มีคนคนหนึ่ง เขียนรำพึงรำพันเข้ามาว่า เขาพอจะมีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ หรือ ญาณหยั่งรู้อดีตชาติอย่างอ่อน ๆ แล้วก็ไปติดในสัญญาเก่า ๆ หรือความจำในชาติก่อน ๆ ว่าเขาเกิดเป็นไอ้นั่น ไอ้นี่ คนนั้น คนนี้ มามีปฏิสัมพันธ์กับเขา ข้าพเจ้าจึงตอบคำถามไปอย่างดุเดือด ป่านนี้เขาคงชาก แหง็ก ๆ ๆ ๆ ดิ้นพราด ๆ ตายไปแล้ว (โหดมะ) ไหน ๆ ก็เทศนาไปกัณฑ์ใหญ่แล้ว เห็นว่า เกิดใครสุดแสนโชคดี ได้ญาณตัวนี้มาบ้าง มาพบเอ็นทรี่นี้เข้า ก็อาจจะได้ประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย ดังนี้
เท่าที่ทราบมา มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่พาให้เรามาเกิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ
วน ๆ มันอยู่อย่างนั้น
ท่านว่า มันมีอยู่ ๓ วน
วนที่หนึ่ง คือ วนกิเลส เกิดมาทีไร ก็วนโลภ วนโกรธ วนหลง อยู่อย่างนั้น
วนที่สอง คือ วนกรรม เกิดมาทีไร ก็ทำกรรมชั่ว มากกว่า กรรมดี เลยต้องกลับมาชดใช้ ไม่รู้จบ
วนที่สาม คือ วนวิบาก วนเวียนรับกรรมผลของกรรมที่ทำนั้น
ท่านว่า สามวนนี้ ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้ แล้วมันจะหยุดหมุนเองได้
ท่านว่า ต้องหยุดมัน
และเราต้องเป็นคนหยุดมันเอง
แล้วจะหยุดอย่างไรเล่า
ก็ง่าย ๆ ลืมมันซะ
จะเกิดเป็นพระราชา หรือ กระยาจก ก็ลืมมันซะ
ถ้าลืมไม่ได้ ก็อย่าไปใส่ใจมัน แค่นั้นเอง
มันคืออดีตที่ผ่านมาแสนนานแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านทรงแนะว่า แม้อดีตเมื่อวินาทีที่แล้ว ก็ไม่ต้องคิดถึงมัน ตั้งสติตรงอยู่เฉพาะปัจจุบัน
คนเราเป็นทุกข์กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เสียเกือบร้อยเปอร์เซนต์
ถ้าอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจ จะไม่ทุกข์เลย
กรรมก็ไม่ต้องใช้ ถ้ามันตามมาถึงตัว แล้วค่อยใช้ ถ้ามันตามไม่ทัน เราก็หนีเข้านิพพานไปเลย สบายแฮ
ถ้าบังเอิญมันตามทัน ก็รู้เท่าทันว่า มันเป็นกฎของกรรม แต่ใจเราจะไม่ไปเศร้าหมองกับมัน
ถ้ามันตามยังไม่ทัน ก็เร่งสร้างบุญสร้างกุศลไว้ อย่างที่ท่านว่า ให้สร้างบุญหนีบาป ไม่ใช่ทำบุญชดใช้บาปนะ อย่าเข้าใจผิด บุญ กับ บาป อยู่คนละบัญชีกัน หักล้างกันไม่ได้ แต่เราหนีได้ ประหนึ่งคนหนีหนี้
เป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่แสนหนึ่ง วันดีคืนดีถูกหวยมาหมื่นนึง(หมายถึงการทำบุญ หรือการปฏิบัติ) ก็จัดการซื้อตั๋วเครื่องบิน หนีไปอยู่เมืองนอกซะ
ถามว่า หนี้ยังคงอยู่หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ยังคงอยู่ แต่ถามว่า ต้องใช้หนี้หรือไม่ ไม่ต้องใช้แล้ว หนีเข้านิพพานไปเลย
ดูองคุลิมาลซี จบกิจแล้ว ต้องกลับมาใช้กรรมไหม ทั้งที่ฆ่าคนตายไปเกินพัน
ฉะนั้น หนีไปนิพพานกันเถิด อย่ามามัวจมอยู่กับสัญญาในอดีตเลย ไอ้คนสอนให้ไปติดกับอดีตก็เฮงซวย มันไม่เกี่ยวหรอกนะ จะผ้าเหลือง หรือผ้าขาว เมื่อไหร่ที่สอนคนให้ไปติดกับอดีต ติดกับวัฏสงสาร ข้าพเจ้าก็ว่า เฮงซวยทั้งนั้น
จะจริง หรือ อุปาทาน ก็ไม่เกี่ยว อาจจะไปเกิดเป็น แมว หมา กา ไก่ มันก็เกิดได้ทั้งนั้น จริง หรือ ไม่จริง มันก็ไม่สำคัญเลย
ความสำคัญของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ไม่ใช่ให้ไปดูว่า เคยเกิดเป็นอะไร ผูกพันกับใครมา ไปทำกรรมอะไรไว้ จะได้ไปขอขมาถูก
ความสำคัญของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ให้ระลึกไปว่า เราเคยเกิดเป็นไอ้นั่นไอ้นี่ ทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้าย ตายแล้ว เอาอะไรไปได้ไหม
ชาติโน้น เคยเกิดเป็นทวดของคุณทักษิณ ก่อตั้งบริษัทเครือชินวัตรขึ้นมา ถึงวันนี้ระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นทวดของคุณทักษิน ไปขอเงินเขาใช้บาทนึง ให้เหตุผลว่า เห็นแก่ฉันเคยเกิดเป็นทวดแก เขายังไม่ให้เลย จะไปเอาอะไรกับอดีตชาติ มันจบไปแล้ว นานแล้ว
ย้อนได้ก็กลับไปรู้ซีว่า ชีวิตมันทุกข์ไหม เกิดมาแล้ว มีชาติไหนบ้างที่ไม่มีทุกข์ เห็นหมาขี้เรื้อน ลองดูซิ เราเคยเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนไหม เกิดกี่ชาติ แล้วความทุกข์ตอนนั้นมันเป็นยังไง เห็นแล้วจะได้ปลง ว่าการเกิดมันไม่มีสาระอะไรเลย ไม่ใช่ไปตามแก้ว่า เฮ้ย...ชาตินั้น อั๊วะไปเยี่ยวรด ล้อรถเอ็งหว่ะ เดี๋ยวอั๊วะตามหาเอ็งให้เจอ เพื่อขอขมาเอ็งก่อนนะ ไม่งั้นไม่สบายใจ
ไม่ได้บอกว่า การขอขมาเป็นเรื่องไร้สาระนะ การขอขมาเป็นเรื่องดี ควรทำทุกวัน แต่ก็ควรขอขมาอย่างถูกวิธี ถูกคน เวลาขอขมา ก็ขอเหมารวมไปเลย อย่าไปนั่งแก้ทีละคนสองคน เจ้ากรรมนายเวรเรานั้น มีเป็นแสน ๆ ล้าน ๆ จะไปไล่เอาทีละคน คงต้องเกิดใหม่อีกแสนล้านชาติ กระมัง ถึงจะใช้หมด
และส่วนใหญ่ เกิดถึงแสนล้านชาติแล้ว ก็ไม่หมด เพราะเกิดทีไร ก็ทำกรรมเพิ่มทุกที ส่วนใหญ่กรรมชั่ว จะเยอะกว่ากรรมดีเสียด้วย
ดังนี้แล้ว จึงขอให้ใช้ญาณให้ถูกให้ควร การที่คนเราจะมีญาณรู้วิเศษ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องฝึกฝนสั่งสมมาไม่รู้กี่แสนกี่ล้านชาติ แต่เกิดมากี่ชาติ ก็ใช้มันอย่างโง่ ๆ มาตลอด อย่าบอกนะว่า ไม่ได้โง่ ถ้าไม่โง่ ป่านนี้ไม่ต้องมาเกิดแล้ว นี่มันยังโง่อยู่ แล้วก็จะโง่ต่อไป ถ้าไม่หัดถอนตัวจากความโง่ (อวิชชา)
ขออภัยที่ข้าพเจ้าอาจใช้คำรุนแรง ข้าพเจ้าไม่ใช่พวก คุณคะ คุณขา เสียด้วย
ข้าพเจ้าเองก็อยากได้ญาณพวกนี้ ใจแทบขาด พยายามอย่างไรก็ไม่มี จนสุดท้ายให้ข้อสรุปกับตัวเองว่า เราคงเป็นพวก สุกขวิปัสสโก หรือ พวกรู้ธรรมอย่างแห้งแล้ง (ไม่เห็นอะไรหวือหวากับเขาเลย) พอเห็นคนที่ได้ญาณอันได้ยากเหล่านี้ มีแล้วเอาไปใช้โง่ ๆ เห็นแล้ว ของมันขึ้น และขออภัยที่ใช้คำพูดรุนแรง เพราะคนติดกับอนุสัยเหล่านี้ มักติดแน่น ทนนาน ยิ่งกว่ากาวตราช้าง ไม่กระเทาะออกแรง ๆ เสียบ้าง มันไม่รู้สึก เพราะก็งมงายกับมัน จนเวียนเกิดเวียนตาย เพราะมาติดตรงนี้ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านชาติ ไม่เบื่อหรือไง
เอาละ ก็ไม่รู้ว่า จะเข้าใจหรือเปล่า สรุปว่า ญาณเครื่องรู้วิเศษทั้งหลายนั้น มันเป็นเหมือนดาบสองคม ควรอย่างยิ่งที่จะเอาด้านคม ไปใช้ไล่ฟันกิเลสให้สิ้นไป ไม่ใช่เอาคมมันมาเฉือนเนื้อตัวเอง แทงตัวเอง ให้จิตเศร้าหมองเล่น
เช่นนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไร
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ