เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากงานที่ตั้งใจจะเขียน หนังสือแจกงานศพ ค้างไว้หลายเดือนแล้ว ได้ยินมาว่า การไม่มีงานคั่งค้าง เป็นอุดมมงคล จึงนำมาปัดฝุ่น เรียบเรียงเสียให้เสร็จ เพือให้เป็นมงคลชีวิต แก่ตัวผู้เขียนเอง ดังนี้
ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต
เหรียญบาทในปากผี
จากคิดอยาก ผู้ตาย มีเงินใช้
ปรากฎไว้ เป็นเงิน ในปากผี
แม้ปราชญ์คิด ตรึกตรอง มองให้ดี
รวยมากมี บาทเดียว สุดเอาไป
ทำไมหนอ คนเรา จึงบ้า"เงิน"
ยืนนั่งเดิน หาแต่"เงิน" คิดไม่ได้
เงินบันดาล ได้แม้ ยื้อความตาย
แสนเสียดาย ไม่อาจ เผยความจริง
ชีวิตนั้น คือทุกข์ ความจริงแท้
เงินกลับแก้ โกหก ความจริงสิ้น
เงินซื้อสุข ทุกข์ไม่มี ย้ำอาจิณ
คนลืมสิ้น กลิ่นทุกข์ อำนาจเงิน ฯ
ความจริงเนื้อหาก็ใกล้หมดแล้ว มาดูคำถามที่ค้างเิติ่งไว้นานแล้วนั่นคือ การตั้งศพ ๓ วัน ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ว่ามีความนัยเป็นพิเศษกระไรหรือเปล่าได้ไปถามผู้รู้มา ท่านว่า ประเพณีนี้ เกิดสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) สมัยพระนางเรือล่ม หรือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เสด็จทิวงคต ร.๕ ทรงอาลัยรักมาก
เมื่อตั้งพระศพตามประเพณีแล้ว เมื่อ ๗ วันผ่านไป ก็ทรงถามพระคุณเจ้าว่า ควรจะทำบุญสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ด้วยบทใด พระคุณเจ้าจึงแนะให้สวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ตามประเพณีนิยม
ครั้นล่วงได้ ๕๐ วัน พระองค์ก็ยังคงไม่คลายอาลัยรักจากพระนาง จึงไปถามพระคุณเจ้าว่า ท่านยังคงอาลัยรักพระนางอยู่มาก สมควรทำบุญสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระนางด้วยบทใดดี พระคุณเจ้าจึงแนะว่า ให้สวดบทอาทิตตปริยายสูตร อันเป็นพระสูตรว่าด้วย ไฟ ๓ ประการที่เผาใจอยู่ คือ ราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ หรือ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นั่นเอง
ครั้นพอล่วงเข้า ๑๐๐ วัน พระองค์ทรงคลายความโทมนัสลงได้มากแล้ว จึงไปถามพระคุณเจ้าอีก ว่าควรทำบุญสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ด้วยบทใดดี พระคุณเจ้าจึงแนะว่า ควรสวดบทอนัตตลักขณสูตร อันเป็นพระสูตรว่าด้วย ความไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีตัว ไม่มีตน ดังนี้
สมัยต่อมา ประเพณีการตั้งศพทำบุญ ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน จึงแพร่หลายเป็นที่นิยมกันในวัง ในเจ้าขุนมูลนาย และแพร่หลายสู่ประชาชนตามลำดับ จนถึงปัจจุบัน
ครั้นไปค้นคว้าคำตอบด้านจิตตศาสตร์ ท่านว่า ถ้าเวลาตายจิตจับอกุศล หากอกุศลกรรมที่จิตไปจับ ไม่หนักหนาสาหัสเกินไป วิญญาณจะถูกนำไปรอการตัดสินว่าจะไปนรก หรือสวรรค์อีกครั้งที่ สำนักพระยายม ซึ่งหนึ่งวันในสำนักพระยายม เท่ากับ ๕๐ วันในโลกมนุษย์ ฉะนั้นเวลา ๑๐๐ วันในโลกมนุษย์ หรือ เท่ากับ ๒ วันในยมโลก ก็หมายถึงเวลาที่เราอุทิศส่วนกุศลแล้ว เขายังสามารถได้รับ ได้โมทนา เพื่อไม่ต้องตกนรกได้ แต่ถ้าผู้ตายทำอกุศลกรรมหนัก อกุศลกรรมจะปิดหมด นึกไม่ออก โมทนาไม่ได้ ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท ควรสร้างความดีไว้เนือง ๆ
เผอิญไปค้นเจอ เนื้อหาในคัมภีร์มรณศาสตร์ของธิเบต โดยบังเอิญ หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเคยอ่านนานแล้ว พิธีการของฝ่ายมหายาน แตกต่างจากหินยาน หรือ เถรวาทของเราอยู่พอสมควร เวลาคนตาย เขาไม่ได้สวดอภิธรรม ๗ คัมภีร์เหมือนของเรา แต่กลับมีการสวดส่งวิญญาณ ซึ่งการศึกษาเรื่องชีวิตหลังความตาย ของคนธิเบต เป็นเรื่องไม่ควรประมาทเลย ประเทศไทยเรานับถือพุทธศาสนา เถรวาท ซึ่งถือว่า ดั้งเดิมที่สุด สืบทอดมาได้สมบูรณ์ที่สุด ดังได้เคยอ่านหนังสือปกขาว "กรณีวัดธรรมกาย" ของ พระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ท่านได้อ้างอิง หักล้างคัมภีร์ทั้งหลาย ที่ปราชญ์พุทธศาสนาทางยุโรป นำมาอ้างทั้งสิ้น เพราะคัมภีร์พระไตรปิฎกบาลี ที่เก่าแก่ และน่าเชื่อถือที่สุด ที่ศาสนาพุทธเถรวาท ในประเทศไทยใช้อ้างอิงอยู่นี้ สืบทอดกันมา ใกล้เคียงกับพระไตรปิฎกดั้งเดิมที่สุด สมบูรณ์ที่สุด อยู่แล้ว จะไปอ้างอิงคัมภีร์ที่มีอายุน้อยกว่า ความน่าเชื่อถือน้อยกว่าทำไม
กระนั้น ทราบมาว่า ทางธิเบต แม้จะรักษาศีลน้อยกว่าทางเถรวาท คือ รักษาศีลเพียง ๑๕๐ ข้อ ทางเถรวาทมีถึง ๒๒๗ ข้อ และคัมภีร์ของทางมหายาน ก็มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า ทว่าในทางการปฏิบัติแล้ว ของเขาเข้มข้น ถึงขนาด ให้มีการ "ทดลองตาย" กันทีเดียว
การทดลองตายของเขา จะกระทำก่อนเข้ารับตำแหน่ง "ลามะ" โดยจะให้เข้าไปปฏิบัติในถ้ำ โดยมิได้พกอาหาร และน้ำ หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกช่วยชีวิตใดใด เข้าไปเลย เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งยาวนานพอสมควร ผู้ที่ไม่สามารถอยู่ด้วยธรรมปีติได้ ย่อมไม่สามารถรอดชีวิตกลับออกมาได้ ถ้ารอดชีวิตกลับมาก็ถือว่าสอบผ่าน ได้รับการบรรจุเป็นลามะ ถามว่า ฝ่ายเถรวาทของเรา ที่ถือว่า ดั้งเดิมที่สุดนั้น มีการทุ่มเทปฏิบัติถึงขั้นนั้น หรือเปล่า
อาจจะปฏิเสธว่า นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึง กำลังใจในการปฏิบัติของเขา คือ ตายเป็นตาย พระทางเถรวาทโดยทั่วไปสู้เขาได้หรือเปล่า
ฉะนั้น เพื่อความไม่ประมาท ข้าพเจ้าจึงทำการอ่านศึกษา วิธีการ "สวดส่งวิญญาณ" ของทางฝ่ายมหายาน ควบคู่ไปด้วย ซึ่งถ้าจะนำมาแปะให้อ่านกัน ก็ดูไม่ให้เกียรติเจ้าของลิขสิทธิ์สักเท่าไหร่ ข้าพเจ้าจึงจะนำมาเขียนให้อ่านบางส่วน แล้ววิเคราะห์ด้วยความเห็นส่วนตัว (ความเห็นส่วนตัวนะ ไม่ได้รับรองว่าจะถูกต้อง)
ในหนังสือนั้น จะกล่าวถึง สภาวะ บาร์โด ซึ่งผู้ตาย จะอยู่ในสภาวะนี้ ประมาณ ๕ วันครึ่ง
สภาวะบาร์โด ถ้าอธิบายเทียบกับความเชื่อในประเทศไทย น่าจะเป็นสภาวะที่วิญญาณออกจากร่างแล้ว ยังไม่ทราบว่า ตัวเองตาย เป็นเวลา ๗ วัน
คนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาชีวิตหลังความตาย หรือ สภาวะบาร์โดนี้ จะมีนิมิตอันเกิดแต่กรรม ปรากฏให้เห็นตลอดเวลาดังกล่าว ซึ่งในหนังสือเขียนว่า ถ้าเลือกนิมิตผิด ก็จะไปเกิดในอบายภูมิ มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
ส่วนในตำรับตำราทางไทย ท่านว่า จะมีนิมิตให้เห็นก่อนที่ผู้ตายจะตาย ถ้าเห็นเป็นไฟ คือ จะได้ไปเกิดในนรก ถ้าเห็นเป็นป่า จะได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเห็นก้อนเนื้อ แสดงว่า จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเห็นสวนดอกไม้ เทพธิดา หรือ อะไรสวย ๆ งาม ๆ จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ ซึ่งก็แตกต่างกันอยู่พอสมควร อยากทราบความจริง ต้องลองตายดู แล้วจะรู้ว่า ของใครถูกกันแน่
กลับไปที่คัมภีร์มรณศาสตร์ฯ หลังจากผู้ตายเข้าไปอยู่ในสภาวะบาร์โดแล้ว แต่ละวัน จะมีนิมิตเป็นแสงสีต่าง ๆ ผู้ตาย ต้องเลือกให้ถูก เมื่อเลือกถูกต้องแล้ว เขาใช้คำว่า "ตถาคตทั้ง ๕" ซึ่งความจริงแล้ว คำว่า ตถาคตนั้น เป็นสรรพนามที่พระพุทธเจ้า เรียกตัวพระองค์เอง ทั้งตถาคตทั้ง ๕ ยังมีชื่อ "พุทธเจ้า" อยู่ในชื่อเต็มด้วย เช่น พระไชยคุรุพุทธเจ้า เป็นต้น แต่จากการสืบค้นจากหนังสือมิลินทปัญหา แสดงไว้ชัดเจนว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นพร้อมกัน ๒ องค์ เป็นอันขาด นั่นหมายความว่า ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งพระศาสนาของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ยังไม่เสื่อมสูญไป และจะคงอยู่ไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี ตามพระพุทธพยากรณ์ จะไม่มีพระพุทธเจ้าอื่นใด อุบัติขึ้น
ดังนี้แล้ว จึงเชื่อว่า ผู้ที่เขาอ้างว่า เป็นตถาคต หรือ เป็นพระพุทธเจ้า น่าจะหมายถึง เหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่กำลังบำเพ็ญบารมี เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคต (ซึ่งในฝ่ายมหายาน มีพระโพธิสัตว์เยอะมาก)
ในหนังสือกล่าวไว้ว่า ถ้าเลือกนิมิตถูกต้องในแต่ละวัน ก็จะไปอยู่กับตถาคต องค์ใดองค์หนึ่งใน ๕ องค์ โดยการสวดส่งวิญญาณ คือ การบอกสีที่ถูกต้อง ทิศที่ถูกต้อง ที่ตถาคตแต่ละองค์จะมารับ ถ้าพลาดไม่ได้เลือกเลย จะถูกลมแห่งกรรมพัดมา และต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่ในสภาวะบาร์โด ที่มีอายุไม่แน่นอน อาจเป็น ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ หรือมากที่สุด ๗ สัปดาห์ หรือ ๔๙ วัน!!! ซึ่งมันมาตรงกับการทำบุญครบ ๕๐ วันของเรา
ในช่วงเวลาดังกล่่าว ถ้าญาติพี่น้อง ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ผู้ตายที่อยู่ในสภาวะบาร์โด จะรับส่วนกุศลนั้นได้ ซึ่งก็ตรงกับความเชื่อของไทย
อ่านมาถึงตรงนี้ หากสนใจศึกษา คงต้องไปหาอ่านต่อกันเอง ข้าพเจ้าตัดมาเฉพาะส่วนสำคัญ ๆ และน่าสนใจมาพอเป็นสังเขป เพียงเท่านี้
ย้อนมาดูครูบาอาจารย์ทางไทยบ้าง ท่านแนะนำไว้อย่างไร ถ้าเผอิญไปพบ คนที่ใกล้ตาย หรือ ตัวเองใกล้ตาย
ท่านอ้างพระพุทธพจน์ว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา หรือ จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุขคติ ปาฏิกังขา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า เวลาตาย ถ้าจิตเศร้าหมอง ก็ไปทุคติ หรือ ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง ก็ไปสุขคติ ท่านจึงแนะว่า เมื่อเวลาช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาถึง หรือปฏิบัติให้เป็นปกติเลย เพื่อความไม่ประมาท ให้นำพระพุทธรูปมาวางไว้ใกล้ ๆ จิตพยายามจับรูปพระพุทธรูปให้ได้ แล้วภาวนา พุทโธ หรือ สัมมา อะระหัง ไปเรื่อย ๆ จับลมหายใจไปด้วย หรือไม่จับก็ได้ ส่วนใหญ่ ถ้าทุกขเวทนามีมาก ก็จับลมหายใจไปด้วย จะช่วยลดความกระสับกระส่าย ฟุ้งซ่าน ของจิต และระงับทุกขเวทนาได้ส่วนหนึ่ง
และก่อนตาย อย่าลืม อธิษฐานชำระหนี้สงฆ์ไว้เนิ่น ๆ ถ้าไปชำระเองไม่ได้ อธิษฐาน แล้วฝากตังค์เท่าไหร่ก็ได้ ให้ผู้อื่นนำไป ก็ย่อมได้
ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต
น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ
มาเถิดมา ดูหน้า ครั้งสุดท้าย
ผู้วางวาย ล้างหน้า กันให้เห็น
น้ำมะพร้าว ใสสะอาด แช่ตู้เย็น
แม้คนเป็น ยังไม่อาจ ใช้อาบเลย
แต่งศพสวย รวยผ้า แต่งหน้าเข้ม
มุงกันเต็ม อยากเห็น เป็นเฉลย
เปิดฝามา เมินหน้า กันหมดเลย
ความสวยเอย ไม่คงแท้ แพ้ความดี ฯ
เพื่อความสมบูรณ์ของ เนื้อหา ข้าพเจ้าขอขันอาสา หากใครมีข้อสงสัย ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องงานศพ เชิญคอมเม้นท์เข้ามา ข้าพเจ้าจะพยายามไปค้นคว้าหาคำตอบให้ และแม้หาไม่ได้ ก็จะได้ไถ่ถามผู้รู้ แล้วนำมาบันทึกไว้ เพื่อประโยชน์ของสาธุชน สืบไป ฯ