เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากถูกเชิญไปเม้นท์ เอ็นทรี่หนึ่งชื่อว่า ผมมีองค์รู้หมด.... แล้วไงเหรอคะ? เม้นท์ไปเม้นท์มา ยาวเป็นกิโล แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ เลยเอามาทำเป็นเอ็นทรี่ใหม่ ครั้นมาเป็นเอ็นทรี่ใหม่แล้ว ตอนเดียวก็ยังไม่จบอีก ต้องมีตอนที่ ๒ ดังนี้แล
ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๑
ตอนที่แล้วมาถึง ภูมิเทวดา ถึงตอนนี้ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ปราชญ์ของพุทธศาสนา คงเลิกอ่านไปแล้ว เพราะงมงายเหลือเกิน ศาสนาพุทธต้องเป็นปรัชญาล้วน ๆ ซี อะ...เชิญตามสบายครับ เท่าที่เคยพบมา ฆราวาสที่เป็นแฟนปราชญ์พันธุ์แท้ ไม่เห็นเคยมีสักคนเดียว ที่ออกบวชเพราะซึ้งใจในความเป็นปรัชญาของศาสนาพุทธ พวกเขาเหล่านั้น เอาแต่ฟุ้งว่า พุทธศาสนาดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเก่งกว่า ไอน์สไตน์เสียอีก แล้วก็สาธยายธรรมะที่ได้เรียนรู้มา อ่านมา ฟังมา เข้าใจมา แต่พอถามว่า แล้วคุณทำอะไรมั่ง เพื่อให้หลุดออกจากวัฏสงสาร คำตอบที่ได้คือ ผม "อ่าน" หนังสือธรรมะครับ ตายละหว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการอ่านไปเสียแล้วครับ ไม่เคยได้ยินว่า ใครอ่านธรรมะมาก ๆ แล้วหลุดพ้นนะ ได้ยินแต่ว่า "ปฏิบัติ" แล้วหลุดพ้น อ้าวท่าน ไหงพูดแมว ๆ อย่างนั้นเล่า นอกจาก "อ่าน" ผมก็ยัง "สนทนาธรรม" ด้วยนะครับ ผมชอบคุยฟุ้งไปว่า พระพุทธองค์ดีอย่างไร ฉลาดอย่างไร ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั่น ผมพูดได้เป็นวัน ๆ เลยครับ แจงได้ละเอียดยิบตั้งแต่ ทาน ศีล ๕ ไปยัน นิพพาน เอ...แล้วท่านมัวแต่คุยฟุ้ง แล้วท่านเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติหนอ (ข้าพเจ้าเองก็ยังฟุ้งอยู่ ที่มานั่งเขียนบล็อกอยู่เนี่ยะ) พระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นเคยสรรเสริญการคุยฟุ้ง หรือการเข้าสมาคมเลย มีแต่ท่านสรรเสริญความสงัด สรรเสริญความวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก
ดังนี้แล้ว จึงสรุปว่า การแปลงศาสนาพุทธเป็นปรัชญา ทำให้แรงขับเคลื่อน ที่จะหนีออกจากวัฏสงสาร ไม่เพียงพอครับ กลายเป็นว่า พอใจอยู่กับแค่การสนทนาธรรม ปรัชญายาก ๆ ธรรมะยาก ๆ คุยไปคุยมา ตัวอีโก้ หรือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ ความถือตัวถือตน มันโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ คิดว่า เรานี้เก่งจริงหนอ เข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้ลึกซึ้ง จนคงหาคนที่จะเข้าใจเหมือนเรายากยิ่งนัก โน่นเลยครับ แทนที่จะใกล้พระนิพพาน กลายเป็นใกล้....ที่อื่นแทน (ฉะนั้น ถ้ารักจะอ่านปรัชญา ระวังตรงนี้เยอะ ๆ นะครับ อ่านไว้ใช่ไม่ดี แต่อ่านแล้ว อย่าไปคิดว่า ตนเก่งกว่าคนอื่น เท่านั้นเอง)
อ้าว...นอกเรื่องไปไกล มาว่าเรื่องภูมิเทวดากันต่อ ทำอะไรหนอ ถึงได้มาเกิดเป็นภูมิเทวดา พระไตรปิฎกไม่ได้ระบุไว้เสียด้วยซี รู้มาว่า ทำบุญน้อย ๆ กับเนื้อนาบุญที่ดี หรือทำบุญมาก แต่ไปเจอเนื้อนาบุญไม่ดี เลยมาเกิดเป็นภูมิเทวดา แต่อย่าลืมนะครับ ไม่ว่าท่านจะทำบุญต่ำเตี้ยติดดินแค่ไหน ท่านต้องมีคุณธรรม ๒ ประการ คือ หิริ-ความละอายต่อบาป และ โอตตัปปะ-ความเกรงกลัวต่อผลของบาป ไม่งั้นมาเป็นเทวดาไม่ได้ บางทีคนสมัยก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ก็มีใจสูงครับ แต่ไม่มีเนื้อนาบุญดี ๆ ให้ทำบุญ หว่านบุญไป บุญก็ไม่งอกเงยสักเท่าไหร่ แคระแกร็นเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนพวกเกิดทีหลังโชคดีได้เจอพระพุทธศาสนา ทำบุญนิดเดียว อานิสงส์มหาศาลเลย ดังมีหลักฐานในพระไตรปิฎกดังนี้ (ถ้าขี้เกียจอ่าน ก็ข้ามไปเลยครับ)
"..ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีท่านพระอินทร์มาคอยต้อนรับอยู่ก่อน ต่อมามีเทวดาอีก ๒ องค์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นมาก็มาก่อนเทวดาอื่น คือ ท่านอังกุรเทพบุตรมานั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า กับ ท่านอินทกเทพบุตร มานั่งข้างพระบาทข้างขวา เมื่อมีเทวดาองค์อื่นมาท่านอังกุรเทพบุตรก็ถอยจากจากที่นั่งเดิม แต่ท่านอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิม ต่อมาเทวดามาหมดชั้นดาวดึงส์ปรากฏว่าท่าน อินทกเทพบุตรนั่งหัวแถวตามเดิม ส่วนท่านอังกุรเทพบุตรถอยไปนั่งอยู่ท้ายสุดเป็นเทวดาหางแถว
ผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนากับในพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าทรงต้องการประกาศผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนา กับในพระพุทธศาสนาให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่คอยพระองค์อยู่หลายโกฏิในเมืองพาราณสี ได้ยินได้ฟังทั้งหมด จึงทรงบันดาลเสียงของพระองค์ และเสียงของเทวดาที่สนทนากันให้ดังถึงเมืองมนุษย์ สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อังกุระ เมื่อตถาคตมาถึงตอนแรก เธอนั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของตถาคต ครั้นเทวดาองค์อื่นมาหมดดาวดึงส์ เธอเป็นเทวดาท้ายแถว นั่งไกลที่สุด อยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้ ท่านอังกุรเทพบุตรจึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐี เวลานั้นคนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี อีก ๒๐,๐๐๐ ปี ก่อนที่จะตาย ได้ตั้งโรงทาน ๘๐ แห่ง ๑ โยชน์ตั้ง ๑ แห่ง ให้ทานคนยากจน คนกำพร้า คนเดินทางทั้งกลางวัน และกลางคืน สิ้นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่อาศัยว่าเวลานั้น ไม่มีพระพุทธศาสนา คนทั้งหมดไม่มีศีล ไม่มีธรรม จึงได้อานิสงส์น้อย ตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดา ที่มีบุญน้อยที่สุด มีวิมานทองคำเกลี้ยงเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร" แสดงให้เห็นว่า การบำเพ็ญกุศล แจกแก่คนที่ไร้ศีลไร้ธรรม ก็ยังเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้
ส่วนท่านอินทกเทพบุตร เมื่อเข้าไปถึงใหม่ๆ ก็นั่งข้างพระบาทข้างขวาของพระพุทธเจ้า เมื่อเทวดามาทั้งหมดชั้นดาวดึงส์ ท่านก็ไม่ถอยให้ใครนั่งอยู่หัวแถวตามเดิม ถ้ายกเว้นท่านพระอินทร์ก็ต้องถือว่า เป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ศรีใหญ่ในดาวดึงส์ ไม่มีใครใหญ่กว่า และไม่มีใครมีบุญมากกว่า พระพุทธเจ้าใคร่จะประกาศอานิสงส์แห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนาให้ทราบ จึงถามท่านอินทกเทพบุตรว่า อินทกะ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอก็นั่งตรงนี้ แต่ทว่าเมื่อเทวดามาหมดดาวดึงส์ เธอก็นั่งตรงนี้ตามเดิม เธอเป็นเทวดาที่มีมเหสักขา (คือมีฤทธิ์มาก มีบุญมาก) มากกว่าเทวดาองค์อื่น นอกจากท่านพระอินทร์แล้ว ไม่มีใครยิ่งไปกว่าเธอ อยากจะทราบว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงมาเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากอย่างนี้ ท่านอินทกเทพบุตรได้กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นลูกคนจน ต่อมาบิดาตายก็ต้องเลี้ยงแม่ (คำว่าเลี้ยงแม่ เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ สนองความดีของแม่ที่ท่านเลี้ยงมา อันนี้มีอานิสงส์สำคัญมาก สูงมาก) ต่อมาพระสงฆ์ในสำนักขององค์สมเด็จพระบรมครู เดินเฉียดบ้านไปก่อนเพล จึงได้นิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมดประมาณ ๔ รูปมาถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านจนมาก มีโอกาสบำเพ็ญกุศลถวายสังฆทานคราวนี้คราวเดียว กับเลี้ยงแม่ให้มีความสุขตามฐานะเพียงเท่านี้ ข้าพระพุทธเจ้าตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๗ ประการ สวยสดงดงามมากเป็นที่อยู่ มีความสุขมาก และมีนางฟ้า ๑ แสนเป็นบริวาร"
การบำเพ็ญกุศล ในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมมีอานิสงส์สูงกว่า การบำเพ็ญกุศลแก่คนนอกพระพุทธศาสนามาก แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเทวดามีจริง นางฟ้ามีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง พระนิพพานมีจริง นรกมีจริง ตายแล้วมีสภาพไม่สูญจริง..."
คัดจากเว็บ http://www.thaisquare.com
จากเรื่องดังกล่าวจะเห็นได้ว่า บุญนอกเขตพระพุทธศาสนา ทำให้อลังการแค่ไหน ก็ได้อานิสงส์นิดเดียว นี่ไม่ได้โปรโมทศาสนาพุทธนะ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้วอายุของเทวดานี่ ก็ยาวนานกว่ามนุษย์มาก เทวดาองค์หนึ่งอาจมีอายุเกิน ๒,๕๐๐ ปี ก็แสดงว่า มาเป็นภูมิเทวดา ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติเสียอีก ก็เลยมาเป็นเทวดามีบุญน้อย เป็นเทวดาแล้วนี่ จะรีบไปจุติที่อื่นไม่ได้ ต้องรอจนกว่า จะหมดกำลังของผลบุญ จึงจะจุติไปที่อื่นได้ เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมบางที่ เจ้าที่แรง บางที่ ก็เฉย ๆ ก็เป็นเพราะอย่างนี้แล
และยังมีเทวดามิจฉาทิฏฐิอีกนะ ด้วยความที่อายุของเธอยาวนานเหลือเกิน เทวดาบางพวก ฝักใฝ่ในธรรม ก็บรรลุเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรือบรรลุอรหันต์ ไปก็มี บางพวกมีความประมาท นึกว่า จะได้เป็นเทวดาเช่นนี้ตลอดไป ก็ไปแกล้งมนุษย์บ้างก็มี ทำบาป ทำอกุศล บ้างก็มี พวกนี้แม้ทำความชั่ว ถ้าไม่ถึงลิมิต ก็ยังคงเป็นเทวดาอยู่ แต่ถ้าเกินลิมิต ชีวิตเกินร้อย แบบเอ็ม-ร้อยห้าสิบไป ก็จุติเท่านั้นเอง
ไหน ๆ ก็ว่ามาถึงเทวดามิจฉาทิฏฐิแล้ว มาเข้าเรื่องตอบเอ็นทรี่ ซะเลย ความจริงยังไม่ถึงดีนะเนี่ยะ "อสูร" นั้นเคยเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ครับ แต่ขี้เหล้า เลยถูกอัปเปหิ ไล่ลงมาจากสวรรค์ ทีนี้ตาลุงมีองค์นั่น มีทิพยเนตรแจ่มใสพอควร เพราะทายเรื่องของใคร ๆ ได้แม่นยำ ไม่น่าจะเป็นอสุรกาย น่าจะเป็นเทวดา แต่ลุงแกเอาเหล้ากระแทกปากโครม ๆ แล้วบอกว่า พ่อปู่ชอบ เลยเดา ๆ เอาว่า น่าจะเป็นเทวดามิจฉาทิฏฐิ หรือ อสูร นี่ละครับ เป็นคนคุมร่าง คนพวกนี้ บางทีเนื่องกันมาครับ บางชาติอีตาลุงนี่ก็ไปเกิดเป็นเทวดามั่ง ตาอสูรนั่นลงมาเกิดเป็นคนมั่ง สลับกันเป็นเจ้า สลับกันเป็นคนทรง ครับ เรื่องพวกนี้ รู้ไว้ใช่ว่าครับ ว่ามันมี ใช่ไม่มี แต่อย่าไปใส่ใจมากครับ ไม่ใช่ทางสู่มรรค ผล นิพพาน ครับ
จบเรื่องภูมิเทวดาละ ไปต่อกันที่เทวดาชั้นสูงกว่าพื้นดินขึ้นไปอีกหน่อย เขาเรียกว่า "รุกขเทวดา" อยากทราบว่า ทำไมเสาบ้านถึงตกน้ำมันได้ ติดตามตอนหน้าครับ
จบตอน ๒