วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๗และ พ.ศ. ๒๕๔๘

_11_679

  clip_image002

๑. กิเลสกามและวัตถุกาม ได้แก่อะไร ? อย่างไหนจัดเป็นมารและเป็นบ่วงแห่งมาร ?
เพราะเหตุไร ?

๑. กิเลสกาม ได้แก่ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือตัณหา
ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียด เป็นต้น จัดเป็นมาร
เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ

วัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่ง
มาร เพราะเป็นอารมณ์ผูกใจให้ติดแห่งมาร ฯ

๒. พระบรมศาสดาทรงแสดงอานิสงส์แห่งวิปัสสนาไว้ในอนัตตลักขณสูตรอย่างไร ?

๒. ทรงแสดงไว้ว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมฟอกจิต
ให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิต
พ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้นแล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์คือกิจพระศาสนาได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเช่นนี้ไม่มีอีก ฯ

๓. ไตรลักษณ์ ที่ว่าเห็นได้ยากนั้น เพราะอะไรปิดบังไว้ ? ผู้พิจารณาเห็นอนิจจตา
ความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไร ?

๓. อนิจจตา มีสันตติ ความสืบต่อแห่งนามรูป ปิดบังไว้ ทุกขตา มีอิริยาบถ ความผลัด
เปลี่ยนอิริยาบถ ปิดบังไว้ อนัตตตา มีฆนสัญญา ความสำคัญเห็นเป็นก้อน ปิดบังไว้ ฯ

ย่อมได้รับอานิสงส์ คือเพิกถอนสันตติได้ ทำให้เห็นความเกิดขึ้นและความดับไป
ความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายด้วยปัญญาอันชอบ ย่อมเบื่อหน่ายในสังขารอันเป็น
ทุกข์ ดำเนินไปในหนทางแห่งความบริสุทธิ์ ฯ

๔. ความเกิด ความแก่ และความตาย จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ? โดยรวบยอด ทุกข์ที่
แสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้แก่ทุกข์เช่นไร ?

๔. จัดเข้าในสภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำสังขาร ฯ

ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕ ฯ

๕. จริตของคนในโลกนี้มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คนสูงอายุมีความกังวลนอนไม่หลับ
เพราะคิดห่วงลูกหลานเป็นต้น จัดเป็นคนมีจริตอะไร ? กัมมัฏฐานข้อใดเป็นที่สบาย
แก่คนจริตนั้น ?

๕. มี ๖ ประเภท ฯ คือ ราคะจริต ๑ โทสะจริต ๑ โมหะจริต ๑ วิตกจริต ๑
สัทธาจริต ๑ พุทธิจริต ๑ ฯ มีวิตกจริต ฯ ข้ออานาปานสติ หรือ กสิณ ฯ

๖. ในอนุสสติ ๑๐ ข้อว่า มรณัสสติ ไม่ใช้ว่า มรณานุสสติ เพราะเหตุไร ?

๖. ที่ไม่ใช้อย่างนั้น ก็เพราะท่านสอนให้ผู้พิจารณาเห็นปรากฏชัดเป็นปัจจุบันธรรม จะได้
เกิดความไม่ประมาท เป็นผู้แกล้วกล้าไม่ย่อท้อต่อความตาย หากจะไปเหนี่ยวรั้งเอา
ความตายที่ล่วงมาแล้วยกขึ้นพิจารณา ในบางขณะอาจเกิดความกลัวตายขึ้นก็ได้ ฯ

๗. พระพุทธคุณบทว่า สุคโต นั้น เป็นพระคุณส่วนอัตตสมบัติ และส่วนปรหิตปฏิบัติ
อย่างไร ? จงอธิบาย

๗. พระคุณส่วนอัตตสมบัติ คือ เสด็จออกผนวชไม่ย่อท้อ เสด็จดำเนินไปตาม
อัฏฐังคิกมรรคเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มิได้ทรงกลับคืนมาสู่อำนาจกิเลสที่พระองค์
ทรงละได้แล้ว จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เสด็จไปในที่ใด ก็ทรงไม่มี
อันตรายใดจักเกิดแก่พระองค์ได้ เสด็จไปกลับได้โดยสวัสดี ฯ

พระคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ คือ เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่างๆ เทศนาโปรดมหาชน
ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้ได้รับประโยชน์ทั้งปัจจุบัน อนาคต และประโยชน์อย่างยิ่ง
คือพระนิพพาน อนึ่ง ทรงมีพระวาจาดี คือทรงกล่าวแต่คำที่จริงที่แท้ ประกอบด้วย
ประโยชน์แก่บุคคลที่ควรกล่าว เสด็จไประงับอันตรายด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูล
แก่ปวงชน แม้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ทรงฝากรอยจารึก คือพระคุณความดี
ในโลก ดุจฝนตกลงยังพืชให้เผล็ดผล เป็นประโยชน์แก่คนและสัตว์ผู้พึ่งแผ่นดิน ฯ

๘. กิจ เหตุ และผลของวิปัสสนา ได้แก่อะไร ?

๘. กิจ ได้แก่ การกำจัดความมืดคือโมหะ อันปิดบังปัญญาไว้ ไม่ให้เห็นตามความเป็นจริง
เหตุ ได้แก่ การที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน

ผล ได้แก่ การเห็นสังขารตามความเป็นจริง ฯ

๙. วิปัลลาสข้อว่า “ วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ” จะถอนได้ด้วยสัญญาอะไร
ในสัญญา ๑๐ ? ใจความว่าอย่างไร ?

๙. จะถอนได้ด้วยอาทีนวสัญญา ฯ

ใจความว่า ภิกษุย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า กายอันนี้แล มีทุกข์มาก มีโทษมาก
เหล่าอาพาธต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นในกายนี้ ฯ

๑๐. ในมหาสติปัฏฐานสูตร สติปัฏฐาน ๔ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่ากระไร ? สติปัฏฐาน ๔ นั้น
มีอานิสงส์อย่างไรบ้าง ?

๑๐. เอกายนมรรค ฯ

มีอานิสงส์ ๕ ประการ คือ

๑. เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย

๒. เพื่อความข้ามพ้นโสกะและปริเทวะ

๓. เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

๔. เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้

๕. เพื่อการทำให้แจ้งพระนิพพาน ฯ

_72_173

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน .. ๒๕๔๘

             

 

๑. การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร ในธรรมวิจารณ์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้
อย่างไร ? และถ้าจะจัดเข้าในไตรสิกขา จัดได้อย่างไร ?

๑. แนะนำวิธีปฏิบัติไว้ ๓ ประการ คือ

๑. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น
ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา

๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะและกายคตาสติ
หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ

๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็น
เป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ

จัดเข้าในไตรสิกขาได้ดังนี้

ประการที่ ๑ จัดเข้าในสีลสิกขา

ประการที่ ๒ จัดเข้าในจิตตสิกขา

ประการที่ ๓ จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ

๒. อนิจจตาแห่งสังขารทั้งหลาย จะกำหนดรู้ได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?

๒. ๑. กำหนดรู้ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย ได้ในบาลีว่า

อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน

อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้น
เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ

๒. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้นด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับ
ได้ในบาลีว่า

อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย

วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ

กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป

๓. กำหนดรู้ในทางสุขุม ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ๆ คือ ไม่คงที่
อยู่นานเพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ได้ในคาถาวิสุทธิมรรค ว่า

ชีวิตํ อตฺตภาโว จ สุขทุกฺขา จ เกวลา

เอกจิตฺตสมา ยุตฺตา ลหุโส วตฺตเต ขโณ

ชีวิต อัตภาพ และสุขทุกข์ ทั้งมวล ประกอบกัน เป็นธรรมเสมอ
ด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน ฯ

๓. สภาวทุกข์และปกิณณกทุกข์ คือทุกข์เช่นไร ?

๓. สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำสังขาร ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ ฯ

ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์จรได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ฯ

๔. พระพุทธพจน์ว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จะไม่เป็น
การปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ ? จงอธิบาย

๔. ไม่เป็นการปฏิเสธเสียทีเดียว เช่นทรงแสดงถึงสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่างไว้เป็นต้น
แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่ ยังไม่ใช่สุข ไม่อาจจะนับว่าเป็นสุข
ที่แท้จริงได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่เจือไปด้วย
ความทุกข์ ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มี ฯ

๕. สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ? ปัจจุบันภพนั้น เกี่ยวเนื่องกับสัมปรายภพ
อย่างไร ?

๕. สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็น ๒ คือ ถ้าทำดี คือ ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ
ก็ไปสู่สุคติ ถ้าทำไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่ทุคติ ฯ จิตดีชั่ว
ในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้า
ขึ้นอยู่กับภูมิและภพชั้นของจิตในปัจจุบันนี้แหละ ดังมีหลักธรรมในอุเทศบาลี
แสดงว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง และว่าเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง
แล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ

๖. บุคคลผู้ถูกนิวรณ์ ๕ ครอบงำ พึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไรบ้าง ?

๖. ถูกกามฉันทะครอบงำ พึงแก้ด้วยอสุภกัมมัฏฐานหรือกายคตาสติ

ถูกพยาบาทครอบงำ พึงแก้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร

ถูกถีนมิทธะครอบงำ พึงแก้ด้วยอนุสสติกัมมัฏฐาน

ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ พึงแก้ด้วยกสิณหรือมรณัสสติ

ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ พึงแก้ด้วยธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ

๗. ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร ท่านสอนให้แผ่ไปในตนก่อนนั้น มีความมุ่งหมายอย่างไร ?

๗. มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้ทำตนเป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข เกลียดชัง
ทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัย
ต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุข
ความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ฯ

๘. พระพุทธคุณบทว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เมื่อกล่าวถึงพุทธจรรยาในส่วน
ที่ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง ?

๘. ประมวลลงได้อย่างนี้

๑. ทรงพระกรุณาหวังจะให้ผู้ที่ทรงสั่งสอน ได้ความรู้อันจะให้สำเร็จประโยชน์

๒. ทรงมุ่งความจริงกับประโยชน์เป็นที่ตั้ง

๓. ทรงทำกับตรัสเป็นอย่างเดียวกัน

๔. ทรงฉลาดในวิธีสั่งสอน ฯ

๙. ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ทรงแสดงวิธีพิจารณาสติสัมโพชฌงค์ไว้
ด้วยอาการอย่างไร ?

๙. ด้วยอาการอย่างนี้ คือ เมื่อสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่ามีอยู่
ณ ภายในจิตของเรา เมื่อไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ของเรา เมื่อยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น
เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญบริบูรณ์ขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น ฯ

๑๐. ข้อว่า อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร ทรงให้ยกธรรมอะไรขึ้นพิจารณาว่าเป็น
อนัตตา ?

๑๐. ทรงให้ยกอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอก
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ฯ

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons