หลังข้าพเจ้าได้ให้คำแนะนำ แก่ผู้ที่ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณอย่างอ่อนไปอย่างดุเดือดแล้ว ปรากฏว่า คุณเธอยังไม่เลิกงมงาย เลยโดนเข้าไปอีกดอก อย่างที่บอกครับ อนุสัยนี่แก้ยากจริง ๆ
เธอเขียนมาดังนี้ครับ
ใจข้าพเจ้านึกถึงท่าน นึกว่ายังไม่ได้คืนซองชำระหนี้สงฆ์ (คืนช้าเพราะได้เอาซองไปไว้กับเพื่อนค่ะ) นึกไปมา จิตข้าพเจ้าไปจับท่านว่า เป็นเด็กชาย นุ่งโจง ปักปิ่นอยู่ที่หัว อารมณ์นั้น ข้าพเจ้าร่ำไห้ นึกอยากกอดลูกจังเลย แต่มิอาจได้ นึกได้เพียง มาได้พบลูก....
ข้าพเจ้าจึงตอบไปหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ดังนี้
จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน ก็ถือว่า ปฏิบัติถูกต้อง
ไม่ต้องไปกระเหี้ยนกระหือรือจะให้มันนิ่งสนิทหรอก
จิตคนเราฟุ้งมาเป็นอสงไขยกัป จะให้มันหายฟุ้งในช่วงชีวิตเดียว ชั่วโมงเดียว
บางทีเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
ก็ทำเท่าที่ทำได้ ไม่พยายามไปกดมัน แต่พยายาม "รู้" มัน
จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน
จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่
รู้ไปเรื่อย ๆ แล้วจะเห็นเองว่า อารมณ์ต่าง ๆ ไม่เที่ยง
เมื่อมันไม่เที่ยง มันก็ไม่มีตัวตน
ท่านว่า เวลากามราคะเกิดขึ้น ไม่ต้องเอาอสุภะไปดับหรอก
ท่องสูตรคูณ มันก็ดับ
เพราะมันไม่เที่ยง
มันไม่ใช่ตัวตน
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือ
คิดไว้เสมอ ๆ เช่นนี้
ไอ้ความรู้อะไรทั้งหลาย ที่โผล่ เจ๋อหน้า เข้ามา
สุดท้ายมันก็ไม่มีสาระอะไร
สำคัญคืออย่าไปเพ่ง
นักปฏิบัติสายหลวงพ่อติดเพ่งกันเยอะ
เพ่งเพื่อให้เกิดฌาน
แต่ฌานสุดท้ายก็ไม่ช่วยอะไร
ปัญญาต่างหากที่ช่วยได้
ปัญญานั้นได้จากสติ
สติไม่ได้มาจากฌาน
ในสติปัฏฐานสูตรเขียนไว้ว่า
จิตเป็นฌาน ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นฌาน
ก็หมายความว่า ได้ฌานแล้ว ก็ต้องกลับมาเจริญสติอีก
"เป็นตัวจบ"
พวกนิมิตทั้งหลาย ก็ไม่ต้องไปใส่ใจกับมันมาก
มันจะจริง หรือจะเท็จก็เรื่องของมัน
พอมันมาแล้ว ก็ดูใจเรา ภาพที่เห็นนั้น พาให้ใจเราสุข หรือ ทุกข์ หรือ เฉย ๆ
ถ้าเรารู้ได้ว่า ในขณะที่นิมิตเกิดขึ้น จิตเรารู้สึกอย่างไรใน ๓ อย่างนี้ นั่นก็ถือว่า ได้เจริญสติแล้ว
ไม่ใช่มัวไปเพลินอยู่กับนิมิต คิดฟุ้งต่อไปต่าง ๆ นานา
อย่างนั้นมันไร้สาระ
ต่อให้รู้หมดเลย ว่าคนทั้งจักรวาลเคยเป็นญาติเรา แล้วไงคะ มันช่วยให้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน หรือเปล่า
การแสดงของคุณ ถือว่า เป็นการแสดงความโง่ออกมา
ความโง่ที่ยังติดในนิมิต
ความโง่ที่ทำให้หลงมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อย่าบอกว่าไม่ติดนะ เฉย ๆ แค่มาเล่าสู่กันฟัง
ความจริงแล้ว ถ้าไม่ติดในนิมิต จะไม่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใด พี่เอย หลุดรอดออกมาเลย
เงียบเป็นป่าช้า
หรือถ้าอยากเล่นกับนิมิตจริง ก็ควรทดสอบว่า นิมิตที่เห็นนั้น เป็นจริงหรือไม่
คนคนนั้น ชื่ออะไร เกิดเมื่อไหร่ อยู่ที่ไหน แล้วไปค้นคว้าดู ว่ามีคนชื่อนี้ ตอนนั้น ที่นั่น หรือเปล่า
ถ้าจริง ก็แสดงว่า อุปาทานเราน้อย
ให้จำอารมณ์นั้นให้ได้ว่า อารมณ์แบบนี้ คืออุปาทานน้อย
แต่ส่วนใหญ่พวกเล่นกับนิมิต ไม่เก๋าจริง เห็นไปไม่รอดสักราย
กระทั่งเจ๊.........เห็นว่า หลวงพ่ออนุญาตให้ดูดวงได้ เป็นลูกสาวหลวงพ่อ คนสุดท้าย
เดี๋ยวนี้ยังอุปาทานกินเลย
ฉะนั้น สำหรับข้าพเจ้าแล้ว นิมิตเป็นของอันตราย
อยู่ให้ห่างเป็นดี
หลวงพี่เล็กเคยบอกว่า อะไรก็ไม่เจ็บปวดเท่า การต้องมาเกิดอีก
สมควรแล้วหรือ ที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยงกับ นิมิตเห่ย ๆ ที่ไม่รู้ว่า จริงหรือเปล่า
ถ้าไม่อยากเจ็บปวด ที่ต้องมาเกิดอีก ก็พึงไม่ประมาท
อย่าเห็นนิมิตเป็นของดี
สหธรรมมิกของข้าพเจ้า เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เวลานี้ยังหลงคิดว่า ตัวเองเป็นพระอรหันต์เลย
พูดซ้ำไปซ้ำมา จบกิจไม่รู้กี่รอบ เตือนไม่รู้กี่หน ครั้งสุดท้ายนี่ คิดว่า จะไม่เตือนแล้ว เพราะมันมากครั้งเกินไป คงเป็นกรรมของเขา
ไปติดในนิมิต ที่จิตบอกว่า เป็น "นิโรธสมาบัติ" โธ่ถั้ง...กระทั่งจิตเราเอง ท่านยังไม่ให้เชื่อเลย ท่านว่าให้พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล อย่าไปยึดว่า สิ่งที่เป็นนิมิต จะเป็นจริงไปเสียทั้งหมด มันก็มีจริงมั่ง ไม่จริงมั่ง พญามารหน่ะ หน้าเหมือนเราเด๊ะเลยนะ ขอบอก มันรู้เข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเราเลย ฉะนั้น อะไรที่ทำแล้วเราจะเชื่อ มันก็ทำได้ทั้งนั้น
จงจำปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าไว้ให้ดี
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ
ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
แม้ปัจฉิมโอวาทนี้เพียงอย่างเดียว ก็พาเราไปนิพพานได้
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
หวังว่า ถ้าใครบังเอิญได้ญาณวิเศษตัวนี้มา แล้วกำลังหลงงมงายกับมัน ได้อ่านข้อความนี้แล้ว จะรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง
เจริญยิ่งในธรรม ฯ