หลวงพี่ช่วยตอบคำถามว่า ชีวิตเราเกิดมาทำไม ได้ไม๊คะ
คือว่าถูกคนถามมาอะ ว่าคนเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร แล้วตอบเค้าไม่ได้อะ
คำถามนี้ ก็ต้องขอตอบไปตามประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ดังพัฒนาการที่ได้เขียนไปแล้ว ๒ ตอน ดังนี้
ชีวิตคนเราเกิดมาทำไม ตอนที่ ๑
ชีวิตคนเราเกิดมาทำไม ตอนที่ ๒
มาว่ากันต่อไป ครับ ถึงสมมุติฐานขั้นต่อไป
สมมุติฐานที่ ๓ ฤๅคนเราเกิดมาเพื่อใครสักคน หรือสองคน
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีใบแรกได้ไม่นาน ก็เริ่มทำงานบริษัท มีแฟนคนที่สอง (คนแรกเป็นรุ่นน้องที่คณะ) ทำอยู่ัสักพักใหญ่ ๆ แล้วก็ออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง แล้วก็มีเหตุให้ได้ไปบวช ครับ บวชครั้งนั้น ไปบวชที่ จ.สุรินทร์ เป็นเวลา ๒ เดือน ครับ ได้ไปเดินธุดงค์อยู่ ๑๒ วัน แม้การบวชครั้งนั้น จักมิได้พบครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะเลย ได้แต่ฝึกสมถกรรมฐาน ฝึกขันติธรรม เท่านั้น มิได้รู้จักคำว่า "วิปัสสนา" แม้กระผีก กระนั้นก็ยังได้พบความสุขสงบที่ไม่เคยพานพบมาก่อน ก็ตั้งใจเล็ก ๆ มาตั้งแต่วันนั้น ครับว่า สักวันหนึ่ง เราจักกลับมาบวช ความสงบนี่กระมัง คือความหมายของชีวิต (ซึ่งต้องไปค้นหาเพิ่มเติมต่อไปในชีวิตนักบวช) แต่ก่อนจักถึงวันนั้น ขอไปจัดการธุระปะปังทางโลกเสียก่อน
คบหาดูใจกับแฟนคนที่สองมาได้สี่ปี ครับ สุดท้ายก็เลิกร้างจากกันไป รอยร้าวในครั้งนั้น ทำให้การคิดจักมีแฟนคนต่อมา มีความสุขุมรอบคอบมากขึ้น ไม่อยากให้ต้องลงเอยอย่างปวดร้าวทั้งสองฝ่าย เช่นเดิมอีก สุดท้ายชะตาก็เล่นกล ให้ไปกันไม่รอดเช่นเคย
แฟนคนที่สามนี่ เหมือนคู่บุญคู่กรรม ครับ ทำให้ข้าพเจ้าได้พบสมมุติฐานที่ ๓
แต่ก่อนข้าพเจ้าเคยคิดว่า ตนได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ด้วยการตั้งใจร่ำเรียน ทำในสิ่งที่ท่านต้องการ จักเพียงพอแล้ว มิได้ตระหนักในบุญคุณของพ่อแม่ อย่างแท้จริง จนเมื่อมาได้พบกับเธอ ชีวิตข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไปมหาศาล
สิ่งที่แตกต่างกันมากมาย ระหว่างข้าพเจ้า กับแฟน ก็คือ พ่อแม่ของเธอ แตกต่างจาก พ่อแ่ม่ของข้าพเจ้า ราวฟ้ากับเหว ครับ เมื่อนั้นเอง ข้าพเจ้าจึงได้ตระหนักว่า ข้าพเจ้านี้ โชคดีหนักหนา ที่ได้เกิดเป็นลูกท่าน นับแต่วินาทีนี้ไป ข้าพเจ้าจักทำทุกสิ่ง เพื่อความสุขของท่านทั้งสอง ครับ
ข้าพเจ้าเริ่มทำงานอย่างหนักหน่วง หามรุ่งหามค่ำ หมั่นไปหา ทั้งวันธรรมดา และวันพิเศษ ได้กราบเท้าพ่อแม่ เป็นครั้งแรกในชีวิต ซื้อบ้านให้ท่านอยู่ ซื้อรถให้ท่านขับ ซื้อมือถือให้ท่านใช้ แต่ก่อนไม่เคยคิดจักให้กระไรท่านหรอก ท่านมีทรัพย์มากกว่าเราตั้งมากมาย เราทำงานไปสักสามสิบชาติ ยังมีทรัพย์ไม่เท่าท่านเลย ความจริงมันไม่สำคัญหรอก ครับว่า ท่านจะมีทรัพย์สักแค่ไหน มันสำคัญที่เราอยากตอบแทนท่านแค่ไหนมากกว่า ข้าพเจ้าเริ่มสลัด ความงก ความเห็นแก่ตัว ออกทีละน้อย ๆ พ่อแม่นั่นแล เป้าหมายสำคัญในชีวิต ต้องทำให้ท่านมีความสุขให้ได้ ไม่ว่า ชีวิตข้าพเจ้าจักลงเอยเช่นไร
ทำ ๆ ไป ผลมหาศาล กลับเกิดกับตัวข้าพเจ้าเอง ครับ ท่านถึงว่า ความกตัญญูกตเวที เป็นสัญลักษณ์ของคนดี ข้าพเจ้าเริ่มคลายความตระหนี่ เริ่มรู้สึกว่า ชีวิตมีอะไรมากกว่า แค่การหาทรัพย์ รู้สึกว่า นี่อาจเป็นความหมายส่วนหนึ่งของชีวิต ครับ ตั้งใจไว้ว่า เมื่อสิ้นท่านทั้งสองแล้ว ข้าพเจ้าก็จักเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เพื่อค้นหาความหมายของชีวิต ที่แท้จริงต่อไป
แต่แล้ว ก็มีเหตุให้ต้องเข้าสู่สมมุติฐานที่ ๔ ครับ ซึ่งก็คงจักนำมาสาธยายในตอนต่อไป