วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๕ (ตอนจบ)by Dhammasarokikku

22_displayต้องขออำภัยกันไว้ก่อน ที่ไฉนขึ้นหัวเอ็นทรี่มาว่า เป็นไตรภูมิ แต่ไปแค่ภูมิสองภูมิก็จอดซะแล้ว พอดีหมดภูมิความรู้ เอ้ย...ภูมิอื่น ๆ เห็นว่ามีคนอื่นเขาเขียนไว้เยอะแล้ว เลยเอาแต่เฉพาะภูมิที่น่าสนใจมาลง วันนี้ฟ้าครึ้มมาแต่เช้า สงสัยเทวดาจะทราบว่า เอ็นทรี่นี่จะจบซะแล้ว เลยร่ำไห้กันใหญ่ (เว่อร์มะ) ก็ตามธรรมเนียมครับ ต้องให้เครดิตต้นคิดผู้จุดประกายเสียก่อน

เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากถูกเชิญไปเม้นท์ เอ็นทรี่หนึ่งชื่อว่า ผมมีองค์รู้หมด.... แล้วไงเหรอคะ? เขียนยาวมาสี่ตอนแล้ว ดูท่าจะหมดมุก เอ้ย...ยาวเกินไป ผู้อ่านจะหลับกันหมด เลยว่าจะอวสานเสียตอนที่ ๕ นี้เลย ดังนี้แล

ตอนที่แล้วพาขึ้นเพดานบินสูงไปหน่อย เลยไปกระทบไหล่ท่านพรหมเสียครบทั้ง ๒๐ ชั้นวันนี้พาลดเพดานบินลงมาเซย์ฮัลโหลกับ เทวดา นางฟ้า ที่อยู่ใกล้ ๆ มนุษย์ขึ้นมาหน่อย คือ กามาพจรภพ สวรรค์ ๖ ชั้น (เอ๊ะ...แล้วสำนวนที่ว่า ขึ้นสวรรค์ชั้น ๗ นั่น เขาเอาชั้น ๗ มาจากไหนหนอ)

ชั้นแรกใกล้สุด ชื่อว่า จาตุมมหาราชิกา เป็นที่สถิตของท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ มีท้าวธตรฐ คุมคนธรรพ์, ท้าววิรุฬหก คุมกุมภัณฑ์ หรือ สัตว์ปีก, ท้าววิรูปักษ์ คุมนาค หรือ สัตว์เลื้อยคลาน และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ นั่นเอง คุมยักษ์ ท่านทั้ง ๔ นี่มีฤทธิ์มาก คุมทิศทั้งสี่ คอยรักษาเวชยันต์วิมานของพระอินทร์ สมัยที่มีการรบกันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ได้กำลังของท่านทั้ง ๔ นี่ละ ขับไล่พวกอสูร ลงมาจากสวรรค์ สรุปว่าสวรรค์ชั้นนี้ จะออกแนวบู๊ ๆ สักหน่อย ทำอะไรหนอ ถึงจะได้มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ ท่านว่า พวกที่สมัยเป็นมนุษย์สามารถเข้าฌานได้ แต่ตอนตายดั๊นไม่เข้าฌานตาย เลยแทนที่จะเป็นเกิดเป็นพรหม ก็กลายเป็นแค่เทวดา กระนั้นก็ยังเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก เขาเลยจัดให้มาอยู่ชั้นนี้ เพราะมีวิทยายุทธ์สูงส่งนั่นเอง

ก่อนที่เราจะโบกมือบ๊ายบายท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ขึ้นไปเที่ยวสวรรค์ขั้นต่อไป เราแวะไปดูของแปลกกันเสียหน่อย ข้าพเจ้าอ่านเรื่องนี้แล้ว ติดใจเป็นอย่างมาก มีเปรตชนิดหนึ่ง มีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ด้วย แปลกมะ ปกติไม่เคยได้ยินว่า เปรตมีวิมานกะเขาด้วย แถมดันมามีวิมานอยู่บนสวรรค์เสียอีก ต้องไปเรียกตาริบลีย์ บีลีฟอิท ออร์น็อท มาบันทึกไว้

เปรตชนิดนี้เรียกว่า เวมานิกเปรต ชื่อโคตรเท่เลย ฟังดูชื่อเหมือนเครื่องบินมิกซ์เหินเวหายังไงไม่รู้ วิมานท่านก็ดูแปลก ๆ มีกงจักรหมุนอยู่รอบ ๆ ออกมาจากวิมานไม่ได้ จะมาเกิดเป็นเปรตไฮโซ มีวิมานอยู่บนสวรรค์ได้ ท่านว่า สมัยเป็นมนุษย์ คนเหล่านี้ มีจิตเมตตา เลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้อย่างดี ทะนุถนอม เอาอาหารดี ๆ ให้กิน สัตว์ป่วยก็พาไปหาหมอ เอาอกเอาใจสารพัด คนทั่วไปเห็นแล้วก็ชื่นใจ ว่าเขาเป็นคนมีเมตตาต่อสัตว์ แต่สิ่งที่เขาทำผิด คือ เขา "ขัง" สัตว์เลี้ยงไว้ พอมาเกิดเป็นเปรตชนิดนี้ ก็มีความสุขด้วยความเป็นทิพย์เหมือนเทวดาทั่วไป ทว่าถูกขังไว้ในวิมานตัวเอง เอานิ้วแหย่ออกไป กงจักรก็ฟันฉับ นิ้วขาด ท่านว่า เปรตพวกนี้ มีอายุไม่แน่นอน เมื่อไหร่นึกถึงกุศลกรรมที่ตนทำไว้ได้ก็ จุติ หรือ เคลื่อนจากจุดนั้น

พิจารณาดูแล้ว น่าเชื่อหรือไม่ ลองไปพิจารณาดูเอา ข้าพเจ้าเห็นว่า มันตรงกับ กฎแห่งกรรม เสียนี่กระไร คุณขังเขา คุณก็ได้รับการขังตอบแทน ข้าพเจ้าจึงเชื่อเต็มเปาเลย เหอ...เหอ...ใครไม่อยากไปเป็นเปรตจำพวกนี้ รีบกลับบ้าน ปล่อยสัตว์เลี้ยงให้เป็นอิสระโดยด่วน

21_displayดูของแปลกกันไปแล้ว อะ....มีเสียงโวย ใครไม่รู้มาตะโกนข้างหูว่า ไหนว่า จะเล่าเรื่องของชายหนุ่มต่ออย่างไรเล่า ลืมเสียแล้วหรือ? แหม...ไม่ได้ลืมหรอก แกล้ง ๆ ทำเป็นลืม ให้เกียรติท่านท้าวมหาราชมาโชว์ตัวก่อนเท่านั้นเอง แน่ะ...ทำตาปรือกันหมดแระ อะ...เปลี่ยนบรรยากาศไปติดตามเรื่องราวของชายหนุ่มกัน ตอนที่แล้ว พามาอารมณ์ค้างอยู่ที่น้องชายตัวดี เข้าบ่อนเล่นป๊อกเด้งเพลิน หมดเงินไปสองแสนเศษ ชายหนุ่มระงับปิดหน้าร้านแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถระงับผีพนันได้ เลยต้องพึงศาสตร์ลี้ลับ

ส่วนหนึ่งของอัตตโนชีวประวัติ (ชายหนุ่ม=ตัวข้าพเจ้าเอง)

ซึ่งตอนนั้น ร่างทรง ก็ห่างหายไปติดต่อไม่ได้ จึงไปปรึกษาเจ้าอาวาสวัดที่กาญจนบุรี ท่านก็แนะให้เดินจงกรมรอบวัด ๑๐๘ รอบ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของน้องชาย ก็ไม่คิดอะไรมาก ปัญหาในโลกนั้นมีอยู่แค่ ๒ ปัญหา นั่นคือ ปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ในเมื่อปัญหาน้องชายนี่ เข้าข่ายปัญหาที่แก้ไม่ได้ (ด้วยวิธีทางโลก) ก็ลองวิธีพิสดารดูสักรอบ ก็มิเห็นจะเสียหายอะไร การเดินจงกรมรอบวัดนั้น เป็นระยะทางประมาณ ๑ กม. ต่อ ๑ รอบ และเดินด้วยเท้าเปล่า... แหมช่างถูกกิเลสคนเคยเดิน ก็ตั้งมโนปณิธานว่า จะเป็นการช่วยเหลือน้องชายครั้งสุดท้าย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน เดิน และเดิน มีเวลาราว ๑๒ วัน เฉลี่ยเดินวันละ ๙ รอบบ้าง ๑๐ รอบบ้าง เดินไปก็กำหนด ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ไปเรื่อย ๆ พอได้วันที่สองก็ไปสะดุดรากไม้ ปึ๊ก...เท้าแตก เลือดไหลอาบ แต่ก็ยังสู้เดินต่อไป เอาพลาสเตอร์ยาปะ แล้วก็ลุยต่อ พอเดินไปเตะอะไรซ้ำที่เดิม เจ็บจนน้ำตาแทบไหล ครั้นพอถึง รอบที่ ๕๔ ปรากฏว่าเกิดอาการ second wind หรือ ลมที่สอง แบบเดียวกับที่เคยเกิดเมื่อราว ๑๐ ปีก่อน ตอนที่ไปเดินรุกขมูล อยู่แถว จ.พิษณุโลก ใจสงบนิ่ง นอกจากความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว เรื่องราวในสมองที่ก่อนหน้านี้มันดูเบลอ ๆ เหมือนจิ๊กซอว์ที่ยังไม่ได้ต่อ ก็กลับชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนเปิดของที่ปิด เหมือนหงายของที่คว่ำ รู้เห็นแจ้งแทงตลอดถึงการเยียวยาปัญหาของน้องชาย ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ย้ำเตือนปัดฝุ่นความตั้งใจเดิม ที่นอนก้นอยู่ ให้มีพลังอีกครั้ง น่าแปลกที่หลังจากนั้นไม่นานน้องชายก็กลับเนื้อกลับตัว ล้างมือจากวงการ เข้าทำงานเป็นเซลล์ในร้านคอมพิวเตอร์ร้านหนึ่ง ในเมืองระยอง

เรื่องราวของชายหนุ่ม ที่เกี่ยวข้องกับ ร่างทรง ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ อยากทราบเรื่องราวตอนต่อไป ต้องรออ่านในอัตตโนชีวประวัติของข้าพเจ้าซึ่งตั้งใจไว้ว่า จะทำเป็นหนังสือแจกงานศพของตัวข้าพเจ้าเอง

เอ้า...อยู่บนพื้นดินนานเกิน รากงอกแล้ว ปะ...เหินฟ้าขึ้นไปบนสวรรค์ขั้นดาวดึงส์กัน ชั้นนี้เป็นชั้นที่เฮฮาที่สุด ทำบุญทำทานอะไร ก็มักจะมาอยู่ชั้นดาวดึงส์นี่ละ พวกทำสังฆทาน ถวายกฐิน ถวายผ้าป่า สร้างห้องน้ำ ทำสาธารณประโยชน์ และอื่น ๆ จิปาถะ ถ้าตอนตายระลึกถึงกุศลเหล่านี้ ก็มักจะมาโผล่ที่ชั้นนี้ มีเทวดาที่เป็นใหญ่ที่สุดบนชั้นนี้ ชื่อ ท้าวสักกเทวราช หรือ พระอินทร์ที่เรารู้ ๆ กันนั่นละ พระอินทร์นี่จริงแล้ว เป็นเพียงชื่อตำแหน่งเท่านั้นนะ สมัยท่านเป็นมนุษย์ ชื่อ มฆมาณพ เป็นมนุษย์ประหลาด จู่ ๆ ก็ไปทำถนนให้ชาวบ้านเขาเดิน (สมัยนี้คงไม่มีใครบ้าเหมือนท่านแล้ว จะทำถนนก็ไปติดต่อกระทรวงคมนาคมดิ) ท่านทำของท่านเอง ไม่เคยมีใครบอก (สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันยังไม่อุบัติเลย) ทำ ๆ ไป ก็มีชาย ๓๒ คน เดินผ่านมา เห็นแล้วเป็นงง เฮ้ย...เฮียทำอะไรของเฮียวะ แทนที่จะสร้างบ้าน สะสมทรัพย์สินไว้ ให้ตัวเองสบายตอนแก่ ไหงเอาเวลามาทำถนนให้คนเดิน เลยถามว่า "เฮีย...เฮียทำอะไรของเฮียหน่ะ" เฮียมะระ เอ้ย...มฆะ ก็ตอบว่า "เฮียกำลังถางทางขึ้นสวรรค์อยู่"

18_display"โอ๊ะ" ชายหนุ่มทั้ง ๓๒ คน ไม่เคยได้ยินเรื่องราวอันพิสดารของ "สวรรค์" มาก่อน เข้าใจว่า คงเป็นอะไรที่ มันยอดมากเลยจอร์จ เลยว่า "เฮีย...อย่างงี้เฮียไปสวรรค์คนเดียวไม่ดีแน่ เหงา มา...เดี๋ยวพวกผมช่วย" ว่าแล้วชายทั้ง ๓๒ คนก็เลยช่วยกันบ้าทำถนน บ้าไปบ้ามา เลยมาโผล่บนสวรรค์ชั้นนี้ มีศักดิ์ศรีใหญ่กว่าใครทั้งหมด คนเหล่านี้เขาบ้าดีกัน สมัยนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว มีแต่บ้าชั่วกัน แข่งกันว่า ใครจะชั่วได้มากกว่าใคร แล้วจะได้ขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง มันโก้ดี

อ๊ะ...พล่ามมากเดี๋ยวไม่จบ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่ ก็คล้าย ๆ เป็นลานปาร์ตี้ขนาดใหญ่ เทวดานางฟ้าทั้งหลายมักมาชุมนุมก่อม็อบกันที่นี่ เช่นในวันพระ ก็จะมีการแสดงธรรมที่ เทวสภา เหล่าเทวดานางฟ้า ที่มีความไม่ประมาท ก็จะมาก่อม็อบฟังธรรมกัน หรือในคราวที่สมเด็จพระทศพลโปรดพระพุทธมารดา แทนที่จะไปแสดงถึงที่ (พุทธมารดา ไปจุติบนสวรรค์ชั้นดุสิต) ท่านก็มาแสดงที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เพราะขืนขึ้นไปแสดงบนโน้น เทวดา นางฟ้า ที่บารมีไม่พอ จะขึ้นไปฟังไม่ได้ ฉะนั้นแล้วใครชอบสนุกสนานเฮฮา ก็ต้องพยายามมาจุติบนชั้นนี้ให้ได้ ไม่เหมือนกับชั้นต่อไป เรียกว่า ชั้นยามา ฟังชื่อก็ขมแล้ว ขึ้นไปอยู่คงมียาให้กินเพียบ เอ้ยไม่ใช่... ความจริงถ้าเปลี่ยนเป็นมายา จะเท่กว่าเยอะเลยนะนี่ ชื่อเหมือนโปรแกรมสามดีเลย ชั้นยามานี่ พวกที่ชอบสวดมนต์งึมงำ ๆ จะขึ้นไปอยู่กัน ดูเด๊ะ ท่านทั้งหลายขึ้นมาอยู่บนนี้แล้ว ยังไม่หยุดสวดมนต์กันเลย เสียงงึมงำอื้ออึงไปหมด อะผ่านไปชั้นดุสิตเลย กระดาษใกล้หมด ชั้นดุสิตนี่ เท่ไม่หยอกอีกเหมือนกัน ผู้ที่จะเข้าไปอยู่ได้ ต้องเป็นพระอริยเจ้า หรือไม่ก็เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม หรือ เกือบ ๆ เต็ม หรือไม่ก็ต้องเป็นพุทธมารดา ชั้นถัดไปเป็นชั้นนิมมานรดี ชั้นนี้ไม่ปรากฎว่า ทำความดีอะไร ถึงมาโผล่ชั้นนี้ได้ ตำราท่านว่า ทำความดีมั่ก ๆ ประเภทเพียรทำความดีอย่างยิ่งด้วยจิตบริสุทธิ์ อยากทราบชัดว่า ทำความดีอะไรไปค้นเอา แต่ข้าพเจ้ามีไอเดียแปลกไปกว่าที่เขาบันทึกกัน เทวดาขั้นนี้ อยากได้อะไรก็เสกเอา ไม่ใช่เสกโลโซนะ เนรมิตเอาหน่ะ เช่น เห็นน้องหยาดทิพย์สวย X น่าหม่ำ ก็จัดการเนรมิตน้องหยาดทิพย์ขึ้นมา ตะหลื๋อตือตื๊ด เสร็จ รูปเนรมิตก็หายไป ข้าพเจ้าเห็นว่า ผู้ที่ชอบเนรมิตนี่ สมัยเป็นมนุษย์ ก็คงจะชอบเนรมิตเหมือนกัน ใครกันหนอ ที่เนรมิตสิ่งต่าง ๆ ได้ดังใจ... ถูกต้องแล้วคร๊าบ พวกที่ได้อภิญญา หรือได้ฤทธิ์นั่นเอง อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะ ไม่ใช่อย่างที่เขาบันทึกกัน มาดูสวรรค์ขั้นสุดท้ายกันมั่ง ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตี เทวดา นางฟ้า ชั้นนี้ แค่คิดว่า อยากได้อะไร อยากใช้อะไร เทวดาชั้นนิมมานรดี จะรีบมาเนรมิตให้ ไม่ต้องเนรมิตเอง สบายแฮ ทำอะไรถึงได้มาเกิดชั้นนี้ ไม่รู้เหมือนกันแฮะ รู้แต่ที่นี่เป็นที่อยู่ของพญามาร บนสวรรค์ชั้นนี้เขาแบ่งออกเป็น ๒ แดน แดน ๑ นักโทษชายหนุ่มหล่อล่ำมั่ก ๆ เอ้ย...แดน ๑ เป็นแดนของเทวดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ส่วนแดน ๒ เป็นเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ดังที่เคยได้ยินมาว่า ท้าวพระยาวสวัตตีมาราธิราช ผู้เป็นใหญ่ในแดน ๒ ไปยั่วมหาบุรุษ ตอนใกล้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ นั่นแล

เอาละ...นี่ตั้งแต่พล่ามมาทีแรกเกี่ยวกับการเข้าองค์ทรงเจ้า มาลงเอยที่ไตรภูมิได้อย่างไรไม่ทราบ ไล่ดูสิ อบายภูมิ ๔, มนุษย์ ๑, สวรรค์ ๖, พรหม ๒๐ บวกกันได้ ๓๑ ภพภูมิพอดี ครบถ้วนบริบูรณ์ จบดีก่า

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

1_displayปล.๑ เคยไปถามพวกที่เขาได้ทิพยจักขุญาณว่า พวกเทวดา นางฟ้านี่ เขา ตะหลื๋อตือตื๊ด กันอย่างไร (สาระแนจังตู) เขาว่า แค่แตะตัวเท่านั้น แล้วนางฟ้าจะหลับไปเป็นเดือนเลย ส่วนพระคุณเจ้าที่ได้ฌานสมาบัติ ได้อภิญญา ออกไปท่องเที่ยวในโลกทิพย์ได้ ไปแตะตัวนางฟ้าเข้า ร่วงเลยครับ ร่วงแป้กลงมาบนโลกเลย ฌานเฌินเสื่อมหมด กว่าจะบิ้วกันได้ใหม่ ใช้เวลาอักโข พวกได้ฌาน ได้ฤทธิ์ ได้อภิญญา นี่ เวลาเสื่อม เสื่อมนานครับ เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่ต้องฝึกกสิณมา กสิณ คือ การเพ่ง จนเกิดนิมิตติดตา ทีนี้พอได้ภาพสาว ๆ เป็นนิมิตนี่ นิมิตมันเลยติดแน่นทนนานยิ่งกว่ากาวซีเมนต์ กว่าจะแกะออก บางทีเป็นปีเลยครับ

ปล.๒ ที่ว่าพระอินทร์เป็นเพียงตำแหน่งนี่ ไม่ใช่มีเพียงพระอินทร์เท่านั้นนะ เหล่าคนมีชื่อเสียง มีคนเคารพสักการะบูชา ระลึกถึง ก็กลายเป็นตำแหน่งทั้งนั้น เช่น พระนเรศวร ถึงบัดนี้ แม้ท่านจะลงมาเกิดแล้ว แต่ก็ยังมีคนเคารพบูชาท่าน คิดถึงท่าน ทำบุญให้ท่าน พวกการระลึกถึง การทำบุญอุทิศให้นี่ เกิดทำไปแล้ว เจ้าตัวหนีลงมาเกิดแล้ว ใครจะเป็นคนรับละครับ ไม่มีใครเขาปล่อยให้บุญกุศลทำกันฟรี ๆ หรอกครับ ถ้าไม่มีการจัดการ เขาก็ตีกันแย่งบุญกันตายสิครับ ข้างบนเขาจะมีการจัดการกัน ให้เทวดาที่มีบุญบารมีใกล้เคียงกับท่าน มาทำหน้าที่แทน ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ ตายเลยครับ จะลงมาเกิดก็ลงไม่ได้ พะวงหน้าพะวงหลัง ต้องค้างเติ่งเป็นเทพอยู่อย่างนั้น จนกว่าคนจะลืมท่าน

อย่างนี้ไงครับ ถ้าใครเคยอ่านพวกพงศาวดารจีน เขาถึงรักษาคุณธรรมกันมาก รักษายิ่งชีพทีเดียว เพราะชีวิตคน เดี๋ยวเดียวก็ตาย จบแล้ว แต่ความดีของคนนั้น คงอยู่ชั่วกาลนาน

ปล.๓ เรื่องราวประวัติของพระอินทร์ ไปอ่านของพราหมณ์-ฮินดู ปรากฎว่า เนื้อเรื่องเหมือนกันเป๊ะเลย สนับสนุนความเห็นของข้าพเจ้าว่า ศาสนาพุทธ กับศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาพี่น้องกัน แยกกันเด็ดขาดลำบาก

ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๔by Dhammasarokikku

5_displayเอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากถูกเชิญไปเม้นท์ เอ็นทรี่หนึ่งชื่อว่าผมมีองค์รู้หมด.... แล้วไงเหรอคะ? เม้นท์ไปเม้นท์มา ยาวเป็นกิโล แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ เลยเอามาทำเป็นเอ็นทรี่ใหม่ ครั้นมาเป็นเอ็นทรี่ใหม่แล้ว สามตอนแล้วก็ยังไม่จบอีก ต้องมีตอนที่ ๔ ดังนี้แล

ความตอนที่แล้วมาแวะพักผ่อนแวะจิบชาเขียวโออิชิ คุยทำความรู้จักกับท่านรุกขเทวดา อันเป็นเทวดาที่มีวิมานแปะอยู่บนต้นไม้ กันพอสมควร ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพาคุณเหินฟ้า ไปพบกับ อากาสเทวดา มีเสียงรีเคว้ทส์มาว่า อยากทราบเรื่องประสบการณ์ตรงของข้าพเจ้าก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการขัดใจโก๋ ก็จะนำเรื่องราวของข้าพเจ้ามาเล่าสู่กันฟังเสียเป็นอารัมภบท มาถึงตอนที่ ๔ นี้ พวกปรัชญาฟีเว่อร์คงหายไปหมดแล้ว เหลือแต่คนที่อยากรู้เรื่องราวที่ข้าพเจ้าไปประสบมาจริง ๆ และผู้ที่อยากหาคำอธิบายของเรื่องราวเหลือเชื่อต่าง ๆ ของอย่างนี้ ไม่ประสบด้วยตัวเองไม่เชื่อหรอกครับ ฉะนั้นอย่าแปลกใจเลยที่ผู้อ่านจะไม่เชื่อเรื่องราวต่อไปนี้ ดีแล้วครับ เพราะพระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ การนำไปคิดพิจารณา หรือลองปฏิบัติดูจนเห็นผลก่อน แล้วค่อยเชื่อ มากกว่าการน้อมใจเชื่อง่าย ๆ ครับ เผอิญข้าพเจ้าเป็นพวกสัทธาจริตเสียด้วย เชื่อง่าย แก้ยังไงก็แก้ไม่หาย ก็เลยมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังนี่ละครับ ส่วนผู้ที่เชื่อยาก มักไม่มีอะไรที่ดูไม่ฉลาดอย่างที่ข้าพเจ้าประสบมาเล่าให้ฟังหรอกครับ เพราะเขากลัวเสียฟอร์ม ความตอนที่แล้วมาถึงตอนที่ชายหนุ่มมืดแปดด้าน เพราะไม่มีเงินจะทำโปรเจ็ค เนื่องจากได้ซองประมูลมา ๒ ซอง ในเวลาไล่เลี่ยกัน ซองหนึ่ง ๒.๗ ล้าน อีกซอง ๑.๖ ล้าน หมดสิ้นหนทาง เลยออกตามหาหมวยพัดอีกรอบ

ส่วนหนึ่งของอัตตโนชีวประวัติ (ชายหนุ่ม=ตัวข้าพเจ้าเอง)

คราวนี้ทราบว่า ร่างไปบวชพราหมณ์ ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ก็เลยตามไปเจอที่วัด (ก็เลยรู้จักวัด และเจ้าอาวาส เป็นวัดเพียงวัดเดียวนอกจากวัดที่สุรินทร์ที่ชายหนุ่มรู้จัก) เธอก็บอกเธอลืมไป แล้วถามชื่อชายหนุ่มอีก บอกให้เขียนชื่อลงกระดาษ แล้วเธอก็จับ บอกว่า คราวนี้จำได้แล้ว พอกลับมา เหลือเชื่อมาก พี่ชายเพื่อนเห็นเราตีหน้าเศร้าเล่าความจริง จู่ ๆ เกิดสงสารขึ้นมา ให้ยืมเงินเฉยเลย ขอเพียงเอาเช็คมาแลก โอ้โห... สมัยหลังฟองสบู่นี่ การแลกเช็คนี่เหมือนให้เปล่าเลยนะ เพราะจะไปขึ้นโรงขึ้นศาลหน่ะ ตายตั้งแต่ตำรวจไม่รับคดีที่โรงพักแล้ว ต้องเชื่อใจกันสุด ๆ หน่ะ เขาถึงให้แลก แล้วจำนวนเงินที่ให้แลกเช็คนี่ก็สูงถึง ๒ ล้านบาท ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วงานนี้ เท่านั้นยังไม่พอ หัวหน้าคณะกรรมการตรวจรับ จากตอนแรกที่โวยวาย ทำท่าจะฟาดงวงฟาดงา หาของเซ่นไหว้ใต้โต๊ะ (สมัยก่อนชายหนุ่มไม่ทราบเลยว่า อาการเช่นนี้คืออาการส่งซิกว่า "มาใต้โต๊ะกรูด่วน") เมื่อทราบว่าชายหนุ่มที่เขาไปโวยวายด้วย เป็นเจ้าของบริษัทฯ ก็กลายเป็นจ๋องไป ขอซื้อฮาร์ดดิสก์ชำรุดที่อยู่ในประกันในราคาต่ำมาก ๆ ไป ๑ ตัว แล้วก็เงียบหายไปเลย เซ็นรับงานอย่างง่ายดาย จากนั้นก็ทำงานไปจนจบ บอกได้เลยว่า งานนี้ รากเลือด ก็ทั้งบริษัทนี่มีแค่ไม่ถึง ๑๐ คน เฉพาะช่างนี่ไม่ถึง ๓ คน ขนคอมพิวเตอร์ ๑๓๔ ชุด จากกรุงเทพฯ ขึ้นรถบรรทุก ๖ ล้อ ขับไปสัตหีบ(เอง) พร้อมติดตั้ง

จบงานน้องชายตัวดีที่คุณยายไปลากตัวให้ลาสิกขามาช่วยกันทำร้าน หลังจากบวชไปแล้ว ๔ พรรษา ก็แผลงฤทธิ์ขอเข้าบ่อนแก้เหนื่อย สิ้นเงินไปสองแสนเศษ ใกล้เคียงกับกำไรที่ได้จากงานนั้นเลย ชายหนุ่มทราบได้ในวินาทีนั้นว่า ความอิ๊บอ๋ายมาเยือนอีกแล้ว จึงสั่งปิดหน้าร้านที่น้องชายคุมอยู่ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สร้างความงุนงงแก่ร้านค้าละแวกนั้นเป็นอันมาก เพราะยอดขายก็ไม่ขี้เหร่ เดือนละ ๔-๕ ล้านบาท ลูกค้าขาประจำก็พอมี ไหงปิดกันห้วน ๆ ไม่มีสาเหตุ (ปกติร้านคอมฯนี่เวลาปิดกิจการ มักจะสร้างความเวียนเฮดให้เจ้าหนี้เป็นอย่างมาก เพราะมักทิ้งหนี้สินไว้ให้ซัพพลายเออร์เป็นตัวเลขสูง ๆ แต่กรณีชายหนุ่มกลับเงียบสนิท) หลังปิดร้านแล้ว ผีพนันก็ยังคงสิงใจน้องชายต่อไป เพลานั้น จะใช้มุกเดิม ๆ พาไปบวชก็เป็นไปไม่ได้แล้ว น้องชายรู้ไต๋หมดแล้ว ก็ในเมื่อวิถีทางโลกไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ น้องชายขณะนั้นก็อายุ ๒๙ แล้ว เป็นไม้แก่ดัดไม่ได้เสียแล้ว จะแก้ไขอย่างไร ก็ต้องพึ่งศาสตร์ลี้ลับกันบ้าง

4_displayศาสตร์ลี้ลับคืออะไร ไว้ต่อตอนหน้า ตอนนี้กลับไปก๊งน้ำปานะ กับท่านอากาสเทวดากันดีฝ่า

แต่น แต๊น... ท่านอากาสเทวดา คือใคร ก็อย่างชื่อท่านนั่นแหละ คือเทวดาที่มีวิมานลอยอยู่บนอากาศ ชั้นกามาวจร หรือ กามาพจร มีอยู่ ๖ ชั้น ทำไมถึงชื่อกามาวจร ก็อย่างชื่อบอกอีกนั่นแหละ คือเทวดาที่ยังเสพกามอยู่นั่นเอง เหนือขึ้นไปจะเป็นพรหม ๒๐ ชั้น แบ่งเป็น รูปพรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหมอีก ๔ ชั้น ท่านพรหมทั้งหลายนี่ ท่านไม่เสพกามเสียแล้ว ก็เลยอดใช้ชื่อที่มีคำว่า "กาม" นำหน้า ส่วนผู้เขียนนี่มีชื่อนี้ต่อท้ายเหมือนกัน คือ หื่นกาม  (เสื่อมแล้วไหมล่ะ)

ท่านพรหมทั้งหลายนี่ ทำไงถึงได้ขึ้นไปอยู่กระทบไหล่ท่านได้หนอ ท่านว่า ให้เข้าฌานตาย แล้วจะไปเป็นพรหม ถ้าเข้ารูปฌานได้ คือ ปฐมฌาน(ฌาน๑) ทุติยฌาน(ฌาน๒) ตติยฌาน(ฌาน๓) หรือ จตุตถฌาน(ฌาน๔)ได้ ก็ไปเป็นรูปพรหม ชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๑๑ ชั้น ถ้าเข้าอรูปฌานได้ คือ ฌาน ๕,๖,๗ หรือ ๘ ชื่อเป็นทางการเรียกว่า อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็ไปเป็นอรูปพรหม ชั้นใด ชั้นหนึ่งใน ๔ ชั้น หรือที่เขาเรียกกันว่า พรหมลูกฟัก ที่อาจารย์ทั้งสองของพระพุทธเจ้ามี อุทกดาบส รามบุตร และอาฬารดาบส กาลามโคตร ไปอยู่นั่นเอง พรหมลูกฟักนี้ ไม่มีรูป ไม่มีอายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลยฟังธรรมไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงดำริว่า ท่านเป็นผู้ฉิบหายจากการฟังธรรมเสียแล้ว คำว่า ฉิบหาย ในบาลีไม่ใช่คำหยาบ แต่หมายถึง ได้ตายจากการฟังธรรม หรือพูดง่าย ๆ ไม่มีหูจะฟังธรรมแล้วนั่นเอง พรหมลูกฟักนี้มีอายุยาวนานมาก ๆ พระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว ๑๐ พระองค์ ยังไม่รู้ว่า จะหมดอายุหรือยัง

สังเกตุไหมว่า แล้วหายไปไหน ๕ ชั้น เข้าฌานตายไปได้แค่ ๑๑ ชั้นเท่านั้น อีก ๕ ขั้นเป็นชั้นสงวนพิเศษ ไว้สำหรับผู้ที่ได้อริยมรรค อริยผล ชั้นอนาคามีเท่านั้น เรียกว่า พรหมชั้นสุทธาวาส ได้แก่ อวิหา, อตัปปา, สุทัสสา, สุทัสสี และ อกนิฏฐา ถ้าขึ้นไปอยู่เป็นพรหมใน ๕ ชั้นนี้ ไม่ต้องลงมาเกิดแล้ว รอนิพพานบนนั้นเลย เหล่าพรหมทั้ง ๑๖ ชั้นนี่ไม่มีเพศ แต่ค่อนไปทางผู้ชาย อยู่วิมานคนเดียวโดด ๆ ไม่มีบริวาร เช่นสวรรค์ชั้นกามวจร เสวยฌานสุขอยู่จนสิ้นอายุขัย (ท่านก็สุขของท่านอะนะ เป็นเราคงเบื่อตายเลย อยู่คนเดียว เงียบเหงาสิ้นดี) เสียงท่านจะเพราะมาก เสียงเล็ก ๆ เหมือนเสียงเด็ก กับผู้หญิงผสมกัน ใครเคยได้ยินเสียงแบบนี้ รู้ไว้เลยว่า นี่ไม่ใช่ผีธรรมดา เป็นผีท่านพรหม

อ้าว...แล้วไหงเลยสวรรค์กามาวจรทั้ง ๖ มาโผล่ชั้นพรหมได้ละเนี่ยะ บ๊ะ....จะย้อนกลับลงไป โควต้าหน้ากระดาษก็หมดเสียแล้ว เอาไว้ไปเที่ยวสวรรค์ชั้น กามาวจรกันตอนหน้าละกัน

จบตอน ๔

ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๓by Dhammasarokikku

23_displayเอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากถูกเชิญไปเม้นท์ เอ็นทรี่หนึ่งชื่อว่า ผมมีองค์รู้หมด.... แล้วไงเหรอคะ? เม้นท์ไปเม้นท์มา ยาวเป็นกิโล แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ เลยเอามาทำเป็นเอ็นทรี่ใหม่ ครั้นมาเป็นเอ็นทรี่ใหม่แล้ว สองตอนแล้วก็ยังไม่จบอีก ต้องมีตอนที่ ๓ ดังนี้แล

ตอนที่แล้วได้ทำความรู้จักกับเทวดามิจฉาทิฏฐิ หรือ อสูร ไปแล้ว อารมณ์มาค้างเติ่งอยู่กับ "รุกขเทวดา" แต่ก่อนที่จะลุยเข้าไปทำความรู้จักกับท่านทั้งหลาย มาแวะจิบกาแฟ อ่านเรื่องราวประสบการณ์ตรงที่เกริ่นไว้นานแล้ว กันก่อนดีกว่า เดี๋ยวคนไม่ชอบเรื่องไตรภูมิ จะหลับกันเสียหมด จะได้ทราบความเป็นมาว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงเชื่อเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้

ย้อนกลับไปในอดีตกาล นานโคตร ราว ๗ ปีก่อน ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของชีวิต มีหน้าร้านคอมฯ ในห้างใหญ่ ทำยอดขายได้ราวเดือนละ ๔-๕ ล้านบาท งานเข้ากระจายทั้งงานราชการ และงานเอกชน ให้น้องชายคุมหน้าร้าน ส่วนตัวข้าพเจ้าออกหางานข้างนอก แต่แล้วชีวิตก็ต้องมาหยุดสะดุดโค้ก กลิ้งโค่โร่ไม่เป็นท่า ประสบการณ์ตรง ของข้าพเจ้า ต่อเรื่องเข้าองค์ทรงเจ้า สามารถติดตามได้ในอัตตโนชีวประวัติของข้าพเจ้าเอง (กะว่าตายแล้วค่อยเอามาเผยแพร่นะเนี่ยะ) ดังนี้

ส่วนหนึ่งของอัตตโนชีวประวัติ (ชายหนุ่ม=ตัวข้าพเจ้าเอง)

ละครฉากใหม่มาเริ่มเอาตอนที่ มาพบกับน้องของเพื่อนแฟน (งงไหม) เป็นสาวรุ่นกระทง ที่ยังเอ๊าะแอ๊ะ โนเน๊ะไปตามวัย ทว่าแฝงไปด้วยสิ่งประหลาด นั่นคือ เธอเป็นร่างทรง เอาอีกแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจตั้งแต่พบกันครั้งแรก ระคนไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชีวิตฉันโคจรมาเจอสิ่งประหลาดเหลือเชื่อเข้าอีกแล้ว ยิ่งเมื่อได้พบอาการที่ไม่เห็นเหมือนในหนัง หรือตามอาศรมสำนักต่าง ๆ ที่ต้องทำพิธีอัญเชิญ พอจะประทับแล้วตัวสั่นงันงก หน้าบูดหน้าเบี้ยว ทำเสียงเปลี่ยนเป็นอีกคน นี่จู่ ๆ อยากจะลงก็ลงเลย ไม่มีปี่มีขลุ่ย บางทีแค่ตีร่างแรง ๆ ให้เจ็บ หรือร้องไห้ เทพก็ลงประทับร่างแล้ว บางทีแค่หาวก็ลงได้ ตัวร่างเองเป็นวัยรุ่น และออกจะอายเพื่อนฝูงที่มาเป็นอย่างนี้ เพราะเวลาเขาจะลงประทับนี่ ห้ามไม่ได้ เวลาประทับแล้วก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียงก็เปลี่ยน สำเนียงก็เปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยนหมด พิจารณาแล้วก็ไม่น่าจะใช่ของปลอม ถ้าเขาแกล้งทำจะทำไปเพื่ออะไร ถ้าไปตั้งสำนัก เก็บเงินค่าดูดวงก็ว่าไปอย่าง ความที่เรียนอยู่สายวิทย์มาตลอด ก็ชื่นชอบในการทำตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์ ต้องสังเกตก่อน แล้วตั้งสมมุติฐาน จากนั้นก็ทำการทดลอง สังเกตุ เก็บข้อมูล ทดลอง สังเกตุ เก็บข้อมูล จนกว่าจะได้ข้อสรุป โห...นี่ได้ specimen (หนูทดลอง) ชั้นดีเลยนะนี่ ไอ้ที่อยากรู้หน่ะ ไม่ใช่ว่าอยากรู้ว่าของจริงอะป่าว แต่อยากรู้ว่า เขาทำอะไรได้บ้าง มีอำนาจวิเศษอะไรบ้าง เมื่อได้รู้จักกันแล้ว ก็แวะเวียนไปมาหาสู่กัน อยากจะทราบว่า เทพเหล่านี้สามารถบอกอดีต บอกอนาคต หรือพูดง่าย ๆ ดูดวงแม่น อะป่าว และสามารถทำอะไรได้อีกนอกจากดูดวง

13_displayมีอยู่คราวหนึ่งก็อยากจะทราบว่า เทพทั้งหลายนี่ จะสามารถช่วยธุรกิจได้หรือไม่ จึงเอาซองประมูลไปถามว่า ควรจะบวกกี่เปอร์เซ็นต์ดี ตอนนั้นองค์ที่ลงมาเธอบอกว่า เธอเป็นนางฟ้า เป็นบริวารของแป๊ะกง ชื่อหมวยพัด เธอบอกว่า ที่ศาลเจ้าของเธอยังไม่มีรูปของเธอเลย ถ้างานสำเร็จ ขอให้ชายหนุ่มไปหารูปเทพผู้หญิงถือพัดมาใส่ให้ด้วย อะโหย... รูปเทพ เรื่องขี้ประติ๋ว ส่วนของเซ่นไหว้ เธอชอบ นมรสหวาน นมถั่วเหลือง แร่ดตามซอย ก็ได้ ยิ่งเป็นกลิ่นวานิลลา ยิ่งชอบ โห...ยิ่งขี้ประติ๋วใหญ่ ส.บ.ม. แปลว่า สบายมาก ขอให้ได้งานเถอะ จะประเคนให้สักลังนึงยังได้ เธอก็ให้เอาซองประมูลให้เธอจับ (เธออ่านภาษาไทยไม่ออก) เธอหลับตาครู่หนึ่ง แล้วก็บอกว่า ๗ เปอร์เซ็นต์ ได้แน่นอน แม่แฟนตัวดี เอามันส์ เลยว่า ๙ เปอร์เซนต์ไม่ได้รึ เธอก็หลับตาอีก แล้วก็ว่า ได้ แต่ต้องไปช่วย เออ...ชักมันส์ใหญ่ มีไปช่วยได้ด้วยเว้ยเฮ้ย ครั้นแล้วก็ยื่นซองประมูลไป งานนั้นเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตชายหนุ่มเลยมั๊ง ตั้งแต่เปิดบริษัทฯมา ๔ ปี ไปร่วมยื่นซองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่เคยได้งานประมูลกับเขาเลยสักงาน แต่งานนั้นมูลค่าถึงเกือบสองล้านเจ็ด กลับได้เฉยเลย ที่สำคัญยังเฉียดฉิวคู่แข่งแค่ ๒ หมื่นบาท พอออกจากห้องเปิดซองประมูลก็ไปคุยกับตัวแทนบริษัทคู่แข่ง เขาว่าเขาประมูลไม่เคยแพ้ใครเลย และปกติเขาจะชื่นชอบเลขหก แต่ตอนทำซองนี้ไม่รู้คิดยังไง ใส่เลขเจ็ดลงไป ชายหนุ่มก็เก็ตไอเดีย อ๋อ...เทพนี่เขามีความสามารถในการดลใจคนได้นี่เอง จากนั้นอีกซองมูลค่า ล้านหก ก็ได้มาในเวลาใกล้เคียงกัน หมุนเงินกันไม่ทันเลย ไปยืมเงินเพื่อนซี้ย่ำปึ๊กเขาก็ไม่ให้ ทั้งที่มีโปรเจ็คท์ไปให้ดูเป็นหลักเป็นฐาน และประวัติการเงินก็ขาวสะอาด ไฉไล เนียนโย่ ไม่เคยมีเช็คคืน(เช็คเด้ง)เลยสักใบ อย่างไรเขาก็จะให้เอาทรัพย์สินไปวาง โห...อย่างกับแบ็งค์ นี่ถ้ามีทรัพย์สินมาวาง ชายหนุ่มก็คงไม่มารบกวนคุณพี่หรอกขอรับ ก็หน้าจืดกลับไป ทางลูกค้าเป็นหน่วยงานราชการ ก็โวยวาย ไม่ยอมรับการส่งมอบสินค้า ทั้งที่สินค้าก็ถูกต้องตามที่ระบุในสัญญา ปัญหารุมเร้ามืดแปดด้าน หมดสิ้นหนทางแล้ว ก็กลับไปหาหมวยนางฟ้าอีก (ไม่มีเงินทำงานนี่มันจนตรอกจริง ๆ นะ)

ชายหนุ่มจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ไว้ติดตามตอนหน้า

ตอนนี้กลับมาว่าเรื่อง รุกขเทวดากันต่อ ท่านว่า รุกขเทวดา เป็นเทวดาที่มีวิมานแปะอยู่บนต้นไม้ ต้นไม้มีแก่น สูงสักศอกหนึ่ง ก็มีวิมานแปะแล้ว ต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ ต้นหนึ่ง ไม่ใช่มีวิมานเดียวนะ เป็นสิบ ๆ วิมานเลย รุกขเทวดานี่ ทำบุญมาดีกว่า ภูมิเทวดานิดหน่อย ประเภทรักษาศีล ๕ ได้ดี วันพระรักษาอุโบสถศีล หรือ ศีล ๘ นั่นละ เสียอย่างเดียว อาจไม่ได้รักษาด้วยตั้งใจ อาจถูกผู้ปกครองบังคับ หรือทำตาม ๆ กันมา เป็นประเพณีนิยม ประมาณว่า ถ้าไม่ทำ จะถูกข้างบ้านนินทา อะไรเทือกนั้น หรือนานน๊านนนนน จะมารักษาอุโบสถศีลสักครั้งหนึ่ง บางทีก็ไปเป็นรุกขเทวดาได้ ทีนี้เรื่องที่น่าสนใจของรุกขเทวดา กลับกลายเป็นเรื่องเสาตกน้ำมัน ดังที่ได้เกริ่นไว้เมื่อตอนก่อน หรือพวกมิสตะคงตะเคียนอะไรหน่ะ มาอย่างไรหนอ ท่านว่า ต้นไม้ที่มีวิมานแปะอยู่ ถ้าถูกตัดมาทั้งต้น บางทีวิมานก็ยังสามารถแปะอยู่ที่เดิมได้ ทีนี้ท่านอยากจะสำแดงตนให้เจ้าของบ้านรู้ว่า อั๊วะอยู่นี่นะเฟ้ย ท่านเลยแสดงอิทธิฤทธิ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการทำให้เสาตกน้ำมัน อ้า....เข้าใจกันหรือยัง คราวนี้ไปเจอเสาตกน้ำมันนี่ รู้เลยว่า เสานี้มีวิมานแปะอยู่ มีรุกขเทวดารักษาอยู่ และต้องเป็นเทวดาที่มีอานุภาพพอควร ถึงทำเสาตกน้ำมันได้ (เดี๋ยวนี้เจอแต่เสาปูนซะแล้ว เรื่องเสาตกน้ำมัน เลยห่างหายไป ไม่ใคร่ได้ยินกันแล้ว) คนไม่เข้าใจ ก็คิดว่า เป็นไม้ผีสิง มีนางตะเคียนสิงสู่อยู่ รีบมาบนบานขอหวย ถูเสากันยกใหญ่ ไอ้เรื่องหวยนี่ ไม่ต้องชี้ช่อง ก็ติดกันเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แล้ว

ความจริงท่านทั้งหลายนี่เขาก็ให้หวยได้แทบทุกองค์ เพราะมีทิพยเนตร มองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ แต่เขาต้องพิจารณาก่อนว่า ไอ้คนไปขอหวยนี่ มันเคยทำบุญเดิมไว้หรือเปล่า ถ้ามันไม่เคยทำบุญมา ไปให้หวยมัน บางทีมันก็ไปขัดกฎแห่งกรรม หรือบางทีให้ไปเฮอะ มันซื้ออย่างไรก็ซื้อไม่ถูก ทางที่ดี อย่าไปเล่นเลยครับ มันเป็นอบายมุข ปากทางแห่งความเสื่อม

แต่ถ้าเลิกไม่ได้จริง ๆ ท่านเคยบอกไว้ว่า ไอ้พวกถูกหวยนี่ ชาติก่อน มันทำบุญแบบไม่ตั้งใจ ขับ ๆ รถไป เห็นพระธุดงค์ปุ๊บ แวะรับปั๊บ ไม่มีการวางแผนมาก่อน หรือ เห็นคนพิการปั๊บ ช่วยเหลือปุ๊บ หรือ เห็นซองผ้าป่าปั๊บ ควักกระเป๋าปุ๊บ อะไรเทือกนั้น ถ้าอยากเกิดอีก แล้วถูกหวย ก็ลองปฏิบัติดูได้ ทว่า ทางที่ดี อย่าไปเกิดมันเลยครับ เกิดทีไร ก็ทุกข์ทุกที

14_displayไหน ๆ ก็มีท่านอยู่รักษาเรือนไทยโบราณของเรา(มีเสาไม้เสาเบ่อเร่ออยู่กลางบ้าน)แล้ว ก็ทำบุญเลี้ยงท่านเสียหน่อย นิมนต์พระมาสัก ๕ รูปหรือกว่านั้น เลี้ยงเพล ตามตำรับที่เขาทำ ๆ กันนั่นแหละ แล้วคิดถึงท่าน อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน แค่นี้ ชีวิตก็ราบรื่นเหลือจะกล่าว (การทำบุญบ้านนี่ อย่าลืมนะครับว่า อย่าให้มีบาปแม้สักเล็กน้อย โผล่มาก่อนบุญ เช่น เหล้า หรือการพนัน นี่เก็บไว้ทีหลังเลย หรือการฆ่าสัตว์ เอามาต้มยำทำแกงเลี้ยงพระ แม้การตอกไข่มีเชื้อใบเดียวก็ห้ามทำ ไม่งั้นผู้ที่เราอุทิศส่วนกุศลไปให้ เขาจะโมทนาไม่ได้)

เคยอ่านหนังสือเรื่อง "ผมจะเป็นคนดี" ของเศรษฐีแสนล้าน วิกรม กรมดิษฐ์ กันบ้างหรือเปล่า ในเรื่องนั้น โฮมออฟฟิสหลังแรกนั้น ก่อนจะย้ายเข้าไป เขาว่า มีผีสิง ผีดุ ชอบโผล่ออกมาหลอกหลอนชาวบ้าน นั่นละของดี รู้ไหม พวกผีที่เขาสามารถสำแดงตนให้คนอื่นเห็นได้นี่ แสดงว่า อานุภาพเขาไม่ธรรมดา เพียงแต่เขาอาจจะยังเป็นผีมิจฉาทิฏฐิ กูหิว กูไม่รู้จะไปขอเขายังไง ก็เลยหลอกซะ คนไม่รู้ก็ขวัญหนีดีฝ่อ วิ่งกันป่าราบ แต่ตาวิกรมนี่แกไม่กลัวผี และรู้งาน ไปถึงแกก็จัดการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าที่ของบ้าน โอ้โห...เป็นไง หลังจากนั้น งานเข้าเละ แต่เรื่องพวกนี้ จะไปหวังพึ่งเขาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ไม่งั้นถ้ามันง่ายดาย แค่ทำบุญบ้าน คงมีเศรษฐีแสนล้านกันล้นเมืองแล้ว มันอยู่ที่สองมือของเราด้วย ตำราฮวงจุ้ยท่านว่าไว้ว่า กำลังของกิจการ ๓๐ เปอร์เซนต์มาจากดวงเจ้าของ ๓๐ เปอร์เซนต์มาจากสถานที่ อีก ๔๐ เปอร์เซนต์มาฟ้าดิน (หรือก็คือจากกรรมนั่นแล ซึ่งกรรม หรือการกระทำในปัจจุบันมีผลมากกว่ากรรมจากอดีต) ฉะนั้นจะไปหวังพึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องประกอบกันหลายอย่าง และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ครับ

เอาละได้รู้จักเทวดาไปสองจำพวกแล้ว ที่ต้องเขียนยาว เพราะเทวดา ๒ ประเภทนี้ อยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์มาก เจอบ่อย ว่างั้นเถอะ ตอนหน้าจะพาเขยิบสูงขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง เป็นตอนของ "อากาสเทวดา" กันละ

จบตอน ๓

ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๒by Dhammasarokikku

นางฟ้า1เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากถูกเชิญไปเม้นท์ เอ็นทรี่หนึ่งชื่อว่า ผมมีองค์รู้หมด.... แล้วไงเหรอคะ? เม้นท์ไปเม้นท์มา ยาวเป็นกิโล แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ เลยเอามาทำเป็นเอ็นทรี่ใหม่ ครั้นมาเป็นเอ็นทรี่ใหม่แล้ว ตอนเดียวก็ยังไม่จบอีก ต้องมีตอนที่ ๒ ดังนี้แล

ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๑

ตอนที่แล้วมาถึง ภูมิเทวดา ถึงตอนนี้ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ปราชญ์ของพุทธศาสนา คงเลิกอ่านไปแล้ว เพราะงมงายเหลือเกิน ศาสนาพุทธต้องเป็นปรัชญาล้วน ๆ ซี อะ...เชิญตามสบายครับ เท่าที่เคยพบมา ฆราวาสที่เป็นแฟนปราชญ์พันธุ์แท้ ไม่เห็นเคยมีสักคนเดียว ที่ออกบวชเพราะซึ้งใจในความเป็นปรัชญาของศาสนาพุทธ พวกเขาเหล่านั้น เอาแต่ฟุ้งว่า พุทธศาสนาดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเก่งกว่า ไอน์สไตน์เสียอีก แล้วก็สาธยายธรรมะที่ได้เรียนรู้มา อ่านมา ฟังมา เข้าใจมา แต่พอถามว่า แล้วคุณทำอะไรมั่ง เพื่อให้หลุดออกจากวัฏสงสาร คำตอบที่ได้คือ ผม "อ่าน" หนังสือธรรมะครับ ตายละหว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการอ่านไปเสียแล้วครับ ไม่เคยได้ยินว่า ใครอ่านธรรมะมาก ๆ แล้วหลุดพ้นนะ ได้ยินแต่ว่า "ปฏิบัติ" แล้วหลุดพ้น อ้าวท่าน ไหงพูดแมว ๆ อย่างนั้นเล่า นอกจาก "อ่าน" ผมก็ยัง "สนทนาธรรม" ด้วยนะครับ ผมชอบคุยฟุ้งไปว่า พระพุทธองค์ดีอย่างไร ฉลาดอย่างไร ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั่น ผมพูดได้เป็นวัน ๆ เลยครับ แจงได้ละเอียดยิบตั้งแต่ ทาน ศีล ๕ ไปยัน นิพพาน เอ...แล้วท่านมัวแต่คุยฟุ้ง แล้วท่านเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติหนอ (ข้าพเจ้าเองก็ยังฟุ้งอยู่ ที่มานั่งเขียนบล็อกอยู่เนี่ยะ) พระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นเคยสรรเสริญการคุยฟุ้ง หรือการเข้าสมาคมเลย มีแต่ท่านสรรเสริญความสงัด สรรเสริญความวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก

ดังนี้แล้ว จึงสรุปว่า การแปลงศาสนาพุทธเป็นปรัชญา ทำให้แรงขับเคลื่อน ที่จะหนีออกจากวัฏสงสาร ไม่เพียงพอครับ กลายเป็นว่า พอใจอยู่กับแค่การสนทนาธรรม ปรัชญายาก ๆ ธรรมะยาก ๆ คุยไปคุยมา ตัวอีโก้ หรือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ ความถือตัวถือตน มันโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ คิดว่า เรานี้เก่งจริงหนอ เข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้ลึกซึ้ง จนคงหาคนที่จะเข้าใจเหมือนเรายากยิ่งนัก โน่นเลยครับ แทนที่จะใกล้พระนิพพาน กลายเป็นใกล้....ที่อื่นแทน (ฉะนั้น ถ้ารักจะอ่านปรัชญา ระวังตรงนี้เยอะ ๆ นะครับ อ่านไว้ใช่ไม่ดี แต่อ่านแล้ว อย่าไปคิดว่า ตนเก่งกว่าคนอื่น เท่านั้นเอง)

อ้าว...นอกเรื่องไปไกล มาว่าเรื่องภูมิเทวดากันต่อ ทำอะไรหนอ ถึงได้มาเกิดเป็นภูมิเทวดา พระไตรปิฎกไม่ได้ระบุไว้เสียด้วยซี รู้มาว่า ทำบุญน้อย ๆ กับเนื้อนาบุญที่ดี หรือทำบุญมาก แต่ไปเจอเนื้อนาบุญไม่ดี เลยมาเกิดเป็นภูมิเทวดา แต่อย่าลืมนะครับ ไม่ว่าท่านจะทำบุญต่ำเตี้ยติดดินแค่ไหน ท่านต้องมีคุณธรรม ๒ ประการ คือ หิริ-ความละอายต่อบาป และ โอตตัปปะ-ความเกรงกลัวต่อผลของบาป ไม่งั้นมาเป็นเทวดาไม่ได้ บางทีคนสมัยก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ก็มีใจสูงครับ แต่ไม่มีเนื้อนาบุญดี ๆ ให้ทำบุญ หว่านบุญไป บุญก็ไม่งอกเงยสักเท่าไหร่ แคระแกร็นเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนพวกเกิดทีหลังโชคดีได้เจอพระพุทธศาสนา ทำบุญนิดเดียว อานิสงส์มหาศาลเลย ดังมีหลักฐานในพระไตรปิฎกดังนี้ (ถ้าขี้เกียจอ่าน ก็ข้ามไปเลยครับ)

"..ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีท่านพระอินทร์มาคอยต้อนรับอยู่ก่อน ต่อมามีเทวดาอีก ๒ องค์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นมาก็มาก่อนเทวดาอื่น คือ ท่านอังกุรเทพบุตรมานั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า กับ ท่านอินทกเทพบุตร มานั่งข้างพระบาทข้างขวา เมื่อมีเทวดาองค์อื่นมาท่านอังกุรเทพบุตรก็ถอยจากจากที่นั่งเดิม แต่ท่านอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิม ต่อมาเทวดามาหมดชั้นดาวดึงส์ปรากฏว่าท่าน อินทกเทพบุตรนั่งหัวแถวตามเดิม ส่วนท่านอังกุรเทพบุตรถอยไปนั่งอยู่ท้ายสุดเป็นเทวดาหางแถว

ผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนากับในพระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าทรงต้องการประกาศผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนา กับในพระพุทธศาสนาให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่คอยพระองค์อยู่หลายโกฏิในเมืองพาราณสี ได้ยินได้ฟังทั้งหมด จึงทรงบันดาลเสียงของพระองค์ และเสียงของเทวดาที่สนทนากันให้ดังถึงเมืองมนุษย์ สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อังกุระ เมื่อตถาคตมาถึงตอนแรก เธอนั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของตถาคต ครั้นเทวดาองค์อื่นมาหมดดาวดึงส์ เธอเป็นเทวดาท้ายแถว นั่งไกลที่สุด อยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้ ท่านอังกุรเทพบุตรจึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐี เวลานั้นคนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี อีก ๒๐,๐๐๐ ปี ก่อนที่จะตาย ได้ตั้งโรงทาน ๘๐ แห่ง ๑ โยชน์ตั้ง ๑ แห่ง ให้ทานคนยากจน คนกำพร้า คนเดินทางทั้งกลางวัน และกลางคืน สิ้นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่อาศัยว่าเวลานั้น ไม่มีพระพุทธศาสนา คนทั้งหมดไม่มีศีล ไม่มีธรรม จึงได้อานิสงส์น้อย ตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดา ที่มีบุญน้อยที่สุด มีวิมานทองคำเกลี้ยงเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร" แสดงให้เห็นว่า การบำเพ็ญกุศล แจกแก่คนที่ไร้ศีลไร้ธรรม ก็ยังเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้

ส่วนท่านอินทกเทพบุตร เมื่อเข้าไปถึงใหม่ๆ ก็นั่งข้างพระบาทข้างขวาของพระพุทธเจ้า เมื่อเทวดามาทั้งหมดชั้นดาวดึงส์ ท่านก็ไม่ถอยให้ใครนั่งอยู่หัวแถวตามเดิม ถ้ายกเว้นท่านพระอินทร์ก็ต้องถือว่า เป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ศรีใหญ่ในดาวดึงส์ ไม่มีใครใหญ่กว่า และไม่มีใครมีบุญมากกว่า พระพุทธเจ้าใคร่จะประกาศอานิสงส์แห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนาให้ทราบ จึงถามท่านอินทกเทพบุตรว่า อินทกะ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอก็นั่งตรงนี้ แต่ทว่าเมื่อเทวดามาหมดดาวดึงส์ เธอก็นั่งตรงนี้ตามเดิม เธอเป็นเทวดาที่มีมเหสักขา (คือมีฤทธิ์มาก มีบุญมาก) มากกว่าเทวดาองค์อื่น นอกจากท่านพระอินทร์แล้ว ไม่มีใครยิ่งไปกว่าเธอ อยากจะทราบว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงมาเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากอย่างนี้ ท่านอินทกเทพบุตรได้กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นลูกคนจน ต่อมาบิดาตายก็ต้องเลี้ยงแม่ (คำว่าเลี้ยงแม่ เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ สนองความดีของแม่ที่ท่านเลี้ยงมา อันนี้มีอานิสงส์สำคัญมาก สูงมาก) ต่อมาพระสงฆ์ในสำนักขององค์สมเด็จพระบรมครู เดินเฉียดบ้านไปก่อนเพล จึงได้นิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมดประมาณ ๔ รูปมาถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านจนมาก มีโอกาสบำเพ็ญกุศลถวายสังฆทานคราวนี้คราวเดียว กับเลี้ยงแม่ให้มีความสุขตามฐานะเพียงเท่านี้ ข้าพระพุทธเจ้าตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๗ ประการ สวยสดงดงามมากเป็นที่อยู่ มีความสุขมาก และมีนางฟ้า ๑ แสนเป็นบริวาร"

การบำเพ็ญกุศล ในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมมีอานิสงส์สูงกว่า การบำเพ็ญกุศลแก่คนนอกพระพุทธศาสนามาก แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเทวดามีจริง นางฟ้ามีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง พระนิพพานมีจริง นรกมีจริง ตายแล้วมีสภาพไม่สูญจริง..."

คัดจากเว็บ http://www.thaisquare.com

นางฟ้า4จากเรื่องดังกล่าวจะเห็นได้ว่า บุญนอกเขตพระพุทธศาสนา ทำให้อลังการแค่ไหน ก็ได้อานิสงส์นิดเดียว นี่ไม่ได้โปรโมทศาสนาพุทธนะ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้วอายุของเทวดานี่ ก็ยาวนานกว่ามนุษย์มาก เทวดาองค์หนึ่งอาจมีอายุเกิน ๒,๕๐๐ ปี ก็แสดงว่า มาเป็นภูมิเทวดา ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติเสียอีก ก็เลยมาเป็นเทวดามีบุญน้อย เป็นเทวดาแล้วนี่ จะรีบไปจุติที่อื่นไม่ได้ ต้องรอจนกว่า จะหมดกำลังของผลบุญ จึงจะจุติไปที่อื่นได้ เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมบางที่ เจ้าที่แรง บางที่ ก็เฉย ๆ ก็เป็นเพราะอย่างนี้แล

และยังมีเทวดามิจฉาทิฏฐิอีกนะ ด้วยความที่อายุของเธอยาวนานเหลือเกิน เทวดาบางพวก ฝักใฝ่ในธรรม ก็บรรลุเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรือบรรลุอรหันต์ ไปก็มี บางพวกมีความประมาท นึกว่า จะได้เป็นเทวดาเช่นนี้ตลอดไป ก็ไปแกล้งมนุษย์บ้างก็มี ทำบาป ทำอกุศล บ้างก็มี พวกนี้แม้ทำความชั่ว ถ้าไม่ถึงลิมิต ก็ยังคงเป็นเทวดาอยู่ แต่ถ้าเกินลิมิต ชีวิตเกินร้อย แบบเอ็ม-ร้อยห้าสิบไป  ก็จุติเท่านั้นเอง

ไหน ๆ ก็ว่ามาถึงเทวดามิจฉาทิฏฐิแล้ว มาเข้าเรื่องตอบเอ็นทรี่ ซะเลย ความจริงยังไม่ถึงดีนะเนี่ยะ "อสูร" นั้นเคยเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ครับ แต่ขี้เหล้า เลยถูกอัปเปหิ ไล่ลงมาจากสวรรค์ ทีนี้ตาลุงมีองค์นั่น มีทิพยเนตรแจ่มใสพอควร เพราะทายเรื่องของใคร ๆ ได้แม่นยำ ไม่น่าจะเป็นอสุรกาย น่าจะเป็นเทวดา แต่ลุงแกเอาเหล้ากระแทกปากโครม ๆ แล้วบอกว่า พ่อปู่ชอบ เลยเดา ๆ เอาว่า น่าจะเป็นเทวดามิจฉาทิฏฐิ หรือ อสูร นี่ละครับ เป็นคนคุมร่าง คนพวกนี้ บางทีเนื่องกันมาครับ บางชาติอีตาลุงนี่ก็ไปเกิดเป็นเทวดามั่ง ตาอสูรนั่นลงมาเกิดเป็นคนมั่ง สลับกันเป็นเจ้า สลับกันเป็นคนทรง ครับ เรื่องพวกนี้ รู้ไว้ใช่ว่าครับ ว่ามันมี ใช่ไม่มี แต่อย่าไปใส่ใจมากครับ ไม่ใช่ทางสู่มรรค ผล นิพพาน ครับ

จบเรื่องภูมิเทวดาละ ไปต่อกันที่เทวดาชั้นสูงกว่าพื้นดินขึ้นไปอีกหน่อย เขาเรียกว่า "รุกขเทวดา" อยากทราบว่า ทำไมเสาบ้านถึงตกน้ำมันได้ ติดตามตอนหน้าครับ

จบตอน ๒

ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๑by Dhammasarokikku

นางฟ้า7เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากถูกเชิญไปเม้นท์ เอ็นทรี่หนึ่งชื่อว่า ผมมีองค์รู้หมด.... แล้วไงเหรอคะ? เม้นท์ไปเม้นท์มา ยาวเป็นกิโล แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ ประกอบกับ มีคนรีเคว้ทส์มาให้เขียนเรื่องนรก ๆ หรือ อบายภูมิมั่ง ก็เห็นมีคนเขียนแล้ว หลายเรื่อง เพราะรู้สึกว่า จะเป็นวิชาบังคับปีหนึ่ง ของเด็กอักษรฯ จุฬาฯ และเนื้อหาของนรกแต่ละขุม ก็ซ้ำ ๆ กัน หาอ่านได้เยอะแยะ ถ้าสนใจสักหน่อย คงหาไม่ยากนัก เลยไม่คิดจะนั่งพิมพ์ให้เสียเวลา สู้เอาประสบการณ์ตรงมาเล่าสู่กันฟัง จะมันส์กว่าเป็นไหน ๆ

ก่อนอื่น มาร่ายยาวถึงความที่เม้นท์ไว้ก่อนดีกว่า ไม่ต้องเมื่อยนิ้วพิมพ์ใหม่

การเข้าองค์ทรงเจ้า ก็มีอธิบายไว้ คนที่ไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของเขา คนที่เชื่อ มีเหตุมีผลรองรับครับ

ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่ง ที่เชื่อในเรื่องราวเหล่านี้ สมัยหนึ่งที่ยังไม่เคยเจอของจริง ก็ค่อนไปทางไม่เชื่อ พอเจอของจริงเข้าไป ก็รู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงแฮะ แล้วก็สงสัยมาตลอด จนมาเจอหลวงพ่อ ความสงสัยก็หายหมด

ท่านว่า การเข้าองค์ทรงเจ้านี่ มีจริงครับ แต่ผู้ที่มาประทับร่าง (เรียกตามภาษาทั่วไปนะ ความจริงเขาเรียกว่า "คุมร่าง" จะตรงกับความเป็นจริงมากกว่า)มีหลายชั้นวรรณะครับ มีตั้งแต่ อสุรกาย (๑ ในสัตว์ในอบายภูมิ ๔) เทพเทวดา หรือกระทั่งพรหม (ความจริงมีสูงกว่านี้อีก แต่ไม่อยากเอามาบรรยาย เดี๋ยวจะมากเรื่อง)
สัตว์ในอบายภูมิ ๔ มี สัตว์นรก ๑, เปรต ๑, อสุรกาย ๑, และสัตว์เดรัจฉาน ๑ สามประเภทแรกนี่การเสวยอายุยาวนานมาก เช่น สัตว์นรกนี่ ขุมเบาสุด อายุ ๙ ล้านปีมนุษย์ หลุดจากนรก ขึ้นมาเป็นเปรต จากเปรตเป็นอสุรกาย จากอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วถึงจะเป็นมนุษย์

อีตอนเป็นอสุรกาย(ใกล้เป็นคนแล้ว)นี่แหละ ที่เขาไม่มีกายเนื้อ เริ่มมีความเป็นทิพย์ สามารถหยั่งรู้อดีต อนาคต ได้ "บางเรื่อง" อสุรกายนี่ ท่านว่าไว้ว่า ต้องเก็บเศษอุจจาระ ปัสสาวะ เสลดที่คนเขาขากถุยทิ้งไว้ ตามถนนหนทาง หรือไม่ก็ซากสัตว์ตาย กินเป็นอาหาร (ที่เห็นเขา เอาข้าว เอาน้ำ เอาขนม ไปวางไว้หน้าบ้าน หรือตามสี่แยก ก็เลี้ยงพวกนี้แหละ)

ในคนหกพันล้านคน มีคนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ ปะปนกัน ฉันใด ในภูมิต่าง ๆ เหล่านี้ ในหมู่อสุรกายมิจฉาทิฏฐิ ก็มีอสุรกาย สัมมาทิฏฐิเจืออยู่ ฉันนั้น อสุรกายเหล่านี้ จะพอมีอำนาจวิเศษบางอย่าง ตามแต่กำลังของตน ก็จะหาร่างที่มิจิตอ่อน หรือเคยเนื่องกันมาแต่ปางก่อน เข้าสิง ทำท่าเป็นพ่อหมอ แม่หมอ เปิดสำนักหมอดูแม่น ๆ เปิดสำนักรับรักษาโรค หรือ เปิดอาศรมปฏิบัติธรรม

บางสำนัก ก็ให้นำอาหารมาสังเวย (เขาจะได้ไม่ต้องไปกินเศษอุจจาระ ปัสสาวะ เสลด อาหารที่เขาทิ้งแล้ว หรือ ซากสัตว์ตาย ตามมีตามเกิด) บางสำนัก ก็ให้คนมารักษาศีล ๕ ศีล ๘ เพื่อสั่งสมบุญ(ของตัวเอง) จะได้ไปเกิดเสียที (ก็ยังถือว่า มาถูกทางนะ) ซึ่งอสุรกายเหล่านี้ ถ้าลงมาแล้วบอกว่า ตนเป็นอสุรกายชื่อ ตาสี ชื่อ ตาสา ก็ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครศรัทธา เลยต้องลงมาในนามเทพอันโด่งดัง เช่น เทพกวนอูบ้าง ปู่ฤๅษีบ้าง อื่น ๆ บ้าง

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พวกที่อ้างว่าตนเป็นเทพ เป็นอสุรกายไปเสียหมดนะ พวกของจริง ลงมาจริง ๆ ก็มี วิธีดู คือ ถ้าเป็นอสุรกาย บารมีอ่อน ๆ เขาจะรีเค้วทส์พวกอาหารสด อาหารแห้ง เหล้า ยา ปลาปิ้ง เป็นเครื่องสังเวย ถ้าบารมีเริ่มแข็งกล้า ก็จะให้มาปฏิบัติธรรม รักษาศีล ๕ รักษาศีล ๘ แต่ถ้าลองถามปัญหาธรรมะดู จะตอบไม่ค่อยได้ คือ ตัวเขาเองไม่เข้าใจธรรมะ แต่รู้เห็นว่า ถ้าพาคนให้มาปฏิบัติธรรม แล้วเขาโมทนาบุญ เขาจะได้บุญเยอะ ได้ไปเกิดเร็ว ทำนองว่า ไปเลียนแบบเขามานั่นละ

ส่วนพวกที่เป็นเทพลงมา (ความจริง เขาไม่ได้ลงมาเองหรอกนะ เขาใช้ความเป็นทิพย์ ควบคุมระยะไกล เหมือนใช้รีโมทคุม อะไรประมาณนั้น) จะมีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า เขาจะมีเวลาแน่นอน จะมาวันนั้น วันนี้ นอกเวลานัด เชิญให้ตาย เรียกให้ตาย ก็ไม่มา และความเป็นทิพย์เขาจะแม่นยำมาก เรื่องรู้วาระจิตนี่ บางทีรู้ตั้งแต่เราออกจากบ้านแล้ว (เทวดาเขาจะมีความสามารถอย่างหนึ่ง เรียกว่า "ทิพยเนตร" เป็นปกติ คือเห็นอะไรด้วยความเป็นทิพย์ ตามความเป็นจริง แตกต่างจากทิพยจักขุญาณ ซึ่งบางทีก็มีเพี้ยน ๆ ไปบ้าง) และเวลาลงประทับนี่ ไม่ต้องอัญเชิญ ไม่ต้องทำพิธีให้มากความ บทจะลง ลงเลย ไม่มีปี่มีขลุ่ย พวกที่ต้องจุดธูป ทำตัวสั่นงันงก ทำตาขวาง เปลี่ยนเสียง ส่วนใหญ่ ไม่ของปลอม ก็เป็นอสุรกายทั้งนั้น

ที่นี้พวกเทวดา หรือเทพเองก็มีหลายชั้น พวกที่อยู่ใกล้พื้น เขาเรียกว่า "ภูมิเทวดา" ที่อยู่ตามต้นไม้ เขาเรียก "รุกขเทวดา" พวกที่อยู่เหนือพื้นขึ้นไป เขาเรียก "อากาสเทวดา"

นางฟ้า2ภูมิเทวดา อยู่ใกล้มนุษย์มากที่สุด ฉะนั้น จึงมีเรื่องข้องแวะกับมนุษย์มากที่สุด เทวดาองค์หนึ่ง รักษาดูแลพื้นที่เป็นตารางกิโลเมตร แต่อาจมีบริวารอยู่เป็นจำนวนมาก เทวดาชั้นนี้มักมีนายเป็นเทวดาชั้นจตุมหาราช หรือ จาตุมหาราชิกา มีหน้าที่คอยบันทึกความดี ความชั่ว ของมนุษย์ รายงานเทพเทวดาชั้นสูงขึ้นไป

ท่านเล่าว่า ในวันพระ ถ้ามีคนทำบุญกันเยอะ เหล่าเทวดาชั้นภูมิเทวดานี่ละ จะนำความไปรายงานท้าวสักกะเทวราช แล้วเทวดา นางฟ้า ในชั้นดาวดึงส์เทวโลก จะออกมาฟ้อนรำ บันเทิงใจ ประหนึ่งดิสโก้เธคในเมืองมนุษย์ แต่ถ้าไม่มีคนทำบุญ หรือทำบุญกันน้อย บรรยากาศบนสวรรค์ ก็จะเงียบหงอย เหมือนหอยป่วย

อาจสงสัยว่า แล้วมนุษย์มีตั้งหกพันล้าน จดเข้าไปยังไงหมด ตอบว่า เขาใช้ความเป็นทิพย์จดจ๊ะ ไม่ได้ใช้มือจด

ที่เขาตั้งศาลพระภูมิ ศาลเจ้า ตี่จู่เอี๊ยะ กันนี่ ก็เพื่อบูชาภูมิเทวดากันนี่แหละ ท่านจึงมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เป็นเจ้าที่ บ้าง เป็นพระภูมิเจ้าที่บ้าง เป็นศาลเจ้าบ้าง เป็นตี่จู่เอี๊ยะบ้าง มาถึงตรงนี้ อาจมีคนเห็นว่า เฮ้ย...นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว นี่มันพราหมณ์ชัด ๆ อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า คนพูดเช่นนี้ ไม่ได้พูดด้วยธรรม คนที่มีธรรมในใจเขาไม่พูดอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ท่านหมายถึงอะไร ก็จำคำท่านมาเล่าต่อ

ตามความเห็นของข้าพเจ้าแล้ว จะศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู หรือ ศาสนาพุทธ ก็แตกต่างกันที่มุมมองเท่านั้น ตัว "ธรรม" นั้น คงเดิม เทวดามีอยู่ จะว่า เทวดาเป็นของพราหมณ์ หรือของพุทธ เทวดาก็ยังมีอยู่ดี เหมือนบุหรี่ คนไทยเรียกบุหรี่ คนลาวเรียกยาดูด สุดท้ายไม่ว่า มันจะเรียกว่า อะไร ไอ้กระดาษมวนยาสูบ ก็ยังคงมีอยู่บนโลกนี้ ฉะนั้น พวกที่ปฏิเสธว่า ศาสนาพุทธไม่มีเทวดา ก็เหมือนกับปฏิเสธว่า กระดาษมวนยาสูบ ไม่มีอยู่จริง และนี่อาจจะเป็นความหมายของอาจารย์ท่านนั้นว่า "เขาไม่ได้พูดด้วยธรรม"

มาดูสิ่งสำคัญดีกว่า สิ่งสำคัญ ไม่ใช่ประเด็นว่า เทวดามี หรือไม่มี เทวดา เป็นของศาสนาไหน สิ่งสำคัญอยู่ที่มุมมอง และมุมมองต่อเทวดาของศาสนาพุทธ ก็แตกต่างจากศาสนาอื่น โดยสิ้นเชิง ศาสนาอื่นสอนให้บูชาเทพ ขอร้องเทพ สวดมนต์อ้อนวอนต่อเทพ แล้วเทพทั้งหลาย จะช่วยเจ้า

ศาสนาพุทธสอนว่า ให้นับถือคุณธรรมของเทวดา ผู้ที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรม ๒ ประการ นั่นคือ หิริ-ความละอายต่อบาป และ โอตตัปปะ-ความเกรงกลัวต่อผลของบาป และสอนว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน (เทพเทวดาที่ไหน ก็มาช่วยท่านไม่ได้) การระลึกถึงคุณความดี ของเทวดาเรียกว่า เทวตานุสสติ เป็นหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ กอง

ดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า การที่จะไปแยกชัด ฟันธงว่า นี่คือศาสนาพุทธ นี่คือศาสนาพราหมณ์ หรือนี่คือศาสนาฮินดู มันไม่สามารถแยกชัดได้หรอก ถ้าแยกชัด ก็หมายถึง ต้องตัดความบางส่วนทิ้ง แล้วทราบได้อย่างไรว่า ความที่ท่านตัดออกไป ไม่ใช่ส่วนสำคัญ

ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ธรรมนั้นมีอยู่ อะไร ๆ ก็รวมอยู่ในธรรมนั้น พระพุทธเจ้าทรงเลือกธรรมที่เห็นว่า เป็นประโยชน์ ออกมาสอนพวกเราเท่านั้นเอง อย่างเรื่องเทวดา ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า สิ่งที่ศาสนาพุทธมี ศาสนาอื่นเขาก็มีเหมือนกัน แต่มุมมองของคนพุทธแตกต่างออกไป

ยังมีเรื่องราวลี้ลับอีกมาก ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เช่น พลังจักรวาล พลังพีระมิด ฯลฯ เรื่องราวเหล่านี้ สามารถศึกษาได้ ไม่ผิดอะไร แต่ถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่องราวเหล่านี้ พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่า มีพลังพวกนี้อยู่ คำตอบคือ ทรงทราบดี แต่ศาสตร์เหล่านี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อมรรค ผล นิพพาน ท่านจึงไม่นำมาสอน ยิ่งถ้าวิชาเหล่านี้ ไปขวางมรรค ผล นิพพาน ท่านจะให้ชื่อใหม่ว่า "เดรัจฉานวิชา"

เดรัจฉานวิชานี้ ใช่ว่า เป็นเฉพาะไสยศาสตร์ มนต์ดำ เท่านั้นนะ อะไร ๆ ที่ไม่สนับสนุน หรือขวางไม่ให้เราไปสู่มรรค ผล นิพพาน ท่านก็เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ทั้งนั้น

อ้าว....โม้ไปถึงเรื่องอะไรนี่ กลับมาว่า เรื่องภูมิเทวดาต่อ ที่เขาเรียกว่า ภูมิเทวดา ก็เพราะท่านมี วิมานลอยอยู่เหนือพื้นประมาณศอกหนึ่งนี่แหละ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอก เป็นวิมานทิพย์ แล้วตัวท่านก็ใหญ่มาก เทวดานี่ตัวใหญ่กว่ามนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า จะเข้าไปอยู่ในศาลพระภูมิอันกระจิ๊ดริ๊ดได้อย่างไร อ้าว...แล้วศาลพระภูมินั่น เขาเอาไว้ทำอะไรกันเล่า ในเมื่อท่านมีวิมานของท่านต่างหาก ตอบว่า เป็นสถานที่นัดพบ ถ้าจะไปไหว้ฉัน บูชาฉัน ไปที่นั่นนะ และเป็นสัญลักษณ์แสดงความเคารพ เหมือนเคารพผู้ใหญ่นั่นละ เทวดาที่เป็นเจ้าที่เจ้าทางเป็นใคร ก็บรรพบุรุษของเรานั่นแหละ บางทีรบกันแล้วตายอยู่ที่นั่น ก็เลยกลายเป็นเทวดาเจ้าที่ ก็ไหว้บรรพบุรุษเรา มันเสียหายตรงไหน คนที่ไม่เคารพสถานที่ ก็เหมือนไม่เคารพบรรพบุรุษด้วย ที่เรามีพื้นดินเหยียบ ประกาศก้องโลกได้ว่า เราเป็นคนไทย ก็ไม่ใช่พระคุณพวกท่านทั้งหลายที่สละชีพ เอาเลือดทาแผ่นดิน รักษาขวานทองนี้ไว้ให้พวกเราใช้รึ

อ้าว...จะคุยเรื่องเข้าองค์ทรงเจ้า ไหงเวียนมาคุยเรื่องภูมิเทวดานี่ เอ็นทรี่นี้ร่ายมายาวพอควรแล้ว เดี๋ยวจะตาบอดนอนหลับกันไปเสียก่อน ประสบการณ์ตรงต่อเรื่องราวพวกนี้ ขอแปะไว้ก่อน ไว้อ่านตอนหน้าดีกว่า

จบตอน ๑

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กำแพงที่ข้ามได้ยากby Dhammasarokikku

_2_652เรื่องบารมี ๑๐ ทัศ (หรือ ๓๐ ทัศ ถ้าแยกเป็นบารมีต้น อุปบารมี และปรมัตถบารมี) ได้ยินมานานแล้ว กระทั่งเข้ามาบวชก็ได้รับคำสอนสั่งตั้งแต่พรรษาแรก จักไปนิพพานได้ บารมีต้องครบทั้ง ๑๐ นะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้เลย รักษากำลังใจไว้ให้เต็มที่เสมอ

บารมีหน่ะบาลีแปลว่า "เต็ม" นะ แล้วอะไรเต็ม? เต็มที่ไหน?

พระท่านสอนว่า บารมีก็คือ "กำลังใจ" บารมีเต็มก็คือกำลังใจเต็ม เต็มที่ไหน? ก็เต็มที่ใจ

ทานบารมี ก็คือ กำลังใจในการให้ทาน พร้อมเสมอในการให้ทาน อย่างนี้เรียก กำลังใจดี บารมีดี

สีลบารมี ก็คือ กำลังใจในการรักษาศีล ถ้าว่า ตัวตายดีกว่าศีลขาด อย่างนี้ก็เรียกกำลังใจในการรักษาศีลเต็ม

เนกขัมมบารมี ก็คือ กำลังใจในการถือบวช เห็นว่าการถือบวชเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตแล้ว อย่างนี้ก็ใช้ได้

ปัญญาบารมี เห็นว่าไม่มีสิ่งใดจักพาสัตวโลกให้พ้นทุกข์ได้นอกจากปัญญา นี่ก็แจ่ม

วิริยะบารมี คือกำลังใจในการทำความเพียร ขันติ คือความอดทน สัจจะคือความจริงใจ จริงจัง เด็ดขาด อธิษฐานคือความตั้งใจมั่น เมตตา คือความรัก และสุดท้ายอุเบกขาคือความวางเฉย ทุกบารมีขั้นปรมัตถ์คือเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หากเอาชีวิตเข้าแลกได้ ก็เข้าขั้นปรมัตถ์

ครูบา อาจารย์สอนไว้ว่า แม้ทานบารมีตัวเดียวเต็ม ตัวอื่นก็เต็มด้วย ข้าพเจ้าก็เฝ้าพากเพียรทำทานเรื่อยมา ตั้งแต่ทานที่ทำได้ง่าย ๆ ไปจนถึงทานที่ทำได้ยาก ๆ จากทานที่เป็นของเหลือกินเหลือใช้ที่เขาเรียกว่า "ทาสทาน" ทานที่ด้อยกว่าที่เรากินเราใช้ ขยับขึ้นมาเป็น "สหายทาน" ทานที่เสมอที่เรากินเราใช้ จนถึง "สามีทาน" ทาน ที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ สมัยก่อนก็แค่อาสาเป็นบุรุษไปรษณีย์นำของบริจาคที่ชาวเมืองเหลือใช้แล้วไป แจกให้คนที่ต้องการ หลัง ๆ นี่ซื้อของใหม่ที่เขาจำเป็นต้องใช้ แจกแหลกชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ยอมเหนื่อยยาก ยอมลำบาก ให้เขาได้มีกิน มีใช้ ได้มีความสุข

นาน ๆ ไปส่งการบ้านกับพระอาจารย์สมปองทีใน ทานขั้นปรมัตถ์ ท่านว่า ยังหรอก ยังไม่เต็ม ยังอีกนาน ท่านเองทำซ้ำ ๆ อย่างนี้เป็นสิบปี ทำไปเรื่อย ๆ เหอะ บารมีทุกตัวอยากทราบว่า เต็มหรือยัง? ให้ดูที่ตัวสุดท้ายคือ อุเบกขาบารมี ถ้าทำแล้วเฉย ๆ เป็นใช้ได้

อย่างทำทานนี่ ถ้าทำด้วยความรู้สึกว่า "กูจะทำซะอย่าง" ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมใดใด อย่างนี้ถือว่า "ใช้ได้"

ความรู้สึกนี่มันโกงกันไม่ได้ หลอกกันไม่ได้นะ แม้เรารู้ทางทฤษฎีแล้วว่า จักต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอเอาเข้าจริง เจอของจริง ก็ยังทำตามที่ทฤษฎีเขาว่าไว้ไม่ได้หรอก

คราวนี้ก็เช่นกัน

_18_142เสียง พลุสนั่นหวั่นไหวเงียบลงแล้ว จึงได้มีเวลาคุยกับหลวงพี่วสันต์ คุยกันเรื่องสัพเพเหรกตามธรรมเนียม แต่เรื่องที่คาใจมาจนวินาทีที่พิมพ์นี้ ก็คือเรื่องที่เขาเอาปลาเค็มไปทิ้ง

"บ้าน xxxx หน่ะ พี่ใหญ่แกบอกว่า พระเอายาพิษใส่ปลา อย่าเอามากิน ให้เอาไปทิ้ง เขาเลยเอาไปทิ้งกันทั้งหมู่บ้าน เด็กในหมู่บ้านนี้เขาเล่าให้ฟัง"

พอจับต้นชนปลายถูกว่าเรื่องราวเป็นมาเยี่ยงไร ก็เกิดอาการชาครับ ธรรมะที่ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์หลายท่านลืมหมด

บ้าน xxxx หน่ะ ทราบอยู่แล้วครับว่า ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธทั้งหมู่บ้าน และเป็นที่ชุมนุมของประดาเหล่าคนต่างศาสนาของภาคเหนือเสียด้วย เวลามีงานชุมนุม รถกระบะวิ่งเข้าออกคราวละหลายสิบคัน ทั้งเด็กปากะญอที่ไปด้วยกันก็เตือน อย่าไปให้เขาเลย อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เราเองที่รั้นดื้อดึงจักทำตามคำสั่งสอนที่ได้ยินมา ปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ต้องมีเมตตาแบบอัปปมัญญา คือไม่มีประมาณ ไม่เลือกเด็กหรือแก่ ขาวหรือดำ หนุ่มหรือสาว ในศาสนาหรือนอกศาสนา หากเขาลำบาก เราให้หมด

หมู่บ้าน xxxx นี้คั่นอยู่ระหว่าง ๒ หมู่บ้านที่มีคนนับถือศาสนาพุทธ ข้าพเจ้าก็แจกทั้งสองหมู่บ้านแบบมิได้เลือกว่า เขานับถือศาสนาใด แล้วจักเว้นหมู่บ้านนี้เสียหรือ?

ท่ามกลางสายตาที่มองข้าพเจ้าราวกับเป็นตัวประหลาด ข้าพเจ้าไม่ยี่หระต่อสายตาเหล่านั้น ถือว่า "การให้" ไม่มีแบ่งแยกศาสนา บุญก็คือบุญ ไม่มีบุญของศาสนานั้น ไม่เหมือนบุญของศาสนานี้ เดินหน้านำปลาทูเค็มที่ลำบากขนขึ้นไปจากสมุทรสาครด้วยเพียบแปล้ตะลุยบุญรถยนต์คันเก่งที่สภาพไม่ค่อยสมบูรณ์นัก (ศูนย์เอียงซ้าย ยางหมดสภาพ วิ่งเหมือนร่อนบนถนน พร้อมจักลงข้างทางได้ตลอดเวลา) แต่ก็ยังถูลู่ถูกังใส่ท้ายบรรทุกไปเกิน ๔๐๐ กิโล (โอเวอร์โหลดมากมาย) ราคากิโลละ ๓๕ บาท ไปจนถึงแม่สะเรียง รวมระยะทางเกิน ๖๐๐ กม. ทั้งยังฝ่าทางอันขรุขระ คดเคี้ยว สูงชัน และเต็มไปด้วยฝุ่นกว่าจักเข้าหมู่บ้าน xxxx อีกหลายกิโลเมตร เพียงเพราะได้รับคำแนะจากพระอาจารย์โต วัดพระธาตุปางแฟน จ.เชียงใหม่ ว่า ปลาทูเค็มนี้ถือเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับชาวไทยภูเขาภาคเหนือ

มหาโอ๊ตเคยให้ธรรมะในการให้ทานที่ฟังแล้วประทับใจมาก คือให้แล้ว ให้ขาด อย่าถือแม้กระทั่งว่า นั่นเป็นทาน "ของเรา" อย่าไปใส่ใจว่า เขาเอาทานของเราไปทำอะไร เพราะมันไม่ใช่ของเราแล้ว การทำทานที่มีอานิสงส์สูงสุด คือทานที่ทำเพื่อละความเห็นผิดว่า "นี่คือของเรา"

ทางทฤษฎีนั่น ใช่ครับ แม้ข้าพเจ้าเอง ก็เขียนสอนผู้อื่นอย่างนั้น แต่ในทางปฏิบัติจริง มันช่างทำได้ยากเสียนี่กระไร

พอได้ทราบว่า เขาเอาทาน "ของเรา" ที่เราตั้งใจให้เขาอย่างดีที่สุด ไปทิ้ง รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ควรไปหวั่นไหว เพราะให้เขาไปแล้ว แต่ก็อดหวั่นไหวไม่ได้ มึน ๆ ชา ๆ อยู่นานทีเดียว

ทั้งที่ทำทานมาเยอะแยะมากมาย แต่ก็รู้ได้เลยในวินาทีนั้นว่า ทานบารมีของเรา ยังไม่เต็ม

ต้องทำอีก ต้องให้อีก ต้องสู้อีก สู้กับใครหรือ? ก็สู้กับตัวเองนั่นแหละ รบกับกิเลสในใจเราเอง

เหนื่อยนะ...

เหมือนวิ่งชนกำแพง

เหมือนมันไม่มีทางผ่านได้ แต่ก็ยังวิ่งชนมันอยู่อย่างนั้น

ความรู้สึกในอดีตอันเลือนรางย้อนกลับมาอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนวิ่งเข้าชนกำแพง สมัยเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ์ก็รู้สึกเช่นนี้ ขณะที่เพื่อน ๆ ไปตีสนุ๊ก ไปเดินห้าง ไปจีบสาว ไปท่องเที่ยว ไปทำอะไร ไปไหนต่อไหนอย่างสนุกสนาน อย่างที่วัยรุ่นเขาทำกัน สนุกกัน เราต้องนั่งอ่านหนังสืออย่างโดดเดี่ยว เพียรทำข้อสอบเก่าข้อแล้วข้อเล่า ปีแล้วปีเล่า รั้วจุฬาฯตอนนั้นสูงเทียมฟ้า ราวกับกำแพงเมืองจีน คนตัวเล็กแรงน้อยอย่างเรา จักปีนข้ามไปได้หรือ?

เหนื่อย ท้อ แต่ก็ไม่เคยหยุดวิ่ง ไม่เคยหยุดชน เจ็บก็ยังวิ่งเข้าชนอยู่อย่างนั้นแหละ ล้มแล้วลุกตลอด บางทีเหนื่อยมาก ท้อมาก ล้มแล้วก็นอนนาน ๆ หน่อย แต่ไม่เคยยอมแพ้ มันต้องไปให้ถึงที่สุด ที่สุดที่เราทำได้ ต้องอดทนอีกเท่าไหร่ จะถึงจุดนั้น ไม่รู้เลย

ใช่สิ... สมัยนั้น ๑ เดือนก่อนสอบเอ็นทรานซ์ ใส่เกียร์ว่างเลย หนังสือหนังหาไม่ค่อยอ่านแล้ว เย็น ๆ ไปว่ายน้ำที่สระเซนต์คาเบรียลทุกวัน จนรุ่นน้องถามว่า พี่ไม่เตรียมตัวสอบหรือ? พ่อแม่ถามว่า เตรียมตัวพร้อมหรือยัง? ทำข้อสอบได้ไหม? ตอบได้เพียงว่า ทำดีที่สุดได้แค่นี้... ถ้ามันไม่ติดก็ช่างมันเหอะ... พ่อแม่ไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนัก

และแล้ววันประกาศผลสอบก็เหมือนรางวัลของความเพียร แต่มันไม่ค่อยสำคัญแล้วหล่ะ สำหรับคนที่เอาชนะตัวเองได้ แม้เพียงชั่วคราว

ศึกคราวนี้ คือการเอาชนะตัวเองชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องกลับมาอดทนอีกแล้ว ทางโลกเอาชนะตัวเองได้ครั้งหนึ่ง ก็จักมีกำแพงที่สูงกว่าเดิมมารอให้เอาชนะอีก ไม่จบสิ้น ทางธรรมอดทนครั้งนี้อีกครั้งเดียว แล้วไม่ต้องอดทนอีก เคยชนะมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน แต่... จักต้องเข้มงวดกับตัวเองอีกเท่าไหร่กัน?

บอกตัวเอง หมากชีวิตเกมนี้ถ้าแพ้ก็หมายถึงต้องกลับมาเวียนเกิดซ้ำซาก กลับมาอดทนสอบเอ็นทรานซ์ซ้ำซากอีก แพ้ไม่ได้!!! สู้ ๆ สู้ตาย

กำแพงเอ๋ย มาดูกันว่า ใครจะอึดกว่ากัน เจริญธรรม ฯ

๒ ความจริงของการให้ทาน (๒)by Dhammasarokikku

_27_189มาว่ากันต่อไปครับ ถึงสิ่งที่มักเข้าใจผิดในการให้ทาน ตอนที่แล้วว่าไป ๒ ข้อ คือเรื่องของบุญเกิดตอนไหน ตอนเราให้ หรือตอนเขาเอาของเราไปใช้ กับปรับความเห็นสำหรับคนที่เข้าใจว่า ชาวพุทธให้ทานแบบ "ชุ่ย ๆ" วันนี้จักได้สาธยายเพิ่มเติมอีก ๒ ข้อ ดังนี้

ความเข้าใจที่คิดเอาเองข้อที่ ๓. บุญเกิดเมื่อทานนั้นได้รับการประกาศ ให้ประชาชนทั่วไปทราบ ไม่ได้รับการประกาศ ก็เป็นอันไม่ได้บุญ

คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาข้อที่ ๓. จักประกาศหรือไม่ ก็ได้บุญไปแล้วครับ ถ้าทำกำลังใจได้ตามเงื่อนไขข้อ ๑ ความเชื่อเรื่องการประกาศบุญนี้แพร่หลายในหมู่คนที่นับถือเทพเจ้าครับ ยิ่งถ้าความเชื่อนี้พัฒนาไปจนกลายเป็นการทำบุญเพื่อเอาหน้า หรือได้หน้า อย่างนั้นเป็นอันไม่ได้บุญไปเลย น่าเสียดายครับ บางคนทำทานเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน แต่บุญที่เขาได้นั้นนิดเดียว บางทีก็ไม่ได้เลย หนักที่สุด บางกรณีทำบุญแล้วกลับได้บาปก็มี (เช่น ทำบุญเอาหน้ากันจนเกินพอดี แล้วเกิดอิจฉาจนกล่าววาจาทำร้ายจิตใจ หรือทำร้ายร่างกายกัน เป็นต้น)

เรื่องการประกาศการทำบุญให้โลกรู้นี้ เท่าที่นึกออกมี ๓ แบบครับ อย่างหนึ่งคือประกาศด้วยความเมตตา อยากให้ผู้อื่นได้รับบุญที่เราทำด้วย (คือให้ผู้อื่นโมทนา) อย่างนี้ดีครับ ควรทำให้มาก เพราะมันคือพรหมวิหาร ๔ เป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับกิเลสโทสะ กับอีกอย่างหนึ่ง คือต้องประกาศเพื่อความโปร่งใส เพื่อความสบายใจของเจ้าภาพทุกท่าน ทุกฝ่าย อย่างนี้กลาง ๆ ไม่เสียหายกระไร อย่างสุดท้ายคือประกาศ เพื่อบอกให้โลกรู้ว่า ฉันยังมีตัวตนอยู่ ฉันเป็นคนดี ฉันใจบุญ นี่มันไปสนองอุปกิเลสที่ละเอียดขึ้นไปกว่ากิเลสความโลภธรรมดา คือไปพอใจในโลกธรรม มีการสรรเสริญ เป็นต้น ยิ่งสนองอัตตาตัวตนมากเท่าไหร่ ยิ่งเอาทานที่ทำแลกกับคำสรรเสริญ ชื่อเสียง ความนับหน้าถือตา มากเท่าไหร่ อานิสงส์ของบุญนั้นยิ่งน้อยลงเท่านั้น

ความต้องการของมนุษย์ขั้นสูง ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทรัพย์สินครับ แต่คือการยอมรับจากสังคม องค์กรการกุศลบางองค์กรใช้จุดอ่อนตรงนี้ของมนุษย์ ป่าวประกาศคุณความดีของผู้ใจบุญ เสียจนเจ้าภาพยิ้มหุบไม่ลง หลงใหลไปกับคำป้อยอสรรเสริญ และการมีชื่อเสียง แล้วองค์กรนั้นก็ได้ทุนมาทำนู่นทำนี่ได้มหาศาล

ความเข้าใจที่คิดเอาเองข้อที่ ๔. อานิสงส์ของทานนั้นได้มากน้อยตามความต้องการของผู้รับ เช่น ให้อาหารแก่คน หรือสัตว์ที่กำลังหิว ให้ทานเครื่องแบบนักเรียนแก่เด็กนักเรียนยากจน เป็นต้น หากผู้รับขาดแคลนมาก มีความต้องการมาก ก็ได้อานิสงส์มาก ถ้ามิได้มีความต้องการในทานที่เราให้ เป็นอันไม่ได้บุญ หรือมีอานิสงส์น้อย

_70_914คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาข้อที่ ๔. จริงอยู่ การให้ทานแก่ผู้ที่กำลังต้องการทานที่เราจักให้ในขณะนั้น มีอานิสงส์พิเศษกว่าการให้ทานที่ผู้รับไม่ได้ต้องการในขณะนั้น (ประมาณว่า ผลแห่งทานนั้นทำให้เราได้รับของที่เราต้องการในเวลาที่เราต้องการเช่นกัน) แต่อานิสงส์นั้นก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่พระพุทธองค์ตรัสแสดงอานิสงส์แห่งทานไว้ใน ทักขิณาวิภังคสูตร จำแนกผู้ทำบุญด้วยอย่างเจาะจงแล้ว มีผลมากน้อยไว้เป็นลำดับถึง ๑๔ ลำดับ ได้แก่ ทานที่ถวายโดยเฉพาะเจาะจงแด่ พระพุทธเจ้า มีอานิสงส์มากกว่าทานที่ถวายจำเพาะเจาะจงให้ พระปัจเจกพุทธเจ้า, ทานที่ถวายโดยเฉพาะเจาะจงแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้า มีอานิสงส์มากกว่าทานที่ถวายจำเพาะเจาะจงให้ พระอรหันตสาวก แล้วก็ไล่ไปโดยลำดับดังนี้ พระอนาคามี, พระสกทาคามี, พระโสดาบัน, นักบวชนอกศาสนาที่ได้โลกียอภิญญาสมาบัติ (สังเกตความใจกว้าง พระองค์มิได้จำกัดว่า ต้องทำบุญเฉพาะกับพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ว่ากันตามเนื้อผ้า เรื่องอภิญญาสมาบัติ หรืออิทธิฤทธิ์ เป็นของสาธารณะ ครับ นักบวชนอกพระพุทธศาสนาก็ทำได้ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธเถรวาท เห็นผู้มีฤทธิ์แล้ว ต้องไม่ตื่นมงคล ครับ แม้กระทั่งง่าย ๆ อย่างดูดวงได้แม่นยำ ท่านที่ได้ฌานโลกีย์ก็ทำได้ และไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาพุทธเสียด้วยซ้ำ การมีอิทธิฤทธิ์ มิได้วัดคุณธรรมใด ๆ เลย ดูอย่างพระเทวทัตสิ ได้อภิญญาห้า ในอภิญญาหก ยังไปอเวจีมหานรกเลย), ฆราวาสที่มีศีล, ฆราวาสที่ทุศีล และสัตว์เดรัจฉาน (ไม่รวมสัตว์ที่เลี้ยงไว้ และการให้ทานสัตว์เดรัจฉาน ต้องให้พออิ่ม ครับ ถึงจักมีอานิสงส์ : คัดจากตำราเรียนวิชาพุทธานุพุทธประวัติ หรือปฐมสมโพธิกถา) เห็นได้ชัดว่า มิได้เกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้รับทานแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นความบริสุทธิ์ของจิตผู้รับต่างหาก (เพราะคนที่มีจิตบริสุทธิ์มาก ๆ เขาจักไม่ต้องการทานจากใครหรอก ที่รับทานไว้ก็หวังอานิสงส์จักตกแก่ผู้ถวายทานเท่านั้น) ยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ การทำบุญกับพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันตสาวก ท่านทั้งหลายนี้ขาดแคลนสิ่งที่เราจักถวายหรือไม่? อยากได้ของที่เราจักถวายหรือเปล่า? ไม่เลยใช่หรือไม่?

เหนือขึ้นไปกว่าการให้ทานอย่างเจาะจงตัวบุคคลที่เรียกว่า ปาฏิปุคคลิกทาน แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงแสดงอามิสทาน (ทานที่ทำด้วยวัตถุ) ที่มีอานิสงส์ยิ่งกว่าถวายให้พระองค์เองเสียอีก คือการถวายปัจจัยไทยทานแด่หมู่สงฆ์โดยไม่จำเพาะเจาะจง ที่เรียกว่า "สังฆทาน"

พระอรหันตสาวกชั้นหลัง ๆ ได้เสริมเพิ่มเติมการทำทานที่มีอานิสงส์สูงกว่านั้น ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ได้แก่ วิหารทาน (สังฆทานรูปแบบหนึ่ง เป็นถาวรวัตถุ อายุการใช้งานยาวนาน) และที่สุดคือ ธรรมทาน (การให้ธรรมเป็นทาน ดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทั้งปวง) ส่วนทานที่มีอานิสงส์สูงกว่านี้ ไม่ใช่อามิสทานแล้วครับ เป็นทานที่มิได้ใช้วัตถุทำ แต่ใช้ใจทำ คือ อภัยทาน ยิ่งให้อภัยเพื่อถวายพระพุทธเจ้าเป็นปฏิบัติบูชา ยิ่งอานิสงส์ไม่มีประมาณ อาจหลุดออกจากวงโคจรที่เรียกว่า "วัฏสงสาร" ได้ง่าย ๆ เพราะมันไปทำลายกิเลสโทสะ ระงับกิเลสโทสะได้ โลภะ ราคะ ก็ไม่มีที่อยู่ครับ พังครืนไปพร้อมกัน ฉะนั้นมาให้อภัยกันเยอะ ๆ ครับ ไม่ต้องใช้สตางค์สักบาท ได้บุญมาก แล้วแถมสังคมก็จักน่าอยู่ พึ่งพาอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างผาสุข

๒ ความจริงของการให้ทานตอนที่ ๒ ก็เอวังด้วยประการฉะนี้ ฯ

๒ ความจริงของการให้ทาน (๑)by Dhammasarokikku

IMG_2540พอดีได้คุยกับโยมพี่ชายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือในกรณีภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งหลายองค์กรที่ดูน่าไว้วางใจ ก็กลับกลายเป็นอื่น มีคำกล่าวหาผู้ทำบุญว่า ไม่ควรทำบุญแบบ "ชุ่ย ๆ" ทำบุญแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วผลประโยชน์ไปตกที่ใครก็ไม่ทราบ

ได้รับฟังความเห็นแล้ว คาดว่า คงมีคนไม่น้อย รู้สึกเช่นเดียวกับโยมพี่ชาย เวลาที่ทำบุญไปแล้ว ได้รับข่าวคาวไม่ค่อยดีจากองค์กรรับบริจาคนั้นแล้วก็เกิดความไม่สบายใจ

ข้าพเจ้าขอยืนยันนอนยันครับว่า ทานที่ท่านให้แล้ว ไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหน ที่ไม่มีผล ไม่มี ครับ (นิเสธเยอะไปหน่อยไหมนี่ แต่สำนวนแบบพระไตรปิฎกท่านว่าอย่างนี้จริง ๆ นะครับ สรุปแล้วคือนิเสธซ้อนนิเสธ ก็กลายเป็น "ทานที่ท่านให้แล้ว ไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหน มีผลแน่นอน")

เรื่องทานนี้มีคนไม่น้อยยังก่งก๊งเข้าใจผิดอยู่ แม้ผ่านการทำบุญมานักต่อนักก็ตาม หากทำบุญด้วยกำลังใจไม่ถูกต้อง ทำเท่าไหร่ก็ยังก่งก๊งอยู่เหมือนเดิม เพื่อไม่ให้เสียเวลาพิมพ์ใหม่อีกรอบ ขอฉายหนังซ้ำครับ จากเอ็นทรี่เก่า ๆ ที่เคยเขียนไว้นานแล้ว เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งครับว่า ความรู้ในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบนั้นแม้กระทั่งการปฏิบัติง่าย ๆ อย่างการทำทาน ก็นึก ๆ คิด ๆ ฝัน ๆ เอาเองไม่ได้ ต้องอาศัยเรียนรู้จากพระบรมศาสดาเท่านั้น ผู้ที่สามารถรู้แจ้งด้วยตนเองนอกจากพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้า (ตรัสรู้ด้วยตนเองเช่นกัน แต่ไม่ได้ตั้งศาสนา) ซึ่งจักมาอุบัติในช่วงที่โลกว่างพระพุทธศาสนาเท่านั้น เรา ๆ ท่าน ๆ นี้เกิดมาในยุคที่พระไตรปิฎกยังไม่สูญหายไป อายุพระศาสนายังไม่ครบ ๕,๐๐๐ ปี ไม่มีทางที่เราจักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองแน่นอน เพราะฉะนั้นศึกษาหน่อยเถอะครับ จักได้ทำกำลังใจให้ถูกต้อง

เรื่องความเข้าใจผิดในการทำทานนี้เขียนสมัยที่เขากำลังฮิตการเขียนบทความแยกเป็นข้อ ๆ อ่านกันเพลิน ๆ ครับ

ความเข้าใจที่คิดเอาเองข้อที่ ๑. บุญของการทำทานจักเกิดต่อเมื่อผู้ที่รับทานของเราไปแล้ว นำทานนั้นไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม สมเจตนาผู้ให้ทานเท่านั้น

_49_103คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาข้อที่ ๑. บุญเกิดตั้งแต่คิดจักทำครับ (จิตเป็นกุศล) ทั้งขณะทำก็ได้บุญ และหลังจากทำไปแล้ว ก็ยังได้บุญอีก ขึ้นกับกำลังใจ (ที่ถูกต้อง) เป็นสำคัญ ฉะนั้นไม่ว่าคนรับทานนั้นเขาจักนำทานของเราไปใช้ประโยชน์อย่างไร ตรงเจตนาของผู้ให้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่าใจของผู้ให้ครับ

๑.๑ เมื่อเราเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เกิดมีใจสงสาร อยากช่วยเหลือ หรือมีคนมาบอกบุญอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วอยากทำ นี่ได้บุญไปตุนแล้ว ๑ ดอก ไม่ว่าจักได้ทำจริงหรือไม่ก็ตาม

๑.๒ ถึงเวลาได้ทำทานจริง ก็มีใจยินดี ก็ได้บุญไปอีก ๑ ดอก แม้มีเหตุขัดข้องทำให้ไม่สามารถให้ทานนั้น ๆ ได้ ก็อย่าเศร้าไปครับ ท่านได้บุญไปตุนแล้ว ๑ ดอก แม้ไม่ได้ลงมือทำจริง

๑.๓ ครั้นทำทานไปแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มใจ มีความสุข มีปีติ (ส่วนใหญ่มาจากการที่เห็นคนรับมีความสุข) นั่นก็ได้บุญไปอีก ๑ ดอก และนานไปคิดถึงบุญนี้อีก ก็ได้บุญอีก ไม่จำกัด สรุปแล้วทำทานแล้วได้บุญแบบคุ้ม ๆ ก็คิดถึงบุญที่ได้ทำไปบ่อย ๆ ครับ (เรียกว่า "จาคานุสสติกรรมฐาน")

๑.๔ แม้ทานที่เราให้ไปแล้ว เขาเอาไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ได้นำไปใช้สมเจตนาของเรา ถ้าเราทำกำลังใจให้ถูก ก็ได้บุญอีก เป็นบุญใหญ่กว่าทั้ง ๓ ดอกที่ว่ามาด้วย บุญที่ว่า เกิดจาก "จาคะ" ครับ จาคะนี้แปลว่า "สละ" แตกต่างจากทานปกติ คือ ทานนั้นจักเน้นไปที่ผู้รับทาน มากกว่าผู้ให้ทาน แต่จาคะนี้เน้นไปที่ใจของคนให้ครับ คือ สละออก สละทรัพย์สิน เพื่อละความตระหนี่ถี่เหนียวออกจากใจ หรือละความโลภออกจากใจ ผู้รับทานจึงไม่ค่อยสำคัญนักในแง่ของจาคะ และจาคะที่ได้บุญสูงสุดคือการสละออกเพื่อละความเห็นผิดว่า "นี่คือของเรา" ทานทั้งหลายนี่คือ ทาน "ของเรา" ความเห็นที่ถูกต้องคือ ทานนี้เราได้ให้เขาไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ "ของเรา" อีกต่อไป การไม่เห็นว่ามีสิ่งใดในโลกนี้เป็นของเรา จัดเป็นวิปัสสนาญาณ ได้บุญมากขริง ๆ ที่สุดแม้ร่างกายของเราก็ไม่ใช่ของเรา พอมันเสื่อมได้ที่(ป่วย) เราก็ทิ้งมันไว้ในโลกนี้ เอากระไรไปกับเราไม่ได้เลยแม้ผมสักเส้นก็เอาไปไม่ได้ เราแค่ "ยืม" โลกมาใช้ ใช้เสร็จแล้วเราก็ "คืน" ให้โลกไป

นี่คือข้อยืนยันครับว่า ทานที่เราได้ให้แล้ว ที่ไม่มีผล ไม่มี แม้ทานที่ให้ไปไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามที่เราต้องการให้เป็น เราก็ได้ "จาคะ" อยู่ดี ทำกำลังใจให้ถูก ได้บุญเยอะยิ่งกว่า เขาเอาทานของเราไปใช้ประโยชน์สมใจเราเสียอีก เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯของเราเคยตรัสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำด้วยว่า "จาคะตัวเดียว ถึงนิพพานหรือไม่?" หลวงพ่อวินิจฉัยว่า "ได้" ตามเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น คือถ้าทำเพื่อ "ละ" กิเลสละก็ ถึงนิพพานแน่นอน

เอาละ อาจจักงง ๆ ก่งก๊งอยู่กับคำว่า "จาคะ" เรามาลองยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ ตามความรู้ที่เราอาจได้ทราบมาบ้างแล้ว คือ ทำทานให้สัตว์เดรัจฉาน ๑ บาท มีอานิสงส์ไม่ได้หนึ่งในแสนล้านล้านของการทำบุญให้พระอรหันต์ ๑ บาท ถูกไหมครับ แต่ในแง่จาคะแล้ว ระหว่างทำทานให้สัตว์เดรัจฉาน กับทำบุญให้พระอรหันต์ เราสละความตึ๋งหนืดของเราออก ๑ บาทเท่ากัน พอเห็นภาพไหมครับ?

แต่ส่วนใหญ่คนเราไม่ได้ศึกษาสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสให้ดีครับ พอเห็นเขาเอาทานของเราไปใช้ไม่ถูกไม่ควร ไม่ตรงใจเรา ก็เกิดความโกรธ ความเศร้าหมอง เกิดความรู้สึกว่า "ชั้นจักไม่ทำบุญอีกแล้ว" ความเศร้าหมองของจิตหลังจากให้ทานไปแล้วนี้เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นว่า นี่คือทาน "ของเรา" ใช่หรือไม่?

อย่างไรก็ดี ความยึดมั่นถือมั่นนี้ มันคือเรื่องปกติของมนุษย์ปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลสครับ แม้ข้าพเจ้าเองก็ยังตัดให้ขาดไม่ได้ อย่างที่เคยเขียนไว้ใน กำแพงที่ข้ามได้ยาก

ความเข้าใจที่คิดเอาเองข้อที่ ๒. ชาวพุทธมักทำบุญแบบ "ชุ่ย ๆ" ไม่ไปดู ไปแลเลยว่า สิ่งที่ทำบุญไปแล้ว ไปทางไหนบ้าง คนที่มาบอกบุญเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่า? ถ้าเขาเป็นมิจฉาชีพ ๑๘ มงกุฏ การทำทานกับเขามิยิ่งเป็นการส่งเสริมให้เขาทำความเลวยิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือ?

_70_914คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาข้อที่ ๒. พระพุทธองค์มิได้สอนให้สาวกของพระองค์เป็นคนชุ่ยครับ แต่สอนให้พินิจพิจารณาก่อนทำ นิสัมมะ กะระณัง เสยโย คิดให้ดีก่อนแล้วทำ จึงดี ครั้นพิจารณาจนถ้วนถี่เต็มกำลังสติปัญญาสุดความสามารถที่ทำได้แล้ว ก็ค่อยทำ ทำเสร็จแล้วก็ให้ปล่อยวาง (อุเบกขา) คือมันจักดีหรือไม่ดี มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเราแล้ว มันกลายเป็นอดีตทีี่ผ่านไปแล้ว หากมันไม่ดี ไปคิดแค้นคิดโกรธสิ่งใดก็ไม่ได้กระไรขึ้นมา อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ การติดตามผลของทานที่เราทำไป ถ้าทำได้ก็ดีครับ เผื่อว่า เขามีเจตนาไม่ดี มาบอกบุญอีก เราจักได้ไม่ทำเพิ่มเติม แต่ส่วนใหญ่การติดตามผลมักเกินกำลังที่เราทำได้ เขาเหล่านั้นไม่ใช่คณะรัฐมนตรีที่เราจักไปยื่นขอไม่ไว้วางใจได้ ฉะนั้นใคร่ครวญพิจารณาให้ดีตั้งแต่ก่อนทำครับ ทำไปแล้ว ก็แล้วกันไป ไม่ใช่ "ของเรา" แล้ว (ตามข้อ ๑)

อีกอย่าง การที่เราทำบุญใดใดอย่างหนึ่ง กับการที่เขาเอาทานของเราไปทำกระไรอย่างหนึ่ง ๒ อย่างนี้คนละกรรม คนละวาระกันครับ เราทำกรรมกระไรไว้ เราก็ต้องได้รับอย่างนั้น เขาทำกรรมกระไร เขาก็ได้รับกรรมอย่างนั้นเช่นกัน กัลยาณการี กัลยาณัง ปาปะการี จะ ปาปะกัง ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว ชาวพุทธเชื่อกฎแห่งกรรมครับ มิใช่ให้กระไรแบบ "ชุ่ย ๆ"

เนื้อหาเรื่องการทำทานนี้ เป็นทฤษฎีล้วน ๆ ไม่อาจสอดแทรกกระไรเบาสมองได้ เลยขอตัดจบสั้น ๆ แค่ ๒ ข้อก่อน ตอนหน้าจักมาสาธยายเพิ่มเติม ฯ

ปล. มีการทำบุญอยู่แบบหนึ่งครับ ที่ทำให้ผู้ทำบุญถูกหวยบ่อย ๆ คือ การทำบุญแบบมิได้วางแผนมาก่อน หรือมิได้วางแผนล่วงหน้า เห็นปุ๊บทำเลย การทำบุญลักษณะนี้มีผลให้ได้ลาภลอย ได้โชคแบบไม่คาดฝัน กระไรเทือกนั้น จักสังเกตค่าสถิติอย่างมีนัยสำคัญได้ว่า ผู้ที่ถูกหวยบ่อย ๆ มักไม่ค่อยคิดใคร่ครวญกระไรในชีิวิตมากมาย ส่วนท่านที่กว่าจักทำบุญทีคิดแล้วคิดอีก อย่าไปพยายามซื้อหวยเลยครับ ลาภของท่านมักมาจากสิ่งที่ท่านได้คิดใคร่ครวญอย่างดีแล้วนั่นแล ส่วนท่านที่หลงใหลได้ปลื้มกับการเล่นหวย รู้อย่างนี้แล้วอย่าพยายามนำไปเลียบแบบเลยครับ เพราะการทำบุญหวังถูกหวย ก็เท่ากับยังยินดีเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั่นแล เพราะทำบุญแล้ว "ขอให้ถูกหวย" = "ขอให้กลับมาเกิดแล้วชาติหน้าถูกหวย" ฉะนั้นทำบุญทุกอย่าง ขอให้ไม่ต้องเกิดแล้วนี่ละ ดีที่สุดครับ

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

ข้อควรรู้ สำหรับผู้ต้องการดูฮวงจุ้ยby Dhammasarokikku

ถ้าหากคุณมีบ้านแล้วยังไม่ได้สร้างรั้วบ้านหรือสร้างแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าถูกต้องตามหลังฮวงจุ้ยหรือเปล่าเรามีคำแนะนำดีๆมาฝากกันค่ะสำหรับเรื่องรั้วบ้านว่าควรปฏิบัติแบบไหนแบบไหนไม่ควรทำ


1 ห้ามสร้างรั้วบ้านก่อนสร้างบ้าน

ข้อห้ามนี้คงเคยได้ยินกันมาบ้าง ในตำราให้เหตุผลเอาไว้ว่าเหมือนสร้างคุก รอคนเข้าไปอยู่เพราะกำแพงล้อมทั้งสี่ด้านก็ไม่ต่างไปจากคุกนั่นเอง หลักการสร้างบ้านจะต้องสร้างจากด้านในขยายไปสู่ด้านนอกจึงจะถือว่าถูกต้อง รั้วจึงเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะสร้าง

2. ห้ามสร้างรั้วสูงหรือต่ำเกินไป

การสร้างกำแพงรั้วสูงจะปิดบังลมที่พัดเข้าบ้าน และผู้อยู่อาศัยจะรู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่ในที่คุมขัง การสร้างรั้วสูงส่วนใหญ่จะเหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่มากๆ แล้วตัวบ้านไม่ได้อยู่ชิดรั้วมากจนเกินไปความรู้สึกอึดอัดก็จะลดน้อยลง ถ้าสร้างรั้วต่ำก็ล่อแหลมต่อการถูกโจรขโมยขึ้นบ้าน เพราะฉะนั้นจึงควรกำหนด ความสูงของรั้วให้อยู่ในระดับที่พอดี

3. รั้วโปร่งดีกว่าทึบ

การสร้างรั้วโปร่งจะให้ความรู้สึกสบายไม่อึดอัดกับผู้อยู่อาศัยในบ้านการไหลเวียนของลมที่พัดเข้าสู่บ้านก็จะได้ประโยชน์เต็มที่ แต่ถ้าเป็นกรณี ของบริษัท โรงงาน โกดังเก็บของ อาจจำเป็นจะต้องสร้างรั้วทึบเพื่อป้องกันโจรขโมย เพราะฉะนั้นการสร้างรั้วจึงต้องดูที่ความจำเป็นและประโยชน์ใช้สอยด้วย

4. ห้ามเจาะช่องหน้าต่างที่กำแพงรั้ว

ถ้ารั้วเป็นกำแพงทึบ การเจาะ ช่องที่กำแพง ถือเป็นข้อห้าม เพราะจะทำให้พลังชี่บ้านนั้นจะเก็บทรัพย์เอาไว้ไม่อยู่ นอกจากนี้ บ้านยังขาดความมั่นคง โจรขโมยสามารถมองเห็นภายในบ้านได้ง่าย

5. รั้วบ้านห้ามทำเป็นลูกกรงซีกหรือเหล็กแหลม

ลักษณะของรั้วลูกกรงที่มีเหล็กแหลมอยู่ด้านบนคนที่อยู่ในบ้านก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรงหรือกรณีที่เอาเศษแก้วไปเสียบเอาไว้บนขอบรั้ว กำแพงเพื่อป้องกันขโมยปีกเข้าบ้านก็จะเข้าข่ายเดียวกันในทางฮวงจุ้ยถือว่าไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ถ้าจะใช้รั้วแบบนี้ ควรจะมีการแต่งลวดลายโค้งวงกลมเสริมเข้าไปยอดบนที่มีลักษณะลูกศรที่แหลมคมก็ใช้วงกลมใส่แทนเข้าไปเพื่อลดความรู้สึกก้าวร้าว ของความแหลมคมลง

6. วัสดุในการสร้างรั้วเป็นไม้ดีที่สุด

การสร้างรั้วบ้านโดยใช้วัสดุที่เป็นไม้จะให้ความรู้สึกที่ดีและเหมาะกับบ้านอยู่อาศัยมากที่สุด เพราะไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติโดยตรง คนในบ้าน จะรู้สึกใกล้ธรรมชาติมากกว่ารั้วที่เป็นปูนหรือเหล็ก แต่ในปัจจุบันรั้วบ้านส่วนใหญ่ จะวัสดุที่เป็นปูนผสมเหล็กเพราะแข็งแรงกว่า และประหยัดกว่าการใช้ไม้ที่มีราคาค่อนข้างแพง ถ้ารั้วจะเป็นปูนหรือเหล็กก็คงไม่ผิดอะไรขอให้แข็งแรงเป็นใช้ได้

7. การปลูกต้นไม้ทำเป็นรั้ว

ลักษณะรั้วแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก เพราะคนไม่ค่อยนิยมทำกันเนื่องจากมองว่าแข็งแรงสู้รั้วปูนไม่ได้ นอกจากนี้ยังดูแลยากต้องคอยตัดแต่งต้นไม้อยู่เสมอ ส่วนใหญ่จะนิยมทำกันตามบ้านที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยดีอย่างหมู่บ้านใหญ่ ๆ เพราะไม่ต้องห่วงในเรื่องของโจรขโมยขึ้นบ้าน ในทางฮวงจุ้ยถือว่ารั้วแบบนี้เป็นรั้วธรรมชาติจริง ๆ ย่อมส่งผลดีต่อบ้านนั้นมากกว่าเสีย

8. รั้วที่ชำรุดหรือแตกร้าวเป็นลางร้าย

ในทางฮวงจุ้ยจะให้ระวังสิ่งที่เสื่อมสภาพหรือชำรุด เพราะถือเป็นลางร้ายที่บ่งบอกว่าบ้านหลังนั้นจะประสบกับปัญหาเจ้าของบ้านจะพบกับความล้มเหลวได้ รั้วบ้านที่แตกร้าวผุผังแทนความหมายของความมั่นคงที่ถูกทำลายลง เพราะสิ่งที่ป้องกันภัยจากนอกบ้านกำลังเสื่อมสภาพลง เพราะฉะนั้นจึงควรหมั่นดูแลรักษาสภาพของรั้วให้แข็งแรงและดูใหม่อยู่เสมอ

ครบทั้ง 8 วิธีในการเลือกสร้างรั้วบ้านให้ถูกต้องตามตำราแล้วเจ้าของบ้านท่านใดสนใจสามารถนำไปปฏิบัติได้นะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก Horolive (อ.เทวีโชค)
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

70692-pic-22วันนี้วันพระ มีใครไปใส่บาตรกันบ้าง เหงื่อตกทีเดียววันนี้สำหรับพระกรุงเทพฯ วันนี้ข้าพเจ้าบิณฑบาตได้ของแปลกมาหลายอย่าง อย่างแรกคือ "มุ้ง" ฉันไม่ได้แต่เท่ อย่างที่สองคือ "ยาสามัญประจำบ้าน" ๑ ถุงใหญ่ ความจริงยามันไม่แปลกหรอกครับ เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ ฉันได้ ก็ถือว่าใช้ได้ แต่มันแปลกตรงที่ข้าพเจ้าดันไม่มีลูกศิษย์ลูกหาคอยเดินตาม ข้าพเจ้าเดินบิณฑบาตแบบแรมโบ้ บุกเดี่ยว เพราะคงไม่มีใครบ้าพอ คิดจะเดินตามข้าพเจ้า เคยมีเพื่อนมหาลัย มาช่วยเดินตาม แบกย่ามบิณฑบาตให้ ๒ ครั้ง แล้วไม่มาอีกเลย

ที่ว่า ๒ ครั้งนั้น ครั้งแรกเขาก็ถอดใจแล้วครับ ครั้งที่ ๒ ที่มานี่ จำใจมาครับ เพื่อไถ่โทษ ที่คุยว่า จะขึ้นดอยไปร่วมด้วยช่วยกัน แล้วสุดท้ายไม่ยอมไป (แต่ความจริงเขาก็ไม่ได้ให้คำมั่นอะไรนะ แค่พูดเปรย ๆ ข้าพเจ้าเองต่างหากที่ตอนนั้นหน้ามืดตามัว กลัวไม่มีคนช่วย เลยเจอใครเป็นชวนดะ ที่เขามาเขาก็มาเอง เพื่่อชดเชยความรู้สึกผิดของเขาเอง ข้าพเจ้าไม่ได้เรียกร้องอะไร แค่ทำหน้า ทำเสียง เซ็ง ๆ เท่านั้นเอง) ข้าพเจ้าก็พาเขาแบกบุญหนักราว ๆ เกือบ ๒๐ กิโล(หรือกว่านั้น) ท่องไปในโลกกว้าง เดินจากวัดท่าพระ ไปสู่แมคโครบางขุนศรี

บุญอันหนักยิ่ง ส่งผลในชั่วข้ามคืน พอดีเพื่อนคนนี้เพิ่งกลับมาจากเยอรมัน จบปริญญาเอกสด ๆ ร้อน ๆ ทางโรบ็อต หรือ วิศวกรรมหุ่นยนต์ (แค่ฟังชื่อปริญญาก็รู้แล้วว่า หางานในเมืองไทยทำยาก) หางานมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว กำลังกลุ้มใจไม่มีงานทำ คืนนั้นสมัครงานไปทางอีเมล์ และได้รับคำตอบรับในวันรุ่งขึ้น เวลานี้ข้ามทะเลไปทำงานอยู่เกาะญี่ปุ่นซะแล้ว โธ่...ขาดคนแบกย่ามเลย

ใครที่ยังตกงานอยู่ อยากทดลองอานุภาพของบุญเฮฟวี่เวทดังกล่าว ติดต่อมาได้ แล้วท่านจะได้รู้ว่า นรกมีจริง

เอาละ...มาเข้าเรื่องกันดีฝ่า เมื่อวานแอบป้วนเปี้ยนไปยังบล็อกของเกลอเก่า ไม่ได้ไปเยี่ยมเสียนาน เลยได้รู้ว่า ตัวเองถูกเอาไปเม้าท์โดยไม่รู้ตัว เลยจัดการเม้นท์ไว้เสียยาวเหยียด เพื่อนคนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเอ็นทรี่หลาย ๆ เรื่อง และวันนี้ก็เช่นกัน

ความจริงแล้วเรื่องดูดวง ดูฮวงจุ้ย ดูฤกษ์ดูยาม ดูลายมือ สารพัดดูนี่ พระพุทธเจ้าท่านว่า เป็นเดรัจฉานกถา(สำหรับพระ)

1_displayคำว่า "เดรัจฉาน" ในศาสนาพุทธ ไม่ใช่คำหยาบนะ เป็นชื่อเรียกภูมิภูมิหนึ่ง เป็นคำกลาง ๆ ไม่ใช่คำด่า เหมือนคำว่า "สัตว์นรก" ฟังครั้งแรก เฮ้ย...ด่ากรูป่าวฟะ พอฟังไปบ่อย ๆ แล้วเอามาพินิจพิจารณา ก็สิ่งมีชีวิตที่จุติในนรก มันไม่มีชื่อเรียกอื่นนี่หว่า ก็ต้องเรียกว่า "สัตว์นรก"

คำว่า "ฉิบหาย" ก็เช่นกัน ในบาลีแปลว่า ตายจาก สูญสิ้นไป อะไรเทือกนั้น ฉิบหายจากความดี ก็คือ ตายจากความดี และอีกหลาย ๆ คำ ที่พอมาเป็นภาษาไทยแล้ว โทนของศัพท์ให้ความรู้สึกด้านลบ เช่น คำว่า "ทิฏฐิ" เพราะมักได้ยินเสมอว่า คนนี้ทิฏฐิมาก ในความหมายว่า คนนี้ไม่ฟังใคร เชื่อมั่นในตัวเองสูง ทั้งที่ความจริง ทิฏฐิ เป็นคำกลาง ๆ แปลว่า ความเห็น จะให้บวก หรือลบ ต้องเติม prefix คำนำหน้าเข้าไปเช่น สัมมาทิฏฐิ ก็คือ ความเห็นชอบ, มิจฉาทิฏฐิ ก็ความเห็นผิด เป็นต้น

อ้าว...วันนี้ไม่ใช่รายการภาษาอังกฤษวันละนิด หรือ ธรรมะวันละหน่อย แต่กลายเป็นบาลีวันละจ้อยไปซะแล้ว

ต่อจากบาลี ก็จะเล่าเดรัจฉานกถา โอ๊ว...เจริญจริงเรา ในที่นี้แปลว่า คำพูดอันไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน

พิจารณาแล้ว มีบางแง่ของเดรัจฉานกถา น่าจะมีประโยชน์แก่คนทั้งหลาย เลยหยิบยกขึ้นมาคุยโม้เสียหน่อย (ฟ่อด ๆ)

เดรัจฉานกถาว่าด้วย ฮวงจุ้ย

ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ แล้ว จะว่าเดรัจฉานกถาทั้งที ก็ขอเท้่าความเดิมเสียหน่อยว่า เป็นไงมาไง ถึงมาโผล่เป็นเอ็นทรี่นี้ได้ อยากทราบว่า คุณเกลอเก่าเม้าท์ข้าพเจ้าว่ากระไร ไปดูที่เอ็นทรี่นี้  แต่ถ้าขี้เกียจอ่าน จะโค้ดเฉพาะที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องในวันนี้มาดูกัน ดังนี้

และด้วยนิสัยเบสิคของทั้งสองท่านนี้ มันก็ส่งผลต่อมาว่า แม่เป็นคนเชื่อหมอดูง่ายสุดๆ ตลอดชีวิตของเรา มีหมอไม่รู้กี่ร้อยพันหมอ คนทรงไม่รู้กี่คน คนที่อ้างว่ามีองค์ บลาๆอีกมากมาย แวะเวียนมาที่บ้าน ไม่ได้ขาดสาย ในขณะที่พ่อ ก็จะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้สุดๆ พ่อ เคยบอกว่า เวลาตั้งศาลพระภูมิที่ Site งาน (พ่อหนูเป็นวิศวกร) พ่อไม่เคยไปเชิญใครมาตั้งให้ด้วยซ้ำ กะๆเอาเอง ว่า เอาตรงนี้ละวะ เรียกคนงานมา เอ้า! สวดตาม แล้วพ่อก็สวดไรไปเรื่อยไม่รู้ พ่อบอก คิดเองสดๆ ="= ภาษาไทยนี่ละ ไม่ต้องบาลี คนงานก็สวดตาม ศาลก็ตั้งมาได้ด้วยดี ก็ไม่มีเหตุเภทภัยอะไร ^^; ในขณะที่ ถ้าเป็นแม่ ตอนนี้เราจะย้ายเข้าไปทำงานที่ใหม่ แม่จะหาฤกษ์แล๊วววววว หาฤกษ์อีก อัญเชิญหมอดูฮวงจุ้ย ไปดูตำแหน่งห้องทำงานใหม่เรา เฮงมั๊ย บลาๆขยันหาเรื่องมาให้เราทำโน่นทำนี่ กลัวเราจะดวงไม่ดี - -* พอ เราไม่เชื่อ ไม่ยอมทำพิธีตาม ก็หาว่าเราโดนทำของอีกตังหาก ="= ตอนน้องเราเล่นคัสตอมตุ๊กตาแรกๆ ก็โดนหาว่า โดนกุมารทองเข้าสิง ถึงเล่นตุ๊กตาไม่เลิก -*- พอเราได้รางวัลแกถึงได้เข้าใจว่า อ้อๆ มันเป็นงานอดิเรก

ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปเม้นท์ไว้ดังนี้

viewimgCA8M29K9ที่ว่า คุณพ่อ กะ ๆ เอา แล้วก็ตั้งศาลพระภูมิ และว่ากลอนสด เป็นภาษาไทยนั่น ถูกซะยิ่งกว่า ไปคาร์ฟูร์ อีกครับ พวกเหล่าพราหมณ์กำมะลอ และไม่กำมะลอ เขาก็ทำกันอย่างนี้แล คือใช้ความรู้สึกเอา
และที่ว่าพิธีเป็นภาษาไทยนั่น ก็ถูกยิ่งกว่า ไปบิ๊กซี ครับ อย่างที่เคยเขียนไปไว้ใน ทำบุญอย่างไรให้ได้แฟนหน้าตาดี นั่นแล มันเป็นเรื่องของจิต ๒ ดวง ระหว่างคุณพ่อ กับเจ้าที่ การตั้งศาลพระภูมิ วัตถุประสงค์หลัก เพื่อเป็นสถานที่นัดพบ ประมาณว่า ถ้าอยากไหว้ฉัน ไปที่นี่นะ และเป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมรับนับถือเจ้าของที่คนเก่า ที่ตายไปแล้ว
ภาษาเป็นเพียงแค่สื่อเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่เขาใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย ก็ด้วยต้องการให้เกิดสมาธิ สร้างความมั่นใจ หรือทำให้ดูขลังเป็นหลัก
ยิ่งไปกว่านั้น คุณพ่อเองก็อาจจะมีความสามารถเหมือนเหล่าพราหมณ์ทั้งหลาย เพียงแต่ท่านไม่สนใจ และไม่คิดจะเอามาเป็นเครื่องมือหากิน (กรูเป็นวิศวกร เก่งกว่าพราหมณ์โนเนมตั้งเยอะ หากินได้สารพัดแบบ)
เรื่องอย่างนี้พูดลำบาก เพราะท่านอาจมีความสามารถพิเศษเช่นนี้มาแต่เด็ก และคิดว่า คนอื่นก็คงมีเหมือนกัน เมื่อคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนรู้กันเป็นธรรมดา ท่านจึงไม่ได้ใส่ใจเอามาสนทนา เมื่อไม่สนทนา จึงไม่ทราบว่า ความสามารถที่ตนมี พิเศษกว่าชาวบ้าน ที่สำคัญ ท่านไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เสียด้วย ท่านก็จะว่า โอ้ย...เรื่องธรรมดา ใคร ๆ เขาก็มีกันทั้งนั้น
ข้าพเจ้าเคยเจอพระรูปหนึ่ง บวชมา ๘ พรรษา เฮียแกมีเจโตปริยญาณ-ญาณหยั่งรู้ใจคน แต่เฮียแกกลับบอกว่า เฮ้ย...มันเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็ทำได้
ข้าพเจ้านั่งมองตาปริบ ๆ โห...ญาณตัวนี้ เขาอยากได้กันจะตาย เพราะมีแล้ว ขลังอย่าบอกใคร ไม่ต้องไปนั่งเรียนวิชาใดใด เพื่อจะได้เป็นจอมขมังเวทย์ คนเดินมาหา ทักตูมเดียว อะ...คุณมาหาผมเรื่องนี้ใช่ไหม จบข่าวเลยครับ ไม่ต้องเีสียเวลาโฆษณาช่วงไพรมไทม์ แค่นี้ก็ศรัทธากันหัวปักหัวปำ แต่ฝึกกันจนแทบจะแก่ตาย หัวหงอกไปครึ่งหัว ก็ยังไม่มีวี่แวว เฮียแกบอกเรื่องธรรมดา
นี่แหละน้า...เขาทำมาดี เขาทำมาเยอะ

ส่วนพราหมณ์กำมะลอพวกนั้น รู้นิด เห็นหน่อย ก็คิดว่าตัวเองเก่งเสียเหลือเกิน รีบเอาความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นมาทำมาหากิน พวกเก๋าจริง เขาไม่ต้องมารับดูดวง หลอกลวงเขากินไปวัน ๆ อย่างนี้หรอก

อ่านแล้วอาจจะรู้สึกว่า ช่างงมงายได้ใจ ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าพิจารณาความเก๋า ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง จากความสามารถในการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นเกณฑ์

ศึกษาไปศึกษามาพบว่า ศาสนาพุทธ อธิบายได้กว้างมากจริง ๆ รวมถึงอธิบายถึงศาสตร์ที่ดูงมงายเหล่านี้ได้ด้วย ข้าพเจ้าจึงยกย่องว่า ศาสนาพุทธนี่ เก๋าจริง

มาว่ากันต่อไปครับ ในพารากราฟดังกล่าว มีการพาดพิงถึงหมอดูฮวงจุ้ย เสียด้วย ข้าพเจ้าขอใช้สิทธิพาดพิง ณ บัดนี้

ศาสตร์ของหมอดู ถ้าว่ากันในแง่วิทยาศาสตร์ ความจริงแล้ว มันคือ วิชาสถิติ ครับ รวมถึงวิชาฮวงจุ้ยนี้ด้วย

คนจีนได้รวบรวมข้อมูล และทำการวิจัย ศาสตร์นี้มานับพันปีแล้วครับ กว่าจะตกทอดมาถึงรุ่นของเรา

หมอดูฮวงจุ้ย ในเมืองไทยรู้จักกันในนามของ ซินแส

b-1ที่นำเรื่องราวของการดูฮวงจุ้ย มาสาธยาย มิใช่ให้ไปหลงงมงายนะครับ แต่ประสงค์เพื่อไม่ให้ถูกหลอก เพราะซินแสปลอม เดี๋ยวนี้ระบาดเยอะ และศาสตร์นี้ ก็ใช่ว่า จะไม่มีมูลความจริงเสียเลย

จากการศึกษาศาสตร์เกี่ยวกับภูมิโหราศาสตร์ หรือฮวงจุ้ย จากชมรมภูมิโหราศาสตร์แห่งประเทศไทย ก็พบว่า มันมีหลักการอันน่าเชื่อถือ และพิสูจน์ได้พอควร
การตั้งศาลพระภูมิ ก็อยู่ในการดูฮวงจุ้ยด้วย เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ฮวงจุ้ย เพราะเป็นการเปลี่ยนทิศ ประธานของบ้าน หรืออาคารสิ่งปลูกสร้าง
ความสำคัญสุด ๆ หัวใจของฮวงจุ้ย อยู่ที่ทิศของประธานครับ
ถ้าบ้านโล่ง ๆ ไม่มีอะไรเลย ผนังหลังบ้าน จะเป็นประธานของบ้านครับ
เวลาไปเชิญท่านหมอดูมาดูฮวงจุ้ยของบ้าน ซินแสจะจัดการจับวัดมุมของผนังหลังบ้านว่าทำมุมกี่องศา เป็นอันดับแรก แล้วทำการคำนวณ ตามหลักวิชาการ (ซึ่งตรงนี้ ถ้าเราไม่ถาม ท่านก็จะจัดการของท่านไป ถ้าเราถาม ซินแสที่เก๋าจริง ก็จะบอกว่า ท่านกำลังทำอะไร และอาจอธิบายอะไรเพิ่มเติมมากมาย ส่วนซินแสกำมะลอ ส่วนใหญ่จะหวงวิชา ความรู้หางอึ่ง ก็นึกว่าตนรู้มาก หรือเกรงจะถูกจับไต๋ได้ ก็กลบเกลื่อนเสีย พูดเป็นอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่อง หรือให้คำอธิบายประเภท นิ่งไว้ เดี๋ยวดีเอง บ้างก็ว่า เป็นเคล็ดลับเคล็ดขัดยอก จะมาเฉลยกันได้อย่างไร เดี๋ยวอั๊วะก็หากินไม่ได้ซี ซึ่งความจริงแล้ว ต่อให้สาธยายความจนหมดเปลือก ก็ไม่สามารถรู้ตาม หรือจับใจความวันเดียว ชั่วโมงเดียว แล้วจะเป็นซินแสได้)

อุปกรณ์หากิน ที่สำคัญโคตร ๆ ของซินแส เรียกภาษาจีนว่าอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ แต่ภาษาไทยคือ "เข็มทิศ"
ว่ากันว่า การจับองศาที่แม่นยำที่สุด ใช้เข็มทิศแดด
เพราะในการวัดองศา ประธานของอาคารนั้น ความละเอียดว่ากันระดับ ครึ่งองศา เพี้ยนไปเพียงครึ่งองศา ฮวงจุ้ยเปลี่ยนหมดเลย เข็มทิศของซินแส จึงแพงซาด...ด

เข็มทิศแม่เหล็กที่ว่าเจ๋งนักเจ๋งหนา ดีแสนดี แพงแสนแพงเท่าไหร่ พออยู่ในบ้าน บางทีใกล้โครงสร้างที่เป็นเหล็ก เข็มก็กระดิกแล้วครับ เขาจึงไ่ม่ใช้กัน และการวัดองศาของผนัง ที่เป็นแผ่นกว้างบะเฮิ่ม บางทีก็ต้องใช้ฉากจับ เพื่อความแม่นยำของการวัด เข็มทิศแดด ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ แต่กลับไปมีปัญหาเล็กน้อยเชิงเทคนิค ในเรื่องแดด เพราะฤดูร้อน กับฤดูหนาว พระอาทิตย์โคจรไม่เหมือนกัน แต่เรื่องเข็มทิศนี้ ช่างเฮอะ เรื่องของซินแสเขา เรามีหน้าที่สังเกตุสังกาสักหน่อย ว่าเครื่องมือหากิน ที่เรียกว่า เป็นหัวใจของการดูฮวงจุ้ยของท่าน มีระดับหรือเปล่า ก็จะสามารถบ่งบอก ความเก๋า หรือ ความเป็นโปร ของซินแส ได้เล็กน้อย (เล็กน้อยเท่านั้นนะครับ เพราะเข็มทิศดี ๆ ใครก็ซื้อได้ ถ้าของง่าย ๆ ใช้ตังค์ซื้อได้ และเป็นของสำคัญในอาชีพตัวเอง ยังไม่ลงทุน ใช้เข็มทิศคลองถม อันละสองร้อย ก็พอจะประเมินอะไรได้บ้างละครับ)

ทีนี้ถ้าประธานทำมุมไม่ดี ไม่โฉลกกับเจ้าของบ้าน จะทำอย่างไรที่เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด คงไม่ใช่ทุบผนังหลังบ้านเป็นแน่
เขาจึงใช้ศาลพระภูมิ มา้แก้องศาของทั่นประธานครับ
หลักการของทั่นประธานคือ เมื่อคนเข้ามาในบริเวณบ้าน เห็นอะไรก่อน หรือรู้สึกว่า อะไรสำคัญ สิ่งนั้นเป็นประธานครับ ถ้าเดินเข้ามาไม่มีศาลพระภูมิ ทะลุเข้ามาถึงในบ้าน สายตาก็ต้องจับจ้องไปที่ผนังหลังบ้านก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ถูกไหมครับ

แต่อาจไม่เคยได้ยิน ความคิดแนวนี้ว่า ศาลพระภูมิสามารถแก้ฮวงจุ้ยได้ เพราะส่วนใหญ่ เขาจะตั้ง ตี่จู่เอี้ยะ กันแทนศาลพระภูมิ เพราะคนที่จะเชื่อซินแส ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน

ตี่จู่เอี้ยะ ก็คือ ศาลเจ้า สีแดง ๆ ของคนจีน ที่วางอยู่กับพื้นนั่นแล
หน้าที่ของ ตี่จู่เอี้ยะ ไม่ต่างอะไรจาก ศาลพระภูมิ เลยครับ คือ เป็นศาลของเจ้าที่เหมือนกัน

จบความที่เม้นท์ไว้ในบล็อกของเกลอแล้ว เรามาลุยกันต่อ ถึงการจับผิดซินแส

ต้องขออ้างประวัติ ปรัชญา และแนวคิด ของผู้ก่อตั้งชมรมภูมิโหราศาสตร์เสียนิดหนึ่งก่อน

ความเดิมนั้น อ.เกรียงไกร เป็นคนจีนโพ้นทะเล เสื่อผืน หมอนใบ เช่นเดียวกับ พ่อเรา ก๋งเรา นั่นละครับ

มาอยู่เมืองไทยไม่นาน ก็สามารถตั้งโรงงานน้ำปลาได้ ด้วยคุณสมบัตินักธุรกิจของคนจีนคือ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน วันดีคืนดี ทางเมืองจีนส่งข่าวมาว่า ให้กลับไปสืบทอดอารยธรรม ศาสตร์ "ฮวงจุ้ย" นี้มาหน่อย อาม่าที่เป็นกูรู หรือ โคตรเซียนซินแส ใกล้มรณัง และไม่มีผู้สืบทอดศาสตร์นี้

อ.เกรียงไกร ไม่ได้เชื่อในศาสตร์ด้านนี้เลยแม้น้อยนิด ตอนนั้น กิจการทำน้ำปลา ก็ร่อแร่ ดูไม่ค่อยดี ก็จำใจ ต้องบินกลับไปอย่างเสียไม่ได้ ตามใบสั่ง

ครั้นอยู่เรียน ฝึกปรือจนช่ำชอง เรียนไปซังกะตาย อย่างนั้นเองแหละ ตามคำขอร้องของอาม่า จบแล้วก็หวนกลับสู่เมืองไทย จัดการทดลองความรู้สรรพวิชาที่เพิ่งเรียนมา กับกิจการของตัวเอง "มันจะได้ผลจริงเรอะ"

ปรากฏว่า ดูม ดูม ครับ

กิจการโรงงานน้ำปลา พุ่งทะลุปลายปรอท รวยเละเทะ

คนเรา(ที่เป็นคนดี)พอรวยแล้ว ก็เริ่มนึกถึงคนอื่นว่า ศาสตร์นี้ น่าจะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก เพราะมีผลจริง จึงริเริ่มตั้งชมรมภูมิโหราศาสตร์แห่งประเทศไทยขึ้น เพื่อฝึกอบรมศาสตร์ดังกล่าวนี้ ให้เป็นไปโดยสุจริต และเพื่อช่วยเหลือผู้คนอย่างแท้จริง

ชมรมนี้ เป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรครับ เปิดการเรียน การสอน ผลิตซินแสมือใหม่ ออกไปป้อนตลาด ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น

ข้าพเจ้าเอง ก็มีโอกาสได้ไปเรียนกับเขาเหมือนกัน ด้วยคำเชื้อเชิญของเืพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งรุ่นน้องของเขา ที่ลงทะเบียนเรียนด้วยกัน ไม่สามารถเข้าเรียนได้ เขาจึงเอาข้าพเจ้าไป "เสียบ" แทน เพื่อไม่ให้เสียตังค์ไปโดยเปล่าประโยชน์

พอเรียนไปก็เส้นโลหิตสมองปูดครับ ทำไมมันยากจัง

คำนวณไม่ยากเท่าไหร่ครับ แต่ไปยากตรงอักษรภาษาจีน

เพื่อนที่ชวนไปด้วยกัน กลับแนะว่า ที่ให้มาเรียนนี่ ไม่ใช่ให้เรียนเพื่อไปเป็น ซินแส แต่เรียนเพื่อให้ไม่ถูกหลอก

ศาสตร์ทั้งหลายนี่ ไปหาซินแสเก่ง ๆ จัดการให้ดีกว่า เขาอยู่ในอาชีพของเขา ประสบการณ์ย่อมมากกว่าเรา ความผิดพลาด และความอ่อนต่อโลก ก็น้อยกว่าเรา จะไปเรียนรู้เอง เพื่อดูเอง ให้เมื่อยตุ้มทำไม

ซึ่งก็ได้หลักการสังเกตุ มาโม้ให้ท่านทั้งหลายอ่านอยู่นี่แล

b-2หลักการสังเกตุ ซินแส อีกประการหนึ่ง ที่ดูง่าย และสำคัญมาก คือ ซินแส ท่านจะไม่มีการรีเค้วทส์ หรือ เรียกร้องเงิน จำนวนมาก ๆ ครับ ประเภทดูครั้งละ ๔ พัน ๕ พัน หมายหัวไว้ก่อนเลยครับว่า ของเก๊

เพราะศาสตร์นี้มีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้คนครับ ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้ซินแสรวย

คนที่เขาไม่มีปัญหา เขาจะมาควานหาตัวซินแส ไปดูฮวงจุ้ยหรือครับ

แน่นอน คนที่มาหาซินแสนี่ เขาต้องมีปัญหาอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าซินแสไปโขกเอาตังค์กับเขามาก ๆ มันก็คือ การรีดเลือดกับปู ทำนาบนหลังคน ไปซ้ำเติมคนที่เขาเดือดร้อนอยู่แล้ว เช่นนี้ คนคนนั้นจะมีคุณธรรมพอ ให้เราเรียกท่านอย่างยกย่องว่า ซินแส หรือครับ

ประเด็นนี้แหละ ที่ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึง

คนที่พิจารณาด้วยปัญญา ย่อมเป็นผู้ถูกหลอกได้ยาก

ที่ชมรมฯ นี่เขาประกาศเป็นกฎเลยครับว่า ซินแส ที่ได้รับการติดต่อมาผ่านทางชมรมฯ ให้เรียกร้องได้มากที่สุด คือ ส้ม ๔ ผล และค่ายานพาหนะ หรือให้ผู้ที่ติดต่อมารับซินแสไปเอง ที่เหลือ แล้วแต่ผู้ที่มาติดต่อว่า เขาพอใจให้อะไร เท่าไหร่ เรียกมากกว่านี้ ถ้าถูกร้องเรียน จะต้องถูกขับออกจากชมรมฯ ครับ

อีกประการหนึ่ง ถ้าว่ากันจริง ๆ ถึงศาสตร์นี้นะครับ ต้องไปหาซินแสหนุ่ม ๆ ครับ ถ้าเป็นซินแสแก่ ๆ ก็ต้องตรวจดูประวัติให้ดีว่า ทำอาชีพนี้มาตลอด ทำมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ไม่ใช่เพิ่งมาทำไม่กี่ปี ไปเข้าคอร์สเรียนมางู ๆ ปลา ๆ แล้วก็เอาความหน้าแก่ เอาลีลาทำทีเป็นเก๋าเกม เป็นจุดขาย

ศาสตร์นี้บอกได้เลยครับว่า ถ้าหัวไม่ดี ความจำไม่ดี คำนวณไม่ได้ หาดีทำยายากครับ และนอกจากการคำนวณอันซับซ้อน อักขระจีนยุ่บยับ พอถึงตอนแก้ฮวงจุ้ย ยังขึ้นกับประสบการณ์ของซินแสอีกครับ อาชีพนี้ก็เหมือนหมอทั่วไปละครับ ไม่ว่าจะเป็นหมอผ่าตัด หรือ หมอความ ถ้าเจอเคสเยอะ ๆ คนไข้เยอะ ๆ ฝีมือก็จะเก่งกาจขึ้นตามชั่วโมงบิน

พวกเก๋าเกมจะมีจุดสังเกตุอีกอย่าง เมื่อถึงเวลาแก้ฮวงจุ้ย คือ เขาจะแก้อะไรไม่มาก จนดูเหมือนไม่ได้แก้ เขาว่า การที่แก้ฮวงจุ้ยแล้วดูเหมือนไม่ได้แก้ เป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์ ครับ พวกมือใหม่ ๆ ตรวจองศาเสร็จ เฮ้ย...องศาไม่ดี ทุบกำแพง ทุบพื้น ย้ายห้องน้ำ อย่างนั้นมันซินแสอนุบาลครับ อาจจะไม่ได้หลอกลวง และรู้จริง แต่ประสบการณ์การแก้ ยังอยู่ขั้นทารกครับ

b-4พวกที่เอาศาสตร์นี้มาทำเป็นธุรกิจ มีสาขาขายของบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ที่เวิร์ดเทรด และที่อื่น ๆ ออกหนังสือ เฟง ชี่ อะไรสักอย่าง มีวางขายเกลื่อนกลาดนั่น เปิดหนังสือมา มีแต่โฆษณาขายของ ไม่ต่างอะไรจาก เซเว่นแค็ทตาล็อก คุณจะได้พบกับความงมงายล้วน ๆ ครับ แทบไม่หลงเหลือศาสตร์ของแท้ดั้งเดิมอยู่เลย

ศาสตร์ที่เอาความงมงาย มาทำการค้าเหล่านี้ ยังไปผนวกเข้ากับศาสนาพุทธนิกายหนึ่ง ซึ่งหาความเป็นพุทธได้น้อยเต็มที หลอกขายของศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยให้ทำมาค้าขึ้น รวยล้นฟ้า อีกครับ

ของแต่ละชิ้นนั้น แพงหูดับตับไหม้เลยครับ เพราะมาจากประเทศที่เขาทำมาหากินอะไรไม่ได้ นอกจากเป็นนักบวช และทำของหลอกลวงพวกนี้ขาย (ของหลอกลวงพวกนี้ ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ก็มี แต่ราคาก็โขกเสียจนไม่ควรค่าแก่การซื้อหามาครอบครอง เพราะแทนที่จะรวย กลับกลายเป็นจนเพราะเอาเงินไปซื้อของพวกนี้ละครับ)

ซึ่งกลุ่มคนที่เข้าไปสนใจเรื่องฮวงจุ้ย เกินครึ่ง ก็เป็นคนเชื่ออะไรง่าย หรือมีแนวโน้มจะงมงายอยู่แล้ว เลยตกเป็นเหยื่อ กลุ่มธุรกิจข้ามชาติจากฮ่องกงนี้ อย่างง่ายดาย

แต่ไม่ว่า ศาสตร์นี้ จะทำให้คนรวยฉิบหาย(เพราะเจอของจริง) หรือจนแทบตาย(เพราะถูกหลอก) ศาสตร์ทั้งหลายนี้ ก็ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น(เพราะความสุข มันขึ้นกับ "ความพอ" ในใจของเราเอง ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก) ไม่ได้เข้าใจธรรมะมากขึ้น หรือละกิเลสใด ๆ ได้

และโดยที่สุดแล้ว ศาสตร์นี้ก็ไม่ช่วยให้พ้นจาก "ความตาย"

เข้าใจหรือยังครับว่า ทำไม พระพุทธองค์ ถึงเรียกว่า "เดรัจฉานกถา"

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons