้นได้ขึ้นไปบนต้นไม้ มีหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนหนึ่งขึ้นตามไปเมื่อทั้งสองคนขึ้นไปบน ต้นไม้เรียบร้อยแล้ว หญิงชื่อจันทร์นั้นก็เปลื้องผ้าสไบออก และเอาชายหนึ่งผูกกับกิ่งไม้ เอาอีกชายหนึ่งผูกที่คอ เมื่อผูกเสร็จหญิงที่ขึ้นตามไปนั้น ก็เอาเท้าถีบแม่จันทร์ให้ตกลงมา ร่างห้อยกับกิ่งไม้ แล้วหญิงคนนั้นก็ขึ้นเหยียบสองบ่าช่วยขย่มพระที่กำลังถ่ายอุจจาระเห็นเข้า อย่างนี้ก็ตกใจ รีบออกจากห้องส้วมวิ่งเข้าไปถึงต้นไม้และไต่ต้นไม้ขึ้นไปช่วยแก้ให้แม่ จันทร์พ้นอันตราย พระท่านว่าท่านไม่เห็นหญิงที่เหยียบบ่าลงสวนมาเลย และก็ไม่ทราบว่าหายไปทางไหน เมื่อท่านแก้ให้แม่จันทร์ลงมาแล้ว ด้วยเหตุที่ท่านส่งเสียงเอะอะโวยวายด้วยความตกใจ เป็นเหตุให้เพื่อนพระและคนที่อยู่ใกล้เคียงมากันหลายคน ต่างช่วยกันปฐมพยาบาลเพื่อแก้ไข

เมื่อฟื้นแล้วสอบถามเรื่องที่มาผูกคอตายและหญิงคนที่มาช่วยให้ตายเร็วเข้า แม่จันทร์ตอบว่า "ไม่รู้ว่าผูกคอตายตามที่ปรากฏ" แกบอกว่าขณะที่ออกจากบ้าน ก็ประสงค์จะไปติดต่อทาบทามขอขมาเรื่องลูกชายพาลูกสาวเพื่อนบ้านมา แต่เมื่อออกจากบ้านปรากฏว่ามีขบวนแห่ มีคนมากเขากำลังเล่นรำกัน คงจะเป็นกลองยาว เพราะสมัยนั้นกำลังนิยมกลองยาว แกก็เข้าไปรำกับเขา ขณะที่ถูกแก้ให้ฟื้นนั้นกำลังรำเพลิน ได้ยินเสียงพระเรียกให้กลับ แกจึงกลับมา

นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันว่า พวกที่จะต้องตายโหง มักจะมีวิญญาณอื่นมาชักนำให้เห็นอาการที่จะทำลายตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ร้าย แรง คือทำให้เกิดความเพลิดเพลินในทางสนุกไปเสีย

คนดำนํ้าตาย

อีกเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นในเขตตำบลโรงเฆ่ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร คนนี้ชื่อ "มาก" เมื่อปี ๒๔๙๗ ปรากฏว่าเป็นฤดูนํ้ามาก นายมากแกนั่งจักตอกอยู่บนชานเรือนพร้อมด้วยเพื่อนบ้านหลายคนมานั่งจักตอกรวม กัน และคุยกันเพื่อแก้รำคาญ ขณะที่นายมากนั่งจักตอกอยู่ อยู่ๆ แกก็ลุกขึ้นแล้วก็เดินลงไปที่บันได ขณะนั้นนํ้าท่วมพื้นดินมีระดับเกือบถึงชานเรือน เมื่อแกลงบันไดไปแล้วก็เลยลงไปในนํ้า ดำนํ้าลงไป พวกเพื่อนบ้านคิดว่านายมากคงจะร้อนมาก ถึงได้ลงนํ้าไปทั้งๆ ที่มือถือมีด แต่เมื่อแกดำลงไปในนํ้าเป็นเวลานานเกินไป พวกเพื่อนบ้านเกิดสงสัยจึงลงไปดู เพื่อนบ้านคนหนึ่งดำนํ้าลงไปสำรวจ พบนายมากนั่งกอดบันไดอยู่ จึงช่วยกันดึงเอาตัวขึ้นมา ต้องทำปฐมพยาบาลกันอย่างหนัก เพราะปรากฏว่าแกกินนํ้ามากเกินไป เมื่อแก้ไขฟื้นแล้วเพื่อนบ้านถามว่า "ลงไปในนํ้าทำไม"

แกตอบว่า "ขณะที่นั่งจักตอกอยู่ด้วยกันนั้น มีคนมาท้าให้แกไปตีกับเขา" ปกติแกเป็นคนไม่ยอมกลัวคน แต่ไม่ข่มเหงใคร ถ้าใครมารุกราน นายมากก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าสู้ชนิดเข็มเย็บตาทีเดียว มาคราวนี้เมื่อมีคนมาท้าถึงที่บ้าน แกบอกว่า "เขาขึ้นมาท้าบนชานเรือน ก็เลยลุกขึ้นและเอามีดที่เป็นเครื่องมือจักตอกนั่นแหละ ไปสู้กับผู้บังอาจมาท้าแก" ขณะที่เพื่อนแก้ไขอยู่นั้น แกบอกว่า "กำลังสู้กันนัวทีเดียว"

นี่ แหละท่านทั้งหลาย คนที่จะตายโหง คือตายด้วยอุบัติเหตุ มักจะมีเหตุอื่นมาทำให้หลงผิด เรื่องอย่างนี้เคยรับฟังมาหลายสิบราย มีเรื่องคล้ายคลึงกัน จึงเป็นเหตุให้ชวนสันนิษฐานว่า คนที่จะตายโหง มีผีมาหลอกล่อให้ตาย เพราะบางคนที่มีทุกข์ยิ่งกว่าคนที่ฆ่าตัวตาย เขายังไม่ยอมตาย คนที่ฆ่าตัวตายบางคนมีเรื่องกระทบใจนิดเดียวก็ฆ่าตัวตาย

540509_461046210589939_1746968845_n การอุทิศส่วนกุศล

ตอนนี้ขอวกเข้าเรื่องของเด็กชายหนุ่มต่อไป เธอมาบอกว่า "หลัง จากพระ ๒ องค์นั้นมาบังคับ คือจับมือให้จับสายไฟฟ้าแล้ว รู้สึกว่ามีกายอีกกายหนึ่ง (โดยเธอใช้คำพูดว่ามีตัวอีกตัวหนึ่ง) เกิดขึ้น เห็นตัวเดิมนอนนิ่ง ส่วนตัวที่เกิดภายหลังก็มีสภาพรูปร่างเหมือนตัวเดิมทุกอย่าง พระ ๒ องค์นั้นบังคับให้ไปอยู่ด้วย โดยช่วยกันจูงมือให้เดินตามไป กำลังเธอสู้พระ ๒ องค์ไม่ได้ ก็จำต้องเดินไปกับพระทั้ง ๒ องค์นั้น" เมื่อพูดจบเธอก็บอกว่า "เมื่อหนุ่มไปอยู่กับพระใหม่ๆ ครูปั๊กเอาถั่วงอกที่หนุ่มช่วยปลูกผัดถวายพระ แล้วอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้นั้น หนุ่มได้รับและกินแล้วอร่อยดีเหมือนกัน แต่เผ็ดมากไปหน่อย หนุ่มไม่ชอบเผ็ดมาก"

ตรงนี้น่าคิด ที่คนทั้งหลายเข้าใจว่าผีจะคอยกินอาหารที่คนจัดสำรับให้นั้น เรื่องของเด็กชายหนุ่มยืนยันว่า จะได้กินต่อเมื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ใช่เอาสำรับกับข้าวไปวางข้างโลงแล้วก็เรียกผีให้มากิน ร.ต.สุภักดิ์รับปากว่าจะทำบุญส่งไปให้ใหม่ รุ่งเช้าก็เอาถั่วงอกผัดถวายพระ คราวนี้ไม่ใส่พริกด้วยเกรงว่าเด็กชายหนุ่มจะเผ็ด อีกสองสามวันวิญญาณเด็กชายหนุ่มมาเข้าน.ส.เฉลียงบอกว่า "ถั่วงอกที่ทำบุญไปให้นั้นได้กินแล้วอร่อยมาก ขอบใจครูปั๊ก ครูปั๊กใจดีมาก หนุ่มรักครูปั๊กมาก" แล้วก็บอกว่า "หนุ่มอยากกินองุ่น ขอให้ช่วยหาองุ่นถวายพระแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้หนุ่มด้วย" (คำว่าอุทิศนั้นก็คือการกรวดนํ้านั่นเอง แต่อันที่จริงไม่ต้องกรวดนํ้าก็ได้ใช้ภาษาพูดธรรมดา บอกขออุทิศผลบุญที่ทำนี้ให้แก่ผู้ตายชื่อและนามสกุลอะไร ให้โมทนาในผลบุญทั้งหมดนี้ ผู้ตายก็จะได้รับผลบุญนั้น)

ร.ต.สุภักดิ์ ก็รับคำแล้วก็จัดองุ่นถวายพระอุทิศส่วนกุศลไปให้ คราวนี้ร.ต.สุภักดิ์ก็คิดว่าผีอื่นก็คงต้องการเหมือนกัน การอุทิศส่วนกุศลจึงแผ่เสียหมดจักรวาล

ต่อมาเมื่อวิญญาณของเด็กชาย หนุ่มมาเข้าสิงน.ส.เฉลียงบอกว่า "องุ่นหนุ่มไม่ได้กินเลย เด็กบ้านํ้าลายไหลยืดข้างบ้านแย่งกินหมด เวลาครูปั๊กบอกให้ทำไมบอกให้คนอื่นด้วยล่ะ คือเด็กบ้านํ้าลายไหลยืดคนนั้นมันตัวโตกว่าหนุ่ม มันแย่งหนุ่ม หนุ่มสู้มันไม่ได้ หนุ่มก็เลยอด"

ร.ต.สุภักดิ์รับปากว่า "ต่อไปจะส่งให้หนุ่มคนเดียว" หนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วก็ลากลับไป ผีบ้านํ้าลายไหลยืดข้างบ้านที่เด็กชายหนุ่มบอกนั้นคือ เด็กชายธีระ ยุทธ บุตรชายนางสังเวียน ถูกสุนัขบ้ากัดตาย เมื่อก่อนตายอาการของโรคคือพิษสุนัขบ้ากำเริบ มีอาการนํ้าลายไหลและร้องคล้ายเสียงสุนัข เธอตายเมื่ออายุ ๗ ปี ส่วนเด็กชายหนุ่มตายเมื่ออายุ ๓ ปี ตัวเธอจึงโตกว่า

เรื่องร่างกายของผีนั้นเมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว ก็เป็นเหตุให้ได้รับความรู้ใหม่ ตามที่ทราบมาตามบาลีว่า เทวดา นั้นเมื่อปรากฏวาระแรกก็เป็นหนุ่มเป็นสาวทันที ไม่มีใครเป็นเด็กและก็ไม่มีแก่หรือร่างกายร่วงโรย สำหรับผีประเภทสัมภเวสีนี้ กลับมีร่างกายไม่เสมอกัน คือตอนตายร่างกายมีสภาพอย่างไร เมื่อเป็นผีก็คงมีสภาพอย่างนั้น ตายเมื่อเด็กก็เด็กตลอดไป ตายเมื่อแก่ก็แก่ตลอดกาล เป็นความรู้ ใหม่ที่รับทราบ ถ้าจะถามว่าเชื่อหรือไม่ ก็ขอตอบว่าลองเชื่อไว้พลางๆ ก่อน เพราะเป็นเรื่องที่ผีบอกเอง ผีบอกเรื่องผีไม่เชื่อ แล้วจะมัวเชื่อคำบอกเล่าของคนที่ไม่เคยเห็นผีได้อย่างไร

ร.ต.สุภักดิ์ เองบอกว่า ตามปกติแกก็ไม่ใคร่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้อะไร แต่เมื่อมาประสบเข้ากับเรื่องของเด็กชายหนุ่มนี้เข้า รู้สึกว่าเชื่อจนหมดสงสัย เพราะพยายามพิสูจน์หาความจริงอยู่เสมอ มีคราวหนึ่งที่วิญญาณของเด็กชายหนุ่มมาเข้าสิงน.ส.เฉลียงบอกว่า "อยากดูทีวี" เขาจึงเปิดเครื่องทีวีให้ดู น.ส.เฉลียงนั่งหลับตาพริ้มหันหน้าไม่ตรงกับตู้ทีวี แต่เมื่อถูกถามถึงรูปร่างลักษณะของผู้แสดงละครในทีวีขณะนั้น ก็บอกได้ตรง ถามว่าขณะนี้คนนั้นกำลังทำอะไร หยิบอะไร เอามือวางไว้ที่ใด ก็บอกได้ตรงทุกอย่าง ร.ต.สุภักดิ์บอกว่า "ถ้าจะลองนั่งอย่างนั้นบ้าง จะไม่เห็นภาพในจอทีวีเป็นอันขาด"

และก็ยังพิสูจน์แบบอื่นๆ อีกหลายวาระ เป็นที่น่าอัศจรรย์เวลาที่วิญญาณเด็กชายหนุ่มเข้ามาสิงน.ส.เฉลียงนั้น บอกอะไรได้ถูกต้องตามที่ถาม ทั้งๆ ที่เรื่องราวอย่างนั้นเป็นความลับ นอกจากเขาเท่านั้นเป็นผู้รู้แต่ผู้เดียว นี่ก็เป็นอีกตอนหนึ่งที่ทำให้ร.ต.สุภักดิ์จำต้องเชื่อเรื่องของวิญญาณ

ตามที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็มิได้มีความมุ่งหมายให้ท่านทั้งหลายเชื่อเรื่องผีเจ้าเข้าสิงแต่ประการใด เห็นว่าเรื่องนี้พอจะลงกันได้กับพระสูตร ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า "เมื่อคนตายไปจากโลกนี้ ผู้ที่หวังสงเคราะห์ผู้ตาย ท่านให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ท่านผู้ตายจึงจะได้รับ ไม่ใช่เอาสำรับไปวางไว้ให้"

สมัย ที่อาตมายังรับนิมนต์สวดพระอภิธรรม เคยเห็นบ่อยๆ เกือบทุกราย เมื่อเวลาพระจะให้ศีล เจ้าภาพก็ไปเคาะข้างหีบศพบอกคนตายว่า "พระจะให้ศีลแล้วขอจงตั้งใจรับศีล" เวลาที่จะถวายอาหารพระ ก็เอาสำรับกับข้าวไปตั้งไว้แล้วก็บอกคนตายว่า "เอาข้าวมาให้แล้ว กินข้าวเสียเถอะ" เมื่อเห็นและได้ฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจ ด้วยทราบมานานแล้วว่าการทำอย่างนั้น ผีไม่มีโอกาสจะได้กิน

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ขณะ ทำบุญเพื่อให้คนตาย ส่วนใหญ่มักจะมีของที่เป็นศัตรูกับบุญผสมอยู่ด้วย เช่น ล้มวัว ล้มควาย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ เป็นต้น เวลาพระให้ศีล เวลาถวายทาน เวลาพระสวดหรือเทศน์ เจ้าภาพไม่ว่าง เมื่อเวลาอุทิศส่วนกุศลผีจะรับบุญจากไหน

ทางที่ดี ถ้าญาติฉลาด ก็เผื่อเหนียวไว้ก่อน พอตายปั๊บไม่ต้องทำบุญมาก แต่ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ คือหาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป ผ้าไตร ๑ ไตร พระพุทธรูป ๑ องค์ ถวายเป็นสังฆทานกับพระสงฆ์ ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบไข่แม้แต่ลูกเดียว เมื่อทำบุญเสร็จ ก็ให้อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครอื่นทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ คนที่ตายไปเป็นสัมภเวสีจะได้รับผลบุญทั้งหมดทันที จะมีความสุข มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด ท่านพวกนี้ก็จะไปถึงด้านสวรรค์ก่อน.."

หวังว่า คงได้ความรู้ วิธีปฏิบัติ และหายสงสัย เรื่องเข้าองค์ทรงเจ้า และสัมภเวสีไปบ้าง ไม่มากก็น้อย เรื่องของการทำให้เพลิน ข้าพเจ้าเองก็เคยประสบมาเหมือนกัน ลองอ่านแล้วไปพิจารณาดูเองนะครับไม่รู้ว่า เป็นฤทธิ์เหล้าหรือเปล่า สมัยก่อนยังไม่ได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ข้าพเจ้าเป็นยอดมนุษย์ขี้เมา เมากลับบ้านเป็นประจำ และทางกลับบ้านก็ต้องผ่านทางถนนรัชดาภิเษก ปกติถ้าเมากลับบ้าน จะขับรถช้าลง เหลือแค่ ๖๐-๘๐ กม./ชม. (จากความเร็วปกติ ๑๔๐ กม./ชม. ขึ้นไป) วันนั้นเมามากเป็นพิเศษ ตาเกือบจะปิด ก็ฝืนขับไปช้า ๆ ดูไฟถนนเอา พอมาถึงโค้ง ที่ดาราเขาไปตายกันเยอะ ๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่ ๆ แล้วมีผ้าผูกเยอะ ๆ หน่ะ(แต่ตอนขับไปนี่ ไม่รู้นะว่าตรงนั้นเป็นโค้งร้อยศพ) ปรากฏว่า แสงไฟส่องถนนเรียงรายออกไปทางด้าน "ขวา" คือถ้ามองแต่ไฟนี่ จะเข้าใจว่า ถนนเป็นถนนโค้งขวา เอ๊ะ...แต่เราขับผ่านทางนี้ประจำ จำได้ว่า ตรงนี้มันเป็นทางโค้งซ้าย นี่หว่า ขยี้ตาแล้วก็เห็นเหมือนเดิม เลยเข้าซ้าย จอดรถสักพักหนึ่ง แล้วขับรถต่อ พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้วถึงมานึกย้อน และเข้าใจว่า ที่เขามาตายกันตรงนี้เยอะ ๆ ก็คงเป็นเพราะเหตุนี้

ดัดแปลงจาก ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต

ฝากไว้สะกิดใจ

หากความจริง ใครยัง ไม่เคยคิด

ว่าชีวิต ไม่แน่ "เดี๋ยวก็ตาย"

น่าเป็นห่วง คนเช่นนี้ ช่างมากมาย

ไม่รับจริง ช่างน่า สงสารเอย ฯ

ความจริงเนื้อหาของหนังสือ ใกล้หมดนานแล้ว เหลือก็แต่ข้อคิดสะกิดใจ ที่พระมหาพรชัยเมตตาให้มา ซึ่งก็มาหมดสต็อกเอาในตอนนี้ และของมหาโอ๊ต ซึ่งท่านนำไปอัพไว้บนบล็อกของท่านเรียบร้อยแล้ว จะนำมาไว้ที่นี่อีก ก็คงจะซ้ำซ้อน เหลือเพียงคำแปลของบทสวดอภิธรรม ซึ่งจักนำมาอัพไว้ในตอนหน้า

ว้า...นึกว่าจะจบในตอนนี้แล้วเชียว ที่สุดก็ต้องขอค้าง ไปจบในตอนหน้า จักได้เป็นมงคลแก่ตัวเองเสียที ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผล จงมีแก่ท่านทั้งหลาย ที่ติดตามอ่านมา ตั้งแต่ตอนแรก จนถึงตอนนี้ ทุกประการเทอญ ฯ

ของแถมครับ ฉลองที่เพิ่งสามารถทำให้หน้าเอ็นทรี่มีเสียงธรรมะได้ เอาเรื่องของคนระลึกชาติได้ไปฟังสัก ๒ เรื่องเป็นไง

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons