ถ้าหากคุณมีบ้านแล้วยังไม่ได้สร้างรั้วบ้านหรือสร้างแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าถูกต้องตามหลังฮวงจุ้ยหรือเปล่าเรามีคำแนะนำดีๆมาฝากกันค่ะสำหรับเรื่องรั้วบ้านว่าควรปฏิบัติแบบไหนแบบไหนไม่ควรทำ
1 ห้ามสร้างรั้วบ้านก่อนสร้างบ้าน
ข้อห้ามนี้คงเคยได้ยินกันมาบ้าง ในตำราให้เหตุผลเอาไว้ว่าเหมือนสร้างคุก รอคนเข้าไปอยู่เพราะกำแพงล้อมทั้งสี่ด้านก็ไม่ต่างไปจากคุกนั่นเอง หลักการสร้างบ้านจะต้องสร้างจากด้านในขยายไปสู่ด้านนอกจึงจะถือว่าถูกต้อง รั้วจึงเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะสร้าง
2. ห้ามสร้างรั้วสูงหรือต่ำเกินไป
การสร้างกำแพงรั้วสูงจะปิดบังลมที่พัดเข้าบ้าน และผู้อยู่อาศัยจะรู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่ในที่คุมขัง การสร้างรั้วสูงส่วนใหญ่จะเหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่มากๆ แล้วตัวบ้านไม่ได้อยู่ชิดรั้วมากจนเกินไปความรู้สึกอึดอัดก็จะลดน้อยลง ถ้าสร้างรั้วต่ำก็ล่อแหลมต่อการถูกโจรขโมยขึ้นบ้าน เพราะฉะนั้นจึงควรกำหนด ความสูงของรั้วให้อยู่ในระดับที่พอดี
3. รั้วโปร่งดีกว่าทึบ
การสร้างรั้วโปร่งจะให้ความรู้สึกสบายไม่อึดอัดกับผู้อยู่อาศัยในบ้านการไหลเวียนของลมที่พัดเข้าสู่บ้านก็จะได้ประโยชน์เต็มที่ แต่ถ้าเป็นกรณี ของบริษัท โรงงาน โกดังเก็บของ อาจจำเป็นจะต้องสร้างรั้วทึบเพื่อป้องกันโจรขโมย เพราะฉะนั้นการสร้างรั้วจึงต้องดูที่ความจำเป็นและประโยชน์ใช้สอยด้วย
4. ห้ามเจาะช่องหน้าต่างที่กำแพงรั้ว
ถ้ารั้วเป็นกำแพงทึบ การเจาะ ช่องที่กำแพง ถือเป็นข้อห้าม เพราะจะทำให้พลังชี่บ้านนั้นจะเก็บทรัพย์เอาไว้ไม่อยู่ นอกจากนี้ บ้านยังขาดความมั่นคง โจรขโมยสามารถมองเห็นภายในบ้านได้ง่าย
5. รั้วบ้านห้ามทำเป็นลูกกรงซีกหรือเหล็กแหลม
ลักษณะของรั้วลูกกรงที่มีเหล็กแหลมอยู่ด้านบนคนที่อยู่ในบ้านก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรงหรือกรณีที่เอาเศษแก้วไปเสียบเอาไว้บนขอบรั้ว กำแพงเพื่อป้องกันขโมยปีกเข้าบ้านก็จะเข้าข่ายเดียวกันในทางฮวงจุ้ยถือว่าไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ถ้าจะใช้รั้วแบบนี้ ควรจะมีการแต่งลวดลายโค้งวงกลมเสริมเข้าไปยอดบนที่มีลักษณะลูกศรที่แหลมคมก็ใช้วงกลมใส่แทนเข้าไปเพื่อลดความรู้สึกก้าวร้าว ของความแหลมคมลง
6. วัสดุในการสร้างรั้วเป็นไม้ดีที่สุด
การสร้างรั้วบ้านโดยใช้วัสดุที่เป็นไม้จะให้ความรู้สึกที่ดีและเหมาะกับบ้านอยู่อาศัยมากที่สุด เพราะไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติโดยตรง คนในบ้าน จะรู้สึกใกล้ธรรมชาติมากกว่ารั้วที่เป็นปูนหรือเหล็ก แต่ในปัจจุบันรั้วบ้านส่วนใหญ่ จะวัสดุที่เป็นปูนผสมเหล็กเพราะแข็งแรงกว่า และประหยัดกว่าการใช้ไม้ที่มีราคาค่อนข้างแพง ถ้ารั้วจะเป็นปูนหรือเหล็กก็คงไม่ผิดอะไรขอให้แข็งแรงเป็นใช้ได้
7. การปลูกต้นไม้ทำเป็นรั้ว
ลักษณะรั้วแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก เพราะคนไม่ค่อยนิยมทำกันเนื่องจากมองว่าแข็งแรงสู้รั้วปูนไม่ได้ นอกจากนี้ยังดูแลยากต้องคอยตัดแต่งต้นไม้อยู่เสมอ ส่วนใหญ่จะนิยมทำกันตามบ้านที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยดีอย่างหมู่บ้านใหญ่ ๆ เพราะไม่ต้องห่วงในเรื่องของโจรขโมยขึ้นบ้าน ในทางฮวงจุ้ยถือว่ารั้วแบบนี้เป็นรั้วธรรมชาติจริง ๆ ย่อมส่งผลดีต่อบ้านนั้นมากกว่าเสีย
8. รั้วที่ชำรุดหรือแตกร้าวเป็นลางร้าย
ในทางฮวงจุ้ยจะให้ระวังสิ่งที่เสื่อมสภาพหรือชำรุด เพราะถือเป็นลางร้ายที่บ่งบอกว่าบ้านหลังนั้นจะประสบกับปัญหาเจ้าของบ้านจะพบกับความล้มเหลวได้ รั้วบ้านที่แตกร้าวผุผังแทนความหมายของความมั่นคงที่ถูกทำลายลง เพราะสิ่งที่ป้องกันภัยจากนอกบ้านกำลังเสื่อมสภาพลง เพราะฉะนั้นจึงควรหมั่นดูแลรักษาสภาพของรั้วให้แข็งแรงและดูใหม่อยู่เสมอ
ครบทั้ง 8 วิธีในการเลือกสร้างรั้วบ้านให้ถูกต้องตามตำราแล้วเจ้าของบ้านท่านใดสนใจสามารถนำไปปฏิบัติได้นะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก Horolive (อ.เทวีโชค)
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com
วันนี้วันพระ มีใครไปใส่บาตรกันบ้าง เหงื่อตกทีเดียววันนี้สำหรับพระกรุงเทพฯ วันนี้ข้าพเจ้าบิณฑบาตได้ของแปลกมาหลายอย่าง อย่างแรกคือ "มุ้ง" ฉันไม่ได้แต่เท่ อย่างที่สองคือ "ยาสามัญประจำบ้าน" ๑ ถุงใหญ่ ความจริงยามันไม่แปลกหรอกครับ เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ ฉันได้ ก็ถือว่าใช้ได้ แต่มันแปลกตรงที่ข้าพเจ้าดันไม่มีลูกศิษย์ลูกหาคอยเดินตาม ข้าพเจ้าเดินบิณฑบาตแบบแรมโบ้ บุกเดี่ยว เพราะคงไม่มีใครบ้าพอ คิดจะเดินตามข้าพเจ้า เคยมีเพื่อนมหาลัย มาช่วยเดินตาม แบกย่ามบิณฑบาตให้ ๒ ครั้ง แล้วไม่มาอีกเลย
ที่ว่า ๒ ครั้งนั้น ครั้งแรกเขาก็ถอดใจแล้วครับ ครั้งที่ ๒ ที่มานี่ จำใจมาครับ เพื่อไถ่โทษ ที่คุยว่า จะขึ้นดอยไปร่วมด้วยช่วยกัน แล้วสุดท้ายไม่ยอมไป (แต่ความจริงเขาก็ไม่ได้ให้คำมั่นอะไรนะ แค่พูดเปรย ๆ ข้าพเจ้าเองต่างหากที่ตอนนั้นหน้ามืดตามัว กลัวไม่มีคนช่วย เลยเจอใครเป็นชวนดะ ที่เขามาเขาก็มาเอง เพื่่อชดเชยความรู้สึกผิดของเขาเอง ข้าพเจ้าไม่ได้เรียกร้องอะไร แค่ทำหน้า ทำเสียง เซ็ง ๆ เท่านั้นเอง) ข้าพเจ้าก็พาเขาแบกบุญหนักราว ๆ เกือบ ๒๐ กิโล(หรือกว่านั้น) ท่องไปในโลกกว้าง เดินจากวัดท่าพระ ไปสู่แมคโครบางขุนศรี
บุญอันหนักยิ่ง ส่งผลในชั่วข้ามคืน พอดีเพื่อนคนนี้เพิ่งกลับมาจากเยอรมัน จบปริญญาเอกสด ๆ ร้อน ๆ ทางโรบ็อต หรือ วิศวกรรมหุ่นยนต์ (แค่ฟังชื่อปริญญาก็รู้แล้วว่า หางานในเมืองไทยทำยาก) หางานมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว กำลังกลุ้มใจไม่มีงานทำ คืนนั้นสมัครงานไปทางอีเมล์ และได้รับคำตอบรับในวันรุ่งขึ้น เวลานี้ข้ามทะเลไปทำงานอยู่เกาะญี่ปุ่นซะแล้ว โธ่...ขาดคนแบกย่ามเลย
ใครที่ยังตกงานอยู่ อยากทดลองอานุภาพของบุญเฮฟวี่เวทดังกล่าว ติดต่อมาได้ แล้วท่านจะได้รู้ว่า นรกมีจริง
เอาละ...มาเข้าเรื่องกันดีฝ่า เมื่อวานแอบป้วนเปี้ยนไปยังบล็อกของเกลอเก่า ไม่ได้ไปเยี่ยมเสียนาน เลยได้รู้ว่า ตัวเองถูกเอาไปเม้าท์โดยไม่รู้ตัว เลยจัดการเม้นท์ไว้เสียยาวเหยียด เพื่อนคนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเอ็นทรี่หลาย ๆ เรื่อง และวันนี้ก็เช่นกัน
ความจริงแล้วเรื่องดูดวง ดูฮวงจุ้ย ดูฤกษ์ดูยาม ดูลายมือ สารพัดดูนี่ พระพุทธเจ้าท่านว่า เป็นเดรัจฉานกถา(สำหรับพระ)
คำว่า "เดรัจฉาน" ในศาสนาพุทธ ไม่ใช่คำหยาบนะ เป็นชื่อเรียกภูมิภูมิหนึ่ง เป็นคำกลาง ๆ ไม่ใช่คำด่า เหมือนคำว่า "สัตว์นรก" ฟังครั้งแรก เฮ้ย...ด่ากรูป่าวฟะ พอฟังไปบ่อย ๆ แล้วเอามาพินิจพิจารณา ก็สิ่งมีชีวิตที่จุติในนรก มันไม่มีชื่อเรียกอื่นนี่หว่า ก็ต้องเรียกว่า "สัตว์นรก"
คำว่า "ฉิบหาย" ก็เช่นกัน ในบาลีแปลว่า ตายจาก สูญสิ้นไป อะไรเทือกนั้น ฉิบหายจากความดี ก็คือ ตายจากความดี และอีกหลาย ๆ คำ ที่พอมาเป็นภาษาไทยแล้ว โทนของศัพท์ให้ความรู้สึกด้านลบ เช่น คำว่า "ทิฏฐิ" เพราะมักได้ยินเสมอว่า คนนี้ทิฏฐิมาก ในความหมายว่า คนนี้ไม่ฟังใคร เชื่อมั่นในตัวเองสูง ทั้งที่ความจริง ทิฏฐิ เป็นคำกลาง ๆ แปลว่า ความเห็น จะให้บวก หรือลบ ต้องเติม prefix คำนำหน้าเข้าไปเช่น สัมมาทิฏฐิ ก็คือ ความเห็นชอบ, มิจฉาทิฏฐิ ก็ความเห็นผิด เป็นต้น
อ้าว...วันนี้ไม่ใช่รายการภาษาอังกฤษวันละนิด หรือ ธรรมะวันละหน่อย แต่กลายเป็นบาลีวันละจ้อยไปซะแล้ว
ต่อจากบาลี ก็จะเล่าเดรัจฉานกถา โอ๊ว...เจริญจริงเรา ในที่นี้แปลว่า คำพูดอันไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน
พิจารณาแล้ว มีบางแง่ของเดรัจฉานกถา น่าจะมีประโยชน์แก่คนทั้งหลาย เลยหยิบยกขึ้นมาคุยโม้เสียหน่อย (ฟ่อด ๆ)
เดรัจฉานกถาว่าด้วย ฮวงจุ้ย
ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ แล้ว จะว่าเดรัจฉานกถาทั้งที ก็ขอเท้่าความเดิมเสียหน่อยว่า เป็นไงมาไง ถึงมาโผล่เป็นเอ็นทรี่นี้ได้ อยากทราบว่า คุณเกลอเก่าเม้าท์ข้าพเจ้าว่ากระไร ไปดูที่เอ็นทรี่นี้ แต่ถ้าขี้เกียจอ่าน จะโค้ดเฉพาะที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องในวันนี้มาดูกัน ดังนี้
และด้วยนิสัยเบสิคของทั้งสองท่านนี้ มันก็ส่งผลต่อมาว่า แม่เป็นคนเชื่อหมอดูง่ายสุดๆ ตลอดชีวิตของเรา มีหมอไม่รู้กี่ร้อยพันหมอ คนทรงไม่รู้กี่คน คนที่อ้างว่ามีองค์ บลาๆอีกมากมาย แวะเวียนมาที่บ้าน ไม่ได้ขาดสาย ในขณะที่พ่อ ก็จะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้สุดๆ พ่อ เคยบอกว่า เวลาตั้งศาลพระภูมิที่ Site งาน (พ่อหนูเป็นวิศวกร) พ่อไม่เคยไปเชิญใครมาตั้งให้ด้วยซ้ำ กะๆเอาเอง ว่า เอาตรงนี้ละวะ เรียกคนงานมา เอ้า! สวดตาม แล้วพ่อก็สวดไรไปเรื่อยไม่รู้ พ่อบอก คิดเองสดๆ ="= ภาษาไทยนี่ละ ไม่ต้องบาลี คนงานก็สวดตาม ศาลก็ตั้งมาได้ด้วยดี ก็ไม่มีเหตุเภทภัยอะไร ^^; ในขณะที่ ถ้าเป็นแม่ ตอนนี้เราจะย้ายเข้าไปทำงานที่ใหม่ แม่จะหาฤกษ์แล๊วววววว หาฤกษ์อีก อัญเชิญหมอดูฮวงจุ้ย ไปดูตำแหน่งห้องทำงานใหม่เรา เฮงมั๊ย บลาๆขยันหาเรื่องมาให้เราทำโน่นทำนี่ กลัวเราจะดวงไม่ดี - -* พอ เราไม่เชื่อ ไม่ยอมทำพิธีตาม ก็หาว่าเราโดนทำของอีกตังหาก ="= ตอนน้องเราเล่นคัสตอมตุ๊กตาแรกๆ ก็โดนหาว่า โดนกุมารทองเข้าสิง ถึงเล่นตุ๊กตาไม่เลิก -*- พอเราได้รางวัลแกถึงได้เข้าใจว่า อ้อๆ มันเป็นงานอดิเรก
ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปเม้นท์ไว้ดังนี้
ที่ว่า คุณพ่อ กะ ๆ เอา แล้วก็ตั้งศาลพระภูมิ และว่ากลอนสด เป็นภาษาไทยนั่น ถูกซะยิ่งกว่า ไปคาร์ฟูร์ อีกครับ พวกเหล่าพราหมณ์กำมะลอ และไม่กำมะลอ เขาก็ทำกันอย่างนี้แล คือใช้ความรู้สึกเอา
และที่ว่าพิธีเป็นภาษาไทยนั่น ก็ถูกยิ่งกว่า ไปบิ๊กซี ครับ อย่างที่เคยเขียนไปไว้ใน ทำบุญอย่างไรให้ได้แฟนหน้าตาดี นั่นแล มันเป็นเรื่องของจิต ๒ ดวง ระหว่างคุณพ่อ กับเจ้าที่ การตั้งศาลพระภูมิ วัตถุประสงค์หลัก เพื่อเป็นสถานที่นัดพบ ประมาณว่า ถ้าอยากไหว้ฉัน ไปที่นี่นะ และเป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมรับนับถือเจ้าของที่คนเก่า ที่ตายไปแล้ว
ภาษาเป็นเพียงแค่สื่อเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่เขาใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย ก็ด้วยต้องการให้เกิดสมาธิ สร้างความมั่นใจ หรือทำให้ดูขลังเป็นหลัก
ยิ่งไปกว่านั้น คุณพ่อเองก็อาจจะมีความสามารถเหมือนเหล่าพราหมณ์ทั้งหลาย เพียงแต่ท่านไม่สนใจ และไม่คิดจะเอามาเป็นเครื่องมือหากิน (กรูเป็นวิศวกร เก่งกว่าพราหมณ์โนเนมตั้งเยอะ หากินได้สารพัดแบบ)
เรื่องอย่างนี้พูดลำบาก เพราะท่านอาจมีความสามารถพิเศษเช่นนี้มาแต่เด็ก และคิดว่า คนอื่นก็คงมีเหมือนกัน เมื่อคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนรู้กันเป็นธรรมดา ท่านจึงไม่ได้ใส่ใจเอามาสนทนา เมื่อไม่สนทนา จึงไม่ทราบว่า ความสามารถที่ตนมี พิเศษกว่าชาวบ้าน ที่สำคัญ ท่านไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เสียด้วย ท่านก็จะว่า โอ้ย...เรื่องธรรมดา ใคร ๆ เขาก็มีกันทั้งนั้น
ข้าพเจ้าเคยเจอพระรูปหนึ่ง บวชมา ๘ พรรษา เฮียแกมีเจโตปริยญาณ-ญาณหยั่งรู้ใจคน แต่เฮียแกกลับบอกว่า เฮ้ย...มันเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็ทำได้
ข้าพเจ้านั่งมองตาปริบ ๆ โห...ญาณตัวนี้ เขาอยากได้กันจะตาย เพราะมีแล้ว ขลังอย่าบอกใคร ไม่ต้องไปนั่งเรียนวิชาใดใด เพื่อจะได้เป็นจอมขมังเวทย์ คนเดินมาหา ทักตูมเดียว อะ...คุณมาหาผมเรื่องนี้ใช่ไหม จบข่าวเลยครับ ไม่ต้องเีสียเวลาโฆษณาช่วงไพรมไทม์ แค่นี้ก็ศรัทธากันหัวปักหัวปำ แต่ฝึกกันจนแทบจะแก่ตาย หัวหงอกไปครึ่งหัว ก็ยังไม่มีวี่แวว เฮียแกบอกเรื่องธรรมดา
นี่แหละน้า...เขาทำมาดี เขาทำมาเยอะ
ส่วนพราหมณ์กำมะลอพวกนั้น รู้นิด เห็นหน่อย ก็คิดว่าตัวเองเก่งเสียเหลือเกิน รีบเอาความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นมาทำมาหากิน พวกเก๋าจริง เขาไม่ต้องมารับดูดวง หลอกลวงเขากินไปวัน ๆ อย่างนี้หรอก
อ่านแล้วอาจจะรู้สึกว่า ช่างงมงายได้ใจ ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าพิจารณาความเก๋า ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง จากความสามารถในการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นเกณฑ์
ศึกษาไปศึกษามาพบว่า ศาสนาพุทธ อธิบายได้กว้างมากจริง ๆ รวมถึงอธิบายถึงศาสตร์ที่ดูงมงายเหล่านี้ได้ด้วย ข้าพเจ้าจึงยกย่องว่า ศาสนาพุทธนี่ เก๋าจริง
มาว่ากันต่อไปครับ ในพารากราฟดังกล่าว มีการพาดพิงถึงหมอดูฮวงจุ้ย เสียด้วย ข้าพเจ้าขอใช้สิทธิพาดพิง ณ บัดนี้
ศาสตร์ของหมอดู ถ้าว่ากันในแง่วิทยาศาสตร์ ความจริงแล้ว มันคือ วิชาสถิติ ครับ รวมถึงวิชาฮวงจุ้ยนี้ด้วย
คนจีนได้รวบรวมข้อมูล และทำการวิจัย ศาสตร์นี้มานับพันปีแล้วครับ กว่าจะตกทอดมาถึงรุ่นของเรา
หมอดูฮวงจุ้ย ในเมืองไทยรู้จักกันในนามของ ซินแส
ที่นำเรื่องราวของการดูฮวงจุ้ย มาสาธยาย มิใช่ให้ไปหลงงมงายนะครับ แต่ประสงค์เพื่อไม่ให้ถูกหลอก เพราะซินแสปลอม เดี๋ยวนี้ระบาดเยอะ และศาสตร์นี้ ก็ใช่ว่า จะไม่มีมูลความจริงเสียเลย
จากการศึกษาศาสตร์เกี่ยวกับภูมิโหราศาสตร์ หรือฮวงจุ้ย จากชมรมภูมิโหราศาสตร์แห่งประเทศไทย ก็พบว่า มันมีหลักการอันน่าเชื่อถือ และพิสูจน์ได้พอควร
การตั้งศาลพระภูมิ ก็อยู่ในการดูฮวงจุ้ยด้วย เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ฮวงจุ้ย เพราะเป็นการเปลี่ยนทิศ ประธานของบ้าน หรืออาคารสิ่งปลูกสร้าง
ความสำคัญสุด ๆ หัวใจของฮวงจุ้ย อยู่ที่ทิศของประธานครับ
ถ้าบ้านโล่ง ๆ ไม่มีอะไรเลย ผนังหลังบ้าน จะเป็นประธานของบ้านครับ
เวลาไปเชิญท่านหมอดูมาดูฮวงจุ้ยของบ้าน ซินแสจะจัดการจับวัดมุมของผนังหลังบ้านว่าทำมุมกี่องศา เป็นอันดับแรก แล้วทำการคำนวณ ตามหลักวิชาการ (ซึ่งตรงนี้ ถ้าเราไม่ถาม ท่านก็จะจัดการของท่านไป ถ้าเราถาม ซินแสที่เก๋าจริง ก็จะบอกว่า ท่านกำลังทำอะไร และอาจอธิบายอะไรเพิ่มเติมมากมาย ส่วนซินแสกำมะลอ ส่วนใหญ่จะหวงวิชา ความรู้หางอึ่ง ก็นึกว่าตนรู้มาก หรือเกรงจะถูกจับไต๋ได้ ก็กลบเกลื่อนเสีย พูดเป็นอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่อง หรือให้คำอธิบายประเภท นิ่งไว้ เดี๋ยวดีเอง บ้างก็ว่า เป็นเคล็ดลับเคล็ดขัดยอก จะมาเฉลยกันได้อย่างไร เดี๋ยวอั๊วะก็หากินไม่ได้ซี ซึ่งความจริงแล้ว ต่อให้สาธยายความจนหมดเปลือก ก็ไม่สามารถรู้ตาม หรือจับใจความวันเดียว ชั่วโมงเดียว แล้วจะเป็นซินแสได้)
อุปกรณ์หากิน ที่สำคัญโคตร ๆ ของซินแส เรียกภาษาจีนว่าอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ แต่ภาษาไทยคือ "เข็มทิศ"
ว่ากันว่า การจับองศาที่แม่นยำที่สุด ใช้เข็มทิศแดด
เพราะในการวัดองศา ประธานของอาคารนั้น ความละเอียดว่ากันระดับ ครึ่งองศา เพี้ยนไปเพียงครึ่งองศา ฮวงจุ้ยเปลี่ยนหมดเลย เข็มทิศของซินแส จึงแพงซาด...ด
เข็มทิศแม่เหล็กที่ว่าเจ๋งนักเจ๋งหนา ดีแสนดี แพงแสนแพงเท่าไหร่ พออยู่ในบ้าน บางทีใกล้โครงสร้างที่เป็นเหล็ก เข็มก็กระดิกแล้วครับ เขาจึงไ่ม่ใช้กัน และการวัดองศาของผนัง ที่เป็นแผ่นกว้างบะเฮิ่ม บางทีก็ต้องใช้ฉากจับ เพื่อความแม่นยำของการวัด เข็มทิศแดด ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ แต่กลับไปมีปัญหาเล็กน้อยเชิงเทคนิค ในเรื่องแดด เพราะฤดูร้อน กับฤดูหนาว พระอาทิตย์โคจรไม่เหมือนกัน แต่เรื่องเข็มทิศนี้ ช่างเฮอะ เรื่องของซินแสเขา เรามีหน้าที่สังเกตุสังกาสักหน่อย ว่าเครื่องมือหากิน ที่เรียกว่า เป็นหัวใจของการดูฮวงจุ้ยของท่าน มีระดับหรือเปล่า ก็จะสามารถบ่งบอก ความเก๋า หรือ ความเป็นโปร ของซินแส ได้เล็กน้อย (เล็กน้อยเท่านั้นนะครับ เพราะเข็มทิศดี ๆ ใครก็ซื้อได้ ถ้าของง่าย ๆ ใช้ตังค์ซื้อได้ และเป็นของสำคัญในอาชีพตัวเอง ยังไม่ลงทุน ใช้เข็มทิศคลองถม อันละสองร้อย ก็พอจะประเมินอะไรได้บ้างละครับ)
ทีนี้ถ้าประธานทำมุมไม่ดี ไม่โฉลกกับเจ้าของบ้าน จะทำอย่างไรที่เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด คงไม่ใช่ทุบผนังหลังบ้านเป็นแน่
เขาจึงใช้ศาลพระภูมิ มา้แก้องศาของทั่นประธานครับ
หลักการของทั่นประธานคือ เมื่อคนเข้ามาในบริเวณบ้าน เห็นอะไรก่อน หรือรู้สึกว่า อะไรสำคัญ สิ่งนั้นเป็นประธานครับ ถ้าเดินเข้ามาไม่มีศาลพระภูมิ ทะลุเข้ามาถึงในบ้าน สายตาก็ต้องจับจ้องไปที่ผนังหลังบ้านก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ถูกไหมครับ
แต่อาจไม่เคยได้ยิน ความคิดแนวนี้ว่า ศาลพระภูมิสามารถแก้ฮวงจุ้ยได้ เพราะส่วนใหญ่ เขาจะตั้ง ตี่จู่เอี้ยะ กันแทนศาลพระภูมิ เพราะคนที่จะเชื่อซินแส ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน
ตี่จู่เอี้ยะ ก็คือ ศาลเจ้า สีแดง ๆ ของคนจีน ที่วางอยู่กับพื้นนั่นแล
หน้าที่ของ ตี่จู่เอี้ยะ ไม่ต่างอะไรจาก ศาลพระภูมิ เลยครับ คือ เป็นศาลของเจ้าที่เหมือนกัน
จบความที่เม้นท์ไว้ในบล็อกของเกลอแล้ว เรามาลุยกันต่อ ถึงการจับผิดซินแส
ต้องขออ้างประวัติ ปรัชญา และแนวคิด ของผู้ก่อตั้งชมรมภูมิโหราศาสตร์เสียนิดหนึ่งก่อน
ความเดิมนั้น อ.เกรียงไกร เป็นคนจีนโพ้นทะเล เสื่อผืน หมอนใบ เช่นเดียวกับ พ่อเรา ก๋งเรา นั่นละครับ
มาอยู่เมืองไทยไม่นาน ก็สามารถตั้งโรงงานน้ำปลาได้ ด้วยคุณสมบัตินักธุรกิจของคนจีนคือ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน วันดีคืนดี ทางเมืองจีนส่งข่าวมาว่า ให้กลับไปสืบทอดอารยธรรม ศาสตร์ "ฮวงจุ้ย" นี้มาหน่อย อาม่าที่เป็นกูรู หรือ โคตรเซียนซินแส ใกล้มรณัง และไม่มีผู้สืบทอดศาสตร์นี้
อ.เกรียงไกร ไม่ได้เชื่อในศาสตร์ด้านนี้เลยแม้น้อยนิด ตอนนั้น กิจการทำน้ำปลา ก็ร่อแร่ ดูไม่ค่อยดี ก็จำใจ ต้องบินกลับไปอย่างเสียไม่ได้ ตามใบสั่ง
ครั้นอยู่เรียน ฝึกปรือจนช่ำชอง เรียนไปซังกะตาย อย่างนั้นเองแหละ ตามคำขอร้องของอาม่า จบแล้วก็หวนกลับสู่เมืองไทย จัดการทดลองความรู้สรรพวิชาที่เพิ่งเรียนมา กับกิจการของตัวเอง "มันจะได้ผลจริงเรอะ"
ปรากฏว่า ดูม ดูม ครับ
กิจการโรงงานน้ำปลา พุ่งทะลุปลายปรอท รวยเละเทะ
คนเรา(ที่เป็นคนดี)พอรวยแล้ว ก็เริ่มนึกถึงคนอื่นว่า ศาสตร์นี้ น่าจะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก เพราะมีผลจริง จึงริเริ่มตั้งชมรมภูมิโหราศาสตร์แห่งประเทศไทยขึ้น เพื่อฝึกอบรมศาสตร์ดังกล่าวนี้ ให้เป็นไปโดยสุจริต และเพื่อช่วยเหลือผู้คนอย่างแท้จริง
ชมรมนี้ เป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรครับ เปิดการเรียน การสอน ผลิตซินแสมือใหม่ ออกไปป้อนตลาด ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
ข้าพเจ้าเอง ก็มีโอกาสได้ไปเรียนกับเขาเหมือนกัน ด้วยคำเชื้อเชิญของเืพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งรุ่นน้องของเขา ที่ลงทะเบียนเรียนด้วยกัน ไม่สามารถเข้าเรียนได้ เขาจึงเอาข้าพเจ้าไป "เสียบ" แทน เพื่อไม่ให้เสียตังค์ไปโดยเปล่าประโยชน์
พอเรียนไปก็เส้นโลหิตสมองปูดครับ ทำไมมันยากจัง
คำนวณไม่ยากเท่าไหร่ครับ แต่ไปยากตรงอักษรภาษาจีน
เพื่อนที่ชวนไปด้วยกัน กลับแนะว่า ที่ให้มาเรียนนี่ ไม่ใช่ให้เรียนเพื่อไปเป็น ซินแส แต่เรียนเพื่อให้ไม่ถูกหลอก
ศาสตร์ทั้งหลายนี่ ไปหาซินแสเก่ง ๆ จัดการให้ดีกว่า เขาอยู่ในอาชีพของเขา ประสบการณ์ย่อมมากกว่าเรา ความผิดพลาด และความอ่อนต่อโลก ก็น้อยกว่าเรา จะไปเรียนรู้เอง เพื่อดูเอง ให้เมื่อยตุ้มทำไม
ซึ่งก็ได้หลักการสังเกตุ มาโม้ให้ท่านทั้งหลายอ่านอยู่นี่แล
หลักการสังเกตุ ซินแส อีกประการหนึ่ง ที่ดูง่าย และสำคัญมาก คือ ซินแส ท่านจะไม่มีการรีเค้วทส์ หรือ เรียกร้องเงิน จำนวนมาก ๆ ครับ ประเภทดูครั้งละ ๔ พัน ๕ พัน หมายหัวไว้ก่อนเลยครับว่า ของเก๊
เพราะศาสตร์นี้มีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้คนครับ ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้ซินแสรวย
คนที่เขาไม่มีปัญหา เขาจะมาควานหาตัวซินแส ไปดูฮวงจุ้ยหรือครับ
แน่นอน คนที่มาหาซินแสนี่ เขาต้องมีปัญหาอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าซินแสไปโขกเอาตังค์กับเขามาก ๆ มันก็คือ การรีดเลือดกับปู ทำนาบนหลังคน ไปซ้ำเติมคนที่เขาเดือดร้อนอยู่แล้ว เช่นนี้ คนคนนั้นจะมีคุณธรรมพอ ให้เราเรียกท่านอย่างยกย่องว่า ซินแส หรือครับ
ประเด็นนี้แหละ ที่ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึง
คนที่พิจารณาด้วยปัญญา ย่อมเป็นผู้ถูกหลอกได้ยาก
ที่ชมรมฯ นี่เขาประกาศเป็นกฎเลยครับว่า ซินแส ที่ได้รับการติดต่อมาผ่านทางชมรมฯ ให้เรียกร้องได้มากที่สุด คือ ส้ม ๔ ผล และค่ายานพาหนะ หรือให้ผู้ที่ติดต่อมารับซินแสไปเอง ที่เหลือ แล้วแต่ผู้ที่มาติดต่อว่า เขาพอใจให้อะไร เท่าไหร่ เรียกมากกว่านี้ ถ้าถูกร้องเรียน จะต้องถูกขับออกจากชมรมฯ ครับ
อีกประการหนึ่ง ถ้าว่ากันจริง ๆ ถึงศาสตร์นี้นะครับ ต้องไปหาซินแสหนุ่ม ๆ ครับ ถ้าเป็นซินแสแก่ ๆ ก็ต้องตรวจดูประวัติให้ดีว่า ทำอาชีพนี้มาตลอด ทำมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ไม่ใช่เพิ่งมาทำไม่กี่ปี ไปเข้าคอร์สเรียนมางู ๆ ปลา ๆ แล้วก็เอาความหน้าแก่ เอาลีลาทำทีเป็นเก๋าเกม เป็นจุดขาย
ศาสตร์นี้บอกได้เลยครับว่า ถ้าหัวไม่ดี ความจำไม่ดี คำนวณไม่ได้ หาดีทำยายากครับ และนอกจากการคำนวณอันซับซ้อน อักขระจีนยุ่บยับ พอถึงตอนแก้ฮวงจุ้ย ยังขึ้นกับประสบการณ์ของซินแสอีกครับ อาชีพนี้ก็เหมือนหมอทั่วไปละครับ ไม่ว่าจะเป็นหมอผ่าตัด หรือ หมอความ ถ้าเจอเคสเยอะ ๆ คนไข้เยอะ ๆ ฝีมือก็จะเก่งกาจขึ้นตามชั่วโมงบิน
พวกเก๋าเกมจะมีจุดสังเกตุอีกอย่าง เมื่อถึงเวลาแก้ฮวงจุ้ย คือ เขาจะแก้อะไรไม่มาก จนดูเหมือนไม่ได้แก้ เขาว่า การที่แก้ฮวงจุ้ยแล้วดูเหมือนไม่ได้แก้ เป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์ ครับ พวกมือใหม่ ๆ ตรวจองศาเสร็จ เฮ้ย...องศาไม่ดี ทุบกำแพง ทุบพื้น ย้ายห้องน้ำ อย่างนั้นมันซินแสอนุบาลครับ อาจจะไม่ได้หลอกลวง และรู้จริง แต่ประสบการณ์การแก้ ยังอยู่ขั้นทารกครับ
พวกที่เอาศาสตร์นี้มาทำเป็นธุรกิจ มีสาขาขายของบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ที่เวิร์ดเทรด และที่อื่น ๆ ออกหนังสือ เฟง ชี่ อะไรสักอย่าง มีวางขายเกลื่อนกลาดนั่น เปิดหนังสือมา มีแต่โฆษณาขายของ ไม่ต่างอะไรจาก เซเว่นแค็ทตาล็อก คุณจะได้พบกับความงมงายล้วน ๆ ครับ แทบไม่หลงเหลือศาสตร์ของแท้ดั้งเดิมอยู่เลย
ศาสตร์ที่เอาความงมงาย มาทำการค้าเหล่านี้ ยังไปผนวกเข้ากับศาสนาพุทธนิกายหนึ่ง ซึ่งหาความเป็นพุทธได้น้อยเต็มที หลอกขายของศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยให้ทำมาค้าขึ้น รวยล้นฟ้า อีกครับ
ของแต่ละชิ้นนั้น แพงหูดับตับไหม้เลยครับ เพราะมาจากประเทศที่เขาทำมาหากินอะไรไม่ได้ นอกจากเป็นนักบวช และทำของหลอกลวงพวกนี้ขาย (ของหลอกลวงพวกนี้ ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ก็มี แต่ราคาก็โขกเสียจนไม่ควรค่าแก่การซื้อหามาครอบครอง เพราะแทนที่จะรวย กลับกลายเป็นจนเพราะเอาเงินไปซื้อของพวกนี้ละครับ)
ซึ่งกลุ่มคนที่เข้าไปสนใจเรื่องฮวงจุ้ย เกินครึ่ง ก็เป็นคนเชื่ออะไรง่าย หรือมีแนวโน้มจะงมงายอยู่แล้ว เลยตกเป็นเหยื่อ กลุ่มธุรกิจข้ามชาติจากฮ่องกงนี้ อย่างง่ายดาย
แต่ไม่ว่า ศาสตร์นี้ จะทำให้คนรวยฉิบหาย(เพราะเจอของจริง) หรือจนแทบตาย(เพราะถูกหลอก) ศาสตร์ทั้งหลายนี้ ก็ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น(เพราะความสุข มันขึ้นกับ "ความพอ" ในใจของเราเอง ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก) ไม่ได้เข้าใจธรรมะมากขึ้น หรือละกิเลสใด ๆ ได้
และโดยที่สุดแล้ว ศาสตร์นี้ก็ไม่ช่วยให้พ้นจาก "ความตาย"
เข้าใจหรือยังครับว่า ทำไม พระพุทธองค์ ถึงเรียกว่า "เดรัจฉานกถา"
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ