วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตคนเราเกิดมาทำไม ตอนที่ ๒ by Dhammasarokikku

_16_390หลวงพี่ช่วยตอบคำถามว่า ชีวิตเราเกิดมาทำไม ได้ไม๊คะ
คือว่าถูกคนถามมาอะ ว่าคนเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร แล้วตอบเค้าไม่ได้อะ

ซึ่งข้าพเจ้าก็เขียนคำตอบ โดยอิงกับชีวิตของข้าพเจ้าเอง เพราะถนัดเขียนแนวนี้ มากกว่าแนวอื่น มาว่ากันถึงสมมุติฐานในช่วงต่อไปของชีวิต

สมมุติฐานที่ ๒ คนเราเกิดมาเพื่อแสวงหาการยอมรับ

ก่อนจะถึงช่วงเกิดมาเพื่อหาความสุข จะมีช่วงสะสมพลังก่อน ครับ ก็คือช่วงเรียน ในใจลึก ๆ แล้ว สำหรับข้าพเจ้า การเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อ ครับ แต่ด้วยความรู้สึกว่า ตัวเองเป็นความหวังของพ่อแม่ ครับ ข้าพเจ้าจึงตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อทดแทนพระคุณท่าน ช่วง ม.ปลาย เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตเลยทีเดียว คนเราโดยปกติ ขณะที่อยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของชีวิต มักไม่ค่อยรู้ ครับว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดีที่สุด จนเวลาผ่านเลยมาแล้ว ย้อนมองกลับไปจึงพบว่า ช่วงนั้น ช่วงนี้ เป็นช่วงที่ดีที่สุดของชีวิต

กระนั้นคนเราโดยไม่ปกติ จะมีช่วงที่ดีที่สุดของชีวิตในปัจจุบันทุก ๆ วัน ครับ ตั้งแต่ตื่นนอน จนหลับไป เหล่าคนไม่ปกติพวกนี้ คือ คนที่ปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ครับ ถ้าเขา "รู้" อารมณ์ปัจจุบันได้ "ช่วงที่ดีที่สุดในชีวิต" จะไม่ใช่เหตุการณ์ในอดีต ครับ แต่เป็นปัจจุบันที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า ทุก ๆ วันที่ตื่นขึ้นมาในผ้าเหลือง เป็นวันที่ดีที่สุด กว่าทุก ๆ วันที่ผ่านมา บาดแผลกรำศึกฟาดฟันกับความทุกข์มาอย่างสาหัส พาให้มีข้าพเจ้าในวันนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าเล่าถึงชีวิตบางส่วนในเอ็นทรี่ก่อน ๆ ยังไม่ได้หนึ่งในสิบของชีวิตจริงเลย ครับ เพียงแต่ช่วง ม.ปลาย เป็นช่วงที่โลกสดใสที่สุด เหมือนโลกอยู่ในมือเรา อยากทำอะไรก็ได้ ทำอะไรก็สำเร็จไปหมด

ความสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันช่างมีความสุข ครับ จนบางทีข้าพเจ้าก็หลง ๆ ไป รู้สึกตัวขึ้นมา เอ๊ะ... เรากำลังทำอะไรอยู่ จะเรียนไปทำซังข้าวโพดอะไรตั้งมากมายหลายคณะ บางทีหาเหตุผลไม่เจอ ทำไมเราถึงยังอดทนร่ำเรียนอย่างสมบุกสมบัน เรากำลังไขว่คว้าหาอะไร ค้นหาอะไร ไม่เจอคำตอบ ครับ แต่เมื่อออกสตาร์ทแล้ว ก็สู้เขาไป ไอ้มดแดง ไม่เลิก ไม่หยุด จนกว่าจะถึงปลายทาง คิดเสียว่า สักวันคงได้ใช้ ยกเว้นว่าเจอเงื่อนไขสุดจะทำได้

บางทีมันอาจเป็นเพราะข้าพเจ้าทำเพื่อตัวเองกระมัง ครับ ข้าพเจ้าพยายามไปให้ถึงที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งทำได้ เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า มี "ข้าพเจ้า" อยู่ ซึ่งก็คือการประกาศการมีอยู่ของอัตตาตัวตน คนเรารักตัวตน รักตัวเอง ที่สุดในโลก ครับ เพียงแต่พอดีการทำเพื่อตัวเองของข้าพเจ้า มันไปตรงใจ และเป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่เท่านั้นเอง เลยเหมือนการทดแทนคุณไปในตัว

ครั้นคิดว่า เราคงกำลังทำความเพียรเพื่ออนาคตของตัวเอง เช่นนั้นแล้ว กำลังใจในการทำความเพียรก็วูบหายไปดื้อ ๆ รู้สึกขี้เกียจขึ้นมาจับจิต รู้สึกงงตัวเองเล็กน้อย มึนนิดหน่อยว่า เกิดอะไรขึ้น ตั้งสติได้ ก็กลับความตั้งใจใหม่ เราจะขยันเพื่อพ่อแม่จักได้ภูมิใจ กำลังใจในการทำความเพียร ก็ท่วมท้นล้นใจขึ้นมาเหมือนเดิมอีกครั้ง จึงไม่รู้ สรุปว่า ตัวเองทำ ๆ ไปเพื่ออะไรกันแน่

ทำความเพียรอยู่หลายปี ครับ ผ่านการเรียนอย่างทรหดอดทน กว่าจะจบเอแบคใช้เวลาถึง ๑๑ ปี ไปนั่งเรียนกับรุ่นน้องก็มาก การเรียนระดับอุดมศึกษา หากมีเพื่อนช่วย หรือ ติวกันเป็นกลุ่ม จะง่ายขึ้นมาก ครับ แต่ด้วยความที่เป็นผู้เฒ่าแล้วไปนั่งเรียนกับเด็ก ๆ ก็จับกลุ่มกับพวกเขาลำบาก ครับ เขาจะเห็นเราเป็นโบราณวัตถุ เลยต้องเรียนเอง อ่านหนังสือเอง ติวตัวเอง มีอยู่วิชาหนึ่ง ต้องทำงานกลุ่ม หากลุ่มเข้าไม่ได้ อาจารย์เลยจัดให้ไปรวมกลุ่มกับพวกเกเรเกตุง ที่เข้าเรียนบ้าง ไม่เข้าเรียนบ้าง ทำรายงานไปก็ถูกหมั่นไส้ เพราะก๊วนนี้ไม่ค่อยขึ้นเรียน ครับ สุดท้ายก็สอบตกเป็นวิชาแรกในชีวิตผู้เฒ่าเอแบค ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็ตกทั้งกลุ่ม ครับ

ทำอย่างไรได้ เทอมถัดมาก็ต้องลงทะเบียนเรียนวิชานี้ซ้ำอีก ก็มีงานกลุ่มอีก ต้องจับกลุ่มอีก พยาย๊ามพยายามมองหาเด็กที่เขาเรียน ๆ กัน จะไปจับกลุ่มกับเขา แต่สุดท้ายก็เวียนมาเจอก๊วนเดิม โอ๊ว...ม่ายยยยย

ผ่านมาได้ด้วยการทำงานกลุ่มที่รู้สึกเหมือนเป็นงานเดี่ยว ครับ

_80_132ชีวิตมหาลัยอันยาวนานข้ามทศวรรษบอกอะไร ครับ หาเหตุผลอื่นไม่เจอ นอกจากข้าพเจ้าอยากให้ผู้อื่นรับรู้ว่า ข้าพเ้จ้าเป็นซุปเปอร์แมน สามารถทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำได้ยาก ฉะนั้นชีวิตคนเราเกิดมา คงเพื่อแสวงหาการยอมรับกระมัง ใครหลายคนยอมตัวให้ลำบาก ก็เพียงหวังให้ผู้คนชื่นชม ให้พ่อแม่ ญาติมิตร เพื่อนฝูง ชื่นชม คำสรรเสริญช่างทรงพลัง พาให้ใครหลายคน หลงตั้งเป้าหมายของชีวิตแบบนั้น เมื่อทำไม่สำเร็จ ก็ผิดหวังอย่างรุนแรง ฆ่าตัวตายไปก็มาก

ช่วงประมาณปีสอง มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวในประเทศสหรัฐอเมริกา รวดเดียว ๒ เดือน ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่า อยากไปเที่ยวเมืองนอก การไปเที่ยวก็ไปอย่างกะโปโล ครับ บางทีก็อดมื้อกินมื้อ เพราะรู้สึกเสียดายตังค์ แฮมเบอร์เกอร์แม็คโดนัลด์สมัยก่อนอันละสามสิบกว่าบาท ก็รู้สึกว่าแพงแล้ว ไปเจอที่นู่น อันละสี่เหรียญ หรืออันละร้อยบาท รู้สึกว่า แพงบรรลัยเลย ครับ แม้ว่าแพงขนาดนั้นแล้ว ก็เป็นอาหารที่ถูกที่สุดแล้ว ครับ ถ้าไปซื้อกินเป็นจาน ๆ็ ราคาจะอัพขึ้นไปอยู่เกือบสิบเหรียญ หรือเกินนั้น เลยซื้อกินเท่าที่หิว

หลังจากกลับมาจากการท่องเทีี่ยวอันยาวนาน และทรหดอดทน ปรากฏว่า พบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ครั้งแรก ครับ รู้สึกเหมือนรูป กับนาม แยกออกจากกัน เวลาเราจะคิดอะไร จะทำอะไร เหมือนมีเราอีกคนคอยสังเกตุอยู่ ดูร่างกายเราอยู่ อาการนี้เป็นอยู่สัปดาห์หนึ่ง ครับ แล้วก็หายไป ไม่เคยเกิดอีกเลย ต่อเมื่อได้มาศึกษาศาสนาพุทธอย่างจริงจังในการบวชคราวนี้ จึงพบว่า สภาวะนั้น เป็นสภาวะที่นักปฏิบัติอยากได้กันแทบทั้งนั้น เพราะเมื่อแยกรูปกับนามแล้ว ขึ้นวิปัสสนาได้ง่าย

แต่อนิจจา บวชคราวนี้ อาการเช่นนั้น ไม่มีแม้แต่แววให้เห็น ครับ

ลองคิดย้อนไป อะไรทำให้เกิดสภาวะเช่นนั้น?

คงเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็ก ครับ จิตมีความบริสุทธิ์กว่าขณะนี้มาก ตอนนั้นก่อนออกเดินทางก็โกนหัว ครับ ไม่ใช่อยากเท่ หรืออยากบวช ครับ แต่โกนเพราะอกหักรักคุด พอออกเดินทางแล้ว ก็ไม่ได้พักเป็นที่เป็นทางนาน ๆ เลยสักที่เดียว คืนนี้พักที่หนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปพักอีกที่หนึ่ง ดูคล้ายพระธุดงค์อย่างไรไม่ทราบ กินอาหารเท่าที่จำเป็น ไม่ใส่ใจกับรูปกายภายนอกมากนัก และไม่ติดสถานที่

ครั้นมาบวชคราวนี้ เดินธุดงค์โหดกว่าคราวนั้นตั้งมากมาย แต่ไม่มีอาการเช่นนั้นแม้เงา คงเป็นเพราะจิตเราหยาบลงไปมาก รูปกับนามแนบแน่นกว่าสมัยเด็ก สุราทำให้สติถดถอย สมองเสื่อมสมรรถภาพ และเวลานั้นแค่รักษาศีล ๕ ได้ ศีลก็บริสุทธิ์แล้ว ครับ มาเวลานี้ ต้องแบกศีล ๒๒๗ ข้อ ไปเดินธุดงค์ด้วย เลยอาจทำให้ไม่เกิดสภาวะเช่นนั้น

อะ... นอกเรื่องไปไกล

ผ่านความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เริ่มรู้สึกว่า ชีวิตของเราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อการณ์นี้ การได้รับคำสรรเสริญ มันก็มีความสุข ครับ แต่มันก็ชั่วครั้งชั่วคราว แถมแลกมาด้วยความเพียรอย่างยิ่ง มันคุ้มกันหรือ?

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons