วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ผมมีองค์รู้หมด ก็อย่างงี้ไง-ไตรภูมิภาคพิสดาร ตอนที่ ๑by Dhammasarokikku

นางฟ้า7เอ็นทรี่นี้ สืบเนื่องมาจากถูกเชิญไปเม้นท์ เอ็นทรี่หนึ่งชื่อว่า ผมมีองค์รู้หมด.... แล้วไงเหรอคะ? เม้นท์ไปเม้นท์มา ยาวเป็นกิโล แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ ประกอบกับ มีคนรีเคว้ทส์มาให้เขียนเรื่องนรก ๆ หรือ อบายภูมิมั่ง ก็เห็นมีคนเขียนแล้ว หลายเรื่อง เพราะรู้สึกว่า จะเป็นวิชาบังคับปีหนึ่ง ของเด็กอักษรฯ จุฬาฯ และเนื้อหาของนรกแต่ละขุม ก็ซ้ำ ๆ กัน หาอ่านได้เยอะแยะ ถ้าสนใจสักหน่อย คงหาไม่ยากนัก เลยไม่คิดจะนั่งพิมพ์ให้เสียเวลา สู้เอาประสบการณ์ตรงมาเล่าสู่กันฟัง จะมันส์กว่าเป็นไหน ๆ

ก่อนอื่น มาร่ายยาวถึงความที่เม้นท์ไว้ก่อนดีกว่า ไม่ต้องเมื่อยนิ้วพิมพ์ใหม่

การเข้าองค์ทรงเจ้า ก็มีอธิบายไว้ คนที่ไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของเขา คนที่เชื่อ มีเหตุมีผลรองรับครับ

ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่ง ที่เชื่อในเรื่องราวเหล่านี้ สมัยหนึ่งที่ยังไม่เคยเจอของจริง ก็ค่อนไปทางไม่เชื่อ พอเจอของจริงเข้าไป ก็รู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงแฮะ แล้วก็สงสัยมาตลอด จนมาเจอหลวงพ่อ ความสงสัยก็หายหมด

ท่านว่า การเข้าองค์ทรงเจ้านี่ มีจริงครับ แต่ผู้ที่มาประทับร่าง (เรียกตามภาษาทั่วไปนะ ความจริงเขาเรียกว่า "คุมร่าง" จะตรงกับความเป็นจริงมากกว่า)มีหลายชั้นวรรณะครับ มีตั้งแต่ อสุรกาย (๑ ในสัตว์ในอบายภูมิ ๔) เทพเทวดา หรือกระทั่งพรหม (ความจริงมีสูงกว่านี้อีก แต่ไม่อยากเอามาบรรยาย เดี๋ยวจะมากเรื่อง)
สัตว์ในอบายภูมิ ๔ มี สัตว์นรก ๑, เปรต ๑, อสุรกาย ๑, และสัตว์เดรัจฉาน ๑ สามประเภทแรกนี่การเสวยอายุยาวนานมาก เช่น สัตว์นรกนี่ ขุมเบาสุด อายุ ๙ ล้านปีมนุษย์ หลุดจากนรก ขึ้นมาเป็นเปรต จากเปรตเป็นอสุรกาย จากอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วถึงจะเป็นมนุษย์

อีตอนเป็นอสุรกาย(ใกล้เป็นคนแล้ว)นี่แหละ ที่เขาไม่มีกายเนื้อ เริ่มมีความเป็นทิพย์ สามารถหยั่งรู้อดีต อนาคต ได้ "บางเรื่อง" อสุรกายนี่ ท่านว่าไว้ว่า ต้องเก็บเศษอุจจาระ ปัสสาวะ เสลดที่คนเขาขากถุยทิ้งไว้ ตามถนนหนทาง หรือไม่ก็ซากสัตว์ตาย กินเป็นอาหาร (ที่เห็นเขา เอาข้าว เอาน้ำ เอาขนม ไปวางไว้หน้าบ้าน หรือตามสี่แยก ก็เลี้ยงพวกนี้แหละ)

ในคนหกพันล้านคน มีคนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ ปะปนกัน ฉันใด ในภูมิต่าง ๆ เหล่านี้ ในหมู่อสุรกายมิจฉาทิฏฐิ ก็มีอสุรกาย สัมมาทิฏฐิเจืออยู่ ฉันนั้น อสุรกายเหล่านี้ จะพอมีอำนาจวิเศษบางอย่าง ตามแต่กำลังของตน ก็จะหาร่างที่มิจิตอ่อน หรือเคยเนื่องกันมาแต่ปางก่อน เข้าสิง ทำท่าเป็นพ่อหมอ แม่หมอ เปิดสำนักหมอดูแม่น ๆ เปิดสำนักรับรักษาโรค หรือ เปิดอาศรมปฏิบัติธรรม

บางสำนัก ก็ให้นำอาหารมาสังเวย (เขาจะได้ไม่ต้องไปกินเศษอุจจาระ ปัสสาวะ เสลด อาหารที่เขาทิ้งแล้ว หรือ ซากสัตว์ตาย ตามมีตามเกิด) บางสำนัก ก็ให้คนมารักษาศีล ๕ ศีล ๘ เพื่อสั่งสมบุญ(ของตัวเอง) จะได้ไปเกิดเสียที (ก็ยังถือว่า มาถูกทางนะ) ซึ่งอสุรกายเหล่านี้ ถ้าลงมาแล้วบอกว่า ตนเป็นอสุรกายชื่อ ตาสี ชื่อ ตาสา ก็ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครศรัทธา เลยต้องลงมาในนามเทพอันโด่งดัง เช่น เทพกวนอูบ้าง ปู่ฤๅษีบ้าง อื่น ๆ บ้าง

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พวกที่อ้างว่าตนเป็นเทพ เป็นอสุรกายไปเสียหมดนะ พวกของจริง ลงมาจริง ๆ ก็มี วิธีดู คือ ถ้าเป็นอสุรกาย บารมีอ่อน ๆ เขาจะรีเค้วทส์พวกอาหารสด อาหารแห้ง เหล้า ยา ปลาปิ้ง เป็นเครื่องสังเวย ถ้าบารมีเริ่มแข็งกล้า ก็จะให้มาปฏิบัติธรรม รักษาศีล ๕ รักษาศีล ๘ แต่ถ้าลองถามปัญหาธรรมะดู จะตอบไม่ค่อยได้ คือ ตัวเขาเองไม่เข้าใจธรรมะ แต่รู้เห็นว่า ถ้าพาคนให้มาปฏิบัติธรรม แล้วเขาโมทนาบุญ เขาจะได้บุญเยอะ ได้ไปเกิดเร็ว ทำนองว่า ไปเลียนแบบเขามานั่นละ

ส่วนพวกที่เป็นเทพลงมา (ความจริง เขาไม่ได้ลงมาเองหรอกนะ เขาใช้ความเป็นทิพย์ ควบคุมระยะไกล เหมือนใช้รีโมทคุม อะไรประมาณนั้น) จะมีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งว่า เขาจะมีเวลาแน่นอน จะมาวันนั้น วันนี้ นอกเวลานัด เชิญให้ตาย เรียกให้ตาย ก็ไม่มา และความเป็นทิพย์เขาจะแม่นยำมาก เรื่องรู้วาระจิตนี่ บางทีรู้ตั้งแต่เราออกจากบ้านแล้ว (เทวดาเขาจะมีความสามารถอย่างหนึ่ง เรียกว่า "ทิพยเนตร" เป็นปกติ คือเห็นอะไรด้วยความเป็นทิพย์ ตามความเป็นจริง แตกต่างจากทิพยจักขุญาณ ซึ่งบางทีก็มีเพี้ยน ๆ ไปบ้าง) และเวลาลงประทับนี่ ไม่ต้องอัญเชิญ ไม่ต้องทำพิธีให้มากความ บทจะลง ลงเลย ไม่มีปี่มีขลุ่ย พวกที่ต้องจุดธูป ทำตัวสั่นงันงก ทำตาขวาง เปลี่ยนเสียง ส่วนใหญ่ ไม่ของปลอม ก็เป็นอสุรกายทั้งนั้น

ที่นี้พวกเทวดา หรือเทพเองก็มีหลายชั้น พวกที่อยู่ใกล้พื้น เขาเรียกว่า "ภูมิเทวดา" ที่อยู่ตามต้นไม้ เขาเรียก "รุกขเทวดา" พวกที่อยู่เหนือพื้นขึ้นไป เขาเรียก "อากาสเทวดา"

นางฟ้า2ภูมิเทวดา อยู่ใกล้มนุษย์มากที่สุด ฉะนั้น จึงมีเรื่องข้องแวะกับมนุษย์มากที่สุด เทวดาองค์หนึ่ง รักษาดูแลพื้นที่เป็นตารางกิโลเมตร แต่อาจมีบริวารอยู่เป็นจำนวนมาก เทวดาชั้นนี้มักมีนายเป็นเทวดาชั้นจตุมหาราช หรือ จาตุมหาราชิกา มีหน้าที่คอยบันทึกความดี ความชั่ว ของมนุษย์ รายงานเทพเทวดาชั้นสูงขึ้นไป

ท่านเล่าว่า ในวันพระ ถ้ามีคนทำบุญกันเยอะ เหล่าเทวดาชั้นภูมิเทวดานี่ละ จะนำความไปรายงานท้าวสักกะเทวราช แล้วเทวดา นางฟ้า ในชั้นดาวดึงส์เทวโลก จะออกมาฟ้อนรำ บันเทิงใจ ประหนึ่งดิสโก้เธคในเมืองมนุษย์ แต่ถ้าไม่มีคนทำบุญ หรือทำบุญกันน้อย บรรยากาศบนสวรรค์ ก็จะเงียบหงอย เหมือนหอยป่วย

อาจสงสัยว่า แล้วมนุษย์มีตั้งหกพันล้าน จดเข้าไปยังไงหมด ตอบว่า เขาใช้ความเป็นทิพย์จดจ๊ะ ไม่ได้ใช้มือจด

ที่เขาตั้งศาลพระภูมิ ศาลเจ้า ตี่จู่เอี๊ยะ กันนี่ ก็เพื่อบูชาภูมิเทวดากันนี่แหละ ท่านจึงมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เป็นเจ้าที่ บ้าง เป็นพระภูมิเจ้าที่บ้าง เป็นศาลเจ้าบ้าง เป็นตี่จู่เอี๊ยะบ้าง มาถึงตรงนี้ อาจมีคนเห็นว่า เฮ้ย...นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว นี่มันพราหมณ์ชัด ๆ อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า คนพูดเช่นนี้ ไม่ได้พูดด้วยธรรม คนที่มีธรรมในใจเขาไม่พูดอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ท่านหมายถึงอะไร ก็จำคำท่านมาเล่าต่อ

ตามความเห็นของข้าพเจ้าแล้ว จะศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู หรือ ศาสนาพุทธ ก็แตกต่างกันที่มุมมองเท่านั้น ตัว "ธรรม" นั้น คงเดิม เทวดามีอยู่ จะว่า เทวดาเป็นของพราหมณ์ หรือของพุทธ เทวดาก็ยังมีอยู่ดี เหมือนบุหรี่ คนไทยเรียกบุหรี่ คนลาวเรียกยาดูด สุดท้ายไม่ว่า มันจะเรียกว่า อะไร ไอ้กระดาษมวนยาสูบ ก็ยังคงมีอยู่บนโลกนี้ ฉะนั้น พวกที่ปฏิเสธว่า ศาสนาพุทธไม่มีเทวดา ก็เหมือนกับปฏิเสธว่า กระดาษมวนยาสูบ ไม่มีอยู่จริง และนี่อาจจะเป็นความหมายของอาจารย์ท่านนั้นว่า "เขาไม่ได้พูดด้วยธรรม"

มาดูสิ่งสำคัญดีกว่า สิ่งสำคัญ ไม่ใช่ประเด็นว่า เทวดามี หรือไม่มี เทวดา เป็นของศาสนาไหน สิ่งสำคัญอยู่ที่มุมมอง และมุมมองต่อเทวดาของศาสนาพุทธ ก็แตกต่างจากศาสนาอื่น โดยสิ้นเชิง ศาสนาอื่นสอนให้บูชาเทพ ขอร้องเทพ สวดมนต์อ้อนวอนต่อเทพ แล้วเทพทั้งหลาย จะช่วยเจ้า

ศาสนาพุทธสอนว่า ให้นับถือคุณธรรมของเทวดา ผู้ที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรม ๒ ประการ นั่นคือ หิริ-ความละอายต่อบาป และ โอตตัปปะ-ความเกรงกลัวต่อผลของบาป และสอนว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน (เทพเทวดาที่ไหน ก็มาช่วยท่านไม่ได้) การระลึกถึงคุณความดี ของเทวดาเรียกว่า เทวตานุสสติ เป็นหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ กอง

ดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า การที่จะไปแยกชัด ฟันธงว่า นี่คือศาสนาพุทธ นี่คือศาสนาพราหมณ์ หรือนี่คือศาสนาฮินดู มันไม่สามารถแยกชัดได้หรอก ถ้าแยกชัด ก็หมายถึง ต้องตัดความบางส่วนทิ้ง แล้วทราบได้อย่างไรว่า ความที่ท่านตัดออกไป ไม่ใช่ส่วนสำคัญ

ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ธรรมนั้นมีอยู่ อะไร ๆ ก็รวมอยู่ในธรรมนั้น พระพุทธเจ้าทรงเลือกธรรมที่เห็นว่า เป็นประโยชน์ ออกมาสอนพวกเราเท่านั้นเอง อย่างเรื่องเทวดา ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า สิ่งที่ศาสนาพุทธมี ศาสนาอื่นเขาก็มีเหมือนกัน แต่มุมมองของคนพุทธแตกต่างออกไป

ยังมีเรื่องราวลี้ลับอีกมาก ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เช่น พลังจักรวาล พลังพีระมิด ฯลฯ เรื่องราวเหล่านี้ สามารถศึกษาได้ ไม่ผิดอะไร แต่ถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่องราวเหล่านี้ พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่า มีพลังพวกนี้อยู่ คำตอบคือ ทรงทราบดี แต่ศาสตร์เหล่านี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อมรรค ผล นิพพาน ท่านจึงไม่นำมาสอน ยิ่งถ้าวิชาเหล่านี้ ไปขวางมรรค ผล นิพพาน ท่านจะให้ชื่อใหม่ว่า "เดรัจฉานวิชา"

เดรัจฉานวิชานี้ ใช่ว่า เป็นเฉพาะไสยศาสตร์ มนต์ดำ เท่านั้นนะ อะไร ๆ ที่ไม่สนับสนุน หรือขวางไม่ให้เราไปสู่มรรค ผล นิพพาน ท่านก็เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ทั้งนั้น

อ้าว....โม้ไปถึงเรื่องอะไรนี่ กลับมาว่า เรื่องภูมิเทวดาต่อ ที่เขาเรียกว่า ภูมิเทวดา ก็เพราะท่านมี วิมานลอยอยู่เหนือพื้นประมาณศอกหนึ่งนี่แหละ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอก เป็นวิมานทิพย์ แล้วตัวท่านก็ใหญ่มาก เทวดานี่ตัวใหญ่กว่ามนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า จะเข้าไปอยู่ในศาลพระภูมิอันกระจิ๊ดริ๊ดได้อย่างไร อ้าว...แล้วศาลพระภูมินั่น เขาเอาไว้ทำอะไรกันเล่า ในเมื่อท่านมีวิมานของท่านต่างหาก ตอบว่า เป็นสถานที่นัดพบ ถ้าจะไปไหว้ฉัน บูชาฉัน ไปที่นั่นนะ และเป็นสัญลักษณ์แสดงความเคารพ เหมือนเคารพผู้ใหญ่นั่นละ เทวดาที่เป็นเจ้าที่เจ้าทางเป็นใคร ก็บรรพบุรุษของเรานั่นแหละ บางทีรบกันแล้วตายอยู่ที่นั่น ก็เลยกลายเป็นเทวดาเจ้าที่ ก็ไหว้บรรพบุรุษเรา มันเสียหายตรงไหน คนที่ไม่เคารพสถานที่ ก็เหมือนไม่เคารพบรรพบุรุษด้วย ที่เรามีพื้นดินเหยียบ ประกาศก้องโลกได้ว่า เราเป็นคนไทย ก็ไม่ใช่พระคุณพวกท่านทั้งหลายที่สละชีพ เอาเลือดทาแผ่นดิน รักษาขวานทองนี้ไว้ให้พวกเราใช้รึ

อ้าว...จะคุยเรื่องเข้าองค์ทรงเจ้า ไหงเวียนมาคุยเรื่องภูมิเทวดานี่ เอ็นทรี่นี้ร่ายมายาวพอควรแล้ว เดี๋ยวจะตาบอดนอนหลับกันไปเสียก่อน ประสบการณ์ตรงต่อเรื่องราวพวกนี้ ขอแปะไว้ก่อน ไว้อ่านตอนหน้าดีกว่า

จบตอน ๑

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons