วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คลำพระพุทธศาสนา ประสาคนตาบอดby Dhammasarokikku

imagesCAVU70C8เออแน่ะ...ตกลงพระพุทธศาสนาหน้าตาเป็นกระไรแน่ ศาสนาพุทธที่ข้าพเจ้าเคยรู้มา ไม่ใช่อย่างที่ในบล็อกนี้เขียนเลย ซักกะติ๊ด บล็อกนี้เป็นพุทธศาสนาจากดาวอังคารหรือไร

ไม่แปลกเลยครับ ถ้าท่านจะเกิดคำถามข้างต้นขึ้น เพราะธรรมะเป็นเรื่องที่หนัก ลึกซึ้ง และบางคนว่า น่าเบื่อ หนังสือธรรมะหรือ ก็อ่านเวลาที่ไม่มีอะไรในโลกจะทำแล้ว หรือไม่ก็เวลาทุกข์หนัก ๆ มันกระแทกเข้ามา ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ก็พึ่งหนังสือธรรมะ เว็บธรรมะ ได้ข้อคิดพอหายเศร้า คลายโศก แล้วก็เลิกสนใจ ไปอ่านนิตยสารบันเทิง อ่านการ์ตูน ดูหนัง ดูละคร เพลินกว่าเยอะ

หรือแม้กระทั่งคนที่สนใจศีกษาธรรมะเอง ก็มีสิทธิ์เกิดคำถามเช่นนี้ได้ครับ ถ้าเขามีใจไม่เปิดกว้างพอ

ข้าพเจ้ามีวิธีมองศาสนาพุทธอย่างนี้ครับ

ข้าพเจ้านิยามศาสนาพุทธว่า เป็นช้างครับ ช้าง ๆ ๆ ๆ ๆ เป็ดอาบน้ำในคลอง ตาก็จ้องแลมอง เพราะในคลองมีหอยปูปลา มีตำหนิอยู่ที่ไหน มีไฝอยู่ที่หน้า มีอะไรบอกมา มีหู มีตา หางยาว<---ไม่ใช่ละ

เคยได้ยินไหมครับสำนวนว่า "ตาบอด คลำช้าง"

ตาบอดคนแรก คลำไปเจองวง ก็บอกช้างหน้าตาคล้ายท่อใหญ่ ๆ

ตาบอดคนสอง คลำไปเจอท้อง ก็บอกว่า ช้างเป็นแผ่นใหญ่ ๆ เหมือนกำแพง

ตาบอดคนสาม คลำไปเจอขา ก็ว่าช้างนั้นเป็นทรงกระบอก เหมือนเสาบ้าน

ตาบอดคนสี่ คลำไปเจอหาง ก็ว่าช้างหน้าตาเป็นพุ่ม ๆ มีขน เหมือนเชือก

คนเราที่เริ่มเข้ามาศึกษาพระศาสนานี่ ก็ประหนึ่งคนตาบอดละครับ และช้างก็ตัวหย่าญมาากกกกก

คลำไปเจอการทำบุญ ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธ คือ การทำบุญ

คลำไปเจอการนั่งสมาธิ ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธ คือ การนั่งสมาธิ

คลำไปเจอการเดินจงกรม ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ๑ บัลลังก์ ๒ บัลลังก์ ๓ บัลลังก์ ๑๐ บัลลังก์ ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธ คือ การเดินจงกรม

คลำไปเจอการเพ่งภาพพระ เพ่งลูกแก้ว เพ่งโน่น เพ่งนี่ ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธ คือ ทำสมาธิด้วยการเพ่ง

คลำไปเจอวัตถุมงคล ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธมีวัตถุมงคล

คลำไปไม่เจอวัตถุมงคล ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธไม่มีวัตถุมงคล

คลำไปเจอพระพุทธรูป ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธมีพระพุทธรูป

คลำไปไม่เจอพระพุทธรูป ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธไม่มีพระพุทธรูป

คลำไปเจอมหาสุญญตา ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธสอนให้เข้าถึงมหาสุญญตา

คลำไปเจอนิพพานเป็นเมือง ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธสอนให้เข้าถึงเมืองนั้น

คลำไปเจอการเจริญสติ ก็เข้าใจว่า ศาสนาพุทธ คือ การเจริญสติ

แล้วศาสนาพุทธคืออะไรกันแน่

คุณไม่มีวันเข้าใจว่า ศาสนาพุทธคืออะไร ถ้าคุณไม่เปิดใจครับ เพราะช้างตัวนี้ใหญ่เหลือเกิน คับจักรวาล

ยิ่งถ้าคุณรู้มาอย่างหนึ่ง แล้วก็ปฏิเสธอย่างอื่นทั้งหมด คุณจะไม่มีวันได้เห็นภาพรวมของพระศาสนาครับ สิ่งที่คุณยึดมั่นถือมั่นอยู่ว่า เป็นพุทธศาสนา ก็อาจเป็นเพียงขี้ตาช้าง ขี้เล็บช้าง ขี้หูช้าง หรือขี้มูกช้าง

ช้างตัวนี้ต้องเลือกตอบ ข้อ ง. อีกแล้วครับ ถูกทุกข้อ คุณจะจับตรงไหน ก็เป็นช้างตัวเดียวกัน

วันนี้ว่าจะชำแหละวิธีการศึกษาช้าง ให้คนตาบอดดูจั๊กกะหน่อย ในฐานะเป็นคนตาบอดด้วยกัน

วิธีการศึกษาช้าง มี ๔ แนวครับ ที่ต้องเปิดด้วยเรื่องนี้ก่อน เพราะแต่ละแนว มีวิธีการศึกษาไม่เหมือนกัน บางทีดูเหมือนจะขัดกันเสียด้วยซ้ำ ที่แต่ละสำนัก ทะเลาะกันเอง ก็เพราะตรงนี้ละครับ ไม่ศึกษาให้ครบถ้วน แล้วก็ยึดว่า นี่เป็นธรรมะกู นี่เป็นธรรมะของกู แต่ถ้าศึกษาไปให้ลึกซึ้ง มันคือเรื่องเดียวกันหมดครับ แตกต่างแค่รายละเอียด ดังนี้

๑. ศึกษาแบบบอดนิยม หมายถึง แนวการศึกษาแบบปุถุชน เรา ๆ ท่าน ๆ นี่ละครับ ไม่มีปัญญาฝึก หรือ ขี้เกียจฝึก ให้สามารถรู้เห็นอะไรที่มันเกินวิสัยมนุษย์ธรรมดา เช่น ตาทิพย์ หูทิพย์ ลิ้นทิพย์ จมูกทิพย์ อุ่นทิพย์<---ไม่ใช่ละ สามอันหลังนี่ มนุษย์ธรรมดาก็ทำได้ การบรรลุธรรมในแนวนี้ เรียกว่า ปัญญาวิมุตติ-หลุดพ้นด้วยปัญญา ใช้ปัญญากันล้วน ๆ สู้กิเลสกันทั้งที่บอด ๆ นี่แหละ เดินวิปัสสนา เจริญสติกันเต็มที่ ไม่รู้ ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เห็นแต่ธรรมะ ของพระพุทธองค์ แล้วก็เฝ้าเพียร เฝ้าศึกษา ปฏิบัติ ครุ่นคิดไป ในแก่นธรรม จนเกิดปัญญา สามารถละ อาสวะกิเลสได้ พระอรหันต์แนวบอดนิยมนี้่เรียกว่า พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก บาลีแปลว่า การบรรลุธรรมอย่างแห้งแล้ง

ผู้เดินตามแนวนี้ มักรู้สึกว่า แนวอื่นปฏิบัติยาก ไม่ตรงจริต ใช้เวลายาวนาน ต้องฝึกต้องฝนอะไรยุ่งยากมากมาย และข้าพเจ้าก็เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ยึดเดินตามแนวนี้ หลังจากพยายามค้นคว้า ศึกษา ทดลองปฏิบัติด้วยตัวเองเลย สรุปได้ว่า "ของเก่า" ของเรา ไม่มีสักนิด ส่วนผู้ที่ยึดแนวอื่น ก็มักรู้สึกว่า แนวปฏิบัติแนวนี้ ยากที่สุด เพราะไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีความตื่นเต้นเร้าใจใด ๆ ไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นเทวดา นางฟ้า ระลึกชาติไม่ได้ จะไปตัดกิเลสได้อย่างไร เกิดความเบื่อหน่ายได้อย่างไร พวกที่เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ หรือ ระลึกชาติได้ เขาเห็นกันจะ ๆ ว่านรกทรมานอย่างนี้นะ ให้กลัวบาป สวรรค์เป็นสุขอย่างนี้นะ ให้ทำบุญ ชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นอย่างนั้น อย่างนี้นะ จักได้เบื่อหน่ายว่า เกิดแล้ว ที่สุด ก็ตายเรียบ เห็นแล้วก็ปลงได้ แต่แนวนี้ ไม่เห็นอะไรเลย ต้องใช้ปัญญาล้วน ๆ แนวอื่นเขาถึงว่า แนวนี้ยากจัง แต่ความจริงแล้ว มันยากหมดทุกแนวแหละครับ ไม่เห็นแนวไหนจะง่ายสักแนว พวกมีฤทธิ์ พิสูจน์นรก สวรรค์ได้ก็จริง แต่ก็เสี่ยง ต่อการไปติดฤทธิ์ คิดว่า ตนเป็นผู้วิเศษ

ท่องยุทธภพไป พบผู้คนมากมายครับ ที่ปฏิบัติแนวนี้แล้วมีใจคับแคบ จะปฏิเสธแนวอื่นทั้งหมด หาว่า ไม่ใช่ศาสนาพุทธ หรือแนวอื่น เป็นแนวบ้าฤทธิ์บ้าเดช ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน คือ มหาสติปัฏฐาน ๔-การเจริญสติโดยใช้ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม เป็นอารมณ์

390202078กรรมฐานที่มักใช้ในการศึกษาแนวนี้ คือ อานาปานุสสติ-การระลึกรู้ลมหายใจ, อาหาเรปฏิกูลสัญญา-การระลึกไว้ว่า อาหารเป็นสิ่งปฏิกูล, พรหมวิหาร ๔-เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ตัวอย่างของพระอรหันต์แนวนี้ คือ หลวงพ่อชา สุภทฺโท คำสอนของท่าน ลึกซึ้งกินใจ ฟังง่าย ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ แม้แต่น้อยนิด การยกตัวอย่าง ก็เปรียบเทียบกับธรรมชาติ ง่าย ๆ แต่แฝงด้วยคติธรรม อันลึกซึ้ง

๒. ศึกษาแบบหูตากว้างไกล แต่ไปทั้งตัวไม่ได้ แนวนี้เริ่มมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาบ้าง และเป็นแนวยอดนิยม เพราะฝึกฝนได้ง่าย ได้แล้ว อาจจะมีอาชีพหมอดู เป็นรายได้เสริม แนวนี้คือ แนวเตวิชโช หรือ วิชชา ๓ สามารถรู้อะไร ๆ ที่เป็นทิพย์ได้ ไปเที่ยวนรก-สวรรค์ได้ และที่อื่น ๆ เช่น นอกโลก นอกจักรวาล ดินแดนในเทพนิยาย เช่นเขาสุเนรุ เขาไกรลาศ ป่าหิมพานต์ ไปได้หมด มองเห็นเทวดา นางฟ้า พรหม หรือ พวกเปรต อสุรกายได้ ถ้าเก่ง ๆ ก็สามารถรู้ใจคนได้ ย้อนอดีต หรือไปเที่ยวอนาคตได้ แต่ไม่สามารถเอากายเนื้อไปด้วยได้ ไปได้แต่จิต หรือ อทิสสมานกาย แนวการศึกษาตั้งแต่แนวนี้เป็นต้นไป มักอ้างอิงถึงคัมภีร์วิสุทธิมรรค และจะใช้นิมิตช่วยในการทำสมาธิ ส่วนใหญ่จะใช้กสิณ-การเพ่งนิมิต เป็นอารมณ์ ๓ กอง ดังที่ได้เขียนไปแล้ว ในเอ็นทรี่ นิทานหลุมดำ ในพระพุทธศาสนา กสิณ ๓ กองนี้ เป็นปัจจัยให้มีฤทธิ์ทางใจ สามารถท่องไปในภพภูมิต่าง ๆ ได้ ส่วนกสิณอีก ๗ กองที่เหลือ สามารถแสดงฤทธิ์ได้เหมือนกัน แต่ไม่สามารถถอดจิตออกไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ได้ เท่าที่ศึกษามา ก็ให้เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือ หลายกอง แต่ไม่ต้องครบทุกกอง แล้วก็ฝึก ญาณ ๘ เพิ่มเติม ได้แก่

๒.๑ ทิพพจักขุญาณ ความรู้สึกทางใจ คล้ายตาทิพย์ เช่น รู้ว่า ตอนนี้ ท่านกำลังเพ่งหน้าจอ อ่านเอ็นทรี่นี้อยู่

๒.๒ จุตูปปาตญาณ รู้ว่า สัตว์ที่ตายไปแล้ว ไปเกิด ณ ที่ใด เช่น รู้ว่า หมาโฮ่ง ๆ หน้าวัด ถูกรถทับตาย แล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์อะไร

๒.๓ เจโตปริยญาณ รู้ใจของคน และสัตว์ เช่น รู้ว่า ตอนนี้ ท่านกำลังอ่านเอ็นทรี่นี้ด้วยความเซ็งว่า คนเขียนมันเขียนอะไรของมันวะ อ่านไม่รู้เรื่อง

๒.๔ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติก่อน ๆ ได้ เช่น ระลึกรู้ได้ว่า ชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นหมา มาชาตินี้เลยเขียนเอ็นทรี่ได้ ปากหมา สุด ๆ

๒.๕ อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต เช่น รู้ว่า อดีตเคยเขียนบล็อก ไม่ได้เรื่อง

๒.๖ อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต เช่น รู้ว่า ต่อไป ก็ยังเขียนบล็อก ไม่ได้เรื่อง เช่นเดิม

๒.๗ ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่เกิดใดก็แล้วแต่ เช่น รู้ว่า ตอนนี้ผู้อ่าน ทนอ่านต่อแทบไม่ไหว ว่าจะคลิ๊ก ไปอ่านเอ็นทรี่อื่น

๒.๘ ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ ว่าเขาประสบสุข ทุกข์ เพราะเหตุของกรรมอะไร เช่น รู้ว่า เอ็นทรี่นี้ ไม่ได้ขึ้นฮ็อตโพสต์ เพราะเขียนแล้ว อ่านไม่รู้เรื่อง

ท่านว่า ถ้าทำญาณเหล่านี้สำเร็จครบทั้ง ๘ ญาณ ก็ก้าวไปเป็น กึ่ง ๆ อภิญญา ๕ แล้ว

อ้อ...ท่านว่า กรรมฐาน ๔๐ กอง นี่เสมอกันนะ ไม่ใช่ว่า กสิณ จะเป็นกรรมฐานดีเด่ โดดเด่นกว่าชาวบ้านแต่อย่างใด ความจริงเป็นกรรมฐานหยาบด้วยซ้ำ เพราะยังต้องอาศัย นิมิต ช่วย เป็นเครื่องยึด ในการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าเป็นกรรมฐานละเอียด เช่น อานาปานุสสติ-การระลึกรู้ลมหายใจ ไม่ต้องใช้นิมิตช่วย แต่ทำแล้วเห็นผลยาก ต้อง ๕-๑๐ ปีขึ้นไป ส่วนกสิณ ถ้ามีของเก่าช่วย ทำไม่นาน ก็เห็นผล แต่ถ้าไม่เคยมีวิสัยทางนี้เลย มาสตาร์ทเอาชาตินี้ บางทีฝึกไปทั้งชาติ ก็ยังไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน

ตัวอย่างของพระอรหันต์แนวนี้ คือ พระอนุรุทธ มีทิพพจักขุแจ่มใส ว่องไว ยิ่งนัก จนพระพุทธเจ้ายกให้เป็นเอตทัคคะ ด้านทิพพจักขุ เป็นพุทธอุปัฏฐาก ในเวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วย เป็นองค์เดียวที่ตามพระพุทธเจ้าเข้า ออกฌานต่าง ๆ จนถึงปรินิพพาน

๓. แบบหูตากว้างไกล แถมเวลาไปไหน เอาตัวไปด้วย แนวนี้แหละ พระที่สำเร็จแล้ว ต้องหนีเข้าไปอยู่ในป่า เพราะอยู่กับคนหมู่มากไม่ได้ ถ้าไปแสดงจริยาบางอย่าง คนรู้ คนเห็นแล้วไม่เข้าใจ ไปปรามาสเข้า จะเป็นโทษหนัก เราจึงไม่ค่อยเห็นพระอรหันต์แนวนี้กันในเมือง และเป็นแนวที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ มองข้าม ๒ แบบแรก มาเข้าใจว่า พระอรหันต์ ต้องเป็นพระที่มีฤทธิ์ มีเดช ซึ่งความจริงแล้ว พระอรหันต์ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดชก็มีอยู่ แนวนี้เรียกว่า ฉฬภิญโญ หรือ อภิญญา ๖ ประกอบด้วย

๓.๑ อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง

๓.๒ ทิพพโสต หูทิพย์

๓.๓ เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้

๓.๔ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้

๓.๕ ทิพพจักขุ ตาทิพย์

๓.๖ อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น

กรรมฐานที่ใช้ในการฝึกแนวนี้ ต้องฝึกกสิณทั้ง ๑๐ กองเป็นปัจจัย

390202080พระอรหันต์แนวนี้ เท่าที่ทราบ อยู่ตามป่าเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ และคิดอะไร ทำอะไร ก็จะเป็นจริงไปเสียทุกเรื่อง เรียกว่า ใช้อภิญญาจนชิน ไม่ใช่ว่าเล่นเพื่ออวด หรืออะไรนะ เพียงแต่พระอรหันต์แนวนี้ ผ่านการเคี่ยวเข็ญกรำฝึกการใช้อภิญญาสมาบัติกัน จนเรียกว่า เป็นกีฬาสมาธิ ได้ยินเขาลือกันว่า พระอรหันต์แนวนี้ จะมองวัตถุธาตุในโลก ไม่เหมือนคนปกติ อย่างคนปกติจะทราบว่า อันนี้เป็นนิมิต อันนี้เป็นของจริง เพราะมันไม่เหมือนกัน แต่พระอภิญญานี่ เห็นนิมิต กับของจริง แนบแน่นเป็นสิ่งเดียวกันครับ คราวนี้ ถ้ามาอยู่ในเมืองเดี๋ยวได้มีฮา พลั้งปากไปว่า ยุบสภา เดี๋ยวได้ยุบสภากันจริง ๆ การเมืองจะปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม

พระอรหันต์แนวนี้ บางทีมีหน้าที่ที่พวกเราไม่สามารถรู้กัน ต้องคอยพิทักษ์โลก คล้ายเหล่ายอดมนุษย์ในหนังนั่นแหละ ต้องปิดทองหลังพระ เพราะความสามารถของท่านเหล่านี้ พวกยอดมนุษย์ในหนัง ยังต้องยอมแพ้ชิดซ้ายตกสะพานมฆวานฯไปเลยครับ สำหรับตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ส่วนใหญ่จะสำเร็จเป็นปฏิสัมภิทา กันหมด ที่ใกล้เคียงก็คงเป็น พระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เป็นเอตทัคคะด้านฤทธิ์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศ ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ โดยเอากายเนื้อไปด้วย ที่เห็นจริยายุคปัจจุบัน น่าจะคล้ายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่ว่าคล้ายคือ ท่านไปเที่ยวนรกสวรรค์ เหมือนกับพระโมคคัลลานะ ในอดีต นั่นเอง หรือหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ก็น่าจะใช่ ได้ยินว่า ท่านขึ้นไปเดินจงกรมบนฟ้า พวกทหารอากาศเห็นแล้วเป็นงง เลยมีรูปท่าน ไว้บูชาในสนามบินด้วย ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ศึกษาปฏิปทาท่านโดยละเอียดเสียด้วยซี (ตัวอย่างหลังนี้ ผู้เขียนเดาเอานะ ไม่ใคร่แน่ใจนัก อย่าถือเป็นจริงเป็นจัง)

ปกิณกะ : กสิณ ๑๐ กอง มีดังนี้ครับ

๑. ปฐวีกสิณ - เพ่งดิน, ทำให้ถึงที่สุด สามารถแสดงฤทธิ์ ทำของเหลว ให้เป็นของแข็งได้ (พวกเดินบนน้ำ)

๒. อาโปกสิณ - เพ่งน้ำ, ทำให้ถึงที่สุด สามารถแสดงฤทธิ์ ทำของแข็ง ให้กลายเป็นของเหลวได้ (พวกประทับรอยมือรอยเท้าลงบนหิน)

๓. เตโชกสิณ - เพ่งไฟ, ทำให้ถึงที่สุด สามารถแสดงฤทธิ์ควบคุมอุณหภูมิได้ตามประสงค์ (พวกแอร์คอนดิชั่น ก็ใช้กสิณกองนี้<---ไ้ม่ใช่แร้วววว)

๔. วาโยกสิณ - เพ่งลม, ทำให้ถึงที่สุด สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว เช่น พริบตาเดียว ไปโผล่เชียงใหม่ เป็นต้น(บขส.ตกงานไปเลย)

๕. โลหิตกสิณ - เพ่งสีแดง, พวกกสิณสีนี่ สามารถเปลี่ยนสีของวัตถุได้ครับ

๖. ปีตกสิณ - เพ่งสีเหลือง

๗. วีนีลกสิณ - เพ่งสีเขียว

๘. โอทาตกสิณ - เพ่งสีขาว

๙. อาโลกสิณ - เพ่งแสงสว่าง, สามารถท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่าง ๆ ได้

๑๐. อากาสกสิณ - เพ่งอากาศ, ไม่รู้แฮะ

๔. แบบรู้เช่นเห็นชาติ แนวนี้มีความรู้ความสามารถ ครอบคลุมทั้ง ๓ แบบแรก และมีความสามารถพิเศษ เชี่ยวชาญในพระธรรม ของพระพุทธองค์ เป็นพิเศษ ได้ยินว่า แม้พระไตรปิฎกบทใด ได้ยิน ได้ฟัง เพียงครั้งแรก ก็สามารถอธิบาย อย่างแตกฉาน ผู้ต้องการฝึกแนวนี้ต้องได้ฌานสมาบัติ ๘ หรือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ เป็นปัจจัยครับ แนวนี้เรียกว่า ปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือ ปฏิสัมภิทาญาณ แนวการบรรลุสามแนวหลังนี้ บรรลุด้วยเจโตวิมุตติ บรรลุด้วยอำนาจแห่งใจ

ปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือ การบรรลุพร้อมปฏิสัมภิทาญาณนี่ มีความสามารถพิเศษ มีปัญญาแตกฉาน มีความชำนาญพิเศษใน ๔ อย่างนี้ครับ

๔.๑ อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในอรรถ หมายถึง ความเข้าใจแตกฉานชำนาญในการอธิบายข้อความไม่ว่ามากหรือน้อยได้อย่างลึกซึ้ง ละเอียดลออ

๔.๒ ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในธรรม ก็อธิบายธรรมได้เป็นคุ้งเป็นแควนั่นแล

๔.๓ นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในนิรุตติ อันนี้ถ้าทางปริยัติเขาแปลไปอีกแบบหนึ่งว่า มีความเข้าใจแตกฉานในภาษาเขียน ภาษาพูด มีความชำนาญหลายภาษา แต่ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติท่านบอกว่า ปฏิสัมภิทาชนิดนี้ สามารถสื่อภาษากับชาวต่างชาติได้ หรือแม้กระทั่งกับนก แมว หมู หมา ก็สามารถสื่อสารกันได้

๔.๔ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในปฏิภาณ มีความฉลาดหลักแหลมในธรรม สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ถูกต้อง เช่น ในการแสดงธรรม แล้วมีผู้ซักถามข้อสงสัย สามารถตอบเข้าหลักธรรมได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว

เรื่องปฏิสัมภิทา ๔ อย่างนี้ ข้าพเจ้าก็เคยไปถามครูบาอาจารย์ว่า เขามีกันทีละอย่าง หรือว่า มีพร้อมกันหมดทั้ง ๔ อย่าง และการที่เข้าใจภาษาสัตว์ หรือ ภาษาต่างชาติ จะเป็นตัวบอกได้หรือไม่ว่า ผู้นั้นเป็นแนว ปฏิสัมภิทา

390202084ท่านตอบว่า ปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ อย่างนี้ จะได้มาพร้อมกันหมด มีความสามารถทุกอย่างที่กล่าวมา ที่ว่า รู้ภาษาสัตว์ และภาษาต่างชาติ ความจริงแล้ว ท่านบอกว่า มันเหลือ ภาษาเดียว คือ "ภาษาใจ" ฉะนั้น ต่อให้เป็นคนป่า หรือมนุษย์ดาวชิมแปนซี ไม่ต้องใช้วุ้นแปลภาษาของโดเรม่อน ก็สามารถสื่อสารกันเข้าใจได้

ตัวอย่างของพระอรหันต์แนวนี้ มีเพียบเลยครับ สมัยพุทธกาล พระสารีบุตร ก็ใช่ พระมหากัสสปะ ก็ใช่ เยอะครับ จาระไนไม่หมด กระทั่งพระอานนท์ บรรลุหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็สำเร็จอรหัตตผล พร้อมปฏิสัมภิทา ครับ สมัยปัจจุบัน เกิดไปพบพระรูปไหน พูดภาษาสัตว์ได้ พูดภาษาไทย แต่ฝรั่งฟังเข้าใจ และฝรั่งหันกลับมาบอกว่า พระรูปนี้ พูดภาษาเขา อย่างนี้ชัวร์ป๊าดนิ่มเลยครับ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ แน่นอน

ยังมีอีกเรื่องครับ ที่ครูบาอาจารย์สมัยก่อน ท่านสงสัยกัน คือ เรื่องพระอรหันต์ผู้ทรงพระไตรปิฎก ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า ก็ไปถามครูบาอาจารย์อีกที ท่านสงสัยเหลือเกินว่า เขาทรงพระไตรปิฎกกันได้อย่างไร พระไตรปิฎกมีตั้ง ๔๕ เล่ม ท่านว่า ให้ลองไปดูในพระไตรปิฎกซีว่า มีพระธรรมขันธ์ใด ไม่พูดถึง ขันธ์ ๕ บ้าง ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า จึงถึงบางอ้อ... อ้อ....มันอย่างนี้นี่เอง พูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้ที่มีความแตกฉานในขันธ์ ๕ นั่นไง คือ ผู้ทรงพระไตรปิฎก

ค้นหา "ของเก่า" ขั้นตอนสำคัญ ของนักปฏิบัติ

ศึกษาไป ๆ ก็พบว่า บางที จะแยกแยะแนวใคร ๆ เด็ดขาดฟันธงลงไป ก็ไม่ได้ เพราะบางที ไปเจอ "ของเก่า" เข้า

"ของเก่า" ในที่นี้ไม่ใช่โบราณวัตถุขายอยู่ตามสวนจตุจักรนะครับ "ของเก่า" ในที่นี้ คือ สิ่งที่เราเคยฝึกฝนปฏิบัติมาแต่ชาติก่อน ๆ อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช หากได้ไปศึกษาวิธีปฏิบัติของท่าน จะเป็นแนวของสุกขวิปัสสโก เน้นปัญญา เดินวิปัสสนาล้วน ๆ แต่ไฉนหลวงพ่อถึงมีฤทธิ์อ่านใจคนได้ ก็เพราะ "ของเก่า" ของท่านครับ สมัยเป็นฆราวาสใช้ฉายาว่า อุบาสกนิรนาม ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านนั่งตากฝนอยู่ เกิดได้สมาบัติ ๘ ขึ้นมาเฉยเลย ทั้งที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล อาจารย์ของท่าน ก็ไม่ได้สอน พอไปถาม ท่านว่า ขี้เกียจสอน เดี๋ยวทำ ๆ ไป มันก็ได้ของมันเอง ไม่อยากให้ใส่ใจ โห...มันง่ายขนาดนั้นเลยรึ ความจริงแล้ว ที่มันง่ายสำหรับหลวงพ่อ ก็เพราะท่านมี "ของเก่า" นี่ละครับ

ตามประสา คนหนุ่มไฟแรง ช่วงแรกของการบวช พอได้ทราบคอนเซ็ปท์ของ "ของเก่า" แล้ว ก็เพียรเสาะแสวงหา ครูบาอาจารย์ที่มีญาณวิเศษ สามารถรู้ได้ว่า "ของเก่า" ของเรา มีอะไร จักได้เลือกกรรมฐานให้ถูกจริต ท่านว่า ถ้าเลือกกรรมฐานถูกจริตนี่ ทำแป๊บเดียวครับ เห็นผล ไม่ต้องพยายามมาก เสาะไปเท่าไหร่ กี่รูป ๆ ท่านก็บอกให้ข้าพเจ้า ใช้ อานาปานุสสติ ซึ่งเป็นกรรมฐานกลาง ๆ ใช้ได้กับทุกจริต และเป็นทางของสุกขวิปัสสโก

ด้วยความโคตรจะแมน ทั้ง ๆ ที่โคตรจะแมน เฮ้ย...เราต้องมี "ของเก่า" มั่งละวะ ไม่เชื่อที่ท่านทั้งหลายพยากรณ์ ก็ลองไปฝึกแนวอิทธิฤทธิ์ดู ซึ่งก็ได้แก่ การฝึกแนว มโนมยิทธิ ไปฝังตัวอยู่ที่วัดท่าซุงเป็นเดือน เข้าฝึกกรรมฐานจนครูฝึกไล่ ไป๊...ไปฝึกขั้นสูงได้แล้ว ฝึกจนจำได้เลยครับว่า สเต็ปไปอย่างไรบ้าง ต้องเห็นอะไร สีอะไร พอครูฝึกถาม ก็ตอบตามที่จำได้ มันจะใช่มโนมยิทธิได้อย่างไรละครับนี่ ฝึกเป็นสิบ ๆ รอบ ก็เงียบฉี่ สุดท้าย ก็ต้องปลงครับว่า ไอ้เรามัน "(รัก)ปอนปอน" ธรรมด๊า...ธรรมดา ไม่ใช่ปอนด์สเตอริง จึงไม่มีฤทธิ์ ก็ต้องยอมรับละครับว่า ไม่มีฤทธิ์

กระนั้น แม้ว่าจะไม่มีฤทธิ์ แต่ก็ศึกษาแนวที่มีฤทธิ์ ได้ทฤษฎีมาเป็นกระบุงเหมือนกัน ใครติดขัดประการใด ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็พอจะแนะนำได้ แต่อย่ามาถามนะครับว่า ฝ่ายไหนจะชนะ ไม่รู้ครับ รู้แต่ฝ่ายแพ้ครับ ประเทศชาติไงครับ ที่แพ้

ขณะที่ฝังตัวอยู่ที่วัดท่าซุงนั้น ก็เที่ยวสอบถามพระที่วัดท่าซุงถึงว่า ทำไมข้าพเจ้าปฏิบัติเท่าไหร่ก็เงียบฉี่ ท่านว่า ท่านบวชมา ๘ พรรษาแล้ว ก็ยังเงียบเหมือนกัน เลยถึงบางอ้อครับว่า ไม่ใช่ว่าจะทำได้กันทุกคน

วันดีคืนดี ก็มีโยมมาเยี่ยมครับ ชวนเธอมาฝึกมโนฯ ก็บอกให้หัดภาวนา นะ มะ พะ ธะ แล้วก็ให้นึกเห็นภาพพระพุทธรูป อยู่บนหัว เธอก็ทำมาตลอดทาง ตั้งแต่กรุงเทพฯ

พอมาเข้าฝึกมโนฯ เต็มกำลัง โอ้พระเจ้าจอร์จ... เธอบอกว่า เธอเห็นคุณแม่ ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว มารับครับ นำหน้ามาเลย พอฝึกไป ๆ คนใกล้ ๆ ส่งเสียงกรี๊ดครับ ตกใจ สมาธิร่วง ภาพเลยหายหมด แล้วก็ทำสมาธิ นะ มะ พะ ธะ ใหม่ เธอบอก มีพระแก่ ๆ ถือไม้่เท้า มายืนรอเธออยู่ครับ (พอดีเธอไม่เคยเห็นว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หน้าตาเป็นอย่างไร) โอ๊ว....ม่ายยยยยย นี่ฉ๊านมาฝึกเป็นเดือน ยุงสักตัว ก็ไม่เห็น นี่เธอมาครั้งแรก เห็นกันจะ ๆ ชัดเจน ขนาดนั้น เลยเสียเซ้ว ไปเลยครับ กลับกุฏินอนตีพุงขึ้นอืดดีกว่า

ครั้นมานั่งพิจารณา นอนพิจารณาแล้ว พบข้อสังเกตุอันหนึ่งครับ คือในวิชาการทั้งหลายแหล่ ที่ศึกษามา เป็นที่น่าสังเกตุว่า ถ้าเป็นแนวฤทธิ์ จะข้องเกี่ยวกับนิมิตเสมอ คุณโยมคนนี้แกมีจินตนาการสูงส่งครับ ถ้าเกิดว่า เวลากำลังกินข้าวอยู่ มีใครเผลอตดออกมา เธอจะหมดอารมณ์กินข้าวไปเลยครับ ด้วยอำนาจการจินตนาการอันสูงส่ง ซึ่งอาจเห็นนิมิตเป็น "ขี้" ขณะที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย เวลากินข้าวใครจะพูดเรื่องส้วม เรื่องขี้ เรื่องหนอน หรืออะไรน่าขยะแขยงสักเท่าไหร่ ก็ไม่เคยรู้สึกอะไร แถมเวลาเขาบอกให้จับภาพพระ เช่น ให้นึกภาพเห็นพระพุทธรูป ดันนึกไม่ออกเสียอีก เลยได้ข้อสังเกตุว่า คนที่มี "ของเก่า" ด้านฤทธิ์นี่ ต้องมีจินตนาการสูงส่งครับ (เป็นสมมุติฐานของข้าพเจ้าเองนะ อย่าเพิ่งเชื่อ ไปทดลองด้วยตัวเองก่อน) ถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่า พวกที่ต้องทำงานด้านดีไซน์ ต้องเห็นภาพในจินตนาการก่อน แล้วถึงวาดเป็นรูปออกมา มีแนวโน้มว่า จะมีของเก่าสูงครับ

จากการท่องยุทธภพทั้งหมด ก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองอย่างแน่นอนแล้วครับว่า เราไม่มีวิสัยทางนี้

ก็ยังปลอบใจตัวเองครับว่า บางทีมันอาจจะซ่อนอยู่ลึกมาก ๆ จนไม่ระแคะระคาย ดูอย่างสมัยพุทธกาล ปฏิบัติกัน ไม่กี่วัน สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทา ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าไ่ม่ได้สอน เรื่องสมาบัติ ๘ หรือกสิณ สักน้อยเดียว นั่นแสดงว่า เมื่อละกิเลสได้แล้ว "ของเก่า" ที่ซ่อนตัวอยู่ โคตรลึก จะกลับมาครับ

บางทีการฝึกเขียนเอ็นทรี่ทั้งหลายบน exteen ก็อาจจะเป็นอภิญญาชนิดหนึ่งนะครับ โยมคนนั้น เขาให้ชื่อ อภิญญา ชนิดนี้ว่า อภิญญิ๊ง ครับ มาจาก อภิญญา + แป๊ะยิ๊ง ฝึกเข้าไว้นะครับ ผู้สำเร็จอภิญญาชนิดนี้ วันหนึ่ง ก็จะได้ขึ้นไปวาดลวดลาย บนฮ็อตโพสต์ ครับ

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

มาดูตัวอย่างคำสอนของหลวงพ่อชา สุภทฺโท กันครับ เรื่องทางพ้นทุกข์ และมรรคสามัคคี

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons