วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๕ (ตอนจบ)by Dhammasarokikku

22_displayต้องขออำภัยกันไว้ก่อน ที่ไฉนขึ้นหัวเอ็นทรี่มาว่า เป็นไตรภูมิ แต่ไปแค่ภูมิสองภูมิก็จอดซะแล้ว พอดีหมดภูมิความรู้ เอ้ย...ภูมิอื่น ๆ เห็นว่ามีคนอื่นเขาเขียนไว้เยอะแล้ว เลยเอาแต่เฉพาะภูมิที่น่าสนใจมาลง วันนี้ฟ้าครึ้มมาแต่เช้า สงสัยเทวดาจะทราบว่า เอ็นทรี่นี่จะจบซะแล้ว เลยร่ำไห้กันใหญ่ (เว่อร์มะ) ก็ตามธรรมเนียมครับ ต้องให้เครดิตต้นคิดผู้จุดประกายเสียก่อน

เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากถูกเชิญไปเม้นท์ เอ็นทรี่หนึ่งชื่อว่า ผมมีองค์รู้หมด.... แล้วไงเหรอคะ? เขียนยาวมาสี่ตอนแล้ว ดูท่าจะหมดมุก เอ้ย...ยาวเกินไป ผู้อ่านจะหลับกันหมด เลยว่าจะอวสานเสียตอนที่ ๕ นี้เลย ดังนี้แล

ตอนที่แล้วพาขึ้นเพดานบินสูงไปหน่อย เลยไปกระทบไหล่ท่านพรหมเสียครบทั้ง ๒๐ ชั้นวันนี้พาลดเพดานบินลงมาเซย์ฮัลโหลกับ เทวดา นางฟ้า ที่อยู่ใกล้ ๆ มนุษย์ขึ้นมาหน่อย คือ กามาพจรภพ สวรรค์ ๖ ชั้น (เอ๊ะ...แล้วสำนวนที่ว่า ขึ้นสวรรค์ชั้น ๗ นั่น เขาเอาชั้น ๗ มาจากไหนหนอ)

ชั้นแรกใกล้สุด ชื่อว่า จาตุมมหาราชิกา เป็นที่สถิตของท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ มีท้าวธตรฐ คุมคนธรรพ์, ท้าววิรุฬหก คุมกุมภัณฑ์ หรือ สัตว์ปีก, ท้าววิรูปักษ์ คุมนาค หรือ สัตว์เลื้อยคลาน และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ นั่นเอง คุมยักษ์ ท่านทั้ง ๔ นี่มีฤทธิ์มาก คุมทิศทั้งสี่ คอยรักษาเวชยันต์วิมานของพระอินทร์ สมัยที่มีการรบกันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ได้กำลังของท่านทั้ง ๔ นี่ละ ขับไล่พวกอสูร ลงมาจากสวรรค์ สรุปว่าสวรรค์ชั้นนี้ จะออกแนวบู๊ ๆ สักหน่อย ทำอะไรหนอ ถึงจะได้มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ ท่านว่า พวกที่สมัยเป็นมนุษย์สามารถเข้าฌานได้ แต่ตอนตายดั๊นไม่เข้าฌานตาย เลยแทนที่จะเป็นเกิดเป็นพรหม ก็กลายเป็นแค่เทวดา กระนั้นก็ยังเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก เขาเลยจัดให้มาอยู่ชั้นนี้ เพราะมีวิทยายุทธ์สูงส่งนั่นเอง

ก่อนที่เราจะโบกมือบ๊ายบายท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ขึ้นไปเที่ยวสวรรค์ขั้นต่อไป เราแวะไปดูของแปลกกันเสียหน่อย ข้าพเจ้าอ่านเรื่องนี้แล้ว ติดใจเป็นอย่างมาก มีเปรตชนิดหนึ่ง มีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ด้วย แปลกมะ ปกติไม่เคยได้ยินว่า เปรตมีวิมานกะเขาด้วย แถมดันมามีวิมานอยู่บนสวรรค์เสียอีก ต้องไปเรียกตาริบลีย์ บีลีฟอิท ออร์น็อท มาบันทึกไว้

เปรตชนิดนี้เรียกว่า เวมานิกเปรต ชื่อโคตรเท่เลย ฟังดูชื่อเหมือนเครื่องบินมิกซ์เหินเวหายังไงไม่รู้ วิมานท่านก็ดูแปลก ๆ มีกงจักรหมุนอยู่รอบ ๆ ออกมาจากวิมานไม่ได้ จะมาเกิดเป็นเปรตไฮโซ มีวิมานอยู่บนสวรรค์ได้ ท่านว่า สมัยเป็นมนุษย์ คนเหล่านี้ มีจิตเมตตา เลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้อย่างดี ทะนุถนอม เอาอาหารดี ๆ ให้กิน สัตว์ป่วยก็พาไปหาหมอ เอาอกเอาใจสารพัด คนทั่วไปเห็นแล้วก็ชื่นใจ ว่าเขาเป็นคนมีเมตตาต่อสัตว์ แต่สิ่งที่เขาทำผิด คือ เขา "ขัง" สัตว์เลี้ยงไว้ พอมาเกิดเป็นเปรตชนิดนี้ ก็มีความสุขด้วยความเป็นทิพย์เหมือนเทวดาทั่วไป ทว่าถูกขังไว้ในวิมานตัวเอง เอานิ้วแหย่ออกไป กงจักรก็ฟันฉับ นิ้วขาด ท่านว่า เปรตพวกนี้ มีอายุไม่แน่นอน เมื่อไหร่นึกถึงกุศลกรรมที่ตนทำไว้ได้ก็ จุติ หรือ เคลื่อนจากจุดนั้น

พิจารณาดูแล้ว น่าเชื่อหรือไม่ ลองไปพิจารณาดูเอา ข้าพเจ้าเห็นว่า มันตรงกับ กฎแห่งกรรม เสียนี่กระไร คุณขังเขา คุณก็ได้รับการขังตอบแทน ข้าพเจ้าจึงเชื่อเต็มเปาเลย เหอ...เหอ...ใครไม่อยากไปเป็นเปรตจำพวกนี้ รีบกลับบ้าน ปล่อยสัตว์เลี้ยงให้เป็นอิสระโดยด่วน

21_displayดูของแปลกกันไปแล้ว อะ....มีเสียงโวย ใครไม่รู้มาตะโกนข้างหูว่า ไหนว่า จะเล่าเรื่องของชายหนุ่มต่ออย่างไรเล่า ลืมเสียแล้วหรือ? แหม...ไม่ได้ลืมหรอก แกล้ง ๆ ทำเป็นลืม ให้เกียรติท่านท้าวมหาราชมาโชว์ตัวก่อนเท่านั้นเอง แน่ะ...ทำตาปรือกันหมดแระ อะ...เปลี่ยนบรรยากาศไปติดตามเรื่องราวของชายหนุ่มกัน ตอนที่แล้ว พามาอารมณ์ค้างอยู่ที่น้องชายตัวดี เข้าบ่อนเล่นป๊อกเด้งเพลิน หมดเงินไปสองแสนเศษ ชายหนุ่มระงับปิดหน้าร้านแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถระงับผีพนันได้ เลยต้องพึงศาสตร์ลี้ลับ

ส่วนหนึ่งของอัตตโนชีวประวัติ (ชายหนุ่ม=ตัวข้าพเจ้าเอง)

ซึ่งตอนนั้น ร่างทรง ก็ห่างหายไปติดต่อไม่ได้ จึงไปปรึกษาเจ้าอาวาสวัดที่กาญจนบุรี ท่านก็แนะให้เดินจงกรมรอบวัด ๑๐๘ รอบ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของน้องชาย ก็ไม่คิดอะไรมาก ปัญหาในโลกนั้นมีอยู่แค่ ๒ ปัญหา นั่นคือ ปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ในเมื่อปัญหาน้องชายนี่ เข้าข่ายปัญหาที่แก้ไม่ได้ (ด้วยวิธีทางโลก) ก็ลองวิธีพิสดารดูสักรอบ ก็มิเห็นจะเสียหายอะไร การเดินจงกรมรอบวัดนั้น เป็นระยะทางประมาณ ๑ กม. ต่อ ๑ รอบ และเดินด้วยเท้าเปล่า... แหมช่างถูกกิเลสคนเคยเดิน ก็ตั้งมโนปณิธานว่า จะเป็นการช่วยเหลือน้องชายครั้งสุดท้าย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน เดิน และเดิน มีเวลาราว ๑๒ วัน เฉลี่ยเดินวันละ ๙ รอบบ้าง ๑๐ รอบบ้าง เดินไปก็กำหนด ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ไปเรื่อย ๆ พอได้วันที่สองก็ไปสะดุดรากไม้ ปึ๊ก...เท้าแตก เลือดไหลอาบ แต่ก็ยังสู้เดินต่อไป เอาพลาสเตอร์ยาปะ แล้วก็ลุยต่อ พอเดินไปเตะอะไรซ้ำที่เดิม เจ็บจนน้ำตาแทบไหล ครั้นพอถึง รอบที่ ๕๔ ปรากฏว่าเกิดอาการ second wind หรือ ลมที่สอง แบบเดียวกับที่เคยเกิดเมื่อราว ๑๐ ปีก่อน ตอนที่ไปเดินรุกขมูล อยู่แถว จ.พิษณุโลก ใจสงบนิ่ง นอกจากความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว เรื่องราวในสมองที่ก่อนหน้านี้มันดูเบลอ ๆ เหมือนจิ๊กซอว์ที่ยังไม่ได้ต่อ ก็กลับชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนเปิดของที่ปิด เหมือนหงายของที่คว่ำ รู้เห็นแจ้งแทงตลอดถึงการเยียวยาปัญหาของน้องชาย ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ย้ำเตือนปัดฝุ่นความตั้งใจเดิม ที่นอนก้นอยู่ ให้มีพลังอีกครั้ง น่าแปลกที่หลังจากนั้นไม่นานน้องชายก็กลับเนื้อกลับตัว ล้างมือจากวงการ เข้าทำงานเป็นเซลล์ในร้านคอมพิวเตอร์ร้านหนึ่ง ในเมืองระยอง

เรื่องราวของชายหนุ่ม ที่เกี่ยวข้องกับ ร่างทรง ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ อยากทราบเรื่องราวตอนต่อไป ต้องรออ่านในอัตตโนชีวประวัติของข้าพเจ้าซึ่งตั้งใจไว้ว่า จะทำเป็นหนังสือแจกงานศพของตัวข้าพเจ้าเอง

เอ้า...อยู่บนพื้นดินนานเกิน รากงอกแล้ว ปะ...เหินฟ้าขึ้นไปบนสวรรค์ขั้นดาวดึงส์กัน ชั้นนี้เป็นชั้นที่เฮฮาที่สุด ทำบุญทำทานอะไร ก็มักจะมาอยู่ชั้นดาวดึงส์นี่ละ พวกทำสังฆทาน ถวายกฐิน ถวายผ้าป่า สร้างห้องน้ำ ทำสาธารณประโยชน์ และอื่น ๆ จิปาถะ ถ้าตอนตายระลึกถึงกุศลเหล่านี้ ก็มักจะมาโผล่ที่ชั้นนี้ มีเทวดาที่เป็นใหญ่ที่สุดบนชั้นนี้ ชื่อ ท้าวสักกเทวราช หรือ พระอินทร์ที่เรารู้ ๆ กันนั่นละ พระอินทร์นี่จริงแล้ว เป็นเพียงชื่อตำแหน่งเท่านั้นนะ สมัยท่านเป็นมนุษย์ ชื่อ มฆมาณพ เป็นมนุษย์ประหลาด จู่ ๆ ก็ไปทำถนนให้ชาวบ้านเขาเดิน (สมัยนี้คงไม่มีใครบ้าเหมือนท่านแล้ว จะทำถนนก็ไปติดต่อกระทรวงคมนาคมดิ) ท่านทำของท่านเอง ไม่เคยมีใครบอก (สมัยนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันยังไม่อุบัติเลย) ทำ ๆ ไป ก็มีชาย ๓๒ คน เดินผ่านมา เห็นแล้วเป็นงง เฮ้ย...เฮียทำอะไรของเฮียวะ แทนที่จะสร้างบ้าน สะสมทรัพย์สินไว้ ให้ตัวเองสบายตอนแก่ ไหงเอาเวลามาทำถนนให้คนเดิน เลยถามว่า "เฮีย...เฮียทำอะไรของเฮียหน่ะ" เฮียมะระ เอ้ย...มฆะ ก็ตอบว่า "เฮียกำลังถางทางขึ้นสวรรค์อยู่"

18_display"โอ๊ะ" ชายหนุ่มทั้ง ๓๒ คน ไม่เคยได้ยินเรื่องราวอันพิสดารของ "สวรรค์" มาก่อน เข้าใจว่า คงเป็นอะไรที่ มันยอดมากเลยจอร์จ เลยว่า "เฮีย...อย่างงี้เฮียไปสวรรค์คนเดียวไม่ดีแน่ เหงา มา...เดี๋ยวพวกผมช่วย" ว่าแล้วชายทั้ง ๓๒ คนก็เลยช่วยกันบ้าทำถนน บ้าไปบ้ามา เลยมาโผล่บนสวรรค์ชั้นนี้ มีศักดิ์ศรีใหญ่กว่าใครทั้งหมด คนเหล่านี้เขาบ้าดีกัน สมัยนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว มีแต่บ้าชั่วกัน แข่งกันว่า ใครจะชั่วได้มากกว่าใคร แล้วจะได้ขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง มันโก้ดี

อ๊ะ...พล่ามมากเดี๋ยวไม่จบ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่ ก็คล้าย ๆ เป็นลานปาร์ตี้ขนาดใหญ่ เทวดานางฟ้าทั้งหลายมักมาชุมนุมก่อม็อบกันที่นี่ เช่นในวันพระ ก็จะมีการแสดงธรรมที่ เทวสภา เหล่าเทวดานางฟ้า ที่มีความไม่ประมาท ก็จะมาก่อม็อบฟังธรรมกัน หรือในคราวที่สมเด็จพระทศพลโปรดพระพุทธมารดา แทนที่จะไปแสดงถึงที่ (พุทธมารดา ไปจุติบนสวรรค์ชั้นดุสิต) ท่านก็มาแสดงที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เพราะขืนขึ้นไปแสดงบนโน้น เทวดา นางฟ้า ที่บารมีไม่พอ จะขึ้นไปฟังไม่ได้ ฉะนั้นแล้วใครชอบสนุกสนานเฮฮา ก็ต้องพยายามมาจุติบนชั้นนี้ให้ได้ ไม่เหมือนกับชั้นต่อไป เรียกว่า ชั้นยามา ฟังชื่อก็ขมแล้ว ขึ้นไปอยู่คงมียาให้กินเพียบ เอ้ยไม่ใช่... ความจริงถ้าเปลี่ยนเป็นมายา จะเท่กว่าเยอะเลยนะนี่ ชื่อเหมือนโปรแกรมสามดีเลย ชั้นยามานี่ พวกที่ชอบสวดมนต์งึมงำ ๆ จะขึ้นไปอยู่กัน ดูเด๊ะ ท่านทั้งหลายขึ้นมาอยู่บนนี้แล้ว ยังไม่หยุดสวดมนต์กันเลย เสียงงึมงำอื้ออึงไปหมด อะผ่านไปชั้นดุสิตเลย กระดาษใกล้หมด ชั้นดุสิตนี่ เท่ไม่หยอกอีกเหมือนกัน ผู้ที่จะเข้าไปอยู่ได้ ต้องเป็นพระอริยเจ้า หรือไม่ก็เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม หรือ เกือบ ๆ เต็ม หรือไม่ก็ต้องเป็นพุทธมารดา ชั้นถัดไปเป็นชั้นนิมมานรดี ชั้นนี้ไม่ปรากฎว่า ทำความดีอะไร ถึงมาโผล่ชั้นนี้ได้ ตำราท่านว่า ทำความดีมั่ก ๆ ประเภทเพียรทำความดีอย่างยิ่งด้วยจิตบริสุทธิ์ อยากทราบชัดว่า ทำความดีอะไรไปค้นเอา แต่ข้าพเจ้ามีไอเดียแปลกไปกว่าที่เขาบันทึกกัน เทวดาขั้นนี้ อยากได้อะไรก็เสกเอา ไม่ใช่เสกโลโซนะ เนรมิตเอาหน่ะ เช่น เห็นน้องหยาดทิพย์สวย X น่าหม่ำ ก็จัดการเนรมิตน้องหยาดทิพย์ขึ้นมา ตะหลื๋อตือตื๊ด เสร็จ รูปเนรมิตก็หายไป ข้าพเจ้าเห็นว่า ผู้ที่ชอบเนรมิตนี่ สมัยเป็นมนุษย์ ก็คงจะชอบเนรมิตเหมือนกัน ใครกันหนอ ที่เนรมิตสิ่งต่าง ๆ ได้ดังใจ... ถูกต้องแล้วคร๊าบ พวกที่ได้อภิญญา หรือได้ฤทธิ์นั่นเอง อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะ ไม่ใช่อย่างที่เขาบันทึกกัน มาดูสวรรค์ขั้นสุดท้ายกันมั่ง ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตี เทวดา นางฟ้า ชั้นนี้ แค่คิดว่า อยากได้อะไร อยากใช้อะไร เทวดาชั้นนิมมานรดี จะรีบมาเนรมิตให้ ไม่ต้องเนรมิตเอง สบายแฮ ทำอะไรถึงได้มาเกิดชั้นนี้ ไม่รู้เหมือนกันแฮะ รู้แต่ที่นี่เป็นที่อยู่ของพญามาร บนสวรรค์ชั้นนี้เขาแบ่งออกเป็น ๒ แดน แดน ๑ นักโทษชายหนุ่มหล่อล่ำมั่ก ๆ เอ้ย...แดน ๑ เป็นแดนของเทวดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ส่วนแดน ๒ เป็นเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ดังที่เคยได้ยินมาว่า ท้าวพระยาวสวัตตีมาราธิราช ผู้เป็นใหญ่ในแดน ๒ ไปยั่วมหาบุรุษ ตอนใกล้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ นั่นแล

เอาละ...นี่ตั้งแต่พล่ามมาทีแรกเกี่ยวกับการเข้าองค์ทรงเจ้า มาลงเอยที่ไตรภูมิได้อย่างไรไม่ทราบ ไล่ดูสิ อบายภูมิ ๔, มนุษย์ ๑, สวรรค์ ๖, พรหม ๒๐ บวกกันได้ ๓๑ ภพภูมิพอดี ครบถ้วนบริบูรณ์ จบดีก่า

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

1_displayปล.๑ เคยไปถามพวกที่เขาได้ทิพยจักขุญาณว่า พวกเทวดา นางฟ้านี่ เขา ตะหลื๋อตือตื๊ด กันอย่างไร (สาระแนจังตู) เขาว่า แค่แตะตัวเท่านั้น แล้วนางฟ้าจะหลับไปเป็นเดือนเลย ส่วนพระคุณเจ้าที่ได้ฌานสมาบัติ ได้อภิญญา ออกไปท่องเที่ยวในโลกทิพย์ได้ ไปแตะตัวนางฟ้าเข้า ร่วงเลยครับ ร่วงแป้กลงมาบนโลกเลย ฌานเฌินเสื่อมหมด กว่าจะบิ้วกันได้ใหม่ ใช้เวลาอักโข พวกได้ฌาน ได้ฤทธิ์ ได้อภิญญา นี่ เวลาเสื่อม เสื่อมนานครับ เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่ต้องฝึกกสิณมา กสิณ คือ การเพ่ง จนเกิดนิมิตติดตา ทีนี้พอได้ภาพสาว ๆ เป็นนิมิตนี่ นิมิตมันเลยติดแน่นทนนานยิ่งกว่ากาวซีเมนต์ กว่าจะแกะออก บางทีเป็นปีเลยครับ

ปล.๒ ที่ว่าพระอินทร์เป็นเพียงตำแหน่งนี่ ไม่ใช่มีเพียงพระอินทร์เท่านั้นนะ เหล่าคนมีชื่อเสียง มีคนเคารพสักการะบูชา ระลึกถึง ก็กลายเป็นตำแหน่งทั้งนั้น เช่น พระนเรศวร ถึงบัดนี้ แม้ท่านจะลงมาเกิดแล้ว แต่ก็ยังมีคนเคารพบูชาท่าน คิดถึงท่าน ทำบุญให้ท่าน พวกการระลึกถึง การทำบุญอุทิศให้นี่ เกิดทำไปแล้ว เจ้าตัวหนีลงมาเกิดแล้ว ใครจะเป็นคนรับละครับ ไม่มีใครเขาปล่อยให้บุญกุศลทำกันฟรี ๆ หรอกครับ ถ้าไม่มีการจัดการ เขาก็ตีกันแย่งบุญกันตายสิครับ ข้างบนเขาจะมีการจัดการกัน ให้เทวดาที่มีบุญบารมีใกล้เคียงกับท่าน มาทำหน้าที่แทน ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ ตายเลยครับ จะลงมาเกิดก็ลงไม่ได้ พะวงหน้าพะวงหลัง ต้องค้างเติ่งเป็นเทพอยู่อย่างนั้น จนกว่าคนจะลืมท่าน

อย่างนี้ไงครับ ถ้าใครเคยอ่านพวกพงศาวดารจีน เขาถึงรักษาคุณธรรมกันมาก รักษายิ่งชีพทีเดียว เพราะชีวิตคน เดี๋ยวเดียวก็ตาย จบแล้ว แต่ความดีของคนนั้น คงอยู่ชั่วกาลนาน

ปล.๓ เรื่องราวประวัติของพระอินทร์ ไปอ่านของพราหมณ์-ฮินดู ปรากฎว่า เนื้อเรื่องเหมือนกันเป๊ะเลย สนับสนุนความเห็นของข้าพเจ้าว่า ศาสนาพุทธ กับศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาพี่น้องกัน แยกกันเด็ดขาดลำบาก

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons