วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตคนเราเกิดมาทำไม ตอนที่ ๑by Dhammasarokikku

_4_353หลวงพี่ช่วยตอบคำถามว่า ชีวิตเราเกิดมาทำไม ได้ไม๊คะ
คือว่าถูกคนถามมาอะ ว่าคนเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร แล้วตอบเค้าไม่ได้อะ

เขียนบล็อกไป เขียนบล็อกมา จะกลายเป็นเทพแสนรู้ ตอบได้ทุกเรื่องไปแล้วตรู คำถามนี้ จริง ๆ ต้องไปคิดค้นเอาเองนะ แต่ละคนมีเหตุผลของการมีชีวิต หรือคำตอบของชีวิตไม่เหมือนกัน ตามภูมิธรรมของตน ถ้าถามว่า "ทำไมคนเราต้องเกิดมา" ซี้จะตอบได้แบบฟังธงว่า เพราะเรามีปัจจัยหลัก ๓ ประการ ครับ ทำให้ต้องเกิด

๑. อวิชชา ความไม่รู้ ความโง่ โดยย่อก็คือ ไม่รู้ทุกข์ นั่นเอง ทุกข์ คืออะไร ทุกข์คือกาย คือใจนี้ ไม่รู้ทุกข์ คือ ไม่รู้กาย ไม่รู้ใจ นั่นเอง กายกับใจรวมกัน ก็คือ ขันธ์ ๕ อวิชชา คือ ไม่รู้ว่า ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วน ๆ คนเราโดยปกติ จะคิดว่า กายนี้ใจนี้ เป็นทุกข์ บ้าง เป็นสุขบ้าง สลับกันไป นั่นเป็นความเห็นผิด ครับถ้าเห็นถูกต้อง จะเห็นว่า กายนี้ ใจนี้ เป็นทุกข์ล้วน ๆ เพราะความไม่รู้นี่เอง จึงคิดว่า การเกิดเป็นของดี ของประเสริฐ คนที่ทำบุญแล้ว อธิษฐานว่า "ชาติหน้าขอให้... " นั่นแปลว่า ยังพอใจ "การเกิด" อยู่นะ ครับ

๒. ตัณหา ความอยาก ก็คืออยากเกิด หรือไม่อยากเกิด ก็พาให้เกิดเหมือนกัน (อยากเกิดเรียกภวตัณหา ไม่อยากเกิดเรียกวิภวตัณหา)

๓. กรรม การกระทำในอดีตส่งผลให้ต้องมาเกิด เพื่อใช้กรรม

๓ อย่างนี้ละ ครับ ที่พาให้เรามาเกิด ตัวเนื้อหาของ "ชีวิตคนเราเกิดมาทำไม" นั่งร่างนั่งเขียนอยู่หลายวันแล้ว มันออกแนวเครียด ๆ เลยหาวิธีเข้าซองอยู่ สุดท้ายก็ไม่พ้นเอาชีวิตตนเองมาเป็นเคสสตัดดี้อีกนั่นแล (ขออภัย... ถนัดอยู่แนวเดียว)

สมมุติฐานที่ ๑ คนเราเกิดมาเพื่อเก็บเงิน

แรกเริ่มวัยเยาว์ เห็นเงินสามารถเสกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องการได้ ก็เลยเพียรหมั่นหามาแต่เล็ก ครับ ข้าพเจ้าเริ่มค้าขายมาตั้งแต่ ป.๔ สินค้าชิ้นแรกที่ประเดิมสู่ตลาด คือ สก๊อตเทป เหตุเพราะข้าพเจ้าเป็นโรคจิต ตอนเช้าต้องซื้อมันมาทุกวัน วันละม้วน และก็มีเพื่อนโรคจิต ขอใช้ได้ทุกวันเหมือนกัน บ่อยเข้าก็เลยเกิดการซื้อขายขึ้น ม้วนละ ๑ บาท เท่าทุน (แล้วจะขายไปทำไมฟระเนี่ยะ)

มีอยู่ัวันหนึ่ง พี่ชายพาไปเที่ยวตลาด และแนะนำร้านค้าขายส่งให้รู้จัก ครับ จึงเริ่มรู้ว่า การที่เราซื้อสินค้าทีละมาก ๆ สินค้าจะถูกลง พอขึ้น ป.๕ กิจการค้าจากเดิมสินค้ามีแค่อย่างเดียวคือ สก๊อตเทป จึงขยายกิจการเป็นขายขนม แข่งกับร้านแคนดี้สโตร์ในโรงเรียน ราคาเท่ากันแต่เราเจ๋งกว่าตรงที่เป็นคอนวีเนี่ยนสโตร์ เอามาเปิดขายกันในห้องเรียนเลย เขาเจ๋งกว่าตรงที่มีขนมให้เลือกหลากหลายกว่า เปรียบได้กับซุปเปอร์สโตร์ แต่ไปซื้อได้เฉพาะเวลาพักเที่ยง

กิจการค้าใต้ดินของข้าพเจ้าเป็นไปอย่างเงียบสงบ ครับ ได้กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง ซึ่งภายหลังตอนโตแล้วมาทราบจากคำสารภาพของเพื่อน ๆ ว่า พวกเขามาแอบขโมยกินตอนพักสิบนาที หรือตอนพักเที่ยง ครับ เลยขาดทุน

พอขึ้น ป.๖ แววเจ้าของกิจการก็เริ่มออกลาย ครับ กิจการค้าที่เคยทำการตลาดแบบมั่ว ๆ ดูขนมตามความชอบของตัวเอง ก็เริ่มมีการวิจัยตลาดว่า เพื่อน ๆ เขาชอบกินขนมอะไรเป็นพิเศษ และแตกไลน์ (diversification) หันมาขายเครื่องเขียนด้วย

ความจริงข้าพเจ้าได้ลืมอดีตทั้งหลายไปหมดแล้ว ครับว่า สมัยเด็ก ๆ เคยสร้างวีรกรรมอะไรไว้บ้าง จนมาเมื่อสามสี่ปีก่อน ได้พบเพื่อนเก่า เขาก็เป็นลูกพ่อค้าที่มีความเฉลียวฉลาดเชิงการค้า ระดับอัจฉริยะ ครับ เขาปรารภถึงแววสมัยเด็กของข้าพเจ้าว่า เขาเคยทึ่งในความหัวเสของข้าพเจ้ามาก ๆ วันใดที่มีการใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น อาจารย์สั่งให้เอากระดาษแข็งมาทุกคน เขาจะเห็นข้าพเจ้าพกกระดาษแข็งมามากกว่าที่อาจารย์สั่ง เพื่อขายให้พวกที่ลืมเอามา ในราคาแพงพิเศษกว่าปกติเล็กน้อย และไม่ใช่ครั้งเดียว ครับ เพื่อนบอกว่า เวลาผ่านไป ข้าพเจ้าก็พัฒนาการค้าไปเรื่อย เพื่อนคิดว่า โตขึ้นข้าพเจ้าคงไปไกลแน่ ๆ ข้าพเจ้าก็แอบฮาตัวเอง ช่างเป็นเด็ก ป.๖ ที่แสบสิ้นดี ครับ ขณะที่เพื่อน ๆ ถูกพ่อแม่ประคบประหงมจนแทบจะมีหน้าที่เรียน และเล่นเท่านั้น ข้าพเจ้ากลับมีไอเดียพิลึกพิลั่น

เคยได้อ่านประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางโลกหลายคน อย่างเช่น คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ในหนังสือเรื่อง "ผมจะเป็นคนดี" อ๊ะ... พวกเขาก็ขายของกันตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ครับ จึงทราบว่า เราไม่ได้พิลึกไปคนเดียว ที่พิลั่นไปกว่าคนอื่นก็คือ ข้าพเจ้าเิริ่มกิจการค้าเพราะ "ความงก" เป็นปัจจัย ส่วนคนอื่นเขาอาจเริ่มกิจการค้าเพราะความจำเป็นทางบ้าน

กิจการค้ามาบูมสุดช่วง ม.๓ ครับ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตวัยรุ่น จะดีจะชั่วมาวัดใจกันช่วงนี้ก็มาก ช่วงที่ใคร ๆ เขาหัวนมแตกพาน หัวการค้าของข้าพเจ้ากลับแตกพานยิ่งกว่าหัวนม กิจการข้าพเจ้าเข้าสู่ยุครุ่งเรืองสุดขีด เนื่องเพราะจับทางถูกว่า เพื่อน ๆ ชอบขนมราคาแพง ครับ

_1_963กูลิโกะ อัลมอนด์ สำหรับข้าพเจ้าสมัยนั้น เป็นขนมที่แพงมาก ครับ กล่องละตั้ง ๒๐ บาท (ซึ่งถ้าไปซื้อราคาขายส่ง จะได้มาที่ ๑๖ บาท) ข้าพเจ้าเองหากอยากกิน ก็ต้องให้ผู้ปกครองเป็นคนซื้อให้ละครับ ตัวเองไม่มีปัญญา หรืออาจจะงกเกินกว่าจะสนองกิเลสตัวเองด้วยจำนวนเงินที่สูงถึง ๒๐ บาท ก็ไม่ทราบ ตอนนั้นก็ซื้อมาทดลองตลาดเฉย ๆ ครับ คิดว่าจะหาอะไรที่แปลกไปกว่า ลูกอม ๓ เม็ดบาท ที่มีปกติขายอยู่ มาลองเปิดตลาดบ้าง ใจไม่ได้คิดเลย ครับว่า มันจะขายดีเป็นเทน้ำเทขวด ถึงขนาดไม่พอขาย

ตอนนั้นก็ได้ทราบขึ้นมาอีกนิด ครับถึงพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior) ว่า ไม่ใช่เพียงความอร่อย หรือราคาเท่านั้น ที่ทำให้ร้านขนมสะดวกซื้อของข้าพเจ้าดังเป็นพลุ ข้ามไปถึงห้องข้าง ๆ หากแต่นักเรียนโรงเรียนข้าพเจ้า มีพฤติกรรม "เอาอย่างกัน" ครับ แกมี ฉันต้องมี แกกินไอ้นี่ ฉันก็ต้องกินไอ้นี่ แกซื้อไอ้นั่น ฉันก็จะซื้อตาม ไม่ต่างจากสมัยนี้ ครับ การตลาดปัจจุบันที่ได้ผลมาก จึงเป็นการสร้าง "กระแส"

จากการแนะนำสินค้าใหม่ลงสู่ตลาด ทำให้กิจการค้ามีกำไรเป็นกอบเป็นกำ จากที่ขายลูกอมได้กำไรวันละไม่กี่บาท บางวันก็ถูกขโมยกินฟรี กระเป๋านักเรียนเริ่มใส่สินค้าไม่พอ ต้องขยายสโตร์เรจ โกดังเก็บสินค้า เป็นเป้ เพิ่มอีก ๑ ใบ ซึ่งสมัยนั้นเขานิยมไม่เป้พูม่า ก็คอนเวิร์ส

ยุคทองของร้านขนมดิลิเวอร์รี่ได้มาถึงพร้อมเป้คอนเวิร์สออลสตาร์ ที่อัดแน่นด้วยขนมล้วน ๆ ครับ หนักมาก ใหญ่มาก แน่นมาก เกินว่าจะเอาไปร่วมเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้าได้ เป้จึงถูกนำมาแอบวางในห้องเรียน เตรียมเปิดร้านค้าระหว่างเรียน ล่วงหน้า

นอกจากนี้ ยังมีกิจการค้าขวดน้ำอัดลม (แลกเงินมัดจำ) เสริมด้วย ครับ พอดีพล่ามไปแล้วใน เอ็นสะท้าน - ข้อคิด ชีวิต และกำลังใจ ถึงน้อง ๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบ

ตัวเลขในบัญชีออมทรัพย์ของเด็ก ม.๓ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากที่เดิมมีเกือบหมื่นช่วงประถม เป็นสี่หมื่นในช่วงมัธยมต้น ที่กิจการเฟื่องฟู ถึงจะมีเงินมากขนาดนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้นำมันออกมาซื้ออะไรที่อยากได้ ครับ กลับมีความสุขที่ได้เห็นตัวเลขในบัญชีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ โอ๊ะ... ชีวิตเราเกิดมาเพื่อเก็บเงินเป็นแน่แท้

แจ็คพ็อตมาแตกเอาตอนที่อาจารย์ประจำชั้น มาพบเป้กรุสมบัติ ที่แอบเอามาวางไว้ในห้องเรียน ก่อนเวลาเรียนเข้าครับ หลังจากทำหน้าเจื่อน ๆ จืดสนิทเข้าไปพบท่าน ท่านก็แสดงโอวาทให้ ๑ กัณฑ์ ตักเตือนอีก ๓ กัณฑ์ สุดท้ายด้วยความสงสาร เพราะคนอื่นเขาเฮ้วกว่านี้เยอะ ครับ ดูดบุหรี่ในส้วมบ้าง หนีเรียนบ้าง แทงสนุ้กบ้าง ก็เลยอนุญาตให้กิจการค้าดำเนินต่อไป โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คาดโทษไว้ว่า ห้ามมีเศษเปลือกขนมหลงเหลือบนพื้นห้องแม้แต่ชิ้นเดียว มิฉะนั้นให้ปิดกิจการไป ข้าพเจ้่าจึงกลายเป็นเวรทำความสะอาดห้องตอนเย็นขาประจำไปโดยปริยาย

พอขึ้น ม.ปลาย กิจการก็ซบเซาลง จนปิดกิจการไปในที่สุด จำไม่ได้แล้วว่า เกิดอะไรขึ้น อาจเป็นเพราะเด็กโตขึ้นแล้วกินขนมน้อยลง หรือต้องเตรียมตัวเอ็นสะท้าน กระมัง

ซึ่งสมมุติฐานว่า คนเราเกิดมาเพื่อเก็บเงิน ก็เป็นอยู่นาน ครับ จนพ้นเขตวัยรุ่น เข้าสู่วัยทำงานนั่นแล ความเห็นต่อโลกจึงเปลี่ยนไป คนเราอาจจะเกิดมาเพื่อใช้เงิน ต่างหาก ข้าพเจ้าก็ใช้เงินซื้อความสุขทั้งหลาย แต่เอ๊ะ... แล้วความสุข คืออะไร ครับ

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons